บทที่ 85 การประลองยุทธ์สุดเข้มข้น!
ในเวลาเดียวกับที่เจ้าเยี่ยเหมิงเริ่มเคลื่อนไหว วงแหวนปราณวิญญาณที่ล้อมรอบหวังเป่าเล่ออยู่ก็เริ่มสั่นคลอน จุดเปราะบางทั้งห้าที่หวังเป่าเล่อมองเห็นเริ่มจะเลือนลางและจางหายไป
เมื่อวงแหวนปราณหมุนวนไปนั้น ปราณวิญญาณก็ถูกดึงออกมาด้วย ทำให้เกิดแรงกดดันพุ่งเข้ามาจากทุกมุม ยิ่งวงแหวนปราณหมุนนานขึ้นแรงกดดันนั้นก็หนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ หวังเป่าเล่อถูกแรงกดดันนี้กระแทกราวกับระลอกคลื่นในพายุ
หวังเป่าเล่อกัดฟันยกมือขวาขึ้นและสะบัดแขนเสื้อ เขาหยิบเอาจี้ห้อยคอหยกออกมา จี้ชิ้นนั้นส่องประกายสีม่วงระเรื่อ แปรสภาพกลายเป็นมังกรสีม่วงตัวเล็ก ตัวหนึ่งที่กำลังส่งเสียงคำรามดังกึกก้อง ผลักเอาแรงกดดันที่พุ่งทะลักเข้ามาหาให้ลดลงไปอย่างมาก
หากว่าเป็นการยากที่จะพังออกมาจากข้างใน…ข้าจะใช้พลังของข้าสู้กับมันตรงๆ ไปเลย! หวังเป่าเล่อหรี่ตา ศิลาวิญญาณรุ้งปรากฎขึ้นทันทีเมื่อเขายกมือขวาขึ้น
ชายหนุ่มก้มหน้าลง เขาไม่สนใจแรงกดดันที่แผ่ออกมาจากวงแหวนปราณและเริ่มจารึกตัวอักขระลงไปบนศิลาวิญญาณรุ้ง ผู้ชมถึงกับส่งเสียงร้องด้วยความตกตะลึง
“หวังเป่าเล่อกำลัง…จารึกอักขระหรือ”
“หมายความว่าอย่างไรกัน เขาจะหลอมวัตถุเวทอย่างอย่างนั้นหรือ อย่างมาก เขาน่าจะหลอมได้แค่แก่นวิญญาณนะ แก่นวิญญาณจะทำลายวงแหวนปราณได้ อย่างนั้นหรือ”
ผู้ชมถามไถ่กันไปมา ขณะนั้น เจ้าสำนักและอาจารย์จากทุกสาขาต่างก็แสดงความประทับใจ โดยเฉพาะอาจารย์เคราแพะ สายตาเขาแวววาวและริมฝีปากก็เผยอเป็นรอยยิ้ม อีกด้านหนึ่ง หัวหน้าสาขาวงแหวนปราณขมวดคิ้วยุ่งด้วยความกังวล
เมื่อเห็นสถานการณ์ตรงหน้า เจ้าเยี่ยเหมิงรีบโต้ตอบทันที มือของนางขยับไหวอยู่ไปมาขณะที่นางสร้างวงแหวนปราณเพิ่ม เป็นการโจมตีครั้งที่สามของนางแล้ว แต่ในขณะนั้นหวังเป่าเล่อที่ติดอยู่ในวงแหวนปราณเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว ศิลาวิญญาณรุ้งในมือเขาตอนนี้ปกคลุมไปด้วยอักขระนับไม่ถ้วน ในชั่วเสี้ยววินาที หวังเป่าเล่อจารึกอักขระไปกว่าสามพันตัว
อักขระเหล่านี้ไม่ได้ใส่มาแบบมั่วๆ ทุกตัวมีพลังในการรวบรวมปราณวิญญาณ พูดให้ชัดก็คือ สิ่งนี้เป็นแก่นวิญญาณแบบง่ายๆ ที่รังสรรค์ขึ้นโดยหวังเป่าเล่อ
แก่นวิญญาณชิ้นนี้ไม่ได้ใช้หลอมวัตถุเวทใดๆ แต่ทว่าสามารถดึงดูด ปราณวิญญาณในสิ่งแวดล้อมทั้งหมดมาได้ ยิ่งไปกว่านั้น อักขระกว่าสามพันตัวที่จารึกซ้อนทับกันอยู่ ยังช่วยให้พลังสูบปราณวิญญาณของมันบรรลุขีดสุดอีกด้วย แก่นวิญญาณนี้จะระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ หลังการใช้งานเพียงครั้งเดียว
สำหรับหวังเป่าเล่อแล้วแค่ครั้งเดียวก็เพียงพอ!
“ใช้งาน!” หวังเป่าเล่อคำรามออกมาด้วยเสียงทุ้มต่ำ เขาจับศิลาวิญญาณในมือเขาทุบลงพื้นอย่างไม่รอช้า แม้ว่าศิลาวิญญาณจะต้องแหลกเป็นชิ้นหวังเป่าเล่อก็ ไม่สนใจ เขาเพียงต้องการปลดปล่อยปราณวิญญาณทั้งหมดที่กักขังไว้ ใช้พลังในตัวอักขระเพื่อกระจายปราณวิญญาณออกไปให้ไกลที่สุด!
ลำแสงสีรุ้งพุ่งทะยานออกมาจากศิลาวิญญาณก้อนนั้นอยู่ชั่วครู่ ตัวอักขระเองก็เรืองแสงสีรุ้งด้วยเช่นกัน ก่อนจะแปรสภาพเป็นแรงดูดทรงพลังที่กระจายไปทุกสารทิศพร้อมเสียงกัมปนาทดังสนั่น ผ่านทะลุวงแหวนปราณออกไปสู่โลกภายนอก
ทันใดนั้น ลานประลองยุทธ์ดูราวกับได้แปรเปลี่ยนเป็นใจกลางพายุใหญ่ ที่ดึงดูดเอาปราณวิญญาณทั้งหมดในบริเวณยอดเขาสาขาการยุทธ์มารวมกัน!
การสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงเกิดขึ้นพร้อมกับพายุนั้น ปราณวิญญาณจาก ทุกสารทิศหลั่งไหลเข้ามาในพายุอย่างรุนแรง แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะอยู่ในใจกลางของพายุนั้นแต่ก็ยังมีวงแหวนปราณอยู่รอบตัวเขา!
วงแหวนปราณนั้นหน้าที่เป็นโล่ป้องกันหวังเป่าเล่อจากกระแสปราณวิญญาณที่ทะลักเข้ามาอย่างรุนแรง ราวกับสายธารน้ำไหลที่ชนเข้ากับกระแสของคลื่นคลั่ง ไม่ว่าธารน้ำจะแข็งแรงและทนทานสักเท่าใด ก็ไม่อาจต้านทานคลื่นทรงพลังได้
วินาทีนั้นเองผู้ชมต่างเริ่มเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขาถึงกับหยุดหายใจด้วยความตื่นตะลึง
“หวังเป่าเล่อหลุดออกมาได้แล้ว!”
“เข้าสร้างแก่นวิญญาณที่เต็มไปด้วยตัวอักขระที่ดึงดูดปราณวิญญาณ ใช้แก่นวิญญาณนั้นรวบรวมพลังเพื่อระเบิดวงแหวนปราณออกเป็นเสี่ยงๆ!”
“หลักแหลมยิ่งนัก! เขาคิดได้อย่างไรกัน!”
เจ้าสำนักเองก็ประทับใจเช่นกัน ความรู้สึกชื่นชมที่เขามีต่อหวังเป่าเล่อฉายอยู่ในแววตา อาจารย์เคราแพะหัวเราะเสียงลั่น ขณะที่หัวหน้าสาขาวงแหวนปราณมีสีหน้าบอกบุญไม่รับ
แท้จริงแล้วหวังเป่าเล่อต้องการใช้วิธีนี้เพื่อปิดบังไม่ให้ใครรู้ว่า พลังสูบอันแท้จริงมาจากเมล็ดดูดกลืนภายในกายของเขาต่างหาก หาไม่แล้วเขาคงไม่ต้องลำบาก ขนาดนี้ในการจัดการกับวงแหวนปราณ
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้อาจจะดูเชื่องช้า แต่แท้จริงแล้วช่วงเวลาตั้งแต่ที่หวังเป่าเล่อกระแทกศิลาวิญญาณลงพื้นจนกระทั่งถึงการระเบิดนั้นกินเวลาเพียงชั่วอึดใจเท่านั้น สีหน้าของเจ้าเยี่ยเหมิงเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง สายเกินกว่าที่นางจะหยุดยั้งและ แก้สถานการณ์ได้ ลมหายใจของนางถี่กระชั้น นางถอยหลังไปก้าวหนึ่ง
วินาทีนั้นเอง เสียงคำรามเสียดแก้วหูดังสนั่นขึ้น ปราณวิญญาณในสรรพสิ่งโดยรอบทำลายแรงกดดันที่สร้างขึ้นโดยวงแหวนปราณเสียสิ้น ราวกับคลื่นยักษ์ในมหาสมุทรซัดสาดก็ไม่ปาน วงแหวนปราณที่จับหวังเป่าเล่อไว้พังลงชั้นแล้วชั้นเล่าเพราะไม่สามารถทนแรงได้!
หวังเป่าเล่อพุ่งทะยานออกมาในนาทีนั้น!
ปราณวิญญาณที่ไม่ได้ดูดรวมกันไว้ ไหลหลากเข้าสู่ศิลาวิญญาณรุ้ง ศิลาชิ้นนั้นมีพลังงานดูดกลืนอันรุนแรง แต่ตัวมันไม่สามารถจะทนกับพลังนี้ได้นานนัก ไม่นานนักศิลาจึงระเบิดขึ้น!
พื้นลาดของประลองยุทธ์ระเบิดออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยพร้อมกับเสียงระเบิดดังสนั่น หวังเป่าเล่อเรียกใช้งานวัตถุเวทป้องกันทั้งหมดที่เขามี เขากระโดดขึ้นไปจาก แรงระเบิดจากพื้นด้านล่าง พุ่งเข้าใส่เจ้าเยี่ยเหมิงพร้อมเหวี่ยงกำปั้นใส่นาง
ความเร็วของการตอบโต้และการพาตัวเองออกมาจากการปิดผนึกของวงแหวนปราณได้เป็นสิ่งที่ผู้ชมไม่คาดคิดว่าจะได้เห็น!
เจ้าเยี่ยเหมิงตกตะลึง นางถลาตัวถอยไปด้านหลังพลางหลอมตราผนึกขึ้นมา วงแหวนปราณหลายชั้นปรากฎขึ้นตรงหน้านาง ป้องกันนางจากหมัดของหวังเป่าเล่อ
เปรี้ยง!
เจ้าเยี่ยเหมิงหน้าถอดสี วงแหวนปราณช่วยให้นางรอดจากหมัดจู่โจมเร็วของ หวังเป่าเล่อได้แบบฉิวเฉียด ยังไม่จบแค่นั้น หวังเป่าเล่อเป็นผู่มีประสบการณ์ด้านการต่อสู้มาอย่างโชกโชน จังหวะที่นางก้มหลบนั้น มังกรสีม่วงข้างกายหวังเป่าเล่อก็คำราม แล้วพุ่งเข้าโจมตีนางทันที
ในเวลาเดียวกัน สร้อยมือเก็บของของหวังเป่าเล่อส่องแสง กระบี่เหาะเหินสิบสองเล่มบินแหวกอากาศออกมาอย่างรวดเร็ว!
ลมหายใจของเจ้าเยี่ยเหมิงหอบถี่ นางไม่ใส่ใจกระบี่เหาะเหินมากนัก สิ่งที่นางกลัวก็คือ เจ้ามังกรตัวน้อยสีม่วงนั่นต่าง นางประสานมือเข้าหากัน พลางรวบรวมปราณวิญญาณที่ลายร้อมอยู่มารวมกัน ปราณวิญญาณที่รวมกันนั้นปรากฏเป็น มือยักษ์ที่มองไม่เห็นที่ทุบลงไปยังเจ้ามังกรสีม่วงตัวน้อย
เสียงกระแทกนั้นดังสะท้อนไปทั่ว เจ้ามังกรสีม่วงตัวน้อยสลายไป กระบี่เหาะเหินก็กระจายไปคนละทิศเช่นกัน!
จังหวะนั้นเอง นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อส่องประกาย เขายกมือขวาขึ้นชี้ที่ กระบี่เหาะเหินที่กระจายไปนั้น กระบี่เหล่านั้นสั่นไหวและหยุดเองราวกับว่ากลับมาอยู่ในการควบคุมของชายหนุ่มอีกครั้ง กระบี่เหาะเหินหมุนกลับทิศและพุ่งตรงเข้าใส่เจ้าเยี่ยเหมิง!
ทุกสิ่งทุกอย่างทำให้เจ้าเยี่ยเหมิงหยุดนิ่งด้วยความตะลึง สีหน้าของนางหม่นลงในทันที ผู้ชมและอาจารย์ หัวหน้าสาขาและเจ้าสำนักต่างก็ตื่นตะลึงจนนิ่งเงียบกัน ไปหมด
“กระบวนท่าจิตวิญญาณกระบี่! เขาใช้กระบวนท่านี้ควบคุมกระบี่พวกนั้น!”
“จะเป็นไปได้อย่างไรกัน ในขั้นการฝึกตนโบราณ อย่างมากก็คุมได้แค่เล่มเดียวเท่านั้น เป็นไปไม่ได้หรอกที่จะคุมกระบี่ได้พร้อมกันเป็นโหล!”
ผู้ชมต่างพากันสับสนงุนงงด้วยความตกใจ เจ้าเยี่ยเหมิงเองรู้สึกถึงภัยคุกคามที่อาจจะอันตรายถึงชีวิต นางตัดสินใจผิดพลาด กระบี่เหาะเหินที่นางคิดว่าไม่เป็นภัยเท่าใดนัก กลับกลายมาเป็นภัยอันใหญ่หลวงนัก การที่หวังเป่าเล่อควบคุม กระบี่เหาะเหินได้อย่างคล่องแคล่วนั้นเกินความคาดหมายของนางไปไกลโข
แม้กระทั่งผู้เชี่ยวชาญวิชาฝึกตนโบราณยังสามารถคุมกระบี่เหาะเหินได้เล่มเดียว แถมยังควบคุมทิศทางไม่ได้ดั่งใจนึกอีกด้วย เมื่อพูดถึงกระบี่จำนวนนับโหลนั้น อย่างมากก็เพียงแค่สามารถซัดออกไปเป็นเส้นตรงได้เท่านั้นเอง
ในสถานการณ์คับขันเช่นนี้ เจ้าสำนักและผู้มีตำแหน่งอื่นๆ ก้าวออกมา เพื่อเตรียมตัวจะขัดขวางการประลองยุทธ์เอาไว้ อย่างไรก็ดี ในขณะนั้น แสงสีฟ้า ส่องจ้าออกมาจากตาของเจ้าเยี่ยเหมิงราวกับอัญมณี ความรู้สึกแปลกประหลาดแผ่ซ่านไปทั่ว หวังเป่าเล่อเองถึงกับหยุดชะงักด้วยความตื่นตกใจ
ขณะนั้นเอง ปราณวิญญาณที่มองไม่เห็นที่ล่องลอยอยู่รอบๆ ก็พลันปั่นป่วนขึ้นมาในบัดดล โดยมีเจ้าเยี่ยเหมิงเป็นศูนย์กลาง ก่อนแปรสภาพเป็นพายุพุ่งสูงขึ้นไป ยังท้องฟ้า ผลักเอากระบี่เหาะเหินกระจายออกไปคนละทิศอีกครั้ง เจ้าเยี่ยเหมิงปรากฎกายขึ้น ด้วยพลังที่มากขึ้นเพราะพายุนั้น นางพุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่อด้วยความเร็วสูงสุดทันที
ด้วยผนึกในมือนาง ลมหมุนปราณวิญญาณนั้นก่อตัวเป็นวงแหวนปราณจำนวนมากจนน่ากลัว
หวังเป่าเล่อถึงกับหยุดหายใจ ไม่ว่าจะเป็นลมหมุนหรือวงแหวนปราณ บรรดาศิษย์รอบข้างอาจมองไม่เห็น หรือถ้าเห็นก็อาจจะไม่ชัดนัก สำหรับหวังเป่าเล่อแล้วเขาเห็นชัดเจนยิ่ง แม้เขาจะมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น แต่ด้วยความไวต่อ ปราณวิญญาณของเขา ทำให้เขาสามารถสร้างจินตภาพขึ้นในหัวได้อย่างไม่ ยากเย็นนัก
ในจินตภาพนั้น ลมหมุนปราณวิญญาณของเจ้าเยี่ยเหมิงกำลังพัดทำลายทุ่งสิ่ง จนพินาศ วงแหวนปราณวิญญาณจำนวนมากก่อตัวขึ้นและพุ่งเข้ามาหาเขาพร้อมๆ กับเจ้าของ
แสงสีฟ้าที่ส่องออกมาจากดวงตาของเจ้าเยี่ยเหมิงน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง ดูราวกับว่านางได้สูญเสียความเป็นตัวตนไป รังสีอำมหิตที่นางแผ่ออกมานั้นมากเกินกว่าที่นางได้ปล่อยออกมาก่อนหน้านี้มากนัก
ภายใต้สภาวะคับขันเช่นนี้ หวังเป่าเล่อยิ่งตั้งมั่นมากขึ้นอีก ในตอนแรกเขาไม่ได้ตั้งใจจะใช้เมล็ดดูดกลืนนอกจากจะถึงเป็นถึงตายกันจริงๆ แต่ครั้งนี้ดูเหมือนเขาจะ ไม่มีทางเลือก!
ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังจะขยับนั่นเอง เจ้าสำนักก็ปรากฎตัวขึ้น ชายชรายกมือขวาขึ้นและกดลงอย่างรุนแรง เรียกเอาแรงกดดันขนาดมหาศาลที่รุนแรงกว่าของ เจ้าเยี่ยเหมิงหลายเท่าออกมา แรงกดดันนั้นจับเจ้าเยี่ยเหมิงและหวังเป่าเล่อไว้กับที่!
“พอแค่นี้ จบการประลองยุทธ์ได้”
ณ ขณะนั้น หัวหน้าสาขาวงแหวนปราณและอาจารย์เคราแพะเข้ามาประชิดตัวอย่างรวดเร็ว ต่างคนต่างจับตัวหัวหน้าศิษย์ของสาขาตนเองให้แยกออกจากกัน
เมื่อพวกเขาถอยหลังออกไปช้าๆ เจ้าสำนักจึงยกมือขวาขึ้นเพื่อปลดแรงกดดันนั้นออก แสงสีฟ้าในตาเจ้าเยี่ยเหมิงดับไปแล้ว นางสลบไสลไม่ได้สติไปในทันที
หวังเป่าเล่อถึงกับเหงื่อกาฬแตก เขารู้สึกถึงความกลัวอันล้ำลึกเมื่อเห็นแสงสีฟ้าในตาของเจ้าเยี่ยเหมิง แม้กระทั่งปราณวิญญาณในร่างของเขายังปั่นป่วนไปหมด โชคยังดีที่เมล็ดดูดกลืนช่วยกดดันปราณวิญญาณไว้ให้เป็นปกติ
“เจ้าเยี่ยเหมิงใช้พลังเวทที่ควบคุมไม่ได้และสูญเสียตัวตนไปด้วย พลังเวทนั้น ไม่ควรถูกใช้นอกเสียจากจะเป็นสถานการณ์เสี่ยงตายจริงๆ เท่านั้น ในฐานะเจ้าสำนัก ข้าขอตัดสินให้หวังเป่าเล่อชนะการประลองยุทธ์นัดนี้!”
เจ้าสำนักก้มลงมองหวังเป่าเล่อ นัยน์ตาของเขาฉายแววประหลาดใจ ชายชราพอจะเดาได้ว่าความลับเบื้องหลังกระบี่เหาะเหินเกี่ยวข้องกับพลังแม่เหล็ก แต่แม้จะเป็นเช่นนั้น เขาก็ยังคิดว่าหวังเป่าเล่อได้ก้าวหน้าขึ้นไปอีกขั้นแล้ว