บทที่ 51 อย่าเจ้าเล่ห์ให้มากนัก
ขณะที่หวังเป่าเล่อแง้มประตูถ้ำออก ลู่จื่อหาวที่รออยู่หน้าประตูก็หันมอง ชายหนุ่มตาไม่กะพริบในทันที เขามองด้วยดวงตาดังเหยี่ยวที่กำลังพินิจพิเคราะห์เหยื่อของตนอยู่ มองราวกับจะให้เห็นตับไตไส้พุงของหวังเป่าเล่อก็ไม่ปาน
“ลู่จื่อหาวจากสาขาการยุทธ์มาขอพบท่านหัวหน้าศิษย์สาขาอาวุธเวท” เขาหรี่ตามองพร้อมกับเอ่ยขึ้นช้าๆ นัยน์ตาแฝงไปด้วยความยโสโอหัง
หวังเป่าเล่อแค่นเสียงทางจมูกเมื่อเห็นท่าทีของลู่จื่อหาว เขาอยากจะเปิดเผยตัวตนออกไปเสียแล้วบังคับให้ชายตรงหน้าต้องคุกเข่าร้องเรียกเขา ‘บิดา’ แต่ ลู่จื่อหาวก็พูดขึ้นขัดความคิดในหัว
“ข้ามาเพื่อเตือนความจำท่านหัวหน้าศิษย์ ท่านคงยังจำโจวลู่ที่อยู่ในชมรมเมื่อปีก่อนได้ ตอนนี้นางสำเร็จวิชาจากสำนักศึกษาเต๋ากวางขาวแล้วและยังได้รับคัดเลือกเข้ากองทัพหลวง ทางกองทัพนั้นยังช่วยให้นางฝึกระดับลมหายใจเที่ยงแท้จนนางมีรากฐานวิญญาณยาวถึงเจ็ดนิ้วแล้ว ข้ายังได้ข่าวมาอีกว่าระดับการฝึกตนของนางนั้นสูงกว่าระดับการฝึกตนโบราณ กำลังจะบรรลุระดับลมหายใจเที่ยงแท้และได้กลายเป็นผู้ฝึกตน!” ลู่จื่อหาวว่าอย่างรวดเร็ว ตาก็มองดูอาการหวังเป่าเล่อ
หวังเป่าเล่อกะพริบตาเมื่อได้ยินที่ชายหนุ่มพูด เขาจำหญิงคลั่งโจวลู่ได้ดี พอได้ยินว่านางได้เข้าร่วมกองทัพหลวง อีกทั้งยังฝึกตนจนระดับสูงเกินระดับฝึกตนโบราณไปแล้ว เขาก็มีท่าทีระมัดระวังตัวขึ้นทันที
“ข้าไม่เข้าใจเรื่องที่เจ้าพูดเลยสักนิด” ชายหนุ่มส่ายหน้าก็จะหันหลังกลับถ้ำที่พัก
“หวังเป่าเล่อ เจ้ากระต่ายคลั่งจอมหักนิ้ว! ข้าจะบอกอะไรให้ แม้โจวลู่จะบรรลุระดับลมหายใจเที่ยงแท้จนได้เป็นผู้ฝึกตน นางก็ยังคงจำเรื่องในชมรมวันนั้นได้ดี ถ้าเจ้ากล้าหนีกลับถ้ำที่พัก ข้าจะส่งข้อความไปบอกโจวลู่เรื่องตัวตนที่แท้จริงของเจ้า นางจะต้องมาตามล่าเจ้าแน่เมื่อได้รู้ความจริง” ลู่จื่อหาววางท่าใหญ่โต ดวงตาเต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์
“แต่ข้าจะเก็บความลับให้ก็ได้นะ ถ้าเจ้ากระต่ายคลั่งจอมหักนิ้ว หวังเป่าเล่อ หมอบกราบและเรียกข้าว่าบิดา!”
“พูดจาเหลวไหล!” ได้ยินเช่นนั้น หวังเป่าเล่อหยุดเดินและหันมาถลึงตาใส่ ชายผู้โอหัง เขาแค่นเสียงทางจมูกอย่างรำคาญใจและเดินกลับถ้ำที่พัก
เมื่อเห็นท่าทีไม่แยแสใดๆ ของหวังเป่าเล่อ ความโกรธในตัวลู่จื่อหาวก็พลุ่งพล่าน พลังปราณในกายปะทุออกมาพร้อมกับเสียงร้องคำรามกึกก้อง
“วันนี้ ข้า ลู่จื่อหาว มาเพื่อเปิดโปงตัวตนของเจ้า!” พลังปราณของเขาแผ่กระจายออกไปทั่ว แม้ว่าลู่จื่อหาวจะอยู่ในขั้นผนึกกายา แต่เขาก็คอยฝึกตนอยู่ตลอดจนใกล้จะเทียบเคียงขั้นบำรุงชีพจร เขาร้องคำรามพร้อมกับพุ่งตัวไปหาหวังเป่าเล่อ จากนั้นก็ ยกมือขวาขึ้นต่อย
“ยังไม่หยุดอีกใช่ไหม” หวังเป่าเล่อเริ่มเดือดดาลเช่นกัน เขาเลือกเลี่ยงเดิน กลับถ้ำที่พักซึ่งเป็นสิ่งที่หัวหน้าศิษย์พึงกระทำ แต่เจ้าหนุ่มเลือดร้อนตรงหน้ากลับ ดื้อดึงอุกอาจเข้าจู่โจมเขาก่อน
หวังเป่าเล่อทนไม่ได้อีกต่อไป หันกลับมายกมือขวาขึ้นอย่างรวดเร็วจนคู่ต่อสู้ไม่สามารถมองได้ทัน ชายหนุ่มจับเข้าที่ข้อมือของลู่จื่อหาวและหักลง ความเจ็บปวดแล่นเข้าสู่กระดูกข้อต่อส่งผลให้ชายสุดโอหังร้องลั่นออกมาก
“คุกเข่าลงไปแล้วเรียกข้า ‘บิดา’!” หวังเป่าเล่อมองตาแข็ง
ลู่จื่อหาวคุกเข่าลงกับพื้น แต่ไม่ได้เรียก ‘บิดา’ เขากลับมองไปที่ฟ้าและหัวเราะอย่างบ้าคลั่งแม้ว่าข้อมือจะยังถูกจับบิดอยู่
“ติดกับข้าแล้ว เจ้ากระต่ายคลั่งจอมหักนิ้ว!
“ข้าติดเครื่องบันทึกไว้สามเครื่องรอบๆ บริเวณนี้ ฮ่าๆ หวังเป่าเล่อ เจ้ากระต่ายคลั่งจอมหักนิ้วชอบเตะผ่าหมาก ทีนี้ตัวตนของเจ้าก็ถูกเปิดโปงแล้ว ทุกคนใน สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์สามารถชมภาพเหตุการณ์ตอนนี้ได้ทางเครือข่ายวิญญาณ เจ้าจงรอให้โจวลู่มาตามหาตัวเจ้า จงรอให้ผู้คนทั่วนครศักดิ์สิทธิ์ที่เจ้าเคยทำร้ายมา ไล่ล่าเจ้าเถอะ!”
แม้ว่าข้อมือจะโดนหวังเป่าเล่อหัก แต่ลู่จื่อหาวก็ยังหัวเราะด้วยความตื่นเต้นจนดังก้องไปทั่ว
“ทีนี้ก็ปล่อยมือข้าได้แล้ว เจ้ากระต่ายคลั่งจอมหักนิ้ว จากนั้นก็คุกเข่าลงแล้วเรียกข้า ‘บิดา’!” ลู่จื่อหาวยิ้มยียวนอย่างพออกพอใจ เขาคิดภาพในหัวว่าหวังเป่าเล่อคงจะสติแตกจนทำอะไรไม่ถูกแล้ว
แต่เมื่อหันมอง เขากลับพบว่าหวังเป่าเล่อไม่ได้แตกตื่นใจใดๆ อย่างที่เขาคิด นอกจากนั้นยังยิ้มกว้างให้อีก ภาพตรงหน้าทำให้เขานิ่งอึ้ง ชายหนุ่มเริ่มตระหนักว่า มีอะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากล
“เจ้า…”
ทันทีที่ลู่จื่อหาวรู้ตัว ศิษย์ฝ่ายสำนักในชุดคลุมสีดำก็ปรากฏตัวจากรอบๆ ถ้ำที่พัก ทั้งสิบคนเป็นศิษย์สำนักของโถงอักขราจารึกและโถงศิลาวิญญาณ พวกเขาพุ่งมาหาทันทีด้วยสีหน้าน่ายำเกรง
หลิวเต้าปินก็อยู่ในหมู่ชายชุดดำ เขาถือเครื่องบันทึกทั้งสามเครื่องไว้ในมือ ลู่จื่อหาวเห็นดังนั้นก็หน้าถอดสี
“รายงานสถานการณ์ เป็นดังเช่นที่ท่านคาดการณ์ไว้ ลู่จื่อหาวได้ติดเครื่องบันทึกไว้ระหว่างขึ้นเขามา พวกเราได้ตัดสัญญาณเครือข่ายวิญญาณบริเวณนี้ไว้ก่อนแล้ว ดังนั้นโปรดมั่นใจว่าจะไม่มีข้อมูลใดๆ หลุดออกไปแน่!”
ลู่จื่อหาวตกตะลึงเมื่อได้ยินที่หลิวต้าวปินพูด ดวงตาเบิกโต ภาพเบื้องหน้า เริ่มหม่นมัว
หวังเป่าเล่อเชิดหน้าขึ้นพร้อมกับออกคำสั่งด้วยท่าทีเย้ยหยัน “เรียกข้า ‘บิดา’”
หลิวต้าวปินหายใจถี่พร้อมกับตะคอกออกไป “ทำตามคำสั่ง!”
ความคับข้องและหม่นหมองใจเพิ่มขึ้นจนถึงขีดสุด ลู่จื่อหาวตั้งใจที่จะเพิกเฉยไม่สนใจ แต่หลิวต้าวปินก็ยิ้มเยาะขึ้น
“ท่านหัวหน้าศิษย์ เจ้าผู้นี้ตั้งใจจะขโมยความลับของสาขาวิชาอาวุธเวท ข้าขอแนะนำให้คุมตัวเขาไปให้ทางสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ไต่สวนพร้อมทั้งแจ้งเรื่องไปทางสาขาการยุทธ์!”
ได้ยินหลิวต้าวปินพูดจบ ลู่จื่อหาวหายใจลึกกลั้นฉี่ที่จะราดออกมาด้วยความกลัว การขโมยความลับนั้นจะได้รับบทลงโทษร้ายแรง เขากลัวจนรีบอธิบายอย่างเร็วไว
“ข้าไม่ใช่หัวขโมย ข้าเพียงแค่ติดเครื่องบันทึกไว้บริเวณถ้ำที่พักของหวังเป่าเล่อเพื่อที่จะเก็บหลักฐานเท่านั้น!”
“หุบปาก! เจ้าลืมตำแหน่งหัวหน้าศิษย์ไปแล้วหรือ การติดเครื่องบันทึกไว้ รอบบริเวณถ้ำที่พักหัวหน้าศิษย์นั้นถือเป็นการพยายามขโมยข้อมูลของสาขา อาวุธเวท!” หลิวต้าวปินกล่าวพร้อมกับจ้องมองอย่างเย็นชา
เหล่าศิษย์ฝ่ายวินัยคนอื่นๆ ก็จ้องมองอย่างเกลียดชัง พวกเขาส่งสายตาไป ทางหลิวต้าวปินราวกับจะบอกว่าให้เอาผิดร้ายแรงกับหัวขโมยผู้นี้
ลู่จื่อหาวในตอนนี้กลัวขึ้นมาจับจิต ตอนแรก เขาตั้งใจจะมาอัดภาพหวังเป่าเล่อทำร้ายเขา จากนั้นก็ใช้เป็นหลักฐานในการทำลายชื่อเสียงของชายหนุ่ม พร้อมกับใช้โพนทะนาไปทั่ว เขาตั้งใจจะทำลายหวังเป่าเล่อให้ถึงที่สุด โดยจะส่งหลักฐานที่ได้ไปให้โจวลู่เพื่อที่จะให้นางมาตามรังควานหวังเป่าเล่อจนทำให้หัวหน้าศิษย์ผู้โอหังต้อง อับอาย แต่เขาก็ลืมตำแหน่งและอำนาจที่หวังเป่าเล่อมีในสาขาอาวุธเวทแห่งนี้
ลู่จื่อหาวคาดคิดไม่ถึงว่าสถานการณ์จะกลับตาลปัตรได้ถึงเพียงนี้ เขารีบเปลี่ยนท่าทีด้วยความหวาดกลัว และร้องโอดครวญ “บิดาข้า บิดาข้า ข้าผิดไปแล้ว บิดาข้า ข้าผิดไปแล้ว…”
“ดีมาก พวกเราเลิกขู่เจ้าเด็กน้อยให้มันกลัวได้แล้ว” หวังเป่าเล่อยกมือขึ้นห้าม
ลู่จื่อหาวเดือดดาลอยู่ภายในเมื่อได้ยินหวังเป่าเล่อเรียกตนเองว่าเด็กน้อย แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากยอมทนต่อไป
“หาวน้อย ความผิดนี้ข้าอภัยให้เจ้าได้ ทีหลังก็อย่าซุกซนเช่นนี้อีก” หวังเป่าเล่อยกมือขึ้นลูบหัวลู่จื่อหาวอย่างเอ็นดู เขารู้ตั้งแต่ทีแรกที่ได้เจอลู่จื่อหาวว่าชายผู้นี้เป็นคนเจ้าเล่ห์เพทุบาย ดังนั้นเขาจึงส่งข้อความหาหลิวต้าวปินก่อนออกจากถ้ำที่พักเพื่อให้เฝ้าดูสถานการณ์ไว้เผื่อ
หวังเป่าเล่อติเตือนลู่จื่อหาวราวกับเป็นพ่อแม่อีกเล็กน้อยก่อนจะกลับเข้าถ้ำที่พัก เขายิ้มอย่างมีความสุข พออกพอใจที่เขาตระเตรียมแผนการได้ดีกว่า
หวังเป่าเล่อไม่ได้แยแสที่ลู่จื่อหาวเปิดโปงตัวตนของเขา ถึงแม้จะเป็นการดีกว่า ถ้าความลับยังเก็บเงียบเช่นนี้อยู่ แต่ถ้าเปิดเผยออกไปแล้วก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร สำหรับลู่จื่อหาวและคนอื่นๆ แล้ว ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะขึ้นเป็นหัวหน้าศิษย์สองโถงแห่งสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ได้
ลู่จื่อหาวถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อรู้ว่าหวังเป่าเล่อยอมปล่อยตัวเขาไป ศิษย์ฝ่ายสำนักคนอื่นๆ มองเขาด้วยสายตาเย็นชาก่อนที่จะกลับออกไปเช่นกัน
มีเพียงหลิวต้าวปินที่ยังยืนอยู่ข้างๆ ลู่จื่อหาว ชายหนุ่มพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “จำไว้เป็นบทเรียน ครั้งนี้ท่านหัวหน้าศิษย์ปล่อยเจ้าไปเพราะความเมตตาของท่าน สำนึกบุญคุณของท่านเสีย แล้วอย่าได้สร้างปัญหาขึ้นอีก!”
ชายหนุ่มโบกเครื่องบันทึกในมือ หลิวต้าวปินไม่ได้เอาคืนให้ลู่จื่อหาวแต่เก็บเอาไว้เผื่อใช้เป็นหลักฐานในอนาคต
แม้ทุกคนจะจากไปกันหมด ลู่จื่อหาวยังคงนิ่งเงียบอยู่นาน เขาหันไปมองถ้ำที่พัก พลันรู้สึกได้ถึงช่องว่างระหว่างเขาและหวังเป่าเล่อ
ข้าจะต้องล้มมันให้ได้!
เขากัดฟันกรอดที่ไม่สามารถเปิดโปงตัวตนของหวังเป่าเล่อได้ จากนั้นก็กลับ สาขาการยุทธ์และเริ่มเก็บตัวฝึกตน
สำหรับหวังเป่าเล่อแล้ว เรื่องในวันนี้ถือเป็นปัญหาเล็กน้อยเพียงเท่านั้น เมื่อกลับถึงถ้ำที่พัก เขาก็หมกมุ่นกับการฝึกฝนวิชาแก่นวิญญาณอีกครั้ง ผ่านไปหนึ่งอาทิตย์ ความเร็วในการหลอมแก่นวิญญาณของเขาพุ่งขึ้นพรวดพราด
หลังจากเข้าศึกษาที่สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาได้ใช้ศิลาวิญญาณไปมากโข แต่เขาก็ยังมีเหลือเก็บสำรองไว้อีกมากมาย ทุกก้อนล้วนเป็นของคุณภาพสูงทั้งนั้น
ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องกังวลเรื่องศิลาวิญญาณและเริ่มฝึกฝนให้คุ้นชินกับการหลอมแก่นวิญญาณ การสลักอักขระลงศิลาวิญญาณนั้นช่วยให้เขาเชี่ยวชาญวิชา แก่นวิญญาณมากขึ้น
ในขณะเดียวกัน เขาก็ได้ศึกษาวิชาวัสดุศึกษาจากแผ่นหยกที่ผู้ฝึกตนจาก ตำหนักอาวุธเวทมอบให้เพื่อช่วยในการหลอมแก่นวิญญาณ ชายหนุ่มเริ่มเข้าใจภาพรวมจากตัวอย่างพื้นฐานต่างๆ ซึ่งเมื่อนำความรู้มาเชื่อมโยงกันแล้ว หวังเป่าเล่อ ก็เข้าใจวิชาแก่นวิญญาณได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น