บทที่ 589 เกมลึกลับ!
“แน่นอนว่าสิ่งนี้เป็นธุรกิจที่น่าจะทำเงินได้มากที่สุดในอารยธรรมยุคนี้…” เซี่ยไห่หยางกระแอมกระไอหลังจากที่ได้ยินคำถามของหวังเป่าเล่อ เขาหันรีหันขวางมองรอบตัวอยู่ครู่หนึ่ง และเมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่แล้ว เขาจึงพูดด้วยเสียงเบาที่แฝงไว้ด้วยความภูมิใจ
“สิ่งนี้คือ…เกม!”
“เกมงั้นหรือ” หวังเป่าเล่องุนงง ชายหนุ่มไม่เข้าใจสิ่งที่เซี่ยไห่หยางพูด เขากำลังจะอ้าปากถาม แต่เซี่ยไห่หยางยกมือขวาขึ้นปราม ก่อนจะดึงเอาแผ่นหยกออกมาออกมาแผ่นหนึ่ง ก่อนจะกดลงบนแผ่นหยกต่อหน้าหวังเป่าเล่อและทันใดนั้นมันก็ ส่องแสงเรืองขึ้น มีภาษาโบราณเรืองแสงสองคำปรากฏขึ้นมาด้วย
หวังเป่าเล่อไม่เคยเห็นภาษาโบราณมาก่อน แต่เมื่อเขาจ้องมองมัน ก็มีเสียงก้องกังวาลดังออกมาในศีรษะของชายหนุ่ม
“เทพจุติ!”
คำนั้นสร้างคลื่นสะท้อนอยู่ในศีรษะของหวังเป่าเล่อ เซี่ยไห่หยางหัวเราะก่อนจะเริ่มอธิบาย
“เจ้าได้ยินหรือเปล่า เกมนี้สร้างขึ้นโดยใช้กระบวนเวทพิเศษ มันจะก้าวข้ามปัญหาของภาษาและทุกคนก็สามารถจะเข้าใจมันได้อย่างไม่ยากเย็นนัก มันมีชื่อว่า ‘เทพจุติ’ และธุรกิจที่เราจะสร้างก็คือบริหารเกมๆ นี้!
“ข้าจะบอกเจ้าไว้ก่อนนะ…เกมนี้นะยอดเยี่มทีเดียว ข้าได้มันมาหลังจากที่ใช้เงินไปมหาศาลแถมยังต้องใช้เส้นสายมากมาย เกมจะให้ผู้เล่นเข้าไปอยู่ในมิติเสมือนจริงนั้น ภายในนั้นรู้สึกจริงมากทีเดียวเลย!
“เจ้าอยากจะรวยหรือ เริ่มเกมเสีย!
“เจ้าอยากจะมีสตรีห้อมล้อมหรือ เริ่มเกมเสีย!
“เจ้าอยากจะเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ เริ่มเกมเสีย!
“ไม่ว่าจะเพราะเหตุใดก็แล้วแต่ เมื่อเจ้าได้จ่ายเงินเข้าเกม เจ้าก็จะเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด!” เซี่ยไห่หยางยิ่งพูดก็ยิ่งตื่นเต้นขึ้นเรื่อยๆ ในตอนท้ายเขาถึงกับปรบมือและหัวเราะงอหายอย่างชื่นใจ
“เจ้าพวกผู้เล่นหน้าใหม่ในสำนักวังเต๋าไพศาลคงไม่เคยเจอเกมและระดับวิทยาการเช่นนี้มาก่อนเป็นหน้า เพราะฉะนั้น เมื่อพวกเขาเข้าใจมันเมื่อใด พวกเขา ก็จะติดมันงอมแงมและเมื่อถึงเวลานั้น…พวกเขาก็จะเริ่มเสียเงินให้กับมัน จากนั้น พวกเราพี่น้องก็จะรวย!” เซี่ยไห่หยางตื่นเต้นยินดี ขนาดนัยน์ตาทั้งคู่ของเขาฉายแววประกายกล้า
แต่ทว่า หวังเป่าเล่อก็ยังงุนงง เขาจ้องมองไปที่แผ่นหยก แล้วก็หันกลับไปมอง เซี่ยไห่หยาง แต่ก็ยังไม่อาจเทียบเคียงเกมนี้กับยุคกำเนิดวิญญาณได้ เพราะฉะนั้น จึงอดไม่ได้ต้องถาม
“เซี่ยไห่หยาง เกมนี่มัน…ไว้ใจได้หรือ ใครจะมาเล่นกัน หากพวกเขามีเวลา พวกเขาจะไม่เลือกไปปฏิบัติภารกิจหรือฝึกปราณ…”
เมื่อเห็นว่าหวังเป่าเล่อเริ่มลังเลใจ เซี่ยไห่หยางจึงตกใจจนต้องรีบพูด
“ไว้ใจได้แน่นอน ชื่อเล่นของคือ ‘ไว้ใจได้’ เชียวนะ! เกมนี้จะต้องติดตลาดเป็นแน่ มันเป็นสมบัติที่ทำขึ้นมาโดยตระกูลของข้าโดยเฉพาะเพื่อครอบครองสำนักศึกษา เต๋าไม่รู้สิ้นเชียวนะ…เอ่อ…”
เซี่ยไห่หยางหุบปากทันที เหมือนว่าเขาจะได้พูดบางอย่างที่ไม่ควรจะพูดออกไปเสียแล่ว เพราะฉะนั้น เขาจึงรีบตวัดสายตามาจ้องมองหวังเป่าเล่อ เมื่อเห็นว่า ชายหนุ่มเหมือนจะไม่ทันได้รู้เรื่อง เซี่ยไห่หยางจึงพูดต่อไปอย่างระมัดระวังยิ่งขึ้น
“ไม่ว่าจะอย่างไรก็แล้วแต่ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ข้าได้มาอย่างลับๆ หากเจ้าช่วยข้าโฆษณามัน ถ้าจะแบ่งกำไรให้เจ้าร้อยละสิบ!”
หวังเป่าเล่อแม้จะดูนิ่งเฉย แต่ภายในนั้นกำลังตื่นตะลึง ในความเป็นจริงแล้ว สิ่งที่เซี่ยไห่หยางเพิ่งพูดเมื่อครู่นั้นบอกถึงต้นกำเนิดของเขาจนสิ้น ทำให้เขาต้อง คิดหนัก แต่ทว่า หวังเป่าเล่อก็รู้สึกว่าเซี่ยไห่หยางน่าจะตั้งใจพูด อย่างไรเสีย หวังเป่าเล่อ ในฐานะผู้ที่คุ้นเคยกับคำสอนของอัตชีวประวัติเจ้าพนักงานระดับสูง ก็เคยทำอะไรคล้ายๆ กับนี้กับเพื่อนร่วมชั้นมาก่อนเมื่อเขายังเด็ก ชายหนุ่มจะทำเป็นหลุดปากเกี่ยวกับภูมิหลังที่หลอกลวง เพื่อจะได้มาซึ่งสิ่งที่หวังตั้งใจ
สิ่งที่เซี่ยไห่หยางพูดเป็นความจริงหรือไม่กันนะ… หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่นาน หวังเป่าเล่อก็ยังไม่อาจจะตอบได้ เพราะฉะนั้น ชายหนุ่มจึงเงยหน้ามองเซี่ยไห่หยางพร้อมแผ่นหยกในมือ
“ข้าจะตัดสินใจหลังจากที่ได้ลองเล่นแล้ว”
“ได้เลย ข้าจะให้สิทธิพิเศษสุดกับเจ้า เพื่อเจ้าจะได้ทดสอบมันด้วยตนเอง” เซี่ยไห่หยางค่อยสงบใจลงได้ทันที พลางคิดอยู่เงียบๆ ในใจว่าเมื่อใดก็ตามที่ใคร เริ่มเล่นเกม ก็เป็นไปได้ยากที่จะไม่ชอบมัน เพราะฉะนั้น ด้วยความตื้นเต้นยินดี เซี่ยไห่หยางจึงยกมือใช้ผนึกมือกับแผ่นหยกก่อนจะส่งไปให้หวังเป่าเล่อ หลังจากที่บอกวิธีเล่นให้แล้ว เซี่ยไห่หยางก็เอ่ยคำลาและกลับไป
เมื่อเซี่ยไห่หยางจากไปแล้ว หวังเป่าเล่อก็มองแผ่นหยกและโยนไปทางหนึ่ง ชายหนุ่มไม่ได้ตั้งใจจะลองเล่นเกมดูทันที เขาอยากจะฝึกสมาธิและฝึกปราณมากกว่า
หวังเป่าเล่อตอนนี้นั้นเข้าใจกระบวนเวทอัสนีนิรันดร์จำแลงขั้นที่สามได้แทบจะ ทั้งหมดแล้ว ชายหนุ่มประมาณว่าเขาจะสามารถบรรลุขั้นที่สามได้ภายในเวลาไม่เกินครึ่งเดือนเป็นอย่างมาก
แต่ทว่า ความคืบหน้าของวิชาสืบทอดเกราะจักรพรรดิลักอัคคีขั้นที่สองนั้น ยังคงล้าหลังอยู่มาก แม้เช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็รู้ดีว่าไม่ควรจะรีบร้อน ตราบใดที่เขา ฝึกต่อไป เขาจะต้องประสบความสำเร็จไม่ช้าก็เร็ว
เช่นนั้นเอง หลังจากที่ฝึกปราณอยู่หลายวัน หวังเป่าเล่อจึงนึกถึงเกมของ เซี่ยไห่หยางขึ้นมาได้ตอนที่ว่าง จึงหยิบเอาแผ่นหยกออกมาอีกครั้งหนึ่ง และหลังจากที่ครุ่นคิดอยู่นาน ชายหนุ่มก็รู้สึกว่าไม่น่าจะมีอันตรายร้ายแรงอะไร แต่ทว่า เขาก็ยังอยากจะระแวดระวังตัวจึงได้เรียกเจ้าลาออกมา มันดูฉงนสงสัย ขณะที่หวังเป่าเล่อ จับมันที่กีบทั้งสี่ก่อนจะกดตัวมันลงบนแผ่นหยก
“ลูกข้า…” ลาดำงุนงงเป็นที่สุด ก่อนที่มันจะได้กรีดร้องเต็มเสียง เมื่อมันหันกลับ ไปมองหวังเป่าเล่อ ร่างของมันก็สั่นสะท้านก่อนจะหายไป!
ราวกับว่าเจ้าลาถูกดูดเข้าไปในแผ่นหยกนั้น รัศมีของตัวมันก็หายไปอย่าง ไร้ร่องรอย หวังเป่าเล่อแปลกใจเป็นอย่างยิ่ง ก่อนจะยกแผ่นหยกขึ้นดู
หวังเป่าเล่อสัมผัสรัศมีของเจ้าลาไม่ได้เลย แต่ยังสามารถเชื่อมต่อกับมันได้อยู่ลางๆ เพราะว่าแผ่นหยกยังอยู่ใกล้ๆ ชายหนุ่มทอดถอนใจอย่างโล่งอกเมื่อสัมผัสได้ว่าเจ้าลาไม่ได้ตกอยู่ในอันตราย
เกมนี่ช่างประหลาดนัก…เจ้าลาหายไปที่ไหนกันนะ หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่สักพัก หวังเป่าเล่อก็พยายามจะปิดเกมและเรียกลากลับมา แต่ทว่า ในวินาทีนั้นเอง เจ้าลาก็ดูเหมือนว่าจะส่งความรู้สึกตื่นเต้นดีใจกลับมาเพื่อบอกว่าไม่อยากกลับ
หวังเป่าเล่อจ้องมันเขม็งและไม่อยากจะให้เจ้าลาได้ทำตามอำเภอใจ ชายหนุ่ม บิดแผ่นหยก ทำให้เจ้าลามาปรากฏอยู่ตรงหน้าราวกับถูกเคลื่อนย้ายกลับมา เมื่อมันกลับมา หวังเป่าเล่อก็ถึงกับผงะ
แม้ว่าจะไม่ความเปลี่ยนแปลงใดกับร่างกายของมัน แต่แววตาผิดหวังก็เห็นได้ชัดเจน มันยกกีบขึ้นแตะแผ่นหยกด้วยตนเอง ราวกับว่าอยากจะกลับไป
สิ่งนี้กระตุ้นความสงสัยของหวังเป่าเล่อเป็นอย่างมาก ชายหนุ่มผลักลาไปข้างหนึ่ง ไม่สนใจว่ามันจะรู้สึกเศร้าเสียใจเพียงใด หวังเป่าเล่อถือแผ่นหยกไว้ในมือและกดลงไปเพียงชั่วระยะเวลาหนึ่ง ทันใดนั้นเอง ทุกๆ สิ่งก็พร่าเลือนไปต่อหน้าต่อตา ราวกับว่า มีแรงดึงดูดมหาศาลลากเขาเข้าไปในวังน้ำวน ไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดใดๆ และภายในอึดใจเดียวนั้น เมื่อชายหนุ่มลืมตาขึ้น ตรงหน้าเขาก็มีความว่างเปล่าเท่านั้น!
ความว่างเปล่านั้นยิ่งใหญ่และกว้างขวางนัก ตรงหน้าเขามีกลุ่มก้อนแสงสีเทาอยู่หลายก้อน พวกมันดูเหมือนว่าถูกผนึกเอาไว้ มีอันเดียวเท่านั้นที่ส่องแสงเรืองรองกว่าใครเพื่อน
หวังเป่าเล่อจ้องมองทุกสิ่งตรงหน้าอย่างอย่างระแวดระวัง หลังจากที่คิดใคร่ครวญเสร็จ ชายหนุ่มก็จ้องมองไปที่กลุ่มแสงสว่างจ้านั้นเขม็ง ทันทีที่เขา จ้องมองไป กายมายาจำนวนมหาศาลก็ปรากฏออกมาจากกลุ่มแสงนั้น มีทั้งที่เป็นมนุษย์ อสูร กระทั่งพืชพรรณอยู่ในกลุ่มนั้น
ร่างมายาที่มีรูปลักษณ์เป็นมนุษย์นั้นดูคล้ายกับผู้ฝึกตนของสหพันธรัฐ แต่ทว่า มีความแตกต่างอยู่บ้างเช่น ใบหูที่เล็กกว่า จมูกที่ยาวกว่า และยังมีตาที่สามอยู่ ตรงกลางหน้าผาก พวกเขายังเตี้ยกว่าเล็กน้อยอีกด้วย แต่ทว่าแม้จะดูแตกต่างกับ ผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐอยู่บ้าง แต่พวกเขาทุกคนก็หน้าตาหล่อเหลาสะสวยด้วยกันทั้งสิ้น
หวังเป่าเล่อตะลึงไปชั่วขณะ หลังจากที่จ้องมองอย่างละเอียดแล้ว ก็มีข้อความจำนวนมากปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา
“ผู้ฝึกตนวิญญาณขั้นที่หก ผู้ค้นหาภาษาโบราณ จากอารยธรรมวีรบุรุษ…”
“ผู้ฝึกตนวิญญาณขั้นที่สาม โรดา จากอารยธรรมวีรบุรุษ…”
“ผู้ฝึกตนวิญญาณขั้นที่หนึ่ง ผู้ปกป้องพระราชวัง จากอารยธรรมวีรบุรุษ…”
ข้อความที่ปรากฏขึ้นต่อหน้าหวังเป่าเล่อเป็นภาษาโบราณ แต่ชายหนุ่มก็สามารถเข้าใจมันได้อย่างชัดเจนเมื่อเขากวาดตาอ่าน ทำเอาหัวใจของเขาเต้นไม่เป็นส่ำ และยิ่งเขาอ่านมากขึ้นเท่าใด ข้อความก็มากขึ้นตามกัน หวังเป่าเล่อส่งเสียงอุทาน เมื่อเข้าใจว่า ตัวละครจำนวนมหาศาลเหล่านี้…เมื่อเขากวาดตาไปมอง ก็จะเล่าถึง ภูมิหลังความเป็นมาของตนเองให้ฟัง เขาสามารถจะเปลี่ยนตัวละครเมื่อใดก็ได้ ตามต้องการ
สิ่งนี้หรือ…คือ ‘เทพจุติ’ หลังจากที่นิ่งเงียบอยู่ชั่วอึดใจ หวังเป่าเล่อก็หยิบเอาข้อความออกมาและอ่านโดยละเอียด เป็นเรื่องเกี่ยวกับผู้ฝึกตนวิญญาณขั้นที่เก้าคนหนึ่งชื่อ อู่หยา ทันใดนั้น เมื่อภาพตรงหน้าหวังเป่าเล่อฉายชัดขึ้นมา ชายหนุ่มก็มาปรากฏตัวอยู่ที่จัตุรัสสาธารณะที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คน มีผู้ฝึกตนวิญญาณเคลื่อนที่ไปมาอยู่บนท้องฟ้า เขามองเห็นรถหุ้มเกราะแล่นอย่างรวดเร็วผ่านไป สิ่งก่อสร้างที่ รายล้อมอยู่โดยรอบนั้นแตกต่างจากที่พบในสหพันธรัฐโดยสิ้นเชิงและเหมือนจะมีรูปทรงคล้ายเห็ด
ไม่ทันที่หวังเป่าเล่อจะได้ทำความคุ้นเคยกับสิ่งรอบข้าง เสียงที่หวานใสแต่แฝงไว้ด้วยความน่ากลัวก็ดังขึ้นที่ข้างหู
“ผู้ฝึกตนวิญญาณที่ยิ่งใหญ่ โปรดซื้อข้าเถิด ราคาเพียงหนึ่งผลึกวิญญาณเท่านั้น…”