บทที่ 52 ลดไม่ได้…
จุดสำคัญของวิชาแก่นวิญญาณคือการทำตามขั้นตอนต่างๆ เพื่อจับคู่ ศิลาวิญญาณกับตัวอักขระหลากหลายรูปแบบ โดยกระตุ้นพลังที่เก็บกักไว้ใน ศิลาวิญญาณเพื่อหลอมให้เกิดเป็นแก่นวิญญาณวัตถุเวท
อาจกล่าวได้ว่าแก่นวิญญาณเหล่านี้มีคุณสมบัติเทียบเคียงกับวัตถุเวท หากเพิ่มวัสดุเหล็กกล้าเข้าไปในขั้นตอนการหลอมก็จะได้แก่นวิญญาณที่มีคุณสมบัติเหมือนวัตถุเวท
แม้จะไม่ได้เพิ่มวัสดุเหล็กกล้าเข้าไป แค่เพียงแก่นวิญญาณอย่างเดียวก็สามารถใช้ปลดปล่อยพลังได้แล้ว แต่พลังที่ได้นั้นจะไม่มีอิทธิฤทธิ์รุนแรงมากเพราะขาดการเสริมพลังจากวัสดุหลอม อีกทั้งยังมีความทนทานน้อยกว่าวัตถุเวทแท้ที่ใช้วัสดุโลหะหลอม
ในขณะที่หวังเป่าเล่อสลักอักขระและหลอมแก่นวิญญาณอยู่นั้น เขาก็เริ่มเข้าใจวิชาอักขราจารึกอย่างลุ่มลึกมากขึ้นกว่าเดิม หลายครั้งก็มีความคิดประหลาดๆ ผุดขึ้นในหัว ชายหนุ่มก็จะทดลองสลักอักขระตามความคิดในหัวของเขา แม้ว่าส่วนใหญ่ผลลัพธ์จะออกมาล้มเหลว แต่การได้ลองทำตามความคิดตัวเองก็สร้างความสนุกให้หวังเป่าเล่ออยู่ไม่น้อย
เวลาผ่านไปอีกหนึ่งอาทิตย์ หวังเป่าเล่อใช้ศิลาวิญญาณที่มีไปจนเกือบหมด เขาพัฒนาความรู้ความสามารถด้านแก่นวิญญาณไปได้มากเลยทีเดียว
แต่ชายหนุ่มเข้าใจดีว่าความสามารถเพียงเท่านี้ยังไม่เพียงพอต่อการช่วงชิงตำแหน่งหัวหน้าศิษย์ วันเวลาผ่านไปกับการฝึกฝนวิชาแก่นวิญญาณให้เชี่ยวชาญ แต่เขาก็ยังหาเวลามาหลอมศิลาวิญญาณเพิ่มอีกด้วย
ร่างกายเริ่มกักเก็บไขมันวิญญาณจากการหลอมศิลาวิญญาณ หวังเป่าเล่อพิจารณาร่างกายตนเองอยู่เรื่อยๆ จากประสบการณ์ครั้งก่อนๆ ชายหนุ่มคิดว่า แค่เพียงเขาไม่หมกตัวอยู่ถ้ำทั้งวันเหมือนครั้งที่แล้ว ก็ไม่น่าเป็นอะไร
ไขมันวิญญาณเป็นสิ่งที่ดี เมื่อดูดซึมเข้าร่างไปหมด ข้าก็จะบรรลุระดับการฝึกตนขั้นใหม่ ใครจะไปรู้ ครั้งนี้ข้าอาจจะเลื่อนจากขั้นผนึกกายาไปเป็นขั้นบำรุงชีพจรก็ได้!
หวังเป่าเล่อสบายใจขึ้นเมื่อคิดได้ดังนั้น เขามองไขมันวิญญาณเป็นเรื่องดีต่างจากครั้งก่อน อีกทั้งยังคาดหวังให้ร่างกายกักเก็บเพิ่มขึ้นอีก
แต่สิ่งที่เขาคาดหวังไว้จริงๆ คือ ตำแหน่งหัวหน้าศิษย์โถงแก่นวิญญาณ เพื่อที่เขาจะได้เป็นสุดยอดหัวหน้าศิษย์ของสาขาอาวุธเวทประจำสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ แห่งนี้ ตำแหน่งสุดไร้เทียมทานที่ไม่เคยมีใครได้ครอบครองมาก่อน
ถ้าทำสำเร็จ ดูซิ จะมีใครกล้ามารังแกข้าอีกไหม!
พอจินตนาการภาพตนเองได้ตำแหน่งหัวหน้าศิษย์โถงแก่นวิญญาณ จากนั้นก็กลายเป็นผู้กุมอำนาจเพียงหนึ่งเดียวของฝ่ายวินัยสาขาวิชาอาวุธเวทแล้ว เขาก็หัวเราะเสียงดังด้วยความตื่นเต้น
แต่สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ยังใช้สาขาอาวุธเวทในการทดสอบระบบใหม่อยู่ ช่างปะไร ถ้าข้าเป็นหัวหน้าศิษย์สามโถง ข้าจะยังจัดประชุมหัวหน้าศิษย์ก็ได้ แต่จะมีแค่ข้าคนเดียวในการประชุมนะ หวังเป่าเล่อหัวเราะ รู้สึกภาคภูมิใจในศักดาของตนมากขึ้นไปอีก เขาเริ่มหยิบขนมกินด้วยความเบิกบานใจพร้อมกับหลอมศิลาวิญญาณและฝึกตนให้คุ้นชินกับวิชาแก่นวิญญาณ
น้ำหนักตัวของหวังเป่าเล่อเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ชั้นไขมันวิญญาณในร่างกายเริ่มหนาขึ้น เขาเริ่มสลักอักขระมากมายลงบนศิลาวิญญาณที่หลอมเสร็จ ชายหนุ่มสามารถสร้างแก่นวิญญาณหลากหลายรูปแบบได้จากอักขระศิลาวิญญาณเหล่านี้
เป็นเช่นนี้วนไปอยู่เรื่อยๆ ด้วยความมานะและทักษะการหลอมของหวังเป่าเล่อทำให้เขามีแก่นวิญญาณในครอบครองเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าจะทำพังไปบ้าง แต่พอถึงอาทิตย์ที่สี่ ชายหนุ่มก็มีแก่นวิญญาณเก็บในกำไลคลังเวทเกือบร้อยชิ้น ความแม่นยำในการหลอมก็เพิ่มขึ้น ตอนนี้เขามีอัตราสำเร็จอยู่ที่หนึ่งในสาม
ความเชี่ยวชาญและอัตราสำเร็จระดับนี้นั้นถือว่าเหนือชั้นกว่าศิษย์ทุกคนใน โถงแก่นวิญญาณ แม้แต่หลินเทียนหาวเองก็ไม่สามารถเทียบเคียงได้ อัตราความสำเร็จสูงสุดของหลินเทียนหาวนั้นอยู่ที่หนึ่งในสี่
ในด้านอักขราจารึก หลินเทียนหาวนั้นไม่ได้เก่งกาจเท่าเฉาคุน ด้อยชั้นกว่า หวังเป่าเล่ออยู่มาก หวังเป่าเล่อไม่ได้เก็บตัวฝึกตนอยู่ผู้เดียว หลินเทียนหาวก็ฝึกวิชาอยู่อย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ทักษะวิชาแก่นวิญญาณของเขาเพิ่มมากขึ้นเช่นเดียวกัน ชายหนุ่มถึงกับเข้ารับการทดสอบต่อหน้าผนังฟ้าเพื่อเพิ่มผลสัมฤทธิ์ของตนเอง แต่สำหรับหวังเป่าเล่อแล้ว คงจะสามารถเอาชนะชายหนุ่มไปได้ง่ายๆ
เข้าสู่อาทิตย์ที่ห้า หลิวต้าวปินรายงานหวังเป่าเล่อว่าจางหลันและพรรคพวกได้รับความช่วยเหลือไว้อีกแล้ว ทันทีที่หลิวต้าวปินจะจัดการพวกเขา หลินเทียนหาวก็เข้ามาขัดขวาง ทราบเช่นนั้น หวังเป่าเล่อจึงเร่งมือหลอมศิลาวิญญาณ
สองอาทิตย์ผ่านไป ชายหนุ่มหลอมศิลาวิญญาณได้มากมายมหาศาล ทักษะวิชาแก่นวิญญาณของเขาก็เพิ่มพูนเป็นอย่างมากเช่นเดียวกัน ปลายสัปดาห์ของอาทิตย์ ที่สอง หวังเป่าเล่อก็ได้พัฒนาทักษะการหลอมแก่นวิญญาณไปอีกขั้น ตอนนี้เขามีอัตราความสำเร็จถึงครึ่งต่อครึ่ง!
ข้าจะได้เป็นหัวหน้าศิษย์ผู้ไร้เทียมทานของสาขาอาวุธเวทในไม่ช้า!
เขาลุกยืนด้วยความลำบากขณะที่หัวเราะ หวังเป่าเล่อนั้นตื่นเต้นดีใจกับจินตนาการในหัวจนลืมใส่ใจรูปร่างของตน
ข้าแค่ต้องลดน้ำหนักก่อนเสียหน่อย ไขมันวิญญาณนั้นกำจัดง่ายจะตาย ถ้าข้ากำจัดออกไปได้หมด ข้าอาจจะก้าวข้ามไปขั้นบำรุงชีพจรเลย!
หลังจากผ่านการลดความอ้วนมาหลายครั้ง หวังเป่าเล่อก็คิดว่าการลดน้ำหนักเป็นเรื่องง่าย เขาเริ่มออกวิ่งไปทั่วเกาะพร้อมกับชั้นไขมันที่สั่นไหวด้วยความสบายใจ
ทว่า…หลังจากวิ่งไปสองวัน หวังเป่าเล่อก็เริ่มเป็นกังวล เขาพบว่าน้ำหนักของเขาไม่ลดลงเลย เขาแอบนึกกลัวขึ้นมา แต่หลังจากครุ่นคิดอยู่สักพัก เขาก็ยังคิดว่าการลดน้ำหนักนั้นเป็นเรื่องง่ายอยู่ดี
ไม่เป็นไร ข้ายังมีอีกวิธี!
คิดดังนั้น หวังเป่าเล่อก็มุ่งหน้าไปยังห้องหินละลาย ใช้เวลาสักพัก เขาก็เดินกลับออกมาท่ามกลางสายตาขุ่นเคืองใจจากศิษย์สาขาการยุทธ์ ชายหนุ่มพบว่าร่างกายของเขายังคงใหญ่โตเหมือนเดิม หวังเป่าเล่อเริ่มหายใจไม่ทั่วท้อง เขาเริ่มรู้สึกว่ามีอะไรแปลกๆ เกิดขึ้น
อะไรกัน…แต่ข้ายังมีอาวุธลับสุดยอด!
เด็กหนุ่มกัดฟันกรอดก่อนมุ่งหน้ากลับถ้ำที่พัก เขาส่งข้อความเสียงไปหา เซี่ยไห่หยางในทันที เซี่ยไห่หยางที่ผมเรียบแปล้มาถึงถ้ำที่พักตามนัด เขาตาเบิกโพลงเมื่อเห็นขนาดตัวของหวังเป่าเล่อ
“เข้าใจแล้วว่าทำไมทั่วทั้งสาขาการยุทธ์ถึงได้บ่นอุบ สวรรค์ หวังเป่าเล่อ เจ้าอ้วนขึ้นอีกแล้ว!”
“พี่เซี่ย พี่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการลดน้ำหนัก ช่วยหาทางให้ข้าที จะใช้ โอสถมรณะอีกก็ไม่ขัด ข้าสนแค่เพียงลดน้ำหนักลงได้เท่านั้น!” หวังเป่าเล่อร้องขอ เซี่ยไห่หยางผู้เป็นความหวังสุดท้าย เขารู้สึกไม่มั่นคงเอาเสียเลย
เซี่ยไห่หยางขมวดคิ้วพร้อมกับตอบกลับเสียงเข้ม “สหายร่วมสำนัก ข้าเป็นพ่อค้า ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านการลดน้ำหนัก!”
ไม่ต้องอธิบายอะไรให้มากความ หวังเป่าเล่อก็ยกมือขวาขึ้นตวัด ทันใดนั้น ศิลาวิญญาณรุ้งจากกำไลคลังเวทจำนวนมากมายก็มาตั้งเรียงกองเป็นภูเขาขนาดย่อมอยู่ข้างตัว แสงสีรุ้งส่องเรืองรองไปทั่วทั้งห้อง
เซี่ยไห่หยางจ้องมองภูเขาตรงหน้า จากนั้นก็หายใจลึกและทุบอกเสียงดัง
“สหายร่วมสำนัก เจ้าเรียกหาถูกคนแล้ว เซี่ยไห่หยางผู้นี้นี่แหละคือสุดยอดผู้เชี่ยวชาญด้านการลดน้ำหนักแห่งสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เรื่องลดน้ำหนักนี่ขอให้บอกข้า ไม่ต้องกังวลใจไป เดี๋ยวข้าช่วยให้เจ้าผอมเอง!” เซี่ยไห่หยางหายใจถี่เร็ว เมื่ออ้าปากพูด
ได้ยินเซี่ยไห่หยางให้คำมั่นรับรอง หวังเป่าเล่อก็โล่งใจ พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ เซี่ยไห่หยางออกไปข้างนอกครู่หนึ่ง ก็กลับมาพร้อมกับโอสถมรณะหลายขวด
“ตั้งแต่วันนั้นข้าก็จัดหาโอสถมรณะมาเก็บไว้ เชิญเลย ดื่มจนกว่าเจ้าจะพอใจเลย!” เซี่ยไห่หยางโบกมือส่งโอสถห้าขวดให้หวังเป่าเล่อก็จะกลับออกไป
หวังเป่าเล่อกินโอสถมรณะเกือบสิบเม็ดในทันที ความร้อนในกายพุ่งสูง เขานั่งรอร่างกายเผาผลาญไขมันวิญญาณออกด้วยความร้อนใจ
ไม่รู้ว่าไขมันวิญญาณครั้งนี้ดื้อด้านขึ้น หรือร่างกายของเขาเริ่มคุ้นชิน หวังเป่าเล่อก้มมอง แม้ว่าตัวเขาจะชุ่มไปด้วยเหงื่อ แต่ร่างกายของเขาก็ยังอ้วนท้วนเหมือนเดิม ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ
เขารีบเอาโอสถเข้าปากเพิ่ม แม้ว่าเขาจะกินโอสถทุกขวดจนหมด ร่างกายเขาก็ยังคงขนาดเท่าเดิม หวังเป่าเล่อได้แต่ร้องโอดครวญ
“สวรรค์ ทำไมไม่ได้ผลกัน!”
หวังเป่าเล่อสงบใจไม่ได้อีกต่อไป ชายหนุ่มหายใจถี่รัว ได้ยินเสียงบรรพบุรุษจ้ำม่ำย่ำเท้าอยู่ในหัว
“เซี่ยไห่หยาง โอสถมรณะของเจ้าเป็นของปลอม!” หวังเป่าเล่อส่งข้อความเสียงหาเซี่ยไห่หยางอีกครั้งด้วยความตื่นตระหนก
พอเซี่ยไห่หยางได้รับข้อความ เขาก็รีบรุดไปยังถ้ำที่พักของหวังเป่าเล่อในทันที พอเขาเห็นขวดโอสถว่างเปล่ากับรูปกายของหวังเป่าเล่อที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง พ่อค้าหนุ่มก็นิ่งอึ้งไป
“ใช้ไม่ได้ผลเลยหรือ”
“ใช้ไม่ได้ผลน่ะสิ!” หวังเป่าเล่อร้องลั่น ตามองไปยังเซี่ยไห่หยาง
ถ้าเป็นลูกค้าคนอื่น เซี่ยไห่หยางคงจะแอบนึกสงสัย แต่เขาเชื่อใจหวังเป่าเล่อ พ่อค้าหนุ่มเกาหัว พยายามนึกหาวิธีในหัว ก่อนที่จะกัดฟันกรอด
“สหายร่วมสำนัก ให้เวลาข้าสามวัน ข้าจะคิดหาวิธีแก้ อย่ากังวลไป ไม่มีอะไรที่ข้าทำไม่ได้ ข้าจะแก้ไขปัญหาสุดท้าทายนี้ให้ดู!”