Skip to content

A World Worth Protecting 94

บทที่ 94 เจ้าหาเรื่องข้าทำไม

ในยามเย็น ทะเลทรายถูกโอบล้อมด้วยแสงอุ่นสีแดง เหล่าศิษย์มองเห็น        โครงกระดูกของสัตว์ร้ายจมอยู่ในผืนทรายกว้างใหญ่ ความร้อนระอุพัดเข้าปะทะร่างกายพวกเขา ราวกับต้องการจะดูดความชุ่มชื้นจากผืนดินให้แห้งเหือด

แรงกดดันมหาศาลซัดออกมาจากผืนทราย ทำให้เรือบินเริ่มเสียศูนย์จนสั่นไป  ซ้ายทีขวาทีราวลางร้าย โดยเฉพาะที่เกราะกำบังด้านนอก

อุณหภูมิร้อนระอุนี้ทำให้ทุกคนรู้สึกราวกับว่าโลกกำลังลุกเป็นไฟ ผู้ที่ออกจากอาณาเขตเวทของเรือบินคงจะแห้งตายกลายเป็นซากในทันที

ภาพตรงหน้านี้ทำให้ทุกคนใจกระตุก ดวงตาของจั่วอี้ฟานแวววับ ส่วนเจ้าเยี่ยเหมิง    ก็มีประกายระริกในแววตา แม้จะดูสงบนิ่งในภายนอก คนอื่นๆ ก็มีสีหน้าไม่ต่างกัน

หวังเป่าเล่อเองก็หายใจเร็วขึ้นด้วยความพรั่นพรึง เขาถอยหลังไปสองสามก้าวโดยไม่รู้สึกตัว ถดหนีออกมาจากราวจับริมดาดฟ้าเรือ โชคดีที่มีกระแสลมพัดมา      ปัดเป่าอากาศร้อนออกไปได้บ้าง เรือบินที่ดูเหมือนกำลังจะลุกเป็นเปลวเพลิงก็      ปรับสภาพได้ อากาศกลับเป็นปกติในทันที ทุกคนจึงเริ่มใจเย็นลง

ไกลสุดสายตาของทุกคน มีพื้นที่อุดมสมบูรณ์ขนาดใหญ่ปรากฏขึ้น!

ขอบเขตของดินแดนกลางทะเลทรายนี้กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ราวกับโลกขนาดย่อมๆ อีกใบหนึ่ง ในนั้นมีทั้งหุบเขาและแม่น้ำ และมีภูเขาลูกหนึ่งตั้งอยู่ตรงใจกลาง แต่ทัศนวิสัยของมันกลับไม่ชัดเจนนัก ราวกับว่ามีพลังประหลาดโอบล้อมพื้นที่นี้ไว้   ทำให้ทุกอย่างพร่าเลือน เพื่อกันไม่ให้ผู้มีลมหายใจเที่ยงแท้ย่างกรายเข้าไปได้

ท่าเรือบินขนาดย่อมตั้งอยู่ข้างๆ ดินแดนกลางทะเลทราย มีอากาศยานสีขาว สีดำ และสีส้มจอดเทียบท่าอยู่ มีคนอีกราวสามพันคนในชุดคลุมสีขาว ดำ และส้มยืนรออยู่ที่จัตุรัสบนท่านั้น

จัตุรัสนั้นมีฉากล้อมรอบอยู่ เมื่อกระแสลมร้อนพัดเอาทรายออกไปให้พ้นทาง      ก็เผยให้เห็นถนนเส้นเล็กที่ทอดยาวไปยังดินแดนกลางทะเลทรายแห่งนั้น ดูเหมือนว่านี่จะเป็นทางเข้าทางเดียวที่ปลอดภัย

อาณาบริเวณรอบนอกฉากจัตุรัสนั้น ดูเหมือนจะร้อนเกินกว่าที่มนุษย์จะย่างกรายเข้าไปได้

ด้านข้างจัตุรัสมีอนุสาวรีย์สร้างจากหิน สูงตระหง่านราวเมตรครึ่งตั้งอยู่ อนุสาวรีย์นั้นสลักคำไว้สามคำ

หมู่บ้าน ลมปราณ วิญญาณ!

สถานที่แห่งนี้คือ ชิ้นส่วนจากกระบี่สำริดที่ใหญ่ที่สุดบนโลก ภายใต้การควบคุมของสำนักศึกษาเต๋าทั้งสี่…หมู่บ้านลมปราณวิญญาณนั่นเอง!

เรือบินสามลำที่จอดเทียบท่าอยู่นั้นเป็นของสำนักศึกษาเต๋าอีกสามสำนัก เนื่องจากสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์อยู่ไกลที่สุดจึงมาถึงเป็นกลุ่มสุดท้าย เมื่อเรือบิน     สีเขียวของสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์กำลังจะเข้ามาเทียบท่า บรรดาศิษย์และอาจารย์บนจัตุรัสก็เงยหน้าขึ้นมอง

เรือบินสีเขียวค่อยๆ เคลื่อนเข้าสู่อาณาเขตเวทคุ้มครองและจอดเทียบท่าลง คณาจารย์นำเหล่าศิษย์ออกจากยาน

“เอาล่ะฟังนะ ศิษย์ชุดขาวนั่นมาจากสำนักศึกษาเต๋ากวางขาว ชุดดำนั่นมาจากสำนักศึกษาเต๋ากวางขาวสาขาย่อย และชุดส้มนั่นมาจากสำนักศึกษาเต๋าธารสวรรค์” บรรดาอาจารย์อธิบายให้สานุศิษย์ที่กำลังลงจากเรือบินเข้าใจ

หวังเป่าเล่อเดินปะปนลงไปกับฝูงชน พลางมองไปที่อาณาเขตเวทอย่างสงสัยใคร่รู้ เมื่อได้ยินคำอธิบายจากอาจารย์ เขาก็หันไปมองศิษย์จากสำนักอื่น สายตาสอดส่องหาตัวเก็งที่ตนเองอ่านเจอในแผ่นหยก ไม่นานนักเขาก็เห็นหลี่อี้ ผู้ครอบครอบ             กายาวิญญาณเพลิง

หลี่อี้ตัวเล็กอ้อนแอ้นและมีดวงหน้าสวยสด เธอมัดผมเป็นหางม้าและอยู่ใน      ชุดคลุมแบบเต๋าสีขาว เธอดูราวกับนางฟ้าตัวน้อยๆ แต่หลี่อี้คนงามนี้ไม่ได้มีท่าทีสนใจคณะจากสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ที่เพิ่งเดินทางมาถึงแม้แต่น้อย เธอมองใบหน้าตนเองในกระจกพกบานเล็ก และกำลังเติมแป้งลมบนใบหน้า…

หลี่อี้ขยับกระจกไปมาเพื่อหามุม สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยความพึงพอใจชื่นชมในความงามของตนเอง แน่นอนว่าเหตุการณ์นี้ไม่ได้รอดสายตาของหวังเป่าเล่อและ    ใครหลายคนไป พวกเขาต่างอึ้งไปตามๆ กัน ส่วนหวังเป่าเล่อเองก็ขมวดคิ้ว

ศิษย์รุ่นข้านี่เป็นพวกหลงตัวเองเสียขนาดนี้ได้อย่างไร! หวังเป่าเล่ออดไม่ได้ที่จะส่ายหน้า ก่อนเริ่มรู้สึกว่าสำนักศึกษาเต๋ากวางขาวมันก็เท่านั้น อารมณ์นี้ทำให้เขารีบหยิบกระจกออกมาส่องหน้าของตนเองบ้าง ก่อนเก็บลงกระเป๋าอย่างเงียบๆ ชายหนุ่มค้นหาใบหน้าที่คุ้นเคยในฝูงชนต่อไป

ไม่นานนักเขาก็เห็นอู๋เฟินจากสำนักศึกษาเต๋ากวางขาวสาขาย่อย และซุนเยี่ยนจากสำนักศึกษาเต๋าธารสวรรค์ เขาหันไปเจอแม้กระทั่งจั่วอี้เซียนที่มีร่างสูงโปร่งผึ่งผาย หน้าตาของหมอนั่นเหมือนจั่วอี้ฟานเสียงยิ่งกว่าอะไร

สองคนนี้สายเลือดเดียวกันจริงๆ ด้วย ข้อมูลของศิษย์ตัวเก็งบางคนไม่ได้มาพร้อมภาพ จั่วอี้เซียนก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่เมื่อหวังเป่าเล่อเห็นจั่วอี้เซียนเป็นครั้งแรก เขาก็อดอึ้งไม่ได้และหันกลับไปมองหน้าจั่วอี้ฟานทันที

แต่จั่วอี้ฟานหนีหายไปไกลเสียแล้ว ชายหนุ่มหลบมุมสายตาของหวังเป่าเล่อ   และจ้องเขม็งไปยังจั่วอี้เซียน มือกำหมัดแน่น

ขณะที่ศิษย์จากสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์กำลังสำรวจคู่แข่งจากสามสำนักอยู่นั้น อีกสามสำนักก็กำลังสำรวจพวกเขาตามข้อมูลในแผ่นหยกด้วยเช่นกัน บัดนี้ทั้งหมดกำลังมองมายังศิษย์อาวุโสบางคน จั่วอี้ฟาน เฉินจื่อเหิง หลี่หนัน และคนอื่นๆ ที่ปรากฏชื่อในแผ่นหยก โดยเฉพาะ…เจ้าเยี่ยเหมิงและหวังเป่าเล่อ

การที่ทุกคนชื่นชมความงามของเจ้าเยี่ยเหมิงนั้นเป็นเรื่องปกติ สีหน้าเรียบเฉยและใบหน้าอันงดงามหยดย้อยของเจ้าเยี่ยเหมิง ทำให้ทุกคนต่างพอกันจ้องนางไม่ว่าจะไปที่ไหน เจ้าเยี่ยเหมิงดูราวกับแม่เหล็กที่ปล่อยแรงดึงดูดออกมา พาให้หนุ่มๆ    จากทั้งสามสำนักต่างพากันมองด้วยความตกตะลึง

แม้แต่ตู้หมินเองก็มีคนมองอยู่หลายคน ร่างกายของเธอค่อยๆ เปลี่ยนไปตามวัย ทำให้ใบหน้าน่ารักและความสูงของเธอเตะตาใครหลายๆ คน

ส่วนหวังเป่าเล่อนั้นก็มีชื่อเสียงเลื่องลือไปไกล แถมเขายังมีร่างกายที่ไม่เหมือน  คนอื่นทำให้โดดเด่นออกมาจากทุกคน แม้แต่หวังเป่าเล่อเองยังสังเกตได้ว่าตนเป็น   จุดสนใจ เขากะพริบตาก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างเสียมิได้ ก่อนหันไปพูดให้    กลุ่มศิษย์อาวุโสจากสำนักของตนฟัง

“คนหล่อไปอยู่ที่ไหนก็มีแต่คนมอง ดูสิ ขนาดข้าพยายามทำตัวไม่เป็นจุดสนใจขนาดนี้ พวกนั้นก็ยังไม่วายจ้องมองข้า พวกเจ้าว่าข้าควรไปยืนข้างเจ้าเยี่ยเหมิงไหม พวกนั้นจะได้ไม่ต้องตัดสินใจว่าจะมองข้าดีหรือมองนางดี”

ขณะที่หวังเป่าเล่อถอนหายใจให้กับความโดดเด่นของตนเองนั้น ศิษย์รุ่นพี่       คนหนึ่งก็มองเขาด้วยสายตาประหลาด เขาส่ายหน้าพลางหัวเราะฝืดๆ ออกมา      ก่อนทำเป็นไม่สนใจหวังเป่าเล่อ

ขณะที่ศิษย์จากทั้งสี่สำนักมองหน้ากันไปมาและจดบันทึกในใจนั้น บรรดาเจ้าสำนัก อาจารย์ และผู้ฝึกตนก็มารวมตัวกัน หลังจากคุยกันสนุกสนานปนเสียงหัวเราะได้สักพัก พวกเขาก็รู้สึกตัวว่าได้เวลาแล้ว เจ้าสำนักทั้งสี่เคร่งขรึมจริงจังขึ้น

“มีเวลาเหลือไม่มากแล้ว เรามาเตรียมตัวกันเถิด เมื่อกระแสแม่เหล็กพุ่งสูงขึ้น    ก็ได้เวลาเปิดมิติเวทเสียที!”

หลังจากปรึกษากัน เจ้าสำนักทั้งสี่ก็ออกคำสั่ง ไม่นานนักเหล่าผู้ฝึกตนที่ตามมาจากสำนักศึกษาเต๋าทั้งสี่ก็กระจายตัวออก บรรดาผู้ฝึกตนราวร้อยคนนั่งขัดสมาธิลงรอบจัตุรัส และรออย่างเงียบเชียบ

เมื่อเห็นเหตุการณ์นี้ ศิษย์สี่พันคนก็ค่อยๆ เงียบลง เมื่อรัตติกาลมาเยือน บรรยากาศรอบจัตุรัสเริ่มบิดเบี้ยวมากขึ้นทุกทีตามเข็มนาฬิกาที่เดินหน้า           กระแสแม่เหล็กนี้ครอบคลุมทั่วอาณาบริเวณ พื้นก็ค่อยๆ เรืองแสงขึ้นมา

ใต้ท้องฟ้ายาวค่ำคืน แสงเรืองจากพื้นนี้สว่างขึ้นเรื่อยๆ ก่อนระเบิดออกเป็น    แสงโชติช่วง เรืองรองไปทั่วทุกพื้นที่ จนท้องฟ้าสีหมึกขาวโพลนในฉับพลัน            จากระยะไกลดูราวกับว่าลูกไฟส่องสว่างกำลังพุ่งขึ้นไปยังสรวงสวรรค์!

ท้องฟ้าถูกแต่งแต้มด้วยสีสันสวยสดจนดูเหมือนความฝันอันสวยงาม

ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นโดยฉับพลันจนทำให้ใครต่อหลายคนพากันตกใจ เจ้าสำนักทั้งสี่เงยหน้าขึ้นร่ายคาถาเวทพร้อมทำมือเป็นสัญลักษณ์ ทันใดนั้น ท่านเจ้าสำนักจากสำนักศึกษาเต๋ากวางขาวก็พูดขึ้นมา

“เหล่าศิษย์แห่งเต๋า จงมุ่งหน้าสู่มิติเวท!”

เสียงกึกก้องปะทุออกมาจากจัตุรัส ผู้ฝึกตนนับร้อยคนก็ทำมือเป็นสัญลักษณ์  ขณะร่ายคาถาเวทเช่นกัน พลังปราณระเบิดอยู่ภายในตัวพวกเขา ในเวลานั้น พลังจากวงแหวนปราณก็ลอยขึ้นไปบนฟ้าราวกับเพื่อสยบความปั่นป่วนในชั้นบรรยากาศ       วงแหวนนี้กวาดวนผ่านจัตุรัสไป และเคลื่อนที่ไปแตะบริเวณที่จัตุรัสจรดกับทะเลป่า   สีเขียว แล้วมุ่งหน้าเข้าไปยังผืนป้ากว้างใหญ่นั้น!

ไม่ว่าวงแหวนปราณนั้นจะผ่านไปที่ใด เสียงกึกก้องก็ดังกังวานไปทั่วทุกสารทิศ ทำให้โลกและสวรรค์สั่นสะเทือน ทันทีที่พายุและเปลวเพลิงจากทะเลสีเขียวมา  บรรจบกัน เปลวเพลิงก็ปลิวโอนเอนลงราวกับถูกพัดด้วยสายลม พายุด้านที่เปลวไฟเอนลงไปนั้นอ่อนกำลังลงเล็กน้อยอย่างสังเกตได้

“ยังไม่ไปกันอีก” เจ้าสำนักเต๋าศักดิ์สิทธิ์มองมายังเหล่าศิษย์นับพันด้วยตาเบิกกว้าง เขาตะโกนด้วยเสียงต่ำราวกับท้องฟ้าคำราม

เหล่าศิษย์สี่พันคนหายใจเข้าลึก พยายามกดความตกใจของตนเองไว้ แต่ละคนต่างพากันเร่งฝีเท้าวิ่งตรงไปยังทางเข้าดินแดนกลางทะเลทราย ทั้งที่ยังไม่คลายความสับสนงุนงง

“หวงกุ้ย!” หวังเป่าเล่อร้องออกมาอย่างดีใจ ความยินดีที่เจอสหายเก่าขจัดเอาความตกใจก่อนหน้าไปหมดสิ้น ชายที่อยู่ข้างกายเขาคือเพื่อนจากสมัยเรียนที่พบกันเมื่องานรวมรุ่นที่บ้านเกิด เขาเข้าศึกษาต่อที่สำนักศึกษาเต๋าธารสวรรค์ และก้าวขึ้นมาเป็นหัวหน้าศิษย์ประจำโถงพฤกษศาสตร์

หวงกุ้ยนั้นเห็นหวังเป่าเล่อนานแล้ว เพียงแต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่งานเลี้ยงรุ่น  ครั้งล่าสุดนั้นน่ากระอักกระอ่วน เขาจึงอายและไม่กล้าทักหวังเป่าเล่อ เมื่อเห็นว่า    หวังเป่าเล่อเดินเข้ามาทักเขาก่อน เขาจึงอยากที่จะพูดคุยด้วย แต่ก่อนที่หวงกุ้ยจะได้เปิดปากนั้น เสียงเยาะเย้ยก็ดังแทรกขึ้นมาก่อน

“เจ้าน่ะหรือหวังเป่าเล่อ ทำไม่ได้แม้แต่ควบคุมน้ำหนักตนเอง ก็คงไร้น้ำยา     ตามระเบียบ” เจ้าของเสียงนั้นคือ ชายร่างสูงโปร่งในชุดคลุมสีดำจากสำนักศึกษา   เต๋ากวางขาวสาขาย่อย เขาไม่แม้แต่จะพยายามซ่อนแววตาดูหมิ่นยั่วยุในดวงตา

หวังเป่าเล่อที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่มองจ้องชายผู้นั้น

“อิจฉาที่ข้าหล่อกว่าอย่างนั้นหรือ ไอ้หน้าโง่นี่เป็นใครกัน หวงกุ้ย เจ้ารู้จักหรือเปล่า”

หวงกุ้ยย่นคิ้ว เขาคุ้นเคยกับหวังเป่าเล่อมากกว่า และเมื่อเห็นคนเหยียด         หวังเป่าเล่อเช่นนี้ เขาจึงรู้สึกไม่สบายใจ คนที่มีความสามารถมากพอที่จะเข้าสำนักศึกษาเต๋าทั้งสี่ได้ คงไม่ด้อยปัญญาขนาดกล่าววาจายั่วยุผู้อื่นแบบไม่ดูตาม้าตาเรือ นอกเสียงจากว่าจะมีความแค้นกันมาก่อนเท่านั้น

ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งนั้นยิ้มเยาะเมื่อได้ยินสิ่งที่หวังเป่าเล่อพูด

“ข้าแค่อยากบอกเจ้าว่า แค่ได้เป็นหัวหน้าศิษย์สามโถงที่สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ มันแค่เรื่องขี้ประติ๋ว เทียบอะไรไม่ได้กับสำนักศึกษาเต๋ากวางขาวสาขาย่อยของข้า เพราะฉะนั้นก็อย่าทำเป็นยืดเหมือนเจ้าเก่งกว่าชาวบ้าน ถ้ายังไม่เจียมตัว ข้าจะ       สั่งสอนเจ้าให้หลาบจำเอง!” ชายหนุ่มผู้นั้นเชิดหน้าขึ้นอย่างเย่อหยิ่ง ก่อนหันหลังเตรียมจากไป

แต่เขารู้จักหวังเป่าเล่อน้อยไปเสียแล้ว

ขณะที่ชายในชุดคลุมดำกำลังหมุนตัวจะจากไปนั้น หวังเป่าเล่อจ้องเขาและ    ก้าวเท้ายาวออกไป ชายหนุ่มร่างสูงตัวแข็ง ส่วนหวังเป่าเล่อก็ยกมือขวาขึ้นจับเข้าที่นิ้วของเขา และบิดอย่างเต็มแรงพร้อมตะโกนก้อง

“เรียกข้าว่าบิดาเจ้าเดี๋ยวนี้!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!