9 กรกฎาคม 2559
Battle Sun
ศึกราชันย์
Chapter 1
หัวขาดกระเด็น!
ณ ดินแดนมายาซึ่งเป็นมิติคู่ขนานกับโลก
ณ ชายแดนระหว่างดินแดนมายากับดินแดนสุริยะ ชายหญิงคู่หนึ่งกำลังยืนคุยกันอยู่ริมฝั่งทะเลสาบเล็กๆแห่งหนึ่ง ด้านข้างของพวกเขามีบ้านหลังเล็กๆสร้างจากหินสีขาวนวล ซึ่งเป็นสถานที่ๆพวกเขาทั้งสองใช้ลอบพบปะกัน
“ข้ากำลังจะมีลูก” หญิงสาวบอกกับชายหนุ่ม
หญิงสาวนางนี้คือเจ้าหญิงจันดารา น้องสาวของราชาอนธการ ราชาแห่งดินแดนจันทรา ส่วนชายหนุ่มก็คือราชาทินกร ราชาแห่งดินแดนสุริยะ
“เจ้ากำลังจะมีลูก!?” ราชาทินกรดีใจสวมกอดเจ้าหญิงจันดารา
แต่เจ้าหญิงจันดาราไม่ได้ดีใจเลยสักนิด นางกำลังทุกข์ใจ “ข้ากลัวว่าถ้าท่านพี่รู้เข้า ข้าคงตายแน่เจ้าค่ะ”
ราชาทินกรดันตัวเจ้าหญิงจันดาราออก เขามองหน้านางอย่างตัดสินใจ “ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็ไปอยู่ที่นครสุริยะกับข้าเถิด ข้ารับรองว่าข้าจะดูแลเจ้ากับลูกอย่างดีที่สุด ไม่ว่าใครก็ไม่อาจจะทำอะไรเจ้าได้แน่”
“แต่ว่าท่านพี่คงไม่ปล่อยข้าแน่” เจ้าหญิงจันดารากังวลใจเพราะนางรู้ดีว่าหากท่านพี่รู้เรื่อง เขาไม่ปล่อยนางกับลูกแน่นอน ลูกของนางเป็นเด็กต้องห้ามระหว่างสองนครมีหรือท่านพี่จะยอมปล่อยให้หลานมีชีวิตอยู่ลืมตาดูโลกได้
“หากไม่มีผู้ใดรู้ว่าเจ้าหายไปไหน ราชาอนธการก็ย่อมไม่รู้ว่าเจ้าอยู่ที่ไหน เจ้ากับลูกจะปลอดภัยอยู่ในนครสุริยะ ข้าจะไม่ให้ผู้ใดในนครข้ารู้ว่าเจ้าเป็นใคร เพียงเท่านี้เจ้าก็จะปลอดภัยเชื่อข้าซิจันดารา” ราชาทินกรบอกพลางกอดนางปลอบใจ “ไม่มีผู้ใดรู้เรื่องของเราใช่ไหมจันดารา?”
เจ้าหญิงจันดาราส่ายหน้า “ไม่มีเจ้าค่ะ”
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็ไปนครสุริยะกับข้าเสียเดี๋ยวนี้เถอะ” ราชาทินกรบอก
“เจ้าค่ะ” เจ้าหญิงจันดาราพยักหน้า
จากนั้นราชาทินกรก็พาเจ้าหญิงจันดาราเดินทางไปนครสุริยะด้วยกัน
ส่วนราชาอนธการพอรู้ว่าเจ้าหญิงจันดาราหายไป เขาก็ออกตามหานางด้วยความเป็นห่วง แต่ตามหาจนทั่วทั้งนครก็ยังไม่พบ
“นางหายไปไหน หรือถูกสัตว์ร้ายฆ่าตาย…” เขาไม่อยากจะคิดเช่นนั้นเลย เขายังคงตามหานางแม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่เขาก็ยังคงมีความหวังว่านางยังมีชีวิตอยู่ จนกระทั่งเขาได้ข่าวว่า “เจ้าหญิงจันดาราอยู่ที่นครสุริยะขอรับ” ทหารรายงานให้เขารู้
“ว่ายังไงนะ!” ราชาอนธการถามเพราะเขาคงฟังผิดไปกระมัง
“เจ้าหญิงจันดาราอยู่ที่นครสุริยะขอรับ” ทหารรายงานอีกครั้ง
ราชาอนธการตะลึง! “ไม่จริง! นางไปอยู่ที่นั่นได้อย่างไร?”
“ข้าเห็นเจ้าหญิงอุ้มเด็กเดินอยู่ในนครสุริยะกับราชาทินกรขอรับ” ทหารรีบบอก “ข้าสืบข่าวได้ว่าเจ้าหญิงอภิเษกสมรสกับราชาทินกรขอรับ ส่วนเด็กที่เจ้าหญิงอุ้มก็เป็นลูกของนางกับราชาทินกรขอรับ พอข้ารู้ข่าวข้าก็รีบกลับมาบอกท่านนี่แหละขอรับ”
ราชาอนธการอึ้ง! “ไม่จริง…!!!” เขาส่ายหน้าอย่างไม่ยอมรับความจริง
ทหารนิ่งเงียบรอฟังว่าเจ้านายจะว่าอย่างไร
“ข้าจะต้องไปดูให้เห็นกับตา ข้าไม่เชื่อว่านางจะกล้าฝืนกฎระหว่างสองนคร” ราชาอนธการพูดแล้วก็รีบลุกออกไป ทหารก็รีบตามไป
ณ นครสุริยะ ราชาอนธการโพกผ้าปิดบังใบหน้า สวมหมวกปีกกว้างเหมือนเช่นพ่อค้าในนครสุริยะ เขาแสร้งทำทีเร่ขายของกับทหารของเขา เขาเดินเร่ขายของไปจนใกล้กับปราสาท แล้วเขาก็ได้เห็นเจ้าหญิงจันดาราตรงทางเข้าปราสาทพอดี
นางกำลังหยอกล้อกับเด็กทารกซึ่งอยู่ในอ้อมแขนของราชาทินกร “ลูกแม่ไหนยิ้มซิ”
“ไหนๆยิ้มให้ท่านแม่ซิลูก” ราชาทินกรอุ้มลูกหยอกล้อกับราชินี
“ท่านพ่อ ขอข้าอุ้มน้องบ้างซิขอรับ” เจ้าชายภากรเดินเข้าไปหาทั้งสาม
ราชาทินกรหันไปยิ้มให้ลูกชายแล้วก็ส่งลูกให้คนเป็นพี่ได้อุ้ม “ค่อยๆนะสุริยะ ระวังน้องหลุดมือด้วยล่ะ”
“ขอรับท่านพ่อ” เจ้าชายภากรรับคำพร้อมกับอุ้มน้องอย่างระวัง แล้วเขาก็หันไปพูดกับราชินีจันดาราว่า “ท่านแม่ขอรับดูซิขอรับน้องยิ้มใหญ่เชียว”
ราชินีจันดารายิ้มให้เจ้าชายลูกเลี้ยงแล้วก็หันไปยิ้มให้พระสวามี
ราชาอนธการได้เห็นได้ยินคำสนทนาทุกอย่างชัดเจน เขาถลันจะเข้าไปหาน้องสาวทันที ทหารของเขาเห็นท่าทีเข้าก็รีบสกัดไว้ก่อน “อย่าขอรับ” ทหารกระซิบบอกพร้อมกับรีบคล้องแขนพาเจ้านายหลบไป ปากก็ตะโกนว่า “เจ้าหิวแล้วหรือ? ถ้าเช่นนั้นข้าจะพาเจ้าไปกินอาหารขึ้นชื่อของร้านอัสดง ตามข้ามาทางนี้ซิเจ้าเพื่อนรัก”
ราชาอนธการได้สติ เขารีบข่มอารมณ์เดินตามคนของเขาไป
ทหารยามหน้าปราสาทมองทั้งสองคนที่มีท่าทางประหลาดๆ แต่เมื่อเห็นทั้งสองเดินเข็นรถเข็นไปไกลแล้วแล้วก็เลิกสนใจ
พอไปถึงที่ลับตาผู้คน ราชาอนธการก็ปลดมือทหารออก เขากำมือแน่นด้วยความโกรธปนเสียใจ “ข้าไม่คิดเลยว่านางจะกล้าฝืนกฎ”
ทหารได้แต่ยืนดูอย่างเงียบๆ
“คืนนี้ข้าจะลอบเข้าไปในปราสาท เจ้าจงคอยดูต้นทางให้ข้าด้วย” ราชาอนธการกระซิบสั่ง
“ขอรับ” ทหารกระซิบตอบ
จากนั้นทั้งสองคนก็ทำทีเดินเร่ขายของรอบๆปราสาทสำรวจลู่ทาง
พอค่ำแล้วราชาอนธการก็ใช้พลังในร่างกระโดดข้ามกำแพงปราสาทเข้าไปภายใน ส่วนทหารของเขาก็ซุ่มรออยู่ข้างกำแพงอย่างเงียบๆ
ราชาอนธการลอบเดินหาน้องสาวไปทั่วปราสาท จนกระทั่งไปถึงห้องของเจ้าหญิงน้อย พี่เลี้ยงหลับอยู่ข้างเปล เขาค่อยๆย่องเข้าไปอุ้มเจ้าหญิงน้อยผู้เป็นหลานของเขาขึ้นมา ทารกน้อยหลับสนิท เขาค่อยๆ เปิดผ้าห่อตัวดูที่ต้นคอของทารกน้อย ตราราหูเด่นหราเหมือนกับในตำราไม่มีผิด เด็กคนนี้คือสายเลือดระหว่างสองนครจริงๆ เด็กต้องห้ามที่จะนำภัยพิบัติมาสู่ดินแดนมายา ผู้ที่จะบดบังสุริยะให้เลือนหาย กลืนกินจันทราให้ลาลับ
เขาจ้องหน้าหลานมือสั่น นี่ข้าจะต้องฆ่าหลานของตัวเองหรือนี่!? เขาถามตัวเอง อีกเสียงหนึ่งในใจก็สั่งว่า เจ้าต้องทำ…หากปล่อยไว้เด็กคนนี้จะนำภัยมาสู่ดินแดนแห่งนี้
พอตั้งสติดีแล้วเขาก็ตัดสินใจที่จะฆ่าหลานของตัวเอง เขาวางทารกลงในเปลแล้วก็แบมือออก พลัน! ก็ปรากฏดาบขึ้นมา เขาตวัดดาบ
ฉับ!
พี่เลี้ยงคอขาดกระเด็นเลือดสาดกระจาย พี่เลี้ยงยังไม่ทันได้ร้องสักแอะก็ตกตายเสียแล้ว
ราชาอนธการหันไปมองหลานแล้วก็ฟันดาบลงไป
ฉับ!
ทารกน้อยหัวขาดออกจากตัว เลือดสาดกระเด็นเต็มเปล เปลขาดออกจากกัน ร่างทารกน้อยก็กลิ้งตกจากเปล กลิ้งหลุนๆไปทางประตูห้อง
ราชินีจันดารากำลังเดินมาดูลูกตามปกติได้ยินเสียงเปิดแปลกๆก็รีบประตูเข้าไปทันที นางมาเห็นเหตุการณ์พอดี “ลูก!”
“กรี๊ดดดด…!!!” นางกรีดร้องลั่น! ถลันเข้าไปหาลูก นางอุ้มลูกขึ้นมาน้ำตานองหน้า “ลูกแม่!—–” นางหันไปจ้องหน้าคนที่ฆ่าลูกตัวเอง แล้วก็ตกตะลึงงัน! “ท่านพี่!”
พอรู้ตัวอีกทีนางก็ถือดาบอยู่ในมือแล้วก็แทงสวนไปที่อกของพี่ชาย “ฉั๊วะ!”
“โอ๊ะ!” ราชาอนธการสะดุ้งเฮือก! ดาบเรียวเล็กปักคาอก เขาจ้องหน้าน้องสาวอย่างตะลึง! “เจ้า!”
“เกิดอะไรขึ้น…” เจ้าชายภากรพรวดพราดเข้ามาในห้อง เด็กชายชะงักค้าง! เห็นแม่เลี้ยงอุ้มน้องไว้มือหนึ่ง อีกมือกุมดาบเสียบอกผู้ชายคนหนึ่ง
พลัน! หัวของน้องก็ตกปุ๊! กลิ้งหลุนๆมาหยุดแทบเท้าเขา เขาก้มมองแล้วก็ก้มลงประคองหัวน้องขึ้นมาอย่างตกตะลึง! มองหัวเล็กๆในอุ้งมือ “น้องข้า…!!!”
โดยไม่ทันรู้ตัวเขาก็พุ่งเข้าใส่ชายคนนั้น “เจ้าฆ่าน้องข้า!”
ราชาอนธการตวัดดาบฉับ! เลือดสาดพุ่งกระจายพร้อมกับหัวของราชินีจันดาราขาดจากตัวห้อยร่องแร่ง เพราะนางถลันเข้าไปเอาตัวบังลูกเลี้ยงเอาไว้
“จันดารา!” ราชาอนธการตะลึงงัน!
เจ้าชายภากรก็ตะลึงเช่นกัน “ท่านแม่—–”
แล้วเจ้าชายภากรก็พุ่งเข้าใส่คนที่ฆ่าแม่เลี้ยงของตัวเอง “เจ้า!”
ราชาอนธการตวัดดาบฉับ! หัวขาดกระเด็นเลือดพุ่งกระฉูด แต่ไม่ใช่หัวของเจ้าชายกลับกลายเป็นหัวของราชาทินกรซึ่งถลันเข้าไปปกป้องลูกชาย
“ท่านพ่อ!—–” เจ้าชายภากรตะลึงงัน!
วินาทีที่คมดาบตัดคอราชาทินกร เขาก็ร้องขอต่อเทพสุริยะว่า “เทพสุริยะจงปกป้องลูกข้าด้วย ข้าขอบูชายันด้วยเลือดของข้า ณ บัดนี้—–”
เลือดของราชาทินกรไม่ได้กระจายตกพื้นแต่กลับพุ่งกระฉูดรวมกันเป็นกลุ่มก้อน แล้วก็กลายเป็นลูกบอลเลือดสีแดงฉาน พร้อมกับเทพสุริยะในร่างสิงโตจำแลงปรากฏตัวขึ้น
ราชาอนธการเห็นเทพสุริยะก็ตัดสินใจรีบหนีเอาชีวิตรอด เพราะเขาไม่อาจต่อกรกับเทพผู้มากฤทธาได้แม้แต่น้อย เขาพุ่งตัวหนีไปทางหน้าต่างแล้วก็รีบวิ่งทุลักทุเลไปจนถึงที่ทหารของเขาซุ่มรออยู่
เทพสุริยะมองตามราชาอนธการไป เขาไม่คิดจะตามไปแม้แต่น้อย เพียงเท่านี้ราชาผู้นั้นก็เจ็บปวดใจเจียนตายแล้วเพราะเผลอพลั้งมือฆ่าน้องสาวที่รักมากที่สุด ตราบาปนี้จะเกาะกินหัวใจของราชาผู้นั้นไปตราบจนสิ้นชีวิต
เจ้าชายภากรมองร่างของท่านพ่อที่ค่อยๆล้มตึงลงไป ปากน้อยจิ้มลิ้มอ้ากว้าง ดวงตาเบิกโตอยู่อย่างนั้น เขายืนนิ่งตะลึงค้างดั่งรูปปั้น
เทพสุริยะยืนมองลูกบอลสีเลือดที่ยังลอยอยู่กลางอากาศ แล้วมองไปยังเจ้าชายน้อยที่จู่ๆก็ต้องสูญเสียครอบครัวไปในคืนเดียวอย่างสงสาร หากไม่มีเขาคอยดูแล เกรงว่าเจ้าชายน้อยคงถูกคนฆ่าในอีกไม่ช้าแน่ อำนาจของบัลลังก์จะดึงดูดให้ผู้คนมาแย่งชิงแล้วเข่นฆ่าเจ้าชายน้อยให้ตกตาย ชีวิตราชาทินกรก็ไม่อาจเก็บคืนกลับมาได้ คำบูชายัญก็กล่าวออกมาแล้ว เลือดก็ลอยอยู่กลางอากาศ รอคอยให้เขาเก็บอยู่ตรงหน้า เขาถอนหายใจ “เฮ้อ…” แล้วก็กวักขาหน้าเรียกลูกบอลเลือดที่ลอยอยู่เข้ามา แล้วดูดซับพลังเลือดเข้าไป ยอมรับคำบูชายัญอย่างจำยอม
ผู้คนได้ยินเสียงกรีดร้องก็รีบวิ่งมาดู แล้วพวกเขาก็ตกใจจนร้องกรีดเลยทีเดียว
“กรี๊ดดดด…” นางกำนัลกรีดร้องลั่น ทรุดลงไปนั่งแปะกับพื้น ทหารรักษาวังก็ตกใจจนร้องลั่นเช่นกัน “เหวออออ…”
เทพสุริยะดูดซับพลังเลือดไปจนหมดแล้วก็หันไปมองพวกนางกำนัลกับทหารที่ตกใจจนปากอ้าตาค้างอยู่นอกห้อง แล้วสั่งว่า “เข้ามาเก็บศพไปฝังในสุสานของราชวงศ์ ตามพวกขุนนางมาทั้งหมด ให้พวกเขาเร่งทำพิธีแต่งตั้งเจ้าชายภากรเป็นราชาองค์ใหม่”
สั่งจบแล้ว เทพสุริยะในร่างจำแลงก็เดินออกไปจากห้อง พร้อมกับร่างที่ยืนแข็งทื่อของเจ้าชายภากรก็ลอยตามเขาออกมาด้วย
กว่าพวกนางกำนัลและพวกทหารจะตั้งสติได้ ก็ผ่านไปครู่ใหญ่ พวกทหารพอตั้งสติได้แล้วก็รีบเดินโซซัดโซเซไปตามเหล่าขุนนาง ส่วนนางกำนัลก็ยังนั่งแปะอย่างไร้เรี่ยวแรง เบิกตามองดูศพทั้ง 4 ในห้องซึ่งเลือดไหลนองเต็มพื้น
เทพสุริยะเดินเข้าไปในห้องของเจ้าชายภากร ร่างของเจ้าชายภากรก็ลอยไปหยุดบนพรมขนแกะหนานุ่มกลางห้อง เทพสุริยะเดินเข้าไปลูบศีรษะเจ้าชายน้อย เจ้าชายภากรสะดุ้ง! เบิกตามองเทพสุริยะ ดวงตากลมโตกะพริบสองทีแล้วใบหน้าเล็กๆกลมป้อมก็เบะหน้าร้องตะโกนว่า “ท่านพ่อ!—– ท่านแม่!—– น้องเล็ก!—–”
หยดน้ำตากลมวาวราวไข่มุกก็ร่วงตกจากดวงตากลมโต ตามด้วยเสียงร้องไห้ลั่นห้อง เทพสุริยะยืนลูบศีรษะเจ้าชายน้อยปลอบประโลมอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งเจ้าชายภากรร้องไห้จนแทบไม่มีน้ำตาแล้วก็พูดว่า “ข้าจะแก้แค้นมัน!”
ดวงตากลมโตมองอย่างมุ่งมั่น แล้วมองเทพสุริยะแน่วแน่ ยื่นแขนไปตรงหน้าท่านเทพ “ท่านเอาชีวิตข้าไป ข้าขอใช้ชีวิตข้าบูชายัญต่อท่าน ให้ท่านแก้แค้นให้ข้า”
เทพสุริยะใช้ขาหน้าดันแขนเล็กๆลงไป “ต่อให้เจ้าฆ่าตัวตายใช้เลือดเจ้ามาบูชายัญเพื่อให้ข้าไปแก้แค้นให้ ข้าไม่อาจทำได้ พวกเราเหล่าเทพมีกฎไม่อาจแก้แค้นแทนใครได้ หากเจ้าอยากจะแก้แค้น เจ้าต้องทำด้วยตัวเอง เจ้าต้องแข็งแกร่ง เข้าใจหรือไม่?”
เจ้าชายภากรมองจ้องดวงตาเทพสุริยะแล้วก็พยักหน้า “ข้าจะแข็งแกร่ง! ข้าจะแก้แค้นมัน!”
เทพสุริยะถอนหายใจอย่างสงสารเจ้าชายน้อยที่ถูกความแค้นเข้าครอบงำเสียแล้ว เขาก็ได้แต่หวังว่า เมื่อเจ้าชายน้อยเติบโตขึ้น ความแค้นในใจจะจางหายไปตามกาลเวลา
บรรดาขุนนางพอรู้ข่าวก็ตกอกตกใจ “เจ้าว่าอะไรนะ!?”
“องค์ราชา องค์ราชินี เจ้าหญิงน้อย ถูกฆ่าตายแล้วขอรับ” ทหารรายงานอีกครั้ง
“เกิดเรื่องเช่นนี้ได้ยังไง!?” ขุนนางใหญ่ตวาดถาม แล้วก็รีบวิ่งออกจากบ้านมุ่งตรงไปยังพระราชวังทันที ลืมแม้กระทั่งจะขี่สัตว์พาหนะของตัวเองไป เขาวิ่งพุ่งทะยานไปด้วยพลังเร็วจี๋
บรรดาขุนนางคนอื่นๆ พอรู้ข่าวก็ตกอกตกใจรีบวิ่งไปยังพระราชวังเช่นกัน แต่ละคนพอไปเจอกันระหว่างทางก็หยุดซักถามกันครู่หนึ่ง ซักถามกันไปซักถามกันมา ไม่ได้ความอะไรมาก จึงพากันรีบมุ่งหน้าเข้าวังทันที
เมื่อไปถึงพระราชวัง บรรดาขุนนางก็มุ่งตรงไปยังที่เกิดเหตุซึ่งยังไม่ทันได้เก็บกวาดอะไรสักอย่าง พวกเขามองดูศพทั้ง 4 แล้วก็หันไปซักถามนางกำนัลว่า “นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”
“ข้าไม่รู้เจ้าค่ะ ข้าเห็นคนร้ายวิ่งหนีไปไวๆ ไม่รู้ว่าเป็นใครเจ้าค่ะ ส่วนเจ้าชายภากรตอนนี้อยู่กับท่านเทพในห้องเจ้าค่ะ” นางกำนัลตอบตามจริง เหล่าขุนนางก็เบิกตาโต “ท่านเทพ?”
“เจ้าหมายถึงเทพสุริยะงั้นรึ?” ขุนนางอีกคนถามย้ำ นางกำนัลก็พยักหน้าหงึกๆ “เจ้าค่ะ”
เหล่าขุนนางตกตะลึง มีหลายๆคนที่แอบคิดว่า เป็นผู้ใดกันทำพิธีบูชายัญอัญเชิญท่านเทพมา? แล้วขุนนางใหญ่ เสนาบดีฝ่ายซ้ายก็รีบหมุนตัวกลับเดินไปยังห้องเจ้าชายน้อยทันที ทำให้บรรดาขุนนางคนอื่นๆรีบชักขบวนตามไป
เมื่อไปถึง ประตูห้องปิดอยู่ เสนาบดีฝ่ายซ้ายก็ยกมือขึ้นเคาะประตู “เจ้าชายขอรับ เจ้าชายขอรับ”
ประตูห้องเปิดออก เสนาบดีฝ่ายซ้ายก็ผงะเมื่อเห็นร่างสิงโตของท่านเทพยืนอยู่ด้านในของฝั่งประตู เขารีบโค้งกายลงทำความเคารพ “ทะ…ท่านเทพ”
“อืม” เทพสุริยะส่งเสียงคำหนึ่ง มองเลยไปยังข้างหลังของเสนาบดีหัวล้านเลี่ยน สั่งว่า “พวกเจ้ารีบไปเตรียมจัดพิธีแต่งตั้งเจ้าชายภากรเป็นราชาองค์ใหม่เร็วๆ แล้วนำศพไปฝังให้เรียบร้อยด้วย”
“ขอรับ” เสนาบดีฝ่ายซ้ายรับคำสั่ง ประตูห้องก็ปิดลง เสนาบดีฝ่ายซ้ายค่อยๆยืดตัวขึ้น ไม่คิดเลยว่าท่านเทพจะสั่งเช่นนี้ เขาหลุบตาลงกดแววตาลึกล้ำลงไป แล้วรีบหมุนตัวไปสั่งทหารให้นำศพไปฝังในสุสาน
พวกทหารก็เดินไปขนย้ายศพไปฝังในสุสาน ส่วนศพพี่เลี้ยงก็นำไปมอบให้ครอบครัวผู้ตาย นำไปฝังที่สุสานของวงศ์ตระกูลต่อไป พวกนางกำนัลก็เร่งทำความสะอาดห้องจนไร้คราบเลือด ข้าวของที่เปื้อนเลือดก็ถูกขนออกไปในหมด แล้วแทนที่ด้วยของใหม่ แต่เมื่อเจ้าชายภากรรู้เรื่องให้สั่งให้พวกนางกำนัลนำของเปื้อนเลือดกลับมาไว้ในห้องเหมือนเดิม พวกนางกำนัลก็เร่งทำตามคำสั่ง
ฝ่ายพวกขุนนางก็เร่งจัดพิธีแต่งตั้งราชาองค์ใหม่อย่างเร่งรีบ ป่าวประกาศออกไปทั่วดินแดน เมื่อประชาชนทราบข่าวการตายของราชาก็พากันสาปแช่งคนร้าย อีกทั้งยังสงสารเจ้าชายน้อยที่ต้องมากำพร้าพ่อ
พิธีแต่งตั้งจัดขึ้นในอีก 3 วันถัดมา เจ้าชายภากรขึ้นสวมมงกุฎนั่งบัลลังก์เป็นราชาภากร มงกุฎใหญ่ครอบลงไปบนศีรษะเล็กจนปิดแทบถึงปาก แต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้าพูดอะไรสักคำ เพราะท่านเทพซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ใหญ่ข้างบัลลังก์ทำให้ไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยปากสักคำ
เทพสุริยะในร่างสิงโต นั่งเอนหลังพิงพนัก ขาหลังไขว้กันด้วยท่วงท่านั่งไขว้ห้าง ยกขาหน้าใช้กรงเล็บแคะเล็บไปมา ดวงตาก็เหลือบมองพวกมนุษย์ที่ยืนเรียงแถวตรงหน้าบัลลังก์เป็นระยะๆ ผู้คนแอบเหลือบตามองท่านเทพแล้วก็รีบหลุบตาหลบเป็นแถวเมื่อท่านเทพมองกราดมา ราชาภากรดันมงกุฎขึ้นไป มองกวาดผู้คนที่อยู่เบื้องหน้า แล้วก็มองไปยังท่านเทพซึ่งนั่งอยู่ใกล้ๆ หากไม่ใช่เพราะท่านเทพ เขาจะสามารถนั่งอยู่บนบัลลังก์เช่นนี้ได้หรือ ถึงแม้ว่าตัวเองจะยังเป็นเด็ก แต่เขาก็มีความฉลาดไม่น้อยอีกทั้งถูกอบรมสั่งสอนมาเพื่อเป็นราชาปกครองดินแดน ดังนั้นจึงมีความเฉลียวฉลาดมากกว่าเด็กทั่วไป อีกทั้งพลังในร่างก็สูงกว่าเด็กวัยเดียวกัน เขามองตรงไปข้างหน้าอย่างมุ่งมั่น ข้าจะแข็งแกร่ง!