บทที่ 87 เกินทน!
หนึ่งราตรีผ่านไป
หวังเป่าเล่อทบทวนเหตุการณ์ในอดีตและทำสมาธิเสร็จเรียบร้อย ก็ได้รับข้อความจากเจ้าสำนักที่แจ้งว่า มิติเวทของสำนักศึกษาเต๋าทั้งสี่จะเปิดออกในอีกหนึ่งเดือน ต่อจากนี้ ท่านเจ้าสำนักยังกระตุ้นหวังเป่าเล่อให้เริ่มเตรียมพร้อมให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
เขามีเวลาเพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น
ข้าจะต้องบรรลุระดับลมหายใจเที่ยงแท้ให้ได้! หวังเป่าเล่อตั้งใจอย่างแน่วแน่ ก่อนติดต่อเซี่ยไห่หยางเพื่อขอซื้อโอสถและวัตถุดิบในการหลอมวัตถุเวท โดยยินดีจ่ายเป็นศิลาวิญญาณจำนวนมาก
หวังเป่าเล่อทุ่มสุดตัวเพื่อโอกาสทองนี้
ด้านเซี่ยไห่หยางเองก็มีงานเข้ามาไม่ขาดสายเช่นกัน ทั้งคำสั่งซื้อเพื่อการสอบปลายภาคและบททดสอบมิติเวทจากศิษย์มากหน้าหลายตา นามของเซี่ยไห่หยางในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นที่เลื่องลือและน่าเชื่อถือมาก แต่ไม่ว่าเจ้าตัวจะยุ่งอย่างไร เขาก็ยังกระวีกระวาดมารับข้อความของหวังเป่าเล่อเสมอ
หวังเป่าเล่อนั้นเป็นคนใจกว้าง และตัวเซี่ยไห่หยางก็เชื่อมั่นว่ารุ่นน้องคนนี้จะ ก้าวขึ้นไปศึกษาที่เกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงได้สำเร็จ หากเขารักษาความสัมพันธ์อันดีกับหวังเป่าเล่อไว้ การขยายกิจการไปที่เกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงคงไม่ไกลเกินเอื้อม
ดังนั้นเซี่ยไห่หยางจึงสัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะกับหวังเป่าเล่อ ว่าจะส่งวัตถุดิบทั้งหมดให้อย่างแน่นอน แถมยังลดราคาให้ด้วย
“เป่าเล่อสหายร่วมสำนักข้า เจ้าวางใจได้เลย เซี่ยไห่หยางคนนี้จะส่งทุกสิ่งที่เจ้าต้องการให้ภายในเจ็ดวันอย่างแน่นอน!”
หวังเป่าเล่อประหลาดใจเมื่อได้ยินคำมั่นของเซี่ยไห่หยาง เพราะทุกสิ่งที่เขาสั่งล้วนเป็นของล้ำค่าที่ต้องการในปริมาณมากทั้งสิ้น คำมั่นของเซี่ยไห่หยางว่าจะส่งของทั้งหมดให้เขาในเวลาอันรวดเร็ว ทำให้หวังเป่าเล่อพอใจมาก ชายหนุ่มรู้สึกขอบคุณที่สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์มีเซี่ยไห่หยางอยู่ เพราะนี่ทำให้ชีวิตของเขาง่ายขึ้นมากเหลือเกิน
หวังเป่าเล่อเฝ้ารอให้สินค้ามาส่งจนหลายวันล่วงเลยไป ในที่สุดรายชื่อของ ยอดฝีมือ 1,000 คนที่ผ่านเข้าไปยังบททดสอบมิติเวทของทั้งสี่สำนักศึกษาเต๋า ก็ออกมาให้ทุกคนได้รับทราบบนเครือข่ายวิญญาณ
แน่นอนว่าบรรดาชื่อที่ปรากฏอยู่นั้นไม่ได้ทำให้ใครแปลกใจแม้แต่น้อย แต่เหล่าศิษย์ก็ยังอดไม่ได้ที่จะตรวจดูให้แน่ใจ เมื่ออ่านทวนดูรอบแรกก็ดูไม่ได้มีอะไรผิดสังเกต แต่ทุกคนก็ต้องเบิกตากว้างและร้องออกมาด้วยความตกใจ เมื่อสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง
“ไม่มีชื่อหวังเป่าเล่อ!”
“บ้าไปกันใหญ่แล้ว! จะเป็นไปได้อย่างไรกัน”
“หวังเป่าเล่อชนะห้านัดรวด แถมยังพิสูจน์ความสามารถอันเหนือชั้นให้เป็นที่ประจักษ์ จะไม่มีชื่อเขาได้อย่างไร บ้าหรือเปล่า!”
ท่ามกลางความกังขาของคนทั้งเกาะ เครือข่ายวิญญาณก็ระเบิดอีกครั้งด้วยกระทู้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นมากมายนับไม่ถ้วน หลังจากที่หลิวต้าวปินเห็นว่าไม่มีชื่อ หวังเป่าเล่ออยู่ในนั้น เขาก็ตกใจเป็นอย่างมากและไม่รีรอที่จะส่งข้อความไปแจ้งข่าวหัวหน้าตนในทันที
หวังเป่าเล่อที่กำลังนั่งสมาธิอยู่นั้นไม่ได้ตรวจดูรายชื่อแต่อย่างใด ทันทีที่ได้ยินข้อความเสียงจากหลิวต้าวปิน ชายหนุ่มก็ตัวแข็งด้วยความตกใจ ก่อนที่จะได้เปิดเครือข่ายวิญญาณเพื่อตรวจสอบดูว่าจริงหรือไม่นั้น ชายหนุ่มก็ได้รับข้อความมากมายจากผู้คนนับไม่ถ้วน เพื่อแจ้งข่าวว่าชื่อของเขาหายไปจากรายชื่อผู้ผ่านการทดสอบ
“เป็นไปไม่ได้!” หวังเป่าเล่อไม่อยากเชื่อหูตนเอง หัวใจของเขาเต้นเร็วจนแทบระเบิดอยู่ในอก เขารีบเปิดเครือข่ายวิญญาณเพื่อหาชื่อตนในทันที พักหนึ่งสีหน้าของเขาก็บูดเบี้ยว ไม่มีชื่อของเขาอยู่ในนั้นจริงๆ เสียด้วย
ไม่กี่อึดใจหลังข่าวนี้สร้างความชุลมุนไปทั่วเกาะ ฝ่ายวินัยสำนักก็ออกแถลงการณ์เพื่อแจ้งเหตุผลให้ทุกคนได้รับทราบ
“หลังตรวจสอบเป็นที่เรียบร้อย พบว่าหวังเป่าเล่อใช้อำนาจของตนในฐานะหัวหน้าศิษย์ในทางไม่ชอบ เพื่อบังคับคู่ต่อสู้อู๋ไห่เซินให้ยอมแพ้โดยยังไม่ทันเริ่มประลอง นี่ถือเป็นการกระทำที่ละเมิดกฎของสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ หวังเป่าเล่อจึงถูกตัดสิทธิ์จากการทดสอบนี้ด้วยประการทั้งปวง!”
คำชี้แจงนี้ประกาศออกมาด้วยข้อความสั้นๆ ง่ายๆ โดยไม่พยายามแม้แต่จะขยายความให้ชัดเจน หรือปิดบังเจตนาร้ายใดๆ แต่ออกมาพร้อมวิดีทัศน์คำให้การของศิษย์นามอู๋ไห่เซิน ที่กล่าวหาหวังเป่าเล่อว่าใช้อำนาจขู่เข็ญให้ตนยอมแพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มประลอง
แน่นอนว่าบางคนก็เชื่อว่านี่เป็นความจริง แต่คนส่วนใหญ่กลับมองว่าไม่มีมูลเอาเสียเลย
“บ้าบอที่สุด!”
“ยืนดูจากดวงอาทิตย์ยังรู้เลยว่านี่มันเล่นสกปรกชัดๆ!”
“รองเจ้าสำนักเกาเฉวียนอาฆาตหัวหน้าศิษย์หวังเป่าเล่อมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ต้องเป็นฝีมือเขาแน่”
“ไร้ความยุติธรรมสิ้นดี!”
เมื่อทราบดังนั้น หวังเป่าเล่อที่นั่งอยู่ในถ้ำที่พักก็เดือดปุดด้วยความโกรธ เขาหายใจถี่ด้วยแรงโทสะ เส้นเลือดสีเขียวปูดโปนขึ้นบนหน้าผาก ดวงตาของเขา เอ่อล้นด้วยอารมณ์โมโหที่ควบคุมแทบไม่อยู่ สิ่งแรกที่เขาทำคือฉวยเอาแหวนสื่อสารขึ้นมาเพื่อส่งข้อความไปหาเจ้าสำนัก แต่ชายหนุ่มก็ชะงักไปกลางคัน
ข้าจะหุนหันพลันแล่นไม่ได้ ต้องทำใจให้เย็นลงก่อน หวังเป่าเล่อหายใจเข้าลึกเพื่อควบคุมอารมณ์ของตน แม้จะยังเดือดพล่านด้วยความโมโห เขาก็เริ่มเห็นว่าไม่มีอะไรต้องกลัว เพราะคำชี้แจงจากฝ่ายวินัยสำนักนั้นไม่มีมูล
สิ่งที่เขาต้องทำคือหาให้ได้ว่าใครกันแน่ที่อยู่เบื้องหลัง เนื่องจากศึกษาอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานระดับสูงมาอย่างทะลุปรุโปร่ง หวังเป่าเล่อจึงรับรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าเรื่องนี้ไม่ชอบมาพากล
หลินเทียนหาวอย่างนั้นหรือ หรือเกาเฉวียน หรือจะเป็นท่านเจ้าสำนัก หวังเป่าเล่อคิดทบทวนไปมา คิ้วขมวดแน่นขณะวางแหวนสื่อสารลง ดวงตาของเขาแวววาว เมื่อตัดสินใจได้ว่าจะรอดูสถานการณ์ไปก่อน
ไม่นานเกินรอ ฝ่ายยอดเขาเจ้าสำนักก็ประกาศข้อความคืนตำแหน่งให้กับ หวังเป่าเล่อออกมา โดยให้เหตุผลว่าเขาไม่ได้ละเมิดกฎอันใดในการประลอง!
แถมน้ำเสียงของเจ้าสำนักในประกาศนั้นยังเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด และต่อว่าฝ่ายวินัยสำนักอย่างรุนแรงเสียด้วย
ความรวดเร็วในการออกประกาศมาแก้สถานการณ์ของฝ่ายเจ้าสำนัก และน้ำเสียงที่แสดงความไม่พอใจเป็นอย่างมากนี้ ทำให้ทั่วทั้งเกาะเต็มไปด้วยความตื่นเต้นอีกครั้ง ทุกคนบนเครือข่ายวิญญาณรู้สึกยินดีที่เหตุการณ์อันไร้ซึ่งความยุติธรรมนี้จบลงอย่างรวดเร็ว และต่างพากันชื่นชมการตัดสินใจอันเด็ดขาดของเจ้าสำนักอย่างไม่หยุดปาก
“ท่านเจ้าสำนักนี่น่ายกย่องเสียจริง!”
“ฮ่าๆ นี่แหละความยิ่งใหญ่ของสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์!”
“ขอบคุณที่คืนความสงบสุข ความโปร่งใส และความยุติธรรมให้พวกเราอีกครั้ง!”
หลิวต้าวปินและพวกต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก มีเพียงหวังเป่าเล่อเท่านั้นที่ยังคงนิ่งเงียบ เขาก้มหน้าลงมองแหวนสื่อสาร หลังส่งข้อความไปหาท่านเจ้าสำนักเป็นครั้งที่สอง หวังเป่าเล่อก็ได้รับข้อความตอบกลับที่ระบุชื่อของชายคนหนึ่ง
เกาเฉวียน! หวังเป่าเล่อแทบจะมอดไหม้ด้วยความโกรธ ต่อให้ชื่อของเขาจะกลับมาแล้ว แต่ก็ชัดเจนว่าเกาเฉวียนใช้เขาเป็นเครื่องมือ แถมยังถือโอกาสนี้ข่มขู่เขาไปในตัวด้วย
หลินเทียนหาวก็ถูกไล่ออกไปแล้ว ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ว่านี่จะเป็นคำสั่งของหมอนั่น ต่อให้เป็นหมอนั่นจริงก็ไม่ได้มีความหมายอะไรกับหวังเป่าเล่อแม้แต่น้อย มันทำได้อย่างมากก็ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกขยะแขยงในความน่าสมเพชเท่านั้น ส่วนท่าน เจ้าสำนักนั้นก็ไม่จำเป็นต้องใช้เขาเป็นเครื่องมือในการอวดเบ่งว่าตนมีอำนาจล้นเหลือแน่นอน เมื่อคิดได้ดังนี้ หวังเป่าเล่อก็สรุปได้ว่าต้องเป็นเกาเฉวียนอย่างแน่นอน!
ไอ้เกาเฉวียน บังอาจมาใช้ข้าเป็นเครื่องมือเพื่อให้ท่านเจ้าสำนักได้แสดงอำนาจ มันต้องมีอะไรมากกว่านี้แน่ ข้าไม่รู้ว่ามันต้องการอะไร แต่มันก็ยังไม่เลิกพยายามทำลายข้าเสียที ไอ้ชาติชั่ว!
หวังเป่าเล่อชกพื้นด้วยความโกรธ พยายามควบคุมอารมณ์ด้วยการกำหนด ลมหายใจนั้น แต่ยังกำหมัดแน่น
ตอนแรกมันพยายามไล่ข้าออกจากสำนักเพราะหาว่าข้าโกง…อันนั้นก็ยังพอรับได้ แล้วมันก็ส่งข่าวลวงมาให้ข้า ทำให้ข้าเกือบต้องเอาชีวิตไปทิ้งในป่า แต่ข้าก็ปล่อยให้มันลอยนวลเพราะเห็นว่ามันเป็นถึงรองเจ้าสำนัก สองครั้งก็แทบจะเหลืออดแล้ว แต่สามครั้งนี่ มันจะหยามข้ามากเกินไปแล้ว!
หวังเป่าเล่อข่มอารมณ์โกรธอย่างไม่เป็นผล แต่ก็ระบายออกมาไม่ได้เช่นกัน เขารู้สึกอึดอัดใจเป็นอย่างมาก
ความจริงแล้วมีหลายคนในสำนักที่เดาออกว่าจริงๆ แล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่นี่เป็นเรื่องที่ไม่ได้กระทบถึงพวกเขา จึงไม่จำเป็นต้องป่าวประกาศให้ใครต่อใครทราบ นี่ก็เพราะผู้ที่เข้าใจสถานการณ์นั้น ส่วนใหญ่เป็นผู้มีตำแหน่ง มีหน้ามีตาในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ คงโง่สิ้นดีถ้าจะออกมาอวดเบ่งป่าวประกาศให้ชาวบ้านรับรู้ถึงความไม่ชอบมาพากลนี้ เหมือนแกว่งเท้าหาเสี้ยนอย่างไรอย่างนั้น
หวังเป่าเล่อคับแค้นใจมาก หากเป็นคนอื่นที่จ้องจะทำลายเขา ชายหนุ่มคงเข้าไปอัดให้น่วมเสียแล้ว คงไม่ปล่อยให้มันเดินลอยหน้าลอยตาไปมาจนถึงทุกวันนี้ แต่หลังจากเหตุการณ์เสี่ยงตายที่ป่าฝนบ่อเมฆ หวังเป่าเล่อก็ได้รู้ว่ารองเจ้าสำนักนั้นเป็นผู้ฝึกตนระดับลมหายใจเที่ยงแท้
หวังเป่าเล่อรู้ตัวดีว่าตนนั้นไม่อาจต่อกรกับผู้ฝึกตนระดับนั้นได้ ด้วยความโกรธแค้นที่อัดแน่นในจิตใจ เขาส่ายหน้าอย่างแรงเพื่อเรียกสติ ก่อนหยิบเอาหน้ากากนิลขึ้นมาและเดินทางเข้ามิติมายาไป
ท่ามกลางธารน้ำแข็งขาวโพลนสุดลูกหูลูกตาในมิติมายา หวังเป่าเล่อเริ่มพูดกับหน้ากาก พลางข่มอารมณ์โกรธรุนแรงในจิตใจไว้
“แม่นางน้อย มีผู้ฝึกตนระดับลมหายใจเที่ยงแท้พยายามจะทำลายข้า เจ้ามีเคล็ดลับ ที่จะทำให้ข้าบรรลุปราณระดับลมหายใจเที่ยงแท้เดี๋ยวนี้หรือไม่”
หน้ากากกะพริบแสงวาบ ก่อนคำตอบจะฉายชัดขึ้นมา
“ไม่มี!”
“เช่นนั้น…เจ้าพอรู้หรือไม่ว่าผู้ที่มีเพียงพลังปราณขั้นการฝึกตนโบราณจะโค่น ผู้ฝึกตนระดับลมหายใจเที่ยงแท้ได้อย่างไรบ้าง”
“ไม่รู้!”
คำตอบของหน้ากากนิลมีแต่คำปฏิเสธ หวังเป่าเล่อรู้สึกหมดกำลังใจในทันทีที่ได้อ่าน ชายหนุ่มส่ายหน้า กดความรู้สึกผิดหวังที่ก่อตัวขึ้นในใจ ก่อนจะพยายามกลืนความรู้สึกขุ่นเคืองลงไป เขาตัดสินใจว่าจะรอให้ตนบรรลุปราณระดับลมหายใจ เที่ยงแท้ก่อน จึงจะตามล้างแค้นเกาเฉวียนให้จงได้
แต่ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังจะเตรียมตัวเดินทางกลับไปสู่โลกความจริงนั้น หน้ากากลึกลับก็พลันกะพริบแสงวาบขึ้นในเสี้ยววินาทีหนึ่ง หากมีแม่นางน้อยอาศัยอยู่ในหน้ากากนี้จริงอย่างที่หวังเป่าเล่อคาด แสงที่กะพริบนั้นก็คงเปรียบเสมือนสายตาที่วาววับด้วยเล่ห์กลของนาง ราวกับเพิ่งนึกเรื่องพิเรนทร์ออก
ประโยคหนึ่งปรากฏขึ้นบนหน้ากากอย่างรวดเร็ว พลันสายฟ้าก็ฟาดลงมาเพื่อเรียกความสนใจของหวังเป่าเล่อให้ย้อนนึกไปถึงเรื่องเก่าๆ
หวังเป่าเล่อที่กำลังพึมพำอยู่คนเดียวในใจด้วยความผิดหวัง สะดุ้งเฮือกขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นสายฟ้าฟาด พอก้มหน้าลง ชายหนุ่มก็เห็นสิ่งที่หน้ากากสาธยายและ หยุดเดินในทันที ดวงตาของเขาเบิกกว้างขึ้น ท่วมท้นด้วยความตื่นเต้นดีใจ
“การฝึกตนโบราณเป็นการฝึกร่างกายอย่างมีลำดับขั้น โดยจุดสูงสุดคือขั้น สรีระทองคำ หากเจ้าบรรลุปราณขั้นสรีระทองคำ เจ้าก็อาจจะต่อกรกับผู้ฝึกตนระดับลมหายใจเที่ยงแท้ได้!”
ราวกับรู้ว่านี่ยังจูงใจไม่พอ อีกประโยคหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตามมา
“ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ หากเจ้าได้ลมหายใจเที่ยงแท้ ขณะที่บรรลุขั้นสรีระทองคำเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เจ้าก็จะได้พลังพิเศษที่ไม่มีผู้ใดทัดเทียม!”