บทที่ 385 รวมกันเราอยู่
หวังเป่าเล่อดูกระตือรือร้นยิ่ง เขาตื่นเต้นดีใจอย่างเห็นได้ชัด ชายหนุ่มละล่ำละลักด้วยความตื่นเต้นจนแทบรอไม่ไหวที่จะได้แบ่งปันทุกอย่างกับคนทั้งสาม เขาเฝ้ารอให้รองนายกเทศมนตรีทั้งสามเปิดปากถาม
ทว่า…กงเต๋าจ้องมองหวังเป่าเล่อ ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ข้างๆ และส่งเสียงฮึดฮัดแสดงความไม่พอใจ แม้ว่าความตึงเครียดระหว่างกันจะลดลงในช่วงนี้และความรู้สึกที่เขามีต่อหวังเป่าเล่อก็เปลี่ยนแปลงไป แต่ทุกครั้งที่กงเต๋าคิดขึ้นได้ว่า ปักษาเพลิงขาวของเขาถูกลาของหวังเป่าเล่อรังแก เขาก็อดโมโหไม่ได้
ขณะนี้ลาดำวิ่งเร็วมาก แม้ว่ากงเต๋าจะเคยวิ่งไล่มันทันในอดีต แต่มาบัดนี้มัน วิ่งเร็วกว่าเดิมอีก ชายหนุ่มทำได้เพียงเก็บความครุกรุ่นเอาไว้ในใจ ไม่เพียงแค่นั้น สิ่งที่ทำให้กงเต๋าโกรธเกรี้ยวมากที่สุดคือ ปักษาเพลิงขาว ที่เริ่มเปลี่ยนท่าทีจากต่อต้านมาเป็นยอมจำนน…
เพราะเหตุนี้ กงเต๋าจึงรู้สึกแปลกๆ ทุกครั้งที่เจอหวังเป่าเล่อ
ฝ่ายจินตั้วหมิงดูไม่รู้ร้อนรู้หนาวเช่นเคย เขาหาวครั้งหนึ่งก่อนจะนั่งลงและเริ่ม บีบนวดสะโพกของตน ชายหนุ่มพยักหน้าให้หวังเป่าเล่อเป็นเชิงทักทาย ก่อนจะดึงตัวหลินเทียนหาวเข้าไปกอด พลางกระซิบด้วยน้ำเสียงเปี่ยมอารมณ์
“เทียนหาว หนังสือภาพที่เจ้าให้ข้ามาก่อนหน้านี้ เจ้าได้มันมาจากไหน มันตรงกับความจริงเพียงใดกันหรือ”
หลินเทียนหาวผู้ซึ่งมีสีหน้าจริงจังอยู่ก่อนหน้า เพราะกำลังคิดว่าต้องมีปฏิกิริยาอย่างไรต่อสิ่งที่หวังเป่าเล่อกำลังจะพูด มาบัดนี้เขากำลังถูกจินตั้วหมิงโอบกอด และเกิดอายขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินสิ่งที่อีกฝ่ายพูด
ศีรษะหวังเป่าเล่อเริ่มกระตุก ราวกับว่าถูกเจ้าลาเตะศีรษะกระนั้น เขาไม่มีเหตุผลแอบแฝงในการเลือกสามคนนี้มาเป็นรองนายกเทศมนตรี ไม่ใช่เพราะว่าพวกเขาร่ำรวยแต่อย่างใด เพราะอย่างไรเสียหวังเป่าเล่อก็เป็นชายผู้รักความถูกต้องและมีคุณธรรมเป็นที่สุด
ชายหนุ่มตัดสินใจจะให้โอกาสทั้งสามอีกครั้งหนึ่ง
“ทุกท่าน ข้าบอกว่าข้ามีโอกาสอันดีมานำเสนอ เรียกได้ว่าเป็นโอกาสทองก็ว่าได้ เราทุกคนต่างก็จะได้ประโยชน์ พวกท่านไม่อยากรู้หรือว่ามันคือเรื่องอันใด” สีหน้าของหวังเป่าเล่อยังคงจริงจัง นัยน์ตาของเขาฉายแววข่มขู่
แววตานั้นทำให้หลินเทียนหาวรีบสะบัดตัวออกจากอ้อมกอดของจินตั้วหมิง ก่อนจะพูดอย่างเร่งรีบด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นยินดี
“ใต้เท้า โอกาสอันใดหรือขอรับ มันดีงามอย่างที่ท่านว่าจริงๆ หรือ”
จินตั้วหมิงทำได้เพียงยอมรับชะตา พลางเอ่ยถามสำทับขึ้นมา กงเต๋าหน้าตาบอกบุญไม่รับไม่อยากจะพูดสิ่งใดทั้งสิ้น ชายหนุ่มตวัดสายตามามองแทนความสนใจ ราวกับจะพูดว่าหากหวังเป่าเล่อจะบังคับให้เขาสนใจ นี่ก็คือความสนใจทั้งหมดที่เขาจะให้ได้กระนั้น…
เมื่อหวังเป่าเล่อเห็นว่าทั้งสามเริ่มให้ความสนใจก็ตัดสินใจให้โอกาส เขากระแอมกระไอก่อนจะหยิบน้ำเย็นหล่อวิญญาณออกมาหนึ่งขวด และเริ่มพูดหลังจากจิบน้ำ
“ข้ามีวิธีแปลงเขตนครของเราให้กลายเป็นนคร…” หวังเป่าเล่อเกริ่น แล้วจึงเริ่มสาธยายแผน บอกสิ่งที่เขาเพิ่งค้นพบมาก่อนหน้านี้ ว่าเขาได้ขอให้เพื่อนช่วยประดิษฐ์วงแหวนปราณขึ้นมาและเขาได้ทดสอบแล้วว่าวงแหวนปราณนี้ใช้งานได้จริง
แม้จะมีบางส่วนของเรื่องนี้ที่เกี่ยวข้องกับความลับของเขา เขาก็ดัดแปลงเรื่องเพื่อหลีกเลี่ยงที่จะเล่าความจริงทั้งหมด อย่างไรก็ดี เมื่อชายหนุ่มเล่าเรื่องต่อไป ดวงตาของผู้ฟังทั้งสามก็เริ่มเบิกกว้างขึ้นเรื่อยๆ
ในหัวของจินตั้วหมิงมีเพียงหนังสือภาพที่หลินเทียนหาวให้เขาไปก่อนหน้านี้ แต่ขณะนี้หนังสือภาพนั้นมลายหายไปจนสิ้น เขาหายใจเร็วขึ้น แม้ตามปกติชายหนุ่มจะทำตัวสบายๆ ต่อหน้าคนอื่น แต่สิ่งที่หวังเป่าเล่อเพิ่งพูดนั้นเป็นโอกาสชิ้นงามจริงๆ เสียด้วย
กระทั่งตัวเขาเองยังประทับใจ กระแสความคิดมากมายพลุ่งพล่านอยู่ในใจ
ไม่ใช่เพียงจินตั้วหมิงเท่านั้น ข้างกายเขา สีหน้าของกงเต๋าค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปเมื่อได้ฟัง เขาสูดลมหายใจ นัยน์ตาเบิกโพลงและส่องประกาย คำพูดของหวังเป่าเล่อราวกับเป็นสายฟ้าที่ฟาดลงมาจนเขาถึงกับพูดไม่ออก ชายหนุ่มเห็นบันไดที่ทอดยาวขึ้นไป หากเขาสามารถก้าวขึ้นไปได้ ก็คงจะเดินขึ้นไปจนเกือบถึงสวรรค์เลยก็ว่าได้!
หลินเทียนหาวนั้นตาแทบจะหลุดออกจากเบ้า เขาจ้องมองหวังเป่าเล่อราวกับว่าอีกฝ่ายเป็นเจ้านรกกระนั้น ในหัวของเขาหมุนวน ชายหนุ่มไม่สามารถจินตนาการได้ว่าหวังเป่าเล่อสร้างโอกาสอันงามนี้ให้แก่พวกเขาทั้งหมดได้อย่างไร!
หวังเป่าเล่อพูดจนจบและมีความสุขเมื่อได้เห็นตื่นเต้นยินดีของผู้ฟัง เขารออยู่ครู่หนึ่งเพื่อให้ทุกคนได้ย่อยข้อมูล ก่อนจะพูดต่อไป
“หากพวกเราทำสำเร็จ อย่างน้อยเราทุกคนก็จะได้ปูนบำเหน็จอีกหนึ่งขั้น อันที่จริงแล้ว พี่น้องทั้งหลายในเขตนครแห่งนี้ก็จะได้รับการปูนบำเหน็จกันถ้วนหน้าเลยทีเดียว!”
“หากพวกเราทำไม่ได้ ก็ไม่เห็นจะเป็นไร เราก็กลับมาอยู่ตรงที่เดิม ไม่มีข้อเสียเอาเลย ข้าจึงอยากจะถามว่า…พวกเราจะไม่ลองสู้เพื่อโอกาสนี้ดูหรือ”
ทันทีที่หวังเป่าเล่อพูดจบ จินตั้วหมิงก็นั่งยืดหลังตรงพลางทำสีหน้าจริงจัง เป็นภาพที่หาดูได้ยากยิ่งจากชายหนุ่ม แสงสว่างส่องประกายอยู่ในแววตา เขาพูดในทันที
“เป่าเล่อ เจ้าจะให้เราดูวงแหวนปราณที่พูดถึงนี้ได้หรือไม่”
หวังเป่าเล่อคาดไว้อยู่แล้วว่าพวกเขาต้องพูดเช่นนี้ ชายหนุ่มจึงไม่รอช้า พาทั้งสามไปดูวงแหวนปราณที่เขาทำเอาไว้ก่อนหน้านี้และยอมให้ตรวจสอบดูได้ หวังเป่าเล่อเปิดวงแหวนปราณให้ดูด้วยตนเองเพื่อรับรองว่าใช้ได้จริง
กงเต๋าถึงขนาดยอมไปที่สุสานอาวุธเทพใต้ดินและพาคนไปตั้งวงแหวนปราณขนาดย่อมไว้ด้านในเพื่อเป็นการทดสอบอีกครั้งหนึ่ง เมื่อได้ผลการทดสอบทั้ง จินตั้วหมิงและกงเต๋าก็ลิงโลดใจ หลินเทียนหาวหายใจหอบถี่อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
นัยน์ตาของพวกเขาส่องประกายกล้า พวกเขายังไม่หายจากอาการตื่นเต้นยินดี ทว่าทุกคนต่างก็เข้าใจในทันทีว่าหากพวกเขาทำสำเร็จ หวังเป่าเล่อจะก้าวจาก ขุนนางระดับสี่ชั้นสูงไปเป็นขุนนางระดับสามชั้นสูงโดยพลัน!
พวกเขาเองก็จะก้าวหน้าเช่นเดียวกัน ขยับขึ้นจากขุนนางระดับสี่ชั้นรองไปเป็นขุนนางระดับสามชั้นรองด้วยกันทั้งสิ้น!
ทั่วทั้งสหพันธรัฐ คงไม่ได้มีเพียงพวกเขาที่จะตื่นเต้นยินดีกับโอกาสชิ้นงามเช่นนี้ คนอื่นๆ จำนวนนับไม่ถ้วนก็คงรู้สึกคล้ายคลึงกัน แต่นั่นไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้โอกาสนี้เป็นโอกาสทอง อย่างไรเสีย พวกเขาก็ยังต้องการการอนุมัติจากทั้งสหพันธรัฐและ ฝ่ายบริหารงานดาวอังคารด้วย
หากแม้คนอื่นๆ ต้องการยกระดับเขตนครของตนขึ้นมาเป็นนคร พวกเขาคงไม่อาจได้รับการอนุมัติจากสหพันธรัฐมาโดยง่าย ทว่า…ในอาณาเขตดาวอังคารใหม่แห่งนี้ โอกาสที่จะเสนอผ่านมีอยู่สูงมาก!
ข้อเสนอของหวังเป่าเล่อจะประหยัดเวลาพวกเขาไปมากโข แม้ว่าจะต้องใช้ทรัพยากรอีกมาก แต่ปัญหาใหญ่ที่สุดของทั้งฝ่ายบริหารงานดาวอังคารและสหพันธรัฐไม่ใช่ปริมาณทรัพยากรหากแต่เป็นเวลา!
ยิ่งพวกเขาสามารถนำอาวุธเทพออกมาได้เร็วเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งได้ครอบครองพลังอันยิ่งใหญ่ได้เร็วเท่านั้น ฝ่ายบริหารงานดาวอังคารเองก็จะได้ประโยชน์จากเรื่องนี้อย่างมากเช่นเดียวกัน เพราะหากอาวุธเทพยังคงไม่เสถียรอยู่เช่นนี้ โอกาสที่จะเกิดภัยพิบัติไม่คาดฝันก็มีมาก ยิ่งการขุดค้นรุดหน้าไปได้เร็วเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งประหยัดทรัพยากรและกำลังคนที่จะใช้ในการรับมือภัยพิบัติได้มากขึ้นตามกัน
ชายหนุ่มทั้งสามจ้องมองกันอยู่ไปมาอย่างลิงโลดใจ พวกเขาตื่นเต้นยินดีกันเป็นอย่างยิ่ง เพราะรู้ดีว่า…โอกาสสำเร็จนั้นสูงมากทีเดียว!
ทั้งสามต่างก็รู้สึกเคารพหวังเป่าเล่อมากยิ่งขึ้น ท่ามกลางความตื่นเต้นดีใจนั้น พวกเขาก็นึกสิ่งหนึ่งขึ้นมาได้ว่า แค่ความแข็งแกร่งของหวังเป่าเล่อและวงแหวนปราณชคงยังไม่พอ
“ข้าจะติดต่อกองทัพชาวอังคารเพื่อขอความสนับสนุนจากพวกเขา!” กงเต๋าหายใจเข้าลึกก่อนจะประกาศออกมาในทันที ความกระตือรือร้นที่เขามีต่อเรื่องนี้แซงหน้าเรื่องอื่นใด นอกจากนั้นหลังจากพูดจบเขาก็กัดฟัน
“ข้าจะติดต่อพ่อบุญธรรมของข้าด้วย!”
“สมแล้วที่เป็นพี่ชายที่แสนดี เรามาร่วมมือกันและทำอย่างเต็มที่เพื่ออนาคตของเรากันเถิด!” หวังเป่าเล่อตะโกนอย่างยินดี ก่อนจะหันไปตบบ่ากงเต๋า สายตาแวววาวไปด้วยกำลังใจ
หลังจากความเงียบชั่วอึดใจ จินตั้วหมิงก็พูดขึ้นมาด้วยเสียงต่ำ
“พวกเราต้องใช้เส้นสายทั้งหมดที่มีเพื่อการนี้…ข้าจะไปเจรจากับผู้นำตระกูลของข้า ในไม่ช้านี้ เทียนหาว เจ้าก็ด้วยนะ เจ้าควรไปปรึกษาบิดา เราต้องการการสนับสนุนจากคณะเสนาบดีด้วย!”
“ส่วนบรรดาขั้วการเมืองทั้งหลาย ข้าจะลองหาวิธีดู!”
“เป่าเล่อพูดถูก เราควรต้องเดิมพันกับสิ่งนี้!” สายตาของจินตั้วหมิงโชนแสง ผิดธรรมดา ขุนนางระดับสามชั้นรองเป็นบรรดาศักดิ์ที่สูงมากสำหรับคนอายุเท่าเขา
แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะเอาชีวิตเป็นเดิมพันในการทดสอบก่อนหน้านี้ เขาก็ยังได้รับเพียงยศขุนนางระดับสี่ชั้นสูงเท่านั้น
ท่ามกลางความตื่นเต้นยินดี พวกเขาก็พูดคุยกันต่ออีกเล็กน้อย ก่อนจะตัดสินใจแจ้งขั้วการเมืองที่สนับสนุนพวกเขาอยู่และเริ่มหว่านล้อม หวังเป่าเล่อจะเป็นคนจัดการเรียบเรียงข้อมูลและส่งให้ฝ่ายบริหารงานดาวอังคาร!
ชายหนุ่มรับหน้าที่อย่างเต็มใจ เขารู้ดีว่าตนต้องเป็นผู้เริ่มเคลื่อนไหวก่อน
ทั้งสี่ต่างแยกย้ายกันไปเตรียมตัว ขั้วการเมืองทั้งหลายต่างก็ตกตะลึงเพราะความคิดบ้าระห่ำของหวังเป่าเล่อ เจ็ดวันให้หลัง คำขอเลื่อนสถานะขึ้นเป็นนครก็ถูกส่งจากเขตนครใหม่ไปยังฝ่ายบริหารงานดาวอังคาร การถกเถียงกันระลอกใหญ่ที่แม้กระทั่งในสหพันธรัฐยังถือเป็นเรื่องใหญ่ก็ระเบิดขึ้น!
เขตนครใหม่แห่งดาวอังคารส่งคำร้องขอขยายตัวและเลื่อนขั้นขึ้นเป็นนครแห่งใหม่ เพื่อจะกลายเป็น…นครแห่งที่สองบนดาวอังคาร!