บทที่ 74 เต๋าเบิกตาข้าให้เห็นธรรม!
เมื่อชายหนุ่มเอ่ยปากพูด ความสุขทั้งมวลของหวังเป่าเล่อก็พังครืนลงในพริบตา ประดุจเดินทางรอนแรมในวันอันร้อนระอุแล้วพบว่าน้ำเย็นหล่อวิญญาณที่เจอตกอยู่นั้นถูกแมลงวันขี้ใส่ไปแล้วก็ไม่ปาน
สัญชาตญาณของหวังเป่าเล่ออยากจะส่งสายตาอาฆาตไปให้เจ้าหนุ่มนั่น แต่ในท้ายที่สุดแล้วก็ได้แต่ทอดถอนใจ เขาคิดว่าควรต้องกระทำตนให้สมเป็นสุภาพบุรุษจึงรอคอยอย่างสงบเสงี่ยมพลางเบ้ปากอยู่ในใจ
กระต่ายน้อยเองก็มีสีหน้าอึดอัด อย่างไรก็ดี นางเคยพบกับสถานการณ์เช่นนี้มาก่อนหลายหน นางจึงเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“พวกเราไม่เคยพบกันหรอก และข้าก็ไม่อยากจะรู้จักเจ้าด้วย” นางปฏิเสธอย่างครบองค์และตรงไปตรงมา หลังจากพูดจบนางก็ไม่ใส่ใจชายหนุ่มผอมซูบอีกต่อไป นางหันกลับมากึ่งดึงกึ่งลากหวังเป่าเล่อเพื่อเดินทางต่อ
ด้วยความเป็นห่วงความรู้สึกหวังเป่าเล่อ โจวเสี่ยวหยาเอ่ยขึ้นมาว่า “ศิษย์พี่เป่าเล่อ อย่าเป็นกังวลไปเลยนะเจ้าคะ ข้าไม่รู้จักเจ้าผู้นั้นหรอก”
หวังเป่าเล่อรู้สึกสบายใจขึ้นทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น แต่เขาต้องการจะรักษาท่าทีและรักษามาดสุภาพบุรุษเอาไว้จึงเอ่ยขึ้นมาอย่างยิ้มแย้ม
“ทำไมข้าจะต้องโมโหด้วยเล่า นี่ยิ่งพิสูจน์ว่าเสี่ยวหยาของข้าน่ะงดงามเพียงใด!”
ได้ยินดังนั้น โจวเสี่ยวหยาก็ปลาบปลื้มใจ รอยยิ้มของนางงดงามยิ่งกว่าเคย ในแสงเรืองเรื่อของอาทิตย์อัสดง นางเดินเคียงคู่ไปกับหวังเป่าเล่อ นางแอบหวังให้ถนนนี้ทอดยาวออกไปอีกเพื่อให้ช่วงเวลานี้ดำเนินต่อไปอย่างไร้สิ้นสุด
หวังเป่าเล่อเองก็มีความสุข เขารู้สึกว่าตนยังมีเสน่ห์อยู่และต้องการจะโอ้อวดเมื่อเด็กหนุ่มซูบผอมคนนั้นตามพวกเขามาทันอีกครั้งหนึ่ง
“สหายร่วมสำนัก สหายร่วมสำนัก! ข้ามีของกำนัลจะให้เจ้า เจ้าจะรับไว้ได้หรือไม่” เจ้าหนุ่มหอบหายใจเมื่อเดินมาถึง แสดงให้เห็นว่าระดับวิชาฝึกตนของเขา ไม่สูงนัก อย่างไรก็ดีสายตาของเขาเปล่งประกาย จับจ้องอยู่กับกระต่ายน้อยและ ไม่สนใจหวังเป่าเล่อแม้สักนิด
หวังเป่าเล่อเลือดขึ้นหน้า ความอยากรักษามาดก็มลายหายไปสิ้น ก่อนที่กระต่ายน้อยจะได้โต้ตอบประการใด หวังเป่าเล่อตะคอกเจ้าหนุ่มตัวผอมด้วยเสียงอันดัง
“เอาขยะอะไรมาให้นาง นางไม่อยากได้หรอก! เข้าใจไหม นางไม่รับหรอก!” หวังเป่าเล่อโต้ตอบอย่างโกรธเกรี้ยวและหันมาดึงตัวกระต่ายน้อยไป
ราวกับว่าเจ้าหนุ่มตัวผอมเพิ่งสังเกตเห็นหวังเป่าเล่อในตอนนั้น เขาไม่ได้ใส่ใจว่าหวังเป่าเล่อเป็นใคร แต่เพียงจ้องมองอย่างขุ่นเคืองไปที่หวังเป่าเล่อเท่านั้น
หวังเป่าเล่อเมินสายตาของเจ้าหนุ่มร่างผอม เขาพาตัวกระต่ายน้อยไป นางพลันนึกสงสัยว่าของกำนัลของเจ้าหนุ่มนั่นคือสิ่งใดกัน
“ช่างน่ารำคาญเสียจริง ข้าก็บอกไปแล้วว่าไม่รู้จักๆ เขายังอยากจะให้ของกำนัลแก่ข้าอีก”
“จะเป็นอะไรไปได้อีกเล่า เขาก็จะบอกว่า ตัวเขานั่นล่ะคือของกำนัล ลูกเล่น พวกนั้นน่ะข้าใช้มาตั้งแต่อายุหกขวบแล้ว ข้าใช้ตัวข้าเองเป็น ‘ของกำนัล’ มานับ ครั้งไม่ถ้วนแล้ว เฮ้อ เจ้านั่นน่ะมีแต่ลูกไม้ห่วยๆ เขายังคิดจะมาต่อกรกับข้าอีกยังงั้นหรือ” หวังเป่าเล่อพูดอย่างเย่อหยิ่งขณะจ้องมองโต้ตอบเขม็ง
นัยน์ตาของกระต่ายน้อยเบิกโพลงขึ้น นางตกใจนิดหน่อยเมื่อได้ยินสิ่งที่หวังเป่าเล่อพูด แต่แล้วนางก็กลับสู่โลกแห่งความจริงและสังเกตเห็นว่าหวังเป่าเล่อจับมือนางอยู่ นางหน้าแดง ความปีติเอ่อท้นเข้ามาในหัวใจ ทั้งคู่เดินทางต่อไปภายใต้แสงยามเย็น
แต่ทว่า…อีกไม่นานนัก เจ้าหนุ่มตัวซูบผอมก็โผล่มาอีกคำรบหนึ่งอย่างไม่สะทกสะท้าน คราวนี้เขามีช่อดอกไม้ป่าในมือ เขาย่อเข่าลงหนึ่งข้างต่อหน้ากระต่ายน้อยทันที แววตาของเขามีความจริงใจ เขาเอื้อนเอ่ย
“สหายร่วมสำนัก เชื่อหรือไม่ ข้าตกหลุมรักเจ้าตั้งแต่แรกเห็น เจ้าถูกใจข้าไปเสียทุกอย่าง โปรดรับรักข้าด้วย ข้าพร้อมที่จะจับมือเจ้าและเป็นของเจ้าไปตราบจนชั่วชีวิตข้า!”
ภาพตรงหน้าทำเอากระต่ายน้อยถึงกับนิ่งไป นางเคยถูกชายหนุ่มสารภาพรักมา ก็หลายครั้ง แต่ไม่เคยมีใครที่ตื๊อเท่ากับเจ้าหนุ่มนี่
ขณะนี้ ศิษย์จำนวนมากกำลังเดินผ่านไปผ่านมา พวกเขามองเห็นภาพนี้และหวังเป่าเล่อ พวกเขาจึงหยุดยืนรอดูความโกลาหลที่กำลังจะเกิดขึ้น
หวังเป่าเล่อโกรธจนเสียจริต เขาเดินออกมาผลักเจ้าหนุ่มร่างซูบผอมออกไปทันที
“นี่เจ้าหาเรื่องกันหรืออย่างไร”
ชายหนุ่มโดนแรงผลักกระเด็นถอยหลังไปก้าวหนึ่ง หันมามองหวังเป่าเล่ออย่าง ไม่พอใจและพูดด้วยน้ำเสียงต่ำ
“ข้ามาจากสาขาปรัชญาเต๋า!”
“สาขาปรัชญาเต๋าแล้วยังไงกัน ข้าควบสามตำแหน่งหัวหน้าศิษย์จากสาขาอาวุธเวท!” หวังเป่าเล่อพูดอย่างทะนงตนเมื่อคิดว่าเจ้าหนุ่มผอมแห้งอยากจะวัดตำแหน่งกัน
แม้ว่าชายผู้นั้นจะได้ยินหวังเป่าเล่อเต็มสองหู เขาก็ไม่มีทีท่าว่าจะถอย กลับกันเส้นเลือดสีเขียวปูดโผล่ขึ้นเต็มร่างด้วยความโกรธ เขายังคงตะโกนด้วยเสียงอันดัง “เต๋าเบิกตาข้าให้เห็นธรรม!”
“ช่างหัวเต๋าของเจ้าสิ!” หวังเป่าเล่อเองก็หมดความอดทนแล้วเช่นกัน เขาง้างมือตบชายผู้นั้นเข้าไปหนึ่งทีแบบออมแรง แม้ว่าเขาจะรู้สึกหงุดหงิดอย่างมากแต่เขาก็เพียงส่งร่างผอมเซถอยหลังไปสองสามก้าวเท่านั้น หวังเป่าเล่อหันกลับมาจับตัว กระต่ายน้อยที่กำลังตกตะลึงและพานางเดินออกไป
ชายผู้นั้นตอบโต้ด้วยการจ้องมองหวังเป่าเล่อเขม็ง ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะลั่นแล้วเดินจากไป
ในขณะนั้น ฝูงชนที่มุงดูอยู่ถึงกับผงะเพราะเสียงหัวเราะของเจ้าหนุ่มร่างผอม บางคนถึงอ้าปากค้างด้วยความตกใจ
“สาขาปรัชญาเต๋า! เจ้าหวังเป่าเล่อแย่แน่แล้ว!”
“สวรรค์! ไม่ใช่ง่ายๆ นะที่จะเจอคนของสาขาปรัญชาเต๋า พวกเขาไม่ค่อยจะลงจากภูเขาเห็นธรรมกัน เจ้าห้ามไปยุ่งกับคนของสาขานั้นเชียวนะ! ข้าได้ยินมาว่า ไม่ว่าจะที่ไหนหรือเมื่อไร หากพวกเขาตะโกนว่า ‘เต๋าเบิกตาข้าให้เห็นธรรม’ พวกเจ้าก็ห้ามเข้าไปยุ่มย่ามเลยทีเดียว เพราะถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของชั้นเรียนของพวกเขา!”
“สาขาปรัชญาเต๋าไม่มีการเรียนการสอน บรรดาศิษย์ของสาขาต้องพยายามหาทางบรรลุธรรมให้ได้ด้วยตนเอง พวกเขาจะไปที่ไหนในบริเวณเกาะมหาปราชญ์ ชั้นรองก็ได้ตามที่ใจปรารถนา!”
“กฎข้อบังคับของสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่มีผลกับพวกเขาด้วย แค่พวกเขาพูดว่าพวกเขากำลังพยายามจะบรรลุธรรมก็คลี่คลายปัญหาทุกอย่างได้หมด”
ถ้อยคำที่แสดงความวิตกกังวลของฝูงชนเข้าหูหวังเป่าเล่อและกระต่ายน้อยทั้งหมด สีหน้าของกระต่ายน้อยเปลี่ยนไปในทันใด นางเริ่มวิตกขึ้นมา
“ศิษย์พี่เป่าเล่อ เขามาจากสาขาปรัชญาเต๋า…”
“สาขาปรัชญาเต๋าแล้วอย่างไรกันเล่า!” หวังเป่าเล่อเองก็แปลกใจ ตลอดเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมา เขาใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่คนเดียวและไต่ระดับความสำเร็จขึ้นมาเรื่อยๆ แม้เขาจะรู้ดีว่า กระทั่งผู้นำสหพันธรัฐคนก่อนก็จบการศึกษาจากสาขาปรัชญาเต๋า ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจนักว่าทำไมศิษย์จากสาขาปรัชญาเต๋าต้องพยายามจะบรรลุธรรมกันทุกวันด้วย บางครั้งเขารู้สึกอิจฉานิดหน่อย แต่เขาไม่เข้าใจสถานการณ์ภาพรวม แม้แต่น้อย
ขณะนี้ เมื่อเขาได้ยินข้อมูลจากฝูงชน จึงได้แต่บ่นพึมพำอยู่ในลำคอและไม่ใคร่ จะใส่ใจนัก กระต่ายยังคงรู้สึกกังวลตลอดเส้นทางที่เหลือ ที่หวังเป่าเล่อเดินกลับไปส่งยังสาขาหลอมโอสถ แม้กระนั้น นางยังรู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้างเมื่อเห็นว่าหวังเป่าเล่อดูไม่เดือดเนื้อร้อนใจแต่อย่างใด
หลังจากส่งนางขึ้นเขาเรียบร้อย หวังเป่าเล่อก็หันหลังเดินกลับไปยังสาขาอาวุธเวท ระหว่างทางเขานึกถึงเจ้าหนุ่มร่างผอมจึงเปิดแหวนสื่อสารและส่งข้อความถึง หลิวต้าวปินเพื่อขอข้อมูลเกี่ยวกับสาขาปรัชญาเต๋า
หลิวต้าวปินส่งข้อมูลให้หวังเป่าเล่ออย่างรวดเร็ว หลังจากที่อ่านจบเขาถึงกับหยุดเดิน
นี่หรือคือ สาขาปรัชญาเต๋า
ตามข้อมูลที่หลิวต้าวปินส่งมาให้ สาขาปรัชญาเต๋าเป็นสาขาที่อ่อนแอที่สุดในบรรดาสาขาวิชาที่มีในเกาะมหาปราชญ์ชั้นรองของสำนักวิชาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ แม้กระนั้น ในบางแง่มุม ก็ถือว่าเป็นสาขาที่แข็งแกร่งที่สุดเช่นกัน ศิษย์จากสาขานี้จะใช้เวลา ส่วนใหญ่ไปกับการท่องบทกวีและร่ำสุรา โดยจะเริ่มการบรรลุธรรมแห่งเต๋าเมื่อใด หรืออย่างไรนั้นสุดแล้วแต่ใจปรารถนา
พวกเขามีคติอยู่ว่า สรวงสวรรค์และพื้นพิภพคืออาจารย์ อาจารย์ของพวกเจ้าอาจเป็นเพียงมนุษย์เดินดิน แต่อาจารย์ของเรานั้นคือสรวงสวรรค์และพื้นพิภพ เพราะฉะนั้น พวกเราจะเริ่มการบรรลุธรรมแห่งเต๋าที่ใดก็ได้!
สาขาวิชานี้แค่ใช้ชีวิตรอความตายไปวันๆ เท่านั้น! แม้หวังเป่าเล่อจะตกใจ แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจนัก หลังจากที่กลับถึงถ้ำที่พัก ณ สาขาอาวุธเวท เขาก็ลืมเหตุการณ์ก่อนหน้าไปหมดสิ้น
ค่ำคืนนั้นเงียบสงัด
อย่างไรก็ดี ในตอนรุ่งสางวันต่อมา ก่อนที่หวังเป่าเล่อจะได้ออกจากถ้ำที่พัก เขาได้รับข้อความจากหลิวต้าวปินผู้กำลังเป็นกังวล
“หัวหน้าศิษย์ขอรับ เกิดเรื่องแล้ว! ข้าง…ข้างนอกถ้ำที่พักของท่าน…”
“ข้างนอกถ้ำที่พักของข้าหรือ” หวังเป่าเล่อสับสนและงุนงง เขาลุกจากที่นอนและผลักประตูถ้ำที่พักเปิดออก เมื่อเขาก้าวพ้นประตูออกมานั้น เขาพลันต้องตกใจเพราะมีบรรดาศิษย์ในชุดคลุมเต๋าราวเจ็ดถึงแปดคนกำลังนั่งทำสมาธิอยู่ที่พื้นหน้าถ้ำที่พักของเขา วินาทีที่หวังเป่าเล่อปรากฏตัว พวกเขาต่างหันหน้ามาจ้องมองเขาอย่าง ดุร้าย
แน่นอนว่า ในหมู่ศิษย์เหล่านั้นมีชายหนุ่มร่างผอมผู้เพิ่งมาสารภาพรักกับ กระต่ายน้อยเมื่อวานอยู่ด้วย
หวังเป่าเล่อที่กำลังตกใจก็จ้องมองกลับไป
“พวกเจ้าทำอะไรกันน่ะ ที่นี่สาขาอาวุธเวทนะ!”
“เต๋าเบิกตาข้าให้เห็นธรรม!” เหล่าศิษย์ตะโกนก้องพร้อมกันเป็นเสียงเดียว พวกเขาทุกคนกัดกรามแน่น ต่างคนต่างก็จ้องมองหวังเป่าเล่อเขม็ง เป้าหมายคือเพื่อรบกวนเขาโดยใช้การบรรลุธรรมแห่งเต๋าเป็นเครื่องมือ แม้ว่าจะถูกตบตีก็ตาม
“พวกสติไม่ดี!” หวังเป่าเล่อผู้โมโหคุกรุ่นเลิกสนใจเหล่าศิษย์พวกนั้น และออกเดินไปยังถ้ำเตาหลอมวิญญาณ อย่างไรก็ดี เมื่อเขาก้าวขาออกมา ศิษย์กลุ่มนั้นก็ลุกขึ้นยืนและเดินตามเขามาด้วย
ในช่วงแรกหวังเป่าเล่อไม่ได้สนใจ แต่ในไม่ช้าเขาก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป ไม่ว่าเขาจะไปที่ไหน ศิษย์กลุ่มนี้ก็จะตามไปทุกที่ แม้เขาจะเข้าไปในถ้ำเตาหลอมวิญญาณ พวกศิษย์ก็ตามเข้าไปนั่งข้างๆ ล้อมเขาเอาไว้ ราวกับว่าสวรรค์สั่งให้ศิษย์กลุ่มนี้ติดตามเขาไปไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็ตาม
กระทั่งเมื่อหวังเป่าเล่อสั่งหลิวต้าวปินและพวกมาช่วยไล่กลุ่มศิษย์จาก สาขาปรัชญาเต๋านี้ไปให้พ้น หลิวต้าวปินก็ยังทำได้แค่หัวเราะขื่นๆ เขาบอกหวังเป่าเล่อว่า เมื่อใดก็ตามที่ศิษย์เหล่านี้อ้างว่าพวกเขากำลังฝึกการบรรลุธรรมแห่งเต๋า แม้จะเป็นฝ่ายวินัยสำนักก็ไม่มีสิทธิรบกวน
ยิ่งไปกว่านั้น เหล่าศิษย์จากสาขาปรัชญาเต๋าเหล่านี้ดื้อแพ่งเป็นอย่างยิ่ง หลังจากถูกตามอยู่สามวันเต็มๆ หวังเป่าเล่อก็อดรนทนไม่ไหวจนต้องตัดสินใจลงไม้ลงมือ!
ผลลัพธ์สุดท้ายก็คือ…เช้าวันถัดมา มีศิษย์จากสาขาปรัชญาเต๋าจำนวนมากขึ้นไปอีกมาโผล่ที่หน้าถ้ำที่พักของเขา ล้อมรอบถ้ำที่พักเอาไว้จนหมด ขณะจ้องเขม็งมาที่หวังเป่าเล่อระหว่างพยายามจะบรรลุธรรมแห่งเต๋า!