บทที่ 58 สมาชิกครอบครัวทั้งสามคน
หวังเป่าเล่ออยากถามผู้เป็นบิดาถึงเรื่องหน้ากากตลอดทาง แต่ต้องข่มใจ เพราะรู้ดีว่าไม่ควรคุยเรื่องจริงจังอย่างนี้ข้างนอก จึงตัดสินใจจะถามตอนร่ำสุราด้วยกันคืนนี้
ไม่นานนัก ทั้งคู่ได้มาถึงบ้านซึ่งชายหนุ่มเติบโตมากับที่นี่ ความรู้สึกอันคุ้นเคยทำให้ผู้ที่ห่างหายจากเมืองปักษาเพลิงไปเมื่อปีก่อนนั้น รู้สึกอ่อนไหวซาบซึ้ง
ด้วยอาชีพของท่านพ่อผู้ทำงานด้านโบราณคดี บ้านหลังนี้จึงเป็นทรัพย์สินอิสระ และถูกจัดว่าหรูมีระดับหลังหนึ่งในเมืองปักษาเพลิง แม้ราคาจะไม่อาจเทียบห้องพักธรรมดาในนครศักดิ์สิทธิ์ได้เลยก็ตาม
เมื่อถึงบ้าน หวังเป่าเล่อได้กลิ่นอาหาร ดวงตาทอประกาย รีบถอดรองเท้าแล้ววิ่งแจ้นเข้าบ้าน ก่อนพบกับท่านแม่ที่เดินมาหาเขาพร้อมจานเนื้อตุ๋นพอดี
“ท่านแม่ ข้ากลับมาแล้ว!” ชายหนุ่มเสียงสดใสขณะกอดหญิงตรงหน้าแน่น
“ดูทำเข้า ช้าลงก่อน!” แม่ของเขาอายุประมาณสี่สิบปี แม้มีรอยตีนกาบนใบหน้า แต่พอรู้ได้ว่าสมัยเป็นสาวนั้น นางต้องเป็นหญิงงามคนหนึ่งเลยทีเดียว แววตาแสดงออกถึงความรักของผู้เป็นแม่ ขณะวางจานที่ถือในมือลง และพาลูกชายไปยัง โต๊ะอาหาร เพื่อพูดคุยอย่างใส่ใจ
“เป่าเล่อ เจ้าผอมลงนะ! มานี่เลยนะ กินให้เยอะขึ้นหน่อย” นางกล่าวพร้อม ตักหมูตุ๋นน้ำแดงจานใหญ่ให้
ผู้เป็นพ่อซึ่งกำลังถอดรองเท้าอยู่เห็นเข้า จึงจับริมฝีปากพลางส่ายหัว เหตุผลที่หวังเป่าเล่อไม่อาจลดน้ำหนักได้สำเร็จเกิดจากภรรยาของตน ผู้เลี้ยงดูฟูมฟักลูกคนนี้อย่างดีนั่นเอง
สมาชิกทั้งสามคนรวมตัวกันบนโต๊ะอาหารอย่างรวดเร็ว หลังจากไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบของหวังเป่าเล่อในช่วงปีที่ผ่านมา ผู้เป็นพ่อหยิบโถสุราออกมา แล้วสองพ่อลูกจึงเริ่มดื่มด้วยกัน
“เป่าเล่อ ไม่ต้องกินเยอะหรอก จงดื่มให้เยอะสิ!”
“ตาแก่หวัง ลูกชายคนนี้ขอดื่มอวยพรให้ท่าน ในอนาคตข้าจะดูแลครอบครัวของเรา ได้โปรดจงมั่นใจเถิด ท่านพ่อเองก็เกษียณตัวได้ ไม่ต้องขุดดินขุดทรายไปทั่วอีกแล้ว มันอันตราย”
ผู้เป็นพ่อตำหนิอย่างติดตลกกับสิ่งที่อีกฝ่ายได้กล่าว จนถึงตอนนี้ชายหนุ่มยังคงสับสนระหว่างนักโบราณคดีและนักปล้นหลุมศพ แต่กระนั้น คำพูดเหล่านี้ก็อบอุ่นหัวใจของผู้เป็นพ่อยิ่ง เขาจิบสุราอย่างสุขใจ
ผู้เป็นแม่นั่งมองความสัมพันธ์ของสองพ่อลูกด้วยแววตาอ่อนโยนด้วยรัก ทั้งคู่เปรียบเหมือนโลกทั้งใบของนาง
“ท่านแม่ ตอนนี้ข้าเก่งมากเลยนะขอรับ! ได้เป็นถึงหัวหน้าศิษย์เพียงหนึ่งเดียวของสาขาอาวุธเวทประจำสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย!” หวังเป่าเล่อพูดอู้อี้เนื่องจากปากเต็มไปด้วยเนื้อชิ้นใหญ่
“เป่าเล่อของเรานี่ฉลาดและหน้าตาดีมาแต่เด็ก ไม่แปลกใจเลยที่ได้เป็นหัวหน้าศิษย์” แม่ยิ้มอ่อนหวานขณะใช้ตะเกียบหยิบเนื้อตุ๋นอีกชิ้นใส่ในชามของลูกชายคนเก่ง ก่อนถามอย่างสงสัย “เป่าเล่อ ว่าแต่ ‘หัวหน้าศิษย์’ คืออะไรหรือ”
ชายหนุ่มอธิบายเกี่ยวกับตำแหน่งนี้ให้ท่านแม่ฟังอย่างใจเย็น หลังจากรับรู้บทบาทและความหมายของมันแล้ว ทั้งพ่อและแม่ต่างตกตะลึงและไม่น่าเชื่อ
“มิน่าล่ะ ข้ายังสงสัยอยู่ว่าเหตุใดช่วงหนึ่ง เจ้าเมืองจึงพาคนมาเยี่ยมเยือนเรามากมาย…คงเพราะเป่าเล่อมีความสามารถเช่นนี้นี่เอง!” ผู้เป็นแม่กล่าวอย่างร่าเริง และอธิบายเพิ่มว่าเจ้าเมืองและรองเจ้าเมืองปักษาเพลิงได้แวะเวียนมาหาอยู่บ่อยครั้งในช่วงสองสามเดือนก่อน และไถ่ถามถึงความเป็นอยู่ รวมถึงมอบของขวัญมากมายให้อีกด้วย
“รองเจ้าเมืองหรือ ตอนนี้ลูกชายของเขาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของข้าเอง” หวังเป่าเล่อเอ่ย ก่อนยกมือขวาที่มีกำไลอยู่ตรงข้อมือขึ้นอย่างปิติ
“เลิกพูดเรื่องนี้เถิดขอรับ ดูนี่ดีกว่า! สิ่งนี้คือ กำไลคลังเวท เป็นรางวัลจากผู้อาวุโสมหาปราชญ์ชั้นสูงมอบให้ เพราะข้าตอบคำถามถูกต้อง” ชายหนุ่มอวดพลาง ส่ายข้อมือเบาๆ เพื่อเรียกเอาบรรดาขวดน้ำเย็นหล่อวิญญาณและโอสถมากมาย รวมถึงวัตถุเวทต่างๆ ออกมาให้ครอบครัวของเขา
“นี่เป็นน้ำเย็นหล่อวิญญาณที่หลอมโดยสำนักศึกษาเต่าศักดิ์สิทธิ์ ลองดื่มดูขอรับ! มันสดชื่นมาก
“โอสถเหล่านี้จะช่วยให้ร่างกายพวกท่านแข็งแรงและรักษาโรคต่างๆ ข้าซื้อมาจากสาขาหลอมโอสถของสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์
“สุขภาพของท่านแม่ไม่ค่อยดีนัก ควรกินโอสถพวกนี้เยอะๆ ส่วนท่านพ่อเอง มักจะออกไปสำรวจทางโบราณคดี จงนำโอสถติดตัวไปด้วยนะขอรับ คราวหน้าข้าจะซื้อโอสถคุณภาพดีกว่านี้ให้ท่านทั้งสองอีก”
“ส่วนวัตถุเวทต่างๆ นั้น” ชายหนุ่มพูดก่อนยื่นให้ “ข้าหลอมขึ้นมาเอง นี่สำหรับท่านพ่อ ส่วนนี่ของท่านแม่ โปรดเก็บติดตัวพวกท่านด้วย”
บุพการีทั้งสองรู้สึกยินดีอย่างยิ่งเมื่อเห็นว่าลูกชายประสบความสำเร็จและ เป็นเลิศทางวิชาการเพียงใดในช่วงหนึ่งปีการศึกษานั้น บรรยากาศโดยรอบของสมาชิกครอบครัวทั้งสามนี้อบอวลไปด้วยความรัก
พวกเขาทานข้าวเย็นด้วยกันอย่างเนิ่นนาน ระหว่างนั้นชายหนุ่มได้เล่าประสบการณ์หนึ่งปีให้บุพการีฟังอย่างละเอียด ยกเว้นช่วงเวลาที่ตัวเองต้องเผชิญหน้ากับความกลัว เพราะไม่อยากให้พวกท่านเป็นกังกล จนสุดท้าย ชายหนุ่มได้แบ่งปันเสียงหัวเราะกับมารดาวัยสี่สิบ ขณะช่วยกันทำความสะอาดหลังทานเสร็จ
“ไม่ต้องไปทะเลาะกับตู้หมินตลอดเวลาหรอก แม่ว่านางดูเป็นเด็กสาวนิสัยน่ารักนะ ส่วนแม่นางโจวเสี่ยวหยาที่เจ้าพูดถึงนั้น…คราวหน้าชวนนางมาเที่ยวบ้านเราสิ” ผู้เป็นแม่เอ่ย
“ได้เลย ข้าจะพาคนหน้าใหม่มาให้ท่านพบเจอทุกปีเลยล่ะ” หวังเป่าเล่อกล่าวอย่างยินดี เขาเริ่มกรึ่มๆ แม้ดื่มไปเพียงหนึ่งจอกเท่านั้น
“เป่าเล่อ เจ้าช่างร้ายกาจนัก!” มารดาของเขาเหลือบมอง ขณะผู้เป็นพ่อยิ้ม ยกจอกสุราขึ้นด้วยความรู้สึกอัดแน่นเต็มหัวใจ พลางหวนคิดถึงวัยหนุ่มของตน
“ท่านแม่ ข้าเรียนรู้สิ่งเหล่านี้จากท่านพ่อนี่นา” หวังเป่าเล่อไอแห้ง จนผู้ถูกเอ่ยถึงแทบสำลักสุราในปาก ก่อนรีบพูดแก้ตัวแล้วจ้องไปยังลูกชายตัวดี
เจ้าตัวหัวเราะเจื่อน แล้วเติมสุราให้ ขณะกำลังดื่มอยู่นั้น ชายหนุ่มคิดถึงเรื่องหน้ากากนิลขึ้น เขาทราบว่าสิ่งนี้ไม่ใช่ของถูกต้องตามกฎหมาย แต่ไม่อยากให้ครอบครัวไปพัวพันกับอันตรายใดๆ แม้แต่น้อย จึงไม่พูดเรื่องนี้ออกมาตรงๆ หากแต่ค่อยๆ ตะล่อมถามข้อมูลของมัน
“เจ้าหมายถึงหน้ากากที่ขโมยไปหรือ ห๊ะ เจ้าคนเกเร ข้ายังไม่ได้ทำโทษเจ้าเลย! แต่เอาเถอะ ถ้าชอบก็รักษามันไว้แล้วกัน” ผู้เป็นพ่อกล่าว “หน้ากากนั่น…ขอข้าคิดก่อนนะ เมื่อปีที่แล้ว ข้าและทีมโบราณคดีได้รับมอบหมายให้ไปยังป่าฝนบ่อเมฆ เลยเก็บมันได้จากเศษบางอย่าง ใกล้กับภูเขาน่ะ
“เมื่อกลับบ้านและลองตรวจสอบดู จึงรู้ว่าไม่ใช่เศษปราณวิญญาณ มันเลยไม่ใช่ของมีค่าอะไร กระนั้นข้าก็ซื้อมาไว้เผื่อได้ลองวิจัยหาอายุของมัน แต่เจ้าก็ดันฉกไปก่อนข้าจะได้เริ่ม”
แม้พ่อของเขาจะดื่มหนัก แต่ยังอธิบายถึงที่มาของหน้ากากได้อย่างดี
หวังเป่าเล่อถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับตำแหน่งในการขุดเจอ และตรงบริเวณหน้ากากตกอยู่นั้น มีเศษอื่นๆ ตกอยู่ด้วยหรือไม่ หลังจากได้รับการยืนยันว่ามีเพียงหน้ากากนั่นอันเดียวเท่านั้น ชายหนุ่มจึงพาพ่อของตนขึ้นนอน ก่อนกลับห้องตัวเอง เขานอนมองพระจันทร์อย่างครุ่นคิด
ป่าฝนบ่อเมฆ…หวังเป่าเล่อรู้สึกผูกสัมพันธ์กับป่าฝนนั่นเป็นพิเศษ พลางคิดถึง จุดในการขุดพบตามที่พ่ออธิบาย และคาดคะเนพิกัดซึ่งน่าจะเป็นไปได้ที่สุด ก่อนวางแผนว่าสักวันหนึ่งเมื่อเขาแข็งแกร่งขึ้น จะไปสำรวจพื้นที่นั่นตามลำพัง
เวลาผ่านไปครึ่งเดือนอย่างรวดเร็ว
หวังเป่าเล่อใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่บ้านกับครอบครัว บ้างก็ไปข้างนอกเพื่อช่วย ท่านแม่ซื้อของ หรือติดตามท่านพ่อและทีมโบราณคดีออกไปสำรวจ
ชายหนุ่มพอใจกับชีวิตเช่นนี้ ซึ่งเหมือนกับสมัยก่อนเข้าเรียนในสำนักศึกษา เต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาขอร้องให้บุพการีทั้งสองทานโอสถที่นำมาฝาก จนสุขภาพของทั้งคู่ ดีขึ้น และยังดูอ่อนเยาว์ลง ราวกับโอสถนั้นฟื้นฟูวิญญาณของทั้งสองขึ้น
แม้แต่วัตถุเวทที่หลอมไว้ให้พกติดตัว ก็ช่วยป้องกันอันตรายต่างๆ ได้ บิดาของเขาใช้มันปกป้องตัวเอง หากเจอกับสัตว์ดุร้าย นั่นทำให้ผู้เป็นลูกชายมีความสุขมาก
วันเวลาผ่านไป จนเมื่อบ่ายวันหนึ่ง ขณะนั้นหวังเป่าเล่อกำลังนอนลูบพุงอยู่บนเตียงหลังทานข้าวเที่ยงเสร็จ จู่ๆ ได้มีคนส่งคำเชิญให้ไปร่วมงานเลี้ยงคืนสู่เหย้า
การรวมตัวนี้ไม่ใช่ของสหายสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ แต่เป็นการรวมตัว ของสหายเก่าจากสำนักวิชาชั้นต้น ก่อนเข้าสำนักศึกษานั่นเอง เนื่องจากเป็น ช่วงวันหยุดยาว และทุกคนต่างกลับบ้าน จึงเป็นเวลาที่ดีในการพบปะสังสรรค์กัน
“งานคืนสู่เหย้าหรือ” ชายหนุ่มลุกขึ้นนั่งบนเตียงและมองแหวนสื่อสารด้วยแววตาประกาย เขารีบลุกจากเตียงเพื่อแต่งตัวอย่างตื่นเต้น ก่อนบอกลาท่านแม่ แล้วออกจากบ้านไป
นี่เป็นงานคืนสู่เหย้าครั้งแรก หลังเรียนจบจากสำนักวิชาชั้นต้น โดยสถานที่จัดอยู่ในโรงแรมมีชื่อแห่งหนึ่งของเมืองปักษาเพลิง ที่ฝ่ายจัดงานเลือกสรรไว้
เขาพบกับตู้หมินที่เพิ่งมาถึงเช่นกัน นางแต่งกายด้วยชุดเรียบง่ายแต่ดูดี ไม่ได้สวมเครื่องแบบสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์อย่างเคย หญิงสาวมัดผมหางม้า ดูสดใสสวยงาม แต่ยังคงมีสายตาพิฆาตส่งมาให้เขาไม่เปลี่ยนแปลง
“ทำไมถึงชอบจ้องข้านัก วันนี้ข้ายังไม่ทันได้ยั่วโมโหเจ้าเลยนะ!” หวังเป่าเล่อเอ่ยอย่างไม่พอใจ
ตู้หมินไม่ตอบถึงสาเหตุ แต่ยังคงความไม่พอใจไว้ ขณะเชิดหน้าดั่งพญานกยูงเดินผ่านชายหนุ่มไป
“คนหน้าอกเล็กช่างมีอารมณ์แปรปรวนดีแท้!” เขาเอ่ยเบาๆ แล้วตามนาง เข้าโรงแรมไป ด้านในเป็นโถงกว้างเต็มไปด้วยผู้คน ต่างชวนกันพูดคุยสนุกสนาน มีชายหนุ่มคนหนึ่งสวมชุดทางการดูสง่า กำลังยกมือขึ้นชี้สิ่งมีค่าต่างๆ ของตน และหัวเราะอย่างร่าเริง เมื่อชายผู้นี้สังเกตเห็นผู้มาใหม่ จึงชายตามองผ่านหวังเป่าเล่อไปแบบผ่านๆ แล้วจับจ้องที่ตู้หมิน
“หัวหน้าห้องของเรา มาถึงจนได้!” ชายหนุ่มชุดทางการหัวเราะอย่างมีความสุข เขาส่งสัญญาณให้ทุกคนหลีกทางให้ พอถึงหวังเป่าเล่อ เขาเพียงพยักหน้าเล็กน้อยอย่างไม่ใส่ใจนัก
ชายหนุ่มกะพริบตาถี่ เมื่อสัมผัสได้ถึงการเลือกปฏิบัติของอีกฝ่าย แต่พวกเขาไม่ได้สนิทกันตั้งแต่สมัยเรียนอยู่แล้ว หวังเป่าเล่อจึงนั่งลงอย่างไม่คิดอะไร