Skip to content

A World Worth Protecting 787

บทที่ 787 เข้าพบปรมาจารย์

จะไม่กลัวได้อย่างไรเล่า หลังประตูนี้มีปีศาจระดับดาวพระเคราะห์รออยู่ แถมผู้ฝึกตนที่ใกล้จะบรรลุระดับดาวพระเคราะห์อยู่รอมร่อตรงหน้าข้าก็ยิ้มให้อย่าง น่าขนลุกเป็นบ้า… หวังเป่าเล่อคิด แต่หลังจากที่คิดว่าตนเองเคยเจอผู้ฝึกตนระดับ ดาวพระเคราะห์คนอื่นๆ มาแล้ว ทั้งยังเคยเห็นอสูรกายระดับดาวพระเคราะห์สองตัวเข้าประสานงากันและตายลงต่อหน้าต่อตา…

แถมการจะฆ่าผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์สักคนยังเป็นเรื่องหวานหมูสำหรับศิษย์พี่ข้า ไม่เห็นจะมีสิ่งใดต้องกลัว! เมื่อคิดได้ดังนั้นชายหนุ่มก็รู้สึกมั่นใจขึ้นมาในทันที เขาทำความเคารพผู้ดูแลกิจการเบื้องหน้า ตั้งใจสูดหายใจเข้าลึกให้ อีกฝ่ายเห็น ก่อนจะก้าวเท้าเข้าไปในวัง!

หวังเป่าเล่อไม่ได้รับรู้แม้แต่น้อยว่าภายในของวังนั้นยิ่งใหญ่โอฬารเพียงใด เนื่องจากดวงตาของเขาเอาแต่จับจ้องอยู่ที่ร่างซึ่งประทับอยู่บนบัลลังก์ใหญ่ยักษ์ อย่างไม่ละสายตา ร่างนั้นเปรียบเสมือนพายุหมุนขนาดใหญ่ที่หมายดูดกลืนทุกสิ่ง ทุกอย่างให้มลายสิ้น

ชายผู้นั้นทำให้หวังเป่าเล่อตัดภาพความโอ่อ่าของวังออกไปจากการรับรู้จน หมดสิ้น สิ่งเดียวที่เขามองเห็นคือร่างที่เหมือนเทพเจ้าซึ่งหลบซ่อนอยู่ในความมืดบนบัลลังก์เบื้องหน้า!

ปรมาจารย์แห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์!

แม้นี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่หวังเป่าเล่อได้เข้าเฝ้าปรมาจารย์ แต่ก็เป็นครั้งแรกที่ได้เข้าเฝ้าเพียงลำพัง บรรยากาศภายในวังเต็มไปด้วยความกดดัน จนทำให้หวังเป่าเล่อ หยุดหายใจไปชั่วขณะโดยไม่รู้ตัว แต่ชายหนุ่มคงคิดขึ้นมาได้ว่าศิษย์พี่ของเขานั้นแข็งแกร่งกว่ามาก จิตใจจึงสงบลงมาได้ ชายหนุ่มสูดหายใจเข้าลึก ก้าวมาด้านหน้าสองก้าว โค้งคำนับต่ำก่อนเอ่ยทำความเคารพ

“คารวะท่านปรมาจารย์ ขอให้ท่าน …”

“พอแล้ว!” หวังเป่าเล่อกำลังจะเริ่มบทสรรเสริญอีกครั้ง แต่น้ำเสียงต่ำของปรมาจารย์แห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ก็ดังปรามขึ้นมาเสียก่อน เขาไม่ได้ให้เวลา หวังเป่าเล่อตอบด้วยซ้ำ หากแต่โบกมือเพื่อดึงโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาออกมาจากตัวของชายหนุ่ม โล่ถูกตัดขาดจากจิตของหวังเป่าเล่ออย่างสิ้นเชิงด้วยอำนาจแห่งปรมาจารย์ แล้วลอยเข้าหาอีกฝ่ายในทันที

โล่อื่นๆ ที่ซุกซ่อนอยู่ในกายของหวังเป่าเล่อก็บินตรงเข้าหาปรมาจารย์เช่นกัน ท้ายที่สุดแล้วก็เหลือเพียงใยแสงเส้นบางเท่านั้น เพราะโล่สวรรค์พิพากษา สะท้านโลกาได้ไหลออกจากกายของหวังเป่าเล่อ ไปก่อเป็นตัวเป็นก้อนแสงรูปวงรีขนาดเท่าฝ่ามืออยู่ตรงหน้าของปรมาจารย์!

แสงนั้นโปร่งบางราวกับไม่มีอยู่จริง บางทีก็สว่างใสเหมือนผลึกแก้ว บางทีก็มืดมนมัวหมอง บางทีก็เปล่งปลังสุกสกาว และบางทีก็ดับมืดพร่ามัว

ภาพนี้ทำให้ม่านตาของหวังเป่าเล่อหบแคบลงเล็กน้อย แต่เขาก็ไม่ได้แสดงออกทางสีหน้า ชายหนุ่มยืนก้มศีรษะด้วยความเคารพระหว่างเฝ้ารอในความเงียบอย่าง ใจเย็น

หวังเป่าเล่อตระหนักถึงช่องว่างระหว่างพลังของตนเองและผู้ฝึกตนระดับ ดาวพระเคราะห์อย่างชัดเจน และในขณะเดียวกันก็รู้ดีว่าสูตรการหลอมโล่นั้นเป็นของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ ต่อให้เขานำสูตรมาปรับปรุง แต่ก็ยังยึดถือตามฐานความรู้เดิม เขาไม่รู้ว่าจักพรรดิใช้อำนาจพลังปราณในการตัดจิตเชื่อมโยงระหว่างเขากับโล่ หรือว่าใช้เคล็ดวิชาลัดของโล่ในการกระทำเช่นนั้นกันแน่ แม้หวังเป่าเล่อจะมีท่าทางประหลาดใจเล็กน้อย แต่หลังจากที่คิดอยู่สักพัก ก็รู้สึกว่ามันสมเหตุสมผลดี

เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าขณะที่ปรมาจารย์แห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์พินิจ โล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกา ใบหน้าของเขาซ่อนอยู่ในความมืด จึงไม่มีใครล่วงรู้ว่าคิดเช่นไร หลังจากผ่านไปสักพัก ปรมาจารย์ก็เอื้อนเอ่ยด้วยเสียงเย็นเยียบ

“สวีโยว เจ้าคิดว่าอย่างไร” ปรมาจารย์สะบัดข้อมือขวาเพื่อส่งโล่ให้ลอยไป สู่อากาศว่างเปล่าที่ด้านขวาของเขา มือเหี่ยวย่นยื่นออกมาจากความว่างเปล่าประทับเข้าที่โล่นั้น เลือดและเนื้อหลั่งไหลจากมือเข้าสู่โล่จนเห็นเป็นเค้าโครงของโล่ ราวกับ มีพู่กันที่มองไม่เห็นกำลังวาดภาพโล่อยู่ในอากาศ ผู้ดูแลกิจการสวีก้าวจาก ความว่างเปล่าออกมายืนอย่างเต็มตัว

เขาโค้งคำนับเล็กน้อยขณะยืนอยู่เคียงข้างปรมาจารย์แห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ ก้มหน้าลงมองโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาในมือ หลังจากผ่านไปนาน เขาก็พูดทำลายความเงียบขึ้น

“งานฝีมือหยาบ วัตถุดิบดาษดื่น คุณภาพปานกลางขอรับ มีผู้เชี่ยวชาญหลายคนในสำนักที่สามารถหลอมวัตถุเวทเช่นเดียวกันนี้ได้ในระดับที่ดีกว่าเสียด้วย หากเรามีวัตถุดิบก็สามารถเพิ่มระดับของโล่นี้ให้สูงขึ้นได้โดยไม่ยากเย็นอะไรเลย”

เมื่อได้ยินคำพูดของผู้ดูแลกิจการสวี หวังเป่าเล่อก็อดเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายไม่ได้ ขณะเดียวกัน ความคิดเห็นของผู้ดูแลกิจการสวีก็ทำให้ปรมาจารย์หันมามอง หวังเป่าเล่อในทันทีพร้อมเอื้อนเอ่ยออกมา

“หลงหนานจื่อ เจ้าอยากแถลงไขหรือไม่”

หวังเป่าเล่อรู้สึกไม่พอใจอยู่ในอก อดคิดไม่ได้ว่าตนเองไม่เคยทำให้ชายชรา ไม่พอใจแม้แต่น้อย แล้วเหตุใดจึงตั้งใจวิจารณ์โล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาของเขาให้ด้อยค่าเช่นนี้กัน

กระนั้นประสบการณ์การครองตำแหน่งใหญ่ในสหพันธรัฐก็ทำให้เขารู้ว่าเรื่องนี้อาจมีจุดประสงค์แอบแฝง แม้จะเป็นการยากที่จะยืนยันก็ตามที หลังจากที่ คิดวิเคราะห์อยู่สักพัก ชายหนุ่มก็ฝืนยิ้มพร้อมทำมือคารวะ

“ข้าไม่มีสิ่งใดจะแถลงไขขอรับ โล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาของข้าเป็นตามที่ว่าจริงๆ”

เมื่อหวังเป่าเล่อพูดจบ สีหน้าของชายชรายังนิ่งเรียบไม่ได้เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย แต่ปรมาจารย์กลับหรี่ตาลง เขามองหวังเป่าเล่อ หันไปมองผู้ดูแลกิจการสวี ข้างกายตน ก่อนหัวเราะออกมา

“สวีโยวที่รัก เจ้าตั้งใจขยายข้อด้อยของโล่นี้เพื่อทำให้เคล็ดวิชาการหลอมที่อยู่ภายในโดดเด่นขึ้นมาใช้หรือไม่ นอกจากนี้เจ้ายังต้องการทำให้ข้าตระหนักได้ว่า การหลอมโล่นี้ขึ้นมาเป็นร้อยเป็นพันชิ้นนั้นง่ายดายเพียงใด เจ้าหลิงโยวนั่นคงมาขอความช่วยเหลือจากเจ้าอีกแล้วสินะ”

เมื่อได้ยินดังนั้น หัวใจของหวังเป่าเล่อก็เต้นแรงขึ้นเล็กน้อย เขามองหน้าผู้ดูแลกิจการสวีที่กำลังค้อมศีรษะต่ำและมีสีหน้าปกติ ชายชราเอ่ยตอบปรมาจารย์ด้วย ท่าทีเคารพ

“ท่านปรมาจารย์ช่างหลักแหลมยิ่งนัก”

เมื่อได้ยินดังนั้น ปรมาจารย์แห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ก็หัวเราะอีกครั้ง ก่อนถามด้วยน้ำเสียงเป็นกันเอง “แล้วเจ้าเด็กหลิงโยวนั่นมีข้อเสนอว่าอย่างไรเล่า”

“นางเสนอให้หลงหนานจื่อแลกเคล็ดการหลอมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกากับสิทธิ์ในการสร้างกองทหารของตนเอง ข้าปฏิเสธข้อเสนอนี้ไป แต่ต้องการให้ท่านอนุญาตให้หลงหนานจื่อเข้ารับพรจากสระน้ำเก้าอมตะแทนขอรับ” น้ำเสียงของผู้ดูแลกิจการไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย มันเต็มไปด้วยไอประหลาดเย็นเยียบเช่นเดิม

“สิทธิ์ในการสร้างกองทหารของตนเองรึ…” ปรมาจารย์แห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ หรี่ตาลง ก่อนลุกขึ้นยืนหลังจากคิดอยู่สักพัก เขาก้าวออกมาข้างหน้า พาร่างเข้าไปในความว่างเปล่า แสงสว่างเจิดจ้าราวดวงอาทิตย์ไหลเข้าท่วมทั่ววัง ร่างของปรมาจารย์หายไปในพริบตา มีเพียงเสียงของเขาเท่านั้นที่ค่อยๆ ดังกังวานไปทั่วทุกหนแห่ง

“ตกลง และข้าก็อนุญาตให้หลงหนานจื่อเข้ารับพรจากสระน้ำเก้าอมตะด้วยเช่นกัน!”

เมื่อได้ยินดังนั้น หวังเป่าเล่อก็หายใจถี่ด้วยความตื่นเต้น เขาประกาศเสียงดัง “ขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งขอรับท่านปรมาจารย์ ข้า หลงหนานจื่อคนนี้ จะไม่มีวันลืมความเมตตาของท่านเลย!”

เขารู้ดีว่าการยกยอปอปั้นนั้นไม่ควรใช้บ่อยจนเกินไป โดยเฉพาะในการแสดงความขอบคุณ ยิ่งพูดน้อย ยิ่งจับใจคนฟังมากกว่า ด้วยเหตุนี้ชายหนุ่มจึงพูดแต่สาระสำคัญเท่านั้น

แล้วก็ได้ผลจริงๆ เสียด้วย ด้วยความที่จิตของปรมาจารย์ยังออกจากวังไม่หมด เขาจึงได้ยินคำพูดแสดงคำขอบคุณที่กระชับสั้นได้ใจความของหวังเป่าเล่อ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยได้ยินจากชายหนุ่มมาก่อน ปรมาจารย์ประหลาดใจเป็นอันมาก ตัวตนของ หวังเป่าเล่อยิ่งประทับเข้าไปในความทรงจำของเขาขึ้นไปอีก

แม้แต่ผู้ดูแลกิจการสวียังเงยหน้าขึ้นมามองหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มหันไปหา ชายชรา โค้งคำนับต่ำพร้อมเอ่ยคำขอบคุณ

“ขอบพระคุณผู้ดูแลกิจการสวีมากขอรับ!”

ผู้ดูแลกิจการสวีพยักหน้าและไม่กล่าวอันใดอีก เขาทำท่าให้หวังเป่าเล่อตามมา หลังออกจากวัง ทั้งสองก็เหาะไปยังเขตต้องห้ามที่หลังหุบเขา ชายหนุ่มไม่เคยเห็น ที่แห่งนี้มาก่อน เมื่อก้มหน้าลงมอง ก็เห็นทิวเขาเรียงตัวเป็นแนวยาว โอบอุ้มด้วยหมอกที่ไหลวน ที่ปลายทางท้องฟ้ากลับมีหน้าตาประหลาด

เนื่องจากสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์นั้นอยู่ในอีกอวกาศหนึ่ง แสงอาทิตย์ที่เคย สาดส่องก่อนหน้านี้จึงมืดลงทันทีที่ก้าวผ่านแนวเทือกเขามายังบริเวณต้องห้ามด้านหลัง ซึ่งมีดวงจันทร์กำลังทอแสงนวลในท้องฟ้าสีหมึก!

ทว่า…แสงนวลของดวงจันทร์กลับเป็นสีแดงชาด ทำให้บรรยากาศโดยรอบ ดูประหลาดน่าขนลุก หมอกหนาขึ้นเรื่อยๆ จนชายหนุ่มมองไม่เห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้า อีกต่อไป ทำให้เขารู้สึกเหมือนกำลังหลงทิศทาง บรรยากาศนี้ดำเนินไปเรื่อยๆ จนชายหนุ่มมาถึงแอ่งพื้นดินขนาดใหญ่!

แอ่งนี้ดูเหมือนจะสร้างโดยการระเบิดจากฝีมือมนุษย์ กำแพงโดยรอบค่อนข้างหยาบ และเต็มไปด้วยถ้ำจำนวนเก้าแห่งด้วยกัน กลิ่นเหม็นของเลือดสดๆ โชยจากแอ่งดินออกมาสู่บรรยากาศโดยรอบ กลิ่นนั้นประหลาดยิ่งนัก ทันทีที่หวังเป่าเล่อเข้าใกล้ จนจมูกได้กลิ่น พลังปราณในกายของเขาก็พลันปั่นป่วนบ้าคลั่ง

ดวงตาของชายหนุ่มหดแคบ ดวงวิญญาณสั่นสะท้าน ผู้ดูแลกิจการสวีที่อยู่ เบื้องหน้าเขาหยุดค้างอยู่กลางอากาศเหนือแอ่งกระทะ ชายชรามองลงเบื้องล่าง รอยยิ้มน่าขนลุกปรากฏขึ้นบนใบหน้า แสงสีแดงเลือดจากดวงจันทร์ทำให้เขาดู น่าสยองขึ้นไปอีก

“เจ้าหนุ่ม นี่คือสระเก้าอมตะแห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ เจ้ามีโอกาสเดียวที่จะบรรลุขั้นปราณจากที่แห่งนี้ ทำให้ดีละ”

ขณะที่พูด ผู้ดูแลกิจการสวีก็ยกมือขวาขึ้นชี้ไปที่สรวงสวรรค์ เสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่นสะท้อนก้องออกจากฟากฟ้า พื้นดินสั่นสะท้าน ดวงจันทร์สีเลือดบนท้องฟ้าทวีแสงสีแดงเข้มข้นขึ้น ประกายสีเลือดจากดวงจันทร์ไหลเข้าท่วมบริเวณต้องห้ามทั้งหมด และเปลี่ยนทุกหนแห่งให้กลายทะเลเลือด!

ในตอนนั้นเอง…เสียงโซ่ตรวนดังกระทบกันก็ลอยออกจากถ้ำทั้งเก้าที่กำแพงหน้าผา ตามมาด้วยเสียงร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดที่ไม่ใช่เสียงของมนุษย์!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!