บทที่ 86 แผนร้ายของเกาเฉวียน
บทสรุปของการต่อสู้ระหว่างหวังเป่าเล่อและเจ้าเยี่ยเหมิง เป็นสัญญาณบอกว่าการประลองแห่งสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ผ่านมาครึ่งทางแล้ว หลังจากนี้จะเป็นการต่อสู้ระหว่างเหล่าศิษย์ที่ชนะครบสามนัด เพื่อแย่งชิงเก้าอี้ว่างที่เหลืออยู่
สำหรับศิษย์ยอดฝีมือที่ชนะห้าครั้งรวดนั้นมีเพียง 74 คนเท่านั้น!
แน่นอนว่าบรรดายอดฝีมือเหล่านี้เป็นศิษย์ชั้นปีสูงๆ เสียมาก มีศิษย์ปีหนึ่งและ ปีสองแค่ไม่กี่คนเท่านั้น แม้จะมีหลายคนที่เก่งกาจหาตัวจับยาก แต่ประสบการณ์ที่เหล่าศิษย์รุ่นพี่สั่งสมมาหลายปีย่อมทำให้ได้เปรียบอยู่วันยังค่ำ บรรดาศิษย์หน้าใหม่ที่ถือว่าเป็นยอดฝีมือนี้ คิดเป็นเพียงหนึ่งในสิบส่วนของจำนวนศิษย์ที่ชนะรวดห้านัดเท่านั้น
น่าเสียดายที่ไม่ว่าทั้ง 72 คนจะเก่งกาจแค่ไหนก็เป็นได้แค่ตัวประกอบ เมื่อเทียบกับการประลองที่เลื่องลือไปทั่วเกาะของหวังเป่าเล่อและเจ้าเยี่ยเหมิง!
เรื่องราวการต่อสู้ของทั้งสองทำให้ทั้งสำนักต้องสั่นสะเทือน และทำให้ศิษย์น้อยใหญ่อ้าปากค้างด้วยความตื่นตะลึง แม้ในช่วงแรกจะไม่มีใครให้ความสนใจเรื่องนี้มากนัก แต่เรื่องเล่าปากต่อปากเจาะลึกด้วยรายละเอียด ทำให้ใครต่อใครที่ได้ฟังต่างจินตนาการภาพออกมาได้เป็นฉากๆ ทำให้ผู้ที่ไม่ได้ไปดูการต่อสู้นัดนี้ต่างอึ้งทึ่งไปตามๆ กัน
แม้ว่าการประลองระหว่างหวังเป่าเล่อและเจ้าเยี่ยเหมิงจะจบไปแบบ ครึ่งๆ กลางๆ แต่ความสามารถที่ทั้งสองแสดงออกมาเกินจินตนาการของหลายต่อหลายคนไปมาก แม้แต่ศิษย์คนอื่นที่ชนะห้าครั้งรวดอย่างจั่วอี้ฟาน ยังอดรู้สึกเสียวสันหลังวาบจิตใจปั่นป่วนไม่ได้ หวังเป่าเล่อและเจ้าเยี่ยเหมิงเก่งกาจล้ำหน้าพวกเขาไปมากเหลือเกิน!
เหล่าศิษย์ต่างสรุปกระบวนยุทธ์และเคล็ดการตอบโต้ ที่หวังเป่าเล่อและเจ้าเยี่ยเหมิงใช้ห้ำหั่นกันลงในเครือข่ายวิญญาณ ตามมาด้วยการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นที่ปะทุขึ้นอย่างดุเดือดกระทู้แล้วกระทู้เล่า ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ไม่มีคนสนใจคู่ที่เหลืออยู่มากนัก
“เจ้าเยี่ยเหมิงควบคุมพลังปราณรอบตัวเพื่อสร้างวงแหวนปราณภายใน สามลมหายใจ กายาวิญญาณนี่ช่างเหนือชั้นจริงๆ! ไม่อยากจะคิดเลยว่าหลังบรรลุระดับลมหายใจเที่ยงแท้แล้ว ความสามารถในการรวบรวมพลังปราณของนางจะแซงหน้าเพื่อนร่วมรุ่นไปขนาดไหน!”
“ข้าว่าหวังเป่าเล่อก็สุดยอดเหมือนกัน เจ้านั่นหนีรอดออกมาได้เพราะสลัก แก่นวิญญาณมันตรงนั้น เพื่อดูดเอาพลังปราณมาระเบิดกับดักของเจ้าเยี่ยเหมิง! สมแล้วที่เป็นหัวหน้าศิษย์เพียงหนึ่งเดียวของสาขาอาวุธเวท!”
“แถมเจ้าเยี่ยเหมิงยังตอบโต้การโจมตีกลับของหวังเป่าเล่อได้อย่างรวดเร็วเฉียบขาด เกิดมาข้ายังไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนเลย!”
การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างกว้างขวางนี้ มีเรื่องน่าตกใจสองเรื่องด้วยกันที่ทำให้ทุกคน…ตื่นเต้นจนตัวสั่น อย่างแรกคือ แสงสีฟ้าที่เรืองออกมาจากตาทั้งสองข้างของเจ้าเยี่ยเหมิงในช่วงสุดท้ายของการประลอง และความชำนาญหาตัวจับยากของหวังเป่าเล่อในการควบคุมกระบี่เหาะเหินหลายสิบเล่ม
ทุกคนทำได้แค่อ้าปากค้างกับความสามารถเหลือจินตนาการของทั้งสองนี้!
“พลังที่เจ้าเยี่ยเหมิงปล่อยมาในช่วงสุดท้าย ต้องเป็นวิชาลับที่ทรงพลังมากแน่ๆ!”
“หวังเป่าเล่อทำอย่างไรถึงควบคุมกระบี่เหาะเหินได้คล่องมือขนาดนั้นนะ นี่มัน…ไม่น่าใช่อะไรที่ระดับการฝึกตนโบราณจะทำได้นี่!”
การวิเคราะห์นี้ดำเนินไปอย่างไม่รู้จบ จนกระทั่งการประลองที่เหลืออยู่ทั้งหมด ก็ปิดฉากลงโดยสมบูรณ์ ทางสำนักจะรวบรวมรายชื่อยอดฝีมือทั้ง 1,000 คน และจะประกาศให้ทราบโดยทั่วกันในอีกสามวัน
แต่จริงๆ แล้ว รายชื่อฉบับทางการนี้มิได้สำคัญอะไรเลย เพราะว่ามีคนสรุปคะแนนทั้งหมดให้เรียบร้อยแล้วบนเครือข่ายวิญญาณ ทั่วทั้งเกาะต่างรู้ดีว่าใครจะมีชื่ออยู่ในนั้นบ้าง
คนที่น่าสงสารที่สุดคงหนีไม่พ้นศิษย์คนที่ 1,001 ที่พลาดไปแบบฉิวเฉียด และศิษย์ที่พ่ายแพ้ในนัดล้างตา ก้าวเดียวที่พลาดราวกับโลกถล่มทลายลงมาต่อหน้าต่อตา แต่ก็คงทำอะไรไม่ได้นอกจากยอมรับความจริงและเดินหน้าต่อไป
เมื่อได้ข้อสรุปของการประลองทั้งหมดเป็นที่เรียบร้อย บรรยากาศภายใน สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ก็กลับมามีชีวิตชีวา ราวกับทุกคนกลับมาหายใจได้เต็มปอดอีกครั้ง หวังเป่าเล่อใช้เวลานี้ไปกับการฟื้นร่างกายตนเองอยู่ในถ้ำที่พัก เพื่อให้กำลังวังชาที่เสียไป ในการต่อกรกับเจ้าเยี่ยเหมิงกลับมาเหมือนเดิมอีกครั้ง
แม้จะร่างกายจะกลับมาเหมือนเดิมเป็นที่เรียบร้อย ชายหนุ่มก็มิได้ย่างกรายออกไปนอกห้องพักของตนอีกเลย ฉากสุดท้ายของการต่อสู้ที่เจ้าเยี่ยเหมิงระเบิดพลังออกมา ยังฉายวนอยู่ในใจอย่างไม่รู้จักจบจักสิ้น
นางสูญเสียการควบคุมตนเองไปโดยสิ้นเชิงตอนที่แสงสีฟ้าสว่างออกมาจากดวงตาทั้งสองข้าง ดูเหมือนเคล็ดวิชาลึกลับนี้จะเกินกว่าที่ร่างของนางจะคุมไหว นางจึงหมดสติไป หวังเป่าเล่อคิดแล้วก็ตัวตัวสั่น หากเจ้าสำนักไม่ออกมายุติการต่อสู้ ตัวเขาเองยังจินตนาการไม่ออกเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น
เจ้าเยี่ยเหมิงในร่างนั้นแข็งแกร่งเกินไป ช่างดูราวกับว่า…ตัวนางได้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับพลังปราณในอากาศอย่างนั้นแหละ!
เมื่อคิดได้ดังนั้นหวังเป่าเล่อก็พลันขรึมขึ้นมา ชายหนุ่มเดินไปทิ้งตัวลงนั่งที่ระเบียงและหลับตา ภาพเหตุการณ์ยังคงฉายซ้ำไปมาในใจ เขาเริ่มคิดวิเคราะห์ว่ามีจุดใดบ้างในการประลองนั้นที่ตนยังต้องแก้ไข
หวังเป่าเล่อชอบวิเคราะห์เหตุการณ์ในอดีต นี่เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เขาเรียนรู้มาจากอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานระดับสูง การวิเคราะห์วิจารณ์ทั้งวิธีการที่เขาปฏิบัติต่อผู้คนหรือการต่อสู้ จะทำให้เขาลับคมฝีมือตนเองได้มากขึ้นไปอีก
………………
ณ ใจกลางยอดเขาเจ้าสำนักมีห้องโถงที่สร้างจากหยกสลัก แม้โถงนี้จะไม่หรูหราโอ่อ่าเท่าห้องโถงของเจ้าสำนัก แต่ก็ยังคงงามจับใจ
ห้องโถงนี้เป็นที่ที่รองเจ้าสำนักใช้ทำงานและพักอาศัย
แม้อำนาจในฝ่ายวินัยสำนักจะเปลี่ยนมือไปเป็นของผู้อื่นเรียบร้อย อันเป็นผลมาจากเหตุการณ์ที่ป่าฝนบ่อเมฆของหวังเป่าเล่อ แต่เกาเฉวียนก็ยังคงดำรงตำแหน่ง รองเจ้าสำนักและมีอำนาจอยู่เต็มเปี่ยมเช่นเดิม
ในห้องใต้หลังคาหลังโถงอันโอ่อ่ามองออกไปเห็นทัศนียภาพเบื้องหน้า ชายวัยกลางคนในชุดดำยืนอย่างเงียบเชียบอยู่ข้างกายเขา ชายผู้นี้เป็นอาจารย์ ท่านหนึ่งในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาเป็นผู้นำของฝ่ายวินัยสำนัก และเป็น คนเดียวกันกับที่กล่าวหาหวังเป่าเล่อว่าโกงการทดสอบเมื่อหนึ่งปีก่อนด้วยเช่นกัน อาจารย์ท่านนี้ลังเลอยู่ชั่วครู่แต่ก็ตัดสินใจพูดออกมาด้วยเสียงอันแผ่วเบา
“ท่านรองเจ้าสำนักขอรับ…ท่านต้องการเช่นนั้นจริงๆ หรือ”
รองเจ้าสำนักมองออกไปยังท้องฟ้ากว้างใหญ่ไพศาล และเอ่ยออกมาโดยไม่หันกลับไปมอง “เจ้ากลัวหรือ”
“นิดหน่อยขอรับ” ชายวัยกลางคนในชุดดำหัวเราะฝืด “บัดนี้หวังเป่าเล่อกลายเป็นหัวหน้าศิษย์หนึ่งเดียวในสาขาอาวุธเวท และเพิ่งทำให้คนทั้งเกาะทึ่งในทักษะการต่อสู้เมื่อไม่กี่วันก่อน เจ้าเด็กนั่นมีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในเกาะ แล้วเหตุใดเราจึงยังต้องไปหาเรื่องมันอีกเล่าขอรับ
“ต่อให้เราตัดสิทธิ์มันในรายชื่อผู้ผ่านการทดสอบ 1,000 คน เจ้าสำนักก็คงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเมื่อทราบข่าว และคืนตำแหน่งให้กับมันอยู่ดี ท่านคงมิวายโดยลงโทษอย่างแน่นอนนะขอรับ”
ขณะที่พยายามพูดจาชักจูงนั้น ชายวัยกลางคนในชุดดำดูไม่เข้าใจเลย ว่าเหตุใดรองเจ้าสำนักถึงต้องการให้เขาตัดชื่อหวังเป่าเล่อออกจากรายชื่อผู้ผ่านการทดสอบ หลังจากที่รวบรวมความกล้าได้เขาก็เอ่ยว่า
“ยิ่งไปกว่านั้น…หลินเทียนหาวก็ถูกขับออกจากการเป็นศิษย์เรียบร้อยแล้ว…”
แต่ชายผู้นั้นไม่ได้พูดต่อให้จบ จริงๆ แล้วก่อนหน้านี้ตัวเขาเองไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยถึงหลินเทียนหาว และก็ไม่ได้อยากขัดแข้งขัดขาหวังเป่าเล่ออีกเช่นกัน เพราะบัดนี้ เขาแน่ใจแล้วว่าหวังเป่าเล่อจะได้ไปศึกษาต่อที่เกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงอย่างแน่นอน การสร้างศัตรูอีกคนไม่ได้เป็นประโยชน์กับตัวเขาเลย แต่ก็ปฏิเสธคำขอของ รองเจ้าสำนักไม่ได้ ดังนั้นทางออกสุดท้ายที่เหลืออยู่ คือการพยายามโน้มน้าว รองเจ้าสำนักให้ละทิ้งความคิดบ้าๆ นี้เสีย
“หลินเทียนหาวน่ะหรือ” รองเจ้าสำนักแค่นเสียงหัวเราะออกมา เมื่อได้ยินคำพูดของชายในชุดดำ สายตาเหยียดหยามที่ไม่ยอมให้ผู้ใดเห็นฉายชัดขึ้นมาในแววตา “เลิกชักแม่น้ำทั้งห้าเสียที บอกมาว่าเจ้าจะทำหรือไม่ทำ”
เกาเฉวียนหันหน้ากลับมามองชายวัยกลางคนในชุดดำด้วยสายตาเย็นเยียบ ทำให้ชายผู้นั้นรู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาลในทันที เหงื่อเม็ดเป้งผุดขึ้นบนหน้าผาก
หลังจากคิดอยู่ชั่วครู่เขาก็กัดฟันตอบ “ทำขอรับ!”
“อย่างนั้นก็ไปจัดการเสีย เจ้ามีเวลาสามวัน เมื่อรายชื่อออกมาเรียบร้อยก็ส่งมาให้ข้าดูด้วย” เกาเฉวียนหันกลับไปมองทัศนียภาพด้านนอกพลางพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ อาจารย์วัยกลางคนรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก แต่ก็รู้ดีเช่นกันว่าตนไม่มีทางเลือกอื่น เขาพยักหน้าและขอตัวออกมาเพื่อจัดการภารกิจให้เสร็จสิ้นตามที่ได้รับมอบหมาย
สายตาเหยียดหยามของเกาเฉวียนชัดขึ้นกว่าเดิม เมื่อชายในชุดดำออกไปจากห้อง
เจ้าคิดว่าข้าด้อยค่าขนาดต้องประคบประหงมลูกชาย เพื่อเอาใจพ่อมันที่เป็นเสนาบดีอย่างนั้นหรือ
ข้าไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว เจ้าสำนักที่ดูเหมือนจะคิดว่าตนเองคุมทุกคนอยู่หมัด บอกให้ข้าทำตัวให้มีค่าขึ้น
ตาแก่นั่น…คิดว่าข้าไม่รู้แผนสกปรกของมัน ที่ชอบทำเป็นห่วงเป็นใยผู้ใต้บังคับบัญชา ก่อนจะกำจัดให้สิ้นซากอย่างนั้นหรือ คิดว่าข้าตามไม่ทันรึอย่างไรกัน เกาเฉวียนคิด สีหน้าดูถูกของเขาหายไปปรากฏเป็นความเกลียดชังระคนอับจนหนทางเข้ามาแทนที่
อย่างไรตำแหน่งของหวังเป่าเล่อก็จะกลับมาอย่างรวดเร็ว แต่หากข้าไม่พยายามขัดขามัน หากข้าไม่สร้างศัตรู ไม่พยายามแสดงอำนาจ…ตาแก่นั่นก็จะเห็นว่าที่มันแสร้งทำเป็นแนะนำข้านั้นไม่ได้ผล แล้วมันจะต้องไม่พอใจแน่ ถ้ามันรู้ว่าควบคุมข้าไม่ได้ มันก็จะขับไล่ไสส่งข้าไป ข้าต้องทำให้มันรู้ว่า ถ้ามันทำแบบนั้นมันจะพลาดโอกาสอะไรงามๆ ไป
เกาเฉวียนกำหมัดแน่น
ยิ่งข้าสร้างศัตรูมากเท่าไหร่ ทำลายคนมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งจะมีคนอยากกำจัดข้ามากเท่านั้น แต่ก่อนที่พวกมันจะทำอะไรได้ ก็ต้องไปขอการอนุมัติจากตาแก่เจ้าสำนักก่อนเสมอ ถึงอำนาจของเจ้าสำนักจะไม่ได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดในเกาะมหาปราชญ์ ชั้นรอง แต่ก็ยังถือว่าแข็งแกร่งอยู่มาก
หากมีใครอยากกำจัดข้าก็ต้องไปเจรจากับเขาก่อน ยิ่งข้ามีศัตรูมากเท่าไหร่ ไร้ความปรานีและรอบคอบมากเท่าไหร่ คนก็จะยิ่งเกลียดข้ามากเท่านั้น เมื่อเป็น แบบนี้ข้าก็จะกลายเป็นชายที่ทุกคนต้องการตัว แล้วเมื่อตาแก่นั่นไปเจรจาต่อรองกับผู้อื่น มันก็ได้จะอานิสงส์ความโด่งดังของข้าไปด้วย ตาแก่นั่นเองมันก็คงคิดว่าในอนาคตไอ้หวังเป่าเล่อนี่ก็คงจะมาเจรจาขอแก้แค้นข้าไปด้วยแน่นอน
ด้วยความคิดที่ว่ายิ่งมีคนเกลียดมากเท่าไหร่ ก็จะทำให้เจ้าสำนักยุ่งอยู่กับการเจรจาต่อรองผลประโยชน์กับพวกที่ต้องการล้างแค้น จนไม่มีเวลามาสนใจเขา เกาเฉวียนคิดว่าตนจะมีเวลาวางแผนการเพื่อกรุยทางให้ตนเองมากขึ้นกว่าเดิม
ขอเวลาแค่พอให้ข้าออกไปจากที่นี่ได้เท่านั้น!
ประกายดุร้ายในตาของเกาเฉวียนรุนแรงขึ้น ส่งให้เขาไร้ความปรานีมากยิ่งขึ้นไปอีก เขารู้สึกเหมือนจะโดนเจ้าสำนักกำจัด ก่อนที่จะได้ย้ายไปประจำการที่อื่น ด้วยเหตุนี้เกาเฉวียนจึงต้องการใช้หวังเป่าเล่อเพิ่มอำนาจในการต่อรองให้ตนเอง เกาเฉวียนรู้นิสัยใจคอของเจ้าสำนักดียิ่งกว่าใคร เขาเข้าใจดีว่าหากเดินหมากแบบนี้ เจ้าสำนักจะหยุดความคิดที่จะกำจัดเขาเพื่อหาประโยชน์จากสถานการณ์นี้ให้เรียบร้อยก่อน
สำหรับหวังเป่าเล่อนั้นก็หาใช่มดปลวกไม่ แต่เจ้าเด็กนั่นก็เทียบชั้นกับเขาไม่ได้แม้แต่น้อย
ถึงมันจะเป็นหัวหน้าศิษย์หนึ่งเดียวในสาขาอาวุธเวท ต่อให้ทุกคนตื่นตาตื่นใจกับความสามารถในการประลองยุทธ์ของมันเพียงใด แล้วอย่างไรเล่า ถึงอย่างไรความสามารถของข้าก็ยังทิ้งชั้นห่างจากเด็กนั่นอย่างแน่นอน
ข้าสำเร็จขั้นต้นของระดับลมหายใจเที่ยงแท้ แต่เจ้านั่นบรรลุแค่จุดสูงสุดของระดับการฝึกตนโบราณ ในเมื่อเขาทำอะไรข้าไม่ได้ก็ต้องทนไป เพราะเขายังไม่แข็งแกร่งพอต่อกรกับข้าได้เอง!
ใช่ ข้าหาเรื่องเขา แล้วอย่างไรเล่า ถึงในอนาคตเขาจะบรรลุระดับลมหายใจเที่ยงแท้แล้วอยากแก้แค้น เขาก็ต้องไปฝึกวิชาที่เกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงก่อน เวลานั้นข้าก็คงไปไกลแล้ว กว่าจะถึงตอนนั้น…
เกาเฉวียนหลับตาลง ริมฝีปากตวัดขึ้นเป็นยิ้มเยาะ
ไอ้เด็กนั่นมันก็คงไม่มีโอกาสจะมาล้างแค้นข้าเสียแล้ว!