บทที่ 82 วัตถุเวทใช้แบบนี้ได้ด้วยหรือ
“บัดซบ ทำไมต้องเป็นคนของสาขาปรัชญาเต๋าด้วยนะ” เมื่อกลับถึงถ้ำที่พัก หวังเป่าเล่อไม่ได้สุขสบายใจกับชัยชนะในรอบที่สองแม้แต่น้อย เขานั่งนิ่งและคิดอย่างวุ่นวายใจ
“ไอ้เจ้าบ้านั่น! เขาบรรลุธรรมแห่งเต๋าจริงๆ น่ะเหรอ” หวังเป่าเล่อกังวลเรื่องนี้ที่สุด ชายหนุ่มไม่สบายใจเป็นอย่างมาก เขาเปิดเครือข่ายวิญญาณเพื่อสืบค้นข้อมูล
เขาลืมสนใจกระทั่งผลการสอบคู่อื่นๆ สมาธิของเขาจับจ้องไปยังโพสต์เกี่ยวกับสาขาปรัชญาเต๋าเท่านั้น เขาเลื่อนอ่านอยู่เป็นเวลานาน จนกระทั่งไม่เจอสิ่งใดที่ดูจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นเขาจึงค่อยคลายใจ
อย่างไรก็ดี หวังเป่าเล่อก็ยังสงบไม่ได้ หลังจากนั่งพักชั่วครู่ เขาก็ลุกไปแปรงฟัน นัยน์ตาของเขาเปล่งประกายด้วยความมุ่งมั่น
ข้าจะใส่ใจมากนักไม่ได้ หากเจ้านั่นบรรลุจริงๆ และผู้คนจากสาขาปรัชญาเต๋ามาเรียงหน้ากันให้ข้าอัด ข้าก็จะทำตามคำขอ! ข้าก็แค่ต้องเตะพวกเขาเองไม่ใช่รึ
เมื่อคิดได้ดังนั้น หวังเป่าเล่อก็ค่อยสบายใจลงได้บ้าง
สาขาหลุมพรางนั้นคล้ายคลึงกับสาขาอาวุธเวทอยู่ประมาณหนึ่ง ในเรื่องของหุ่นเชิด สาขาหลุมพรางจะมีความชำนาญกว่าสาขาอาวุธเวท ในแง่ของการวางหลุมพราง ความอันตรายจะเพิ่มพูนขึ้นมากหากสาขาหลุมพรางและสาขาอาวุธเวทร่วมมือกัน
บรรพบุรุษจ้ำม่ำ โปรดอวยพรให้คู่แข่งของข้าไม่ใช่คนจากสาขาปรัชญาเต๋าด้วยเถิด! หวังเป่าเล่อภาวนาอยู่ในใจเงียบๆ พลางเดินจ้ำไปยังลานประลองยุทธ์ แม้ว่าการได้คู่ต่อสู้จากสาขาปรัชญาเต๋าจะเป็นชัยชนะโดยไม่ต้องลงมือทำอะไร แต่ผลกระทบที่ตามมาช่างยากจะคาดเดา เพราะฉะนั้น หวังเป่าเล่อเลยขอชนะด้วยตนเองดีกว่า
บางทีบรรพบุรุษจ้ำม่ำอาจจะได้ยินคำภาวนาของเขาก็เป็นได้ หวังเป่าเล่อถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อมาถึงลานประลองยุทธ์ของสาขาหลุมพรางและเห็นหน้าคู่ต่อสู้ในนัดนี้ เขาได้ยินเสียงพึมพำจากผู้ชม
ตราบเท่าที่ไม่ใช่เจ้าพวกบ้าจากสาขาปรัชญาเต๋า จะเป็นใครข้าก็ไม่เกี่ยง!
รอบที่สามกำลังจะเริ่มขึ้น ฝูงชนทวีความตื่นเต้นขึ้นทุกขณะเมื่อหวังเป่าเล่อและคู่แข่งของเขาก้าวเข้าสู่ลานประลองยุทธ์
“หวังเป่าเล่อ!”
“หลี่หนัน!”
“นั่นมันเจ้าม้ามืดหลี่หนัน ผู้ที่เอาชนะเฉินจื่อเหิงมาได้นี่!”
“หลี่หนันชนะติดๆ กันมาสองนัดแล้วนะ คู่ต่อสู้คนที่แล้วของเขาคือหัวหน้าศิษย์ปีห้าจากสาขาวงแหวนปราณ เขาเอาชนะได้โดยใช้โอสถเหมือนครั้งแรกเลย!”
“เขาต้องสู้กับหวังเป่าเล่อได้สูสีแน่นอน!”
ข่าวการประลองคู่นี้แพร่สะพัดไปไวราวกับไฟป่า หวังเป่าเล่อและหลี่หนันต่าง ก็เป็นตัวเต็งที่ชนะรวดมาด้วยกันทั้งคู่ ผู้ชมจึงตั้งตาคอยการประลองยุทธ์ครั้งนี้เป็นอย่างมาก ส่งผลให้มีผู้ชมในลานประลองยุทธ์มากมายกว่าปกติ ผู้คนหลั่งไหลกันมาจากลานประลองยุทธ์ของสาขาวิชาอื่นๆ
บนลานประลองยุทธ์ หลี่หนันผู้ที่เพิ่งมาถึงไม่ได้แม้แต่ชายตามองหวังเป่าเล่อแม้แต่น้อย เขาทรุดตัวลงนั่งขัดสมาธิและหลับตาทำสมาธิ เขาช่างดูน่าเกรงขาม หวังเป่าเล่อซึ่งอยากจะทักทายคู่แข่งสักหน่อยถึงกับตกใจ
“นี่เป็นวิธีเปิดตัวของเขาหรืออย่างไรกันนะ” หวังเป่าเล่อพึมพำขณะที่จ้องมองไปยังหลี่หนัน เขายืดอกขึ้นและยกมือไขว้หลัง
การแข่งขันเริ่มต้นขึ้นทั้งอย่างนั้น ทั้งคู่ต่างก็เตรียมพร้อม คนหนึ่งยืนขึ้น อีกคนหนึ่ง นั่งลง ฝูงชนยังคงหลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดสาย
ทันทีที่การแข่งขันเริ่มต้น หลี่หนันก็ลืมตาขึ้น เผยให้เห็นแววตาเย็นยะเยือก อันทรงพลัง เขายกมือขวาขึ้น เผยให้เห็นเม็ดโอสถสีแดงชาดในอุ้งมือ เขาเขวี้ยง เม็ดโอสถลงบนพื้นบริเวณหน้าหวังเป่าเล่ออย่างแรง!
โอสถระเบิดส่งเสียงดังสนั่น! ก่อนจะค่อยๆ กลายสภาพเป็นหมอกหนาสีแดงฉาน โอสถอีกเม็ดปรากฎขึ้นบนมือซ้ายของหลี่หนัน เขากลืนมันลงไปในทันใด ส่งผลให้ดวงตาเขากลายเป็นสีแดงฉาน แม้ว่าหลี่หนันจะอยู่ในขั้นบำรุงชีพจรแล้ว แต่เมื่อเขากลายสภาพไป ความแข็งแกร่งของเขาก็พุ่งทะยานเสียดฟ้า!
วินาทีนั้น ปราณโลหิตของเขาพุ่งสูง ก่อนกระจายออกไปรอบทิศทาง ความรุนแรงของปราณโลหิตให้กำเนิดลมหมุนมายาที่ทำลายทุกสรรพสิ่งที่สัมผัส
ทุกอย่างเกิดขึ้นก่อนจะสิ้นเสียงคำประกาศ ‘เริ่มต้นการสอบ’ เสียด้วยซ้ำ ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นต่อเนื่องจนเหล่าผู้ชมต้องสูดลมหายใจลึก ขณะที่อาจารย์ทั้งสามต่างก็ตกตะลึงกับภาพตรงหน้า
“ช่างเป็นความสามารถที่น่าตื่นตะลึงจริงๆ หลี่หนัน!”
“ขั้นแรกเป็นโอสถพิษ ตามด้วยโอสถเพิ่มพละกำลัง ข้าได้ยินมาว่าเขาหลอมโอสถทั้งหมดนี้ด้วยตนเองทีเดียว!”
เมื่อได้ยินคำสรรเสริญจากผู้ชม หลี่หนันแสยะยิ้มแล้วพุ่งตัวเขาหาหวังเป่าเล่อด้วยความเร็วประหนึ่งลมกรด
รูม่านตาของหวังเป่าเล่อหดเล็กลงในทันใด ม่านหมอกสีแดงฉานรอบตัวทำให้เขาระแวดระวังขึ้น และท่าทีข่มขู่ของหลี่หนันผู้ซึ่งเพิ่งกลืนโอสถเข้าไปทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกตื่นตัวยิ่งกว่าเดิม
“ร้ายกาจไม่เบา! แต่ว่าทำแบบนี้ถือว่าผิดกติการึเปล่านะ” หวังเป่าเล่อเห็นว่าหลี่หนันผู้ซึ่งกลืนโอสถเข้าไปแสดงความเปลี่ยนแปลงทั้งในด้านความเร็วและพละกำลัง หวังเป่าเล่อจึงต้องตอบโต้ สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเมื่อเขาส่งเสียงร้องคำรามและพุ่งเข้าไปหาหลี่หนันด้วยความเร็วไม่แพ้กัน
หลี่หนันหัวเราะอย่างเยือกเย็น แม้ว่าเขาจะไม่ใช่หัวหน้าศิษย์ โอสถเพิ่มกำลังทำให้เขากุมความได้เปรียบเอาไว้ เขาคิดว่าหากเขาอยากเป็นหัวหน้าศิษย์เมื่อใด ก็คงเป็นได้อย่างไม่ยากเย็นนัก ขณะนี้ แม้ว่าจะหมายปองโอกาสการเข้าร่วมมิติเวท แต่หลี่หนันก็ต้องการที่จะโดดเด่นเช่นกัน
หวังเป่าเล่อ หัวหน้าศิษย์สาขาอาวุธเวทอย่างนั้นหรือ วันนี้ข้าจะสอนให้เจ้ารู้ว่า หากเทียบกับข้าแล้วเจ้าก็เป็นเพียงสวะเท่านั้น! หลี่หนันคิดพลางหัวเราะอยู่ในใจ เขาเร่งความเร็วขึ้นอีก ปลดปล่อยพลังออกมาจนสุด ตัวเขาเด่นขึ้นมาอีกเพราะปราณโลหิตของเขากระจายไปทั่ว ส่งผลให้ผู้ชมโดยรอบถึงกับสะดุ้งสะเทือนไปตามๆ กัน
วินาทีที่ทั้งคู่เข้าประชิดตัวกัน หลี่หนันคำรามออกมา
“หวังเป่าเล่อ เจ้าถูกลิขิตมาให้พ่ายแพ้!”
เมื่อหลี่หนันพูดจบ เขาก็ชูกำปั้นขึ้น ก่อนจะบี้โอสถที่อยู่ในอุ้งมือจนแหลก ควันสีเขียวจำนวนมากลอยฟุ้งออกมาก่อนจะพุ่งกระจายเป็นเส้นยาวราวกับงูตัวเขื่อง ดูอันตรายอย่างมาก
อย่างไรก็ดี เมื่อเขาเข้าถึงตัวหวังเป่าเล่อก็ยกมือขวาขึ้นเช่นกัน แสงสว่างสีทองทอประกายออกมาจากฝ่ามือเขาราวกับโล่กำบัง
“คิดจะใช้วัตถุเวทป้องกันตัวเองอย่างนั้นหรือ เปล่าประโยชน์! มาลองดูก็ได้ว่าวัตถุเวทของเจ้าจะทานการโจมตีของข้าได้สักกี่น้ำ” หลี่หนันระเบิดเสียงหัวเราะดังสนั่น เขาเพิ่มความเร็วขึ้นอีก เมื่อตัวของทั้งคู่ปะทะกัน หวังเป่าเล่อก็โยนแสงสว่างเรืองสีทองนั้นออกมา เขาไม่ได้ใช้แสงนี้เพื่อการป้องกัน แต่เพื่อจับตัวหลี่หนันเอาไว้
“วัตถุเวทชิ้นนี้หลอมขึ้นมาเพื่อเจ้าโดยเฉพาะ!” หวังเป่าเล่อเย้ย ทันใดนั้นแสงสีทองที่ฉายอาบอยู่บนตัวหลี่หนันเปลี่ยนสภาพกลายเป็นระฆังสีทอง เสียงดังสนั่นกังวาน ไปทั่วเมื่อมันตกกระทบพื้น กักขังหลี่หนันเอาไว้ภายใน
ในเวลาเดียวกัน หวังเป่าเล่อไม่ได้หยุดเพียงแค่นั้น เขาหยิบประคำหลายลูกที่มีสีทองเรืองรองออกมาและเขวี้ยงออกไป เกิดเสียงระเบิดดังสนั่นและมีกรงขังอีกหลายชั้นหล่นลงซ้อนทับระฆังทองที่มีหลี่หนันอยู่ด้านใน!
ในชั่วไม่กี่อึดใจนั้น ระฆังท่องตั้งสง่าอยู่บนลานประลองยุทธ์ ส่องแสงเรืองรองราวกับดวงไฟขนาดมโหฬาร!
ฉากนี้ทำเอาผู้ชมและบรรดาอาจารย์ถึงกับนิ่งงันไป ดวงตาของพวกเขาเบิกโพลงพลางจ้องมองด้วยความไม่เชื่อสายตา ในท้ายที่สุดแล้ว ผู้ที่ลึกล้ำยากหยั่งถึงก็คือ หวังเป่าเล่อคนนี้นี่เอง
ไม่ว่าใครก็ตาม เมื่อได้เห็นม่านพลังเรืองรองสีทองนั้น ย่อมคิดว่าเป็นวัตถุเวทที่ใช้ป้องกัน คงมีเพียงหยิบมือเท่านั้นที่จะคาดเดาได้ว่า เมื่อหวังเป่าเล่อนำมาใช้ไม่ใช่เพื่อการป้องกัน หากแต่เพื่อกักขังคู่ต่อสู้
เขาเปลี่ยนวัตถุเวทชนิดป้องกันให้เป็นวัตถุเวทชนิดกักขัง แล้วจับหลี่หนันเอาไว้ได้อยู่หมัด!
“ใช้แบบนี้ก็ได้ด้วยหรือ!”
“หวังเป่าเล่อมันคิดได้อย่างไรกันนะ เอาวัตถุเวทมาใช้แบบนี้”
“ช่างน่าขันสิ้นดี ต่อให้ไม่มีวัตถุเวท เจ้าหลี่หนันก็คนละชั้นกับหวังเป่าเล่อตั้งแต่แรกอยู่แล้ว”
ขณะที่ฝูงชนยังคงตกตะลึง หลี่หนัน ผู้ซึ่งตอนนี้ถูกขังอยู่ในระฆังทอง เริ่มคลายความตกใจและรู้สึกโมโหอย่างมากแทน
“หวังเป่าเล่อ เจ้ามันชั่วช้า! ถ้าหากเจ้ามีฝีมือจริง ก็สู้กับข้าแบบตัวต่อตัวสิ!” เขาคำรามด้วยเสียงต่ำขณะพุ่งจู่โจมม่านพลังสีทองจากทุกเหลี่ยมมุม หวังจะทำลายมันเสีย แต่ทว่าม่านพลังนั้นหนายิ่ง เพราะหวังเป่าเล่อได้เสริมมันให้แข็งแกร่ง ขนาดที่ว่าต่อให้เป็นหลี่หนันก็ไม่อาจพังออกมาได้โดยง่าย
เมื่อได้ยินเสียงตะโกนอันเกรี้ยวกราดของหลี่หนัน หวังเป่าเล่อกระแอมหนึ่งครั้ง เขารู้สึกภูมิใจในไหวพริบและความสามารถของเขาที่สามารถคิดทางแก้นี้ออกมาได้ เขายกมือขึ้นไขว้หลังอีกครั้งก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงจริงจังและเที่ยงตรง
“ข้ามาจากสาขาอาวุธเวท เป็นธรรมดาที่ร่างกายของพวกเราจะอ่อนแอและไม่เหมาะกับการใช้ความรุนแรง เราพึ่งพาวัตถุเวทเพื่อชัยชนะ แต่เจ้าไม่ได้แข็งแกร่งขึ้นมาได้เพราะโอสถอย่างนั้นหรือ ข้าคิดว่าผลของโอสถน่าจะมีเวลาจำกัด ข้าจับเจ้าได้แล้ว ข้าจะรอจนกระทั่งโอสถหมดฤทธิ์แล้วเราค่อยมาสู้กัน!”
หลังจากพูดจบ หวังเป่าเล่อก็นั่งลง หยิบขนมถุงหนึ่งออกมาจากสร้อยข้อมือเก็บของ เขาเริ่มเคี้ยวขนมพลางจ้องมองหลี่หนันไปด้วย
ฉากนี้และคำพูดของหวังเป่าเล่อทำให้ผู้ชมเปลี่ยนสีหน้าไปทันที พวกเขาล้วนจ้องมองมาด้วยความเกลียดชัง อาจเข้าใจได้หากเป็นศิษย์คนอื่นของสำนักอาวุธเวทที่พูดว่าตนอ่อนแอ แต่การได้ยินคำนี้จากปากหวังเป่าเล่อทำให้พวกเขาคิดว่าเจ้า หวังเป่าเล่อมันจะน่ารังเกียจเกินไปแล้ว
“เจ้านี่เนี่ยนะ อ่อนแอ เขาอยู่ในห้องหินละลายได้สามวัน แถมยังเร็วกว่า พวกสาขาการยุทธ์แทบทุกคน”
“เจ้าบ้านั่นมันแข็งแรงจะตาย ขนาดอาจารย์สาขาการยุทธ์ยังเสียดายว่า หวังเป่าเล่อน่ะเข้าผิดสาขา”
“นั่นมันกินขนมระหว่างการประลองยุทธ์จริงๆ หรือ”
กรรมการเองก็ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ พวกเขามองอย่างสงสารไปที่หลี่หนันผู้ซึ่งยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดโจมตีระฆังทองแม้แต่น้อย
หลี่หนันโกรธจนแทบเป็นบ้า เขาสบถออกมาไม่หยุด ทุกๆ ครั้งที่เขาทำลายกรงทองได้หนึ่งชั้น หวังเป่าเล่อก็จะสร้างอีกชั้นครอบเข้าไปด้วยการโบกมือขวาเพียงครั้งเดียว ราวกับจะสื่อว่าไม่ว่าหลี่หนันจะทำลายกรงได้เร็วเพียงใด เขาก็ไม่สามารถต่อกรกับจำนวนวัตถุเวทที่หวังเป่าเล่อมีได้
เมื่อหวังเป่าเล่อเห็นการโจมตีต่อเนื่องของหลี่หนัน เขาเอื้อมมือไปหยิบเอาประคำทองหลายสิบลูกออกมาโบกให้หลี่หนันดู เพื่อเป็นการบอกว่าความพยายามจะหนีออกจากกรงนั้นเปล่าประโยชน์เพียงใด
“ไอ้สารเลว!” เมื่อมองเห็นประคำเหล่านั้น เส้นเลือดสีฟ้าปูดขึ้นมาบนหน้าผากของหลี่หนัน เขาหายใจถี่ขึ้นเรื่อยๆ ความรู้สึกเหนื่อยอ่อนเริ่มคืบคลานเข้ามาเพราะฤทธิ์ของโอสถค่อยๆ หมดลงอย่างช้าๆ และร่างกายเขาเริ่มกลับเข้าสู่สภาวะปกติ ในที่สุดเมื่อเหงื่อเม็ดไหลเย็นทะลักออกมาท่วมกาย หลี่หนันผู้ไม่เหลือทางออกก็พูดขึ้นมาอย่างโกรธเคือง
“ข้ายอมแพ้แล้ว!”