Skip to content

Battle Sun Chapter 10

Chapter 10

สิงโตพูดได้!!!

ตะวันกระพริบตาปริบๆ หันไปมองนางพยาบาล

นางพยาบาลจ้องหน้าเขา

ตะวันมองหน้านางพยาบาลแล้วก็มองไปรอบๆตัว เขาคงจะฝันไปล่ะมั้ง เขามองพยาบาลแล้วก็ลุกไปเข้าห้องน้ำ

นางพยาบาลมองตามแล้วก็หันไปตรวจคนไข้ “คุณคะขอวัดไข้วัดความดันหน่อยนะคะ”

ตะวันเข้าไปล้างหน้าในห้องน้ำแล้วก็หยิบผ้าข้างอ่างล้างหน้ามาเช็ดหน้า เขาเลื่อนไปเช็ดที่คอแล้วก็สะดุดกับบางอย่าง เขาก้มลงดึงบางสิ่งบางอย่างที่คอออกมาดู

สร้อยสีเงินกับจี้ดวงจันทร์

“เฮ้ย!” เขาตะลึง! เงยหน้ามองเงาสะท้อนในกระจกแล้วก็ก้มลงมองสร้อยเส้นนั้น “อะไรกันเนี่ย…มันอยู่นี่ได้ไง!?” ก็เขาฝันไม่ใช่เหรอ…!?

พลัน! เขาก็ได้ยินเสียงเบาๆดังออกมาจากจี้ดวงจันทร์ว่า “ฝากนางด้วย”

เขาตะลึงอีกครั้ง

พอตั้งสติได้เขาก็ถอดสร้อยออก

“เฮ้ย!” ทำไมมันถอดไม่ออกล่ะ” เขาหมุนสร้อยวนไปรอบๆพยายามจะถอดออกแต่ก็ถอดไม่ได้ เขาก้มมองหาตะขอ แต่ก็ไม่มี พยายามจะถอดให้ได้แต่ก็ทำไม่ได้เขาจึงตัดสินใจกระชากออก “โอ๊ย!” แต่สร้อยก็ไม่ขาดออกแถมเขายังเจ็บตัวอีก

“ถอดไม่ได้จนกว่าจะถึงเวลา” เสียงออกมาจากจี้ดวงจันทร์อีกครั้ง

ตะวันก้มมองจี้อย่างหงุดหงิด “โธ่โว้ย!” นี่ถ้าเขาเป็นพวกขวัญอ่อนคงสติแตกไปแล้วแน่ๆ เขาเปิดประตูห้องน้ำ พลัน! ก็ได้ยินเสียงพยาบาลพูดว่า “ล้างแผลก่อนนะคะ”

“เจ็บเหรอคะ? ขอโทษค่ะ ทนแสบนิดนึงนะคะ เธอหยิบเบตาดีนให้ฉันหน่อยซิ”

ตะวันเปิดประตูเดินออกไป เขาเห็นพยาบาลกำลังล้างแผลให้เธออยู่ เขาตะลึง! เมื่อเห็นแผลบนแผ่นหลังบอบบาง แล้วภาพที่เห็นเธอถูกเฆี่ยนตีอย่างทารุนก็แว๊บเข้ามา

มันเป็นความจริงอย่างนั้นเหรอ…? เขาจ้องแผ่นหลังบอบบางอย่างลืมตัว รอยแตกยับนับไม่ถ้วน เรือนร่างบางสั่นสะท้านทุกครั้งที่สำลีสัมผัสกับบาดแผล

“ทนนิดนึงนะคะ เดี๋ยวก็เสร็จแล้วค่ะ” พยาบาลบอกขณะทายาให้

ตะวันขบกรามกำมือแน่น มันเป็นคนแบบไหนกันถึงทำกับผู้หญิงตัวเล็กๆได้ถึงขนาดนี้น่ะ! ไอ้เลวชาติชั่วเอ้ย! เขาถอยกลับไปยืนพิงผนังห้องน้ำ รอจนกว่าพยาบาลจะล้างแผลเสร็จ ตอนที่เห็นครั้งแรกเขาเห็นแค่นิดเดียวก็โกรธจนแทบอยากฆ่าไอ้คนที่ทำให้ตายคามือ แต่พอได้เห็นชัดๆเต็มตา เขาก็อยากแล่เนื้อมันให้เป็นหมื่นเป็นแสนชิ้นให้สาสมกับความโหดร้ายทารุนของมัน

“เสร็จแล้วค่ะ” เสียงพยาบาลบอก สักพักเขาก็ได้ยินพยาบาลพูดว่า “หายไวๆนะคะ ดิฉันขอตัวก่อนค่ะ”

แล้วพยาบาลก็เดินออกมา “อุ๊ย!”

ทั้งสองคนยิ้มให้เขาแล้วก็พูดว่า “สวัสดีค่ะ ขอตัวก่อนนะคะ”

ตะวันพยักหน้า ทั้งสองคนก็เดินออกไป

แล้วตะวันก็เดินเข้าไป เขาเห็นเธอนอนตะแคง เขาก็เดินไปนั่งที่เก้าอี้ มองเธออย่างเงียบๆ

ผู้หญิงตัวเล็กๆต้องเผชิญกับความโหดร้ายทารุนขนาดนั้น เธอช่างน่าสงสารนัก เขาเอื้อมมือไปลูบหัวเบาๆ

เจ้าหญิงจันทราสะดุ้ง! ผงะออก

“ไม่ต้องกลัวนะครับ ผมจะดูแลคุณเอง ไม่มีใครทำอะไรคุณได้ทั้งนั้น” ตะวันพูดปลอบเสียงนุ่ม

เจ้าหญิงจันทรามองเขาอย่างหวาดระแวง แต่พอเห็นสายตาอ่อนโยนของเขา นางก็ยอมให้เขาลูบหัว นางหลับตาลงอย่างคลายความหวาดกลัว ไออุ่นที่ลูบหัวอย่างทนุถนอมทำให้นางหลับอย่างง่ายดาย

สักพักใหญ่ตะวันเห็นเธอหลับไปแล้ว เขาก็ลุกขึ้นเดินไปกดโทรศัพท์ในห้องน้ำ

พอปลายสายรับสาย “มีไรวะไอ้วัน?”

“แกอยู่ไหนแล้ววะไอ้ยะ?” ตะวันถาม

“ฉันก็อยู่สนามบินซิวะ รอขึ้นเครื่องอยู่เนี่ย” อารยะตอบ

“กี่โมง?” ตะวันถามอีก

“อีกชั่วโมงนึงว่ะ” อารยะตอบ

ตะวันก้มลงดูนาฬิกาข้อมือแล้วก็บอกว่า “แมร่งเอ้ย! แค่ชั่วโมงเดียวงั้นเหรอ?”

“ก็เออซิวะ มีไรวะไอ้วัน” อารยะถามอย่างสงสัย

“ก็ถ้ามีเวลามากว่านี้ฉันก็อยากให้แกกลับมาที่โรงบาลก่อนไง แค่ชั่วโมงเดียวไปกลับก็ไม่ทันแล้วล่ะ” ตะวันบอก

“แกมีเรื่องไรวะไอ้วัน?” อารยะถามอย่างรู้นิสัยเพื่อน

“คืองี้ว่ะ…” แล้วตะวันก็เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้เพื่อนฟัง

“เฮ้ย! พระเจ้าช่วยกล้วยทอดไหม้!” อารยะสบถหน้าเครียดหลังจากได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด แต่พอหันไปมองรอบๆตัวก็เห็นคนอื่นๆจ้องมาที่เขาเป็นตาเดียว “เอ่อ…ขอโทษครับ ไม่มีอะไรครับ”

คนอื่นเลิกสนใจแล้วก็หันไปทำกิจกรรมของตัวเองต่อ

แล้วอารยะก็พูดกับเพื่อนว่า “แมร่งเอ้ย! นี่ถ้าฉันเจอกับตัวเองอย่างที่แกเจอนะไอ้วัน ฉันนิมนต์หลวงพ่อโกยแล้วล่ะว่ะ”

“ฉันว่าแกกลับมาตั้งหลักก่อนไม่ดีกว่าเหรอ?” ตะวันบอก

อารยะส่ายหน้า “ไม่ล่ะ ยังไงฉันก็ต้องหายัยวาให้เจอให้ได้ ขอบใจนะ ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายที่แกออกไปก่อนเดี๋ยวฉันจะโอนคืนให้ทีหลัง”

“เฮ้ย! เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนเถอะ แต่แกจะไปตามหาทิวายังไงล่ะ?” ตะวันถามอย่างเป็นห่วง

“ก็ยัยวาหายไปตรงไหน ฉันก็ไปหาตรงนั้นแหละ เริ่มจากตรงนั้นก่อนไง ฉันเชื่อว่ายังไงๆฉันต้องได้พบยัยวา” อารยะบอกอย่างมั่นใจ

ตะวันพยักหน้า “เออ งั้นก็ขอให้แกเดินทางปลอดภัย โชคดีนะไอ้ยะ”

“แต๊งกิ้วไอ้วัน” อารยะบอกแล้วก็ตัดสาย เขาเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าแล้วก็มองไปข้างหน้าอย่างมีความหวัง เขาจะต้องหาน้องสาวให้พบก่อนที่วันลาหยุดจะหมดลง

ณ นครจันทรา

ทิวาตื่นขึ้นเพราะรู้สึกหิว “หิวข้าวจัง”

รัตติได้ยินเสียงเจ้าหญิงก็รีบหันไปมอง “ท่านตื่นแล้ว”

ทิวาลุกขึ้นนั่งพลางลูบท้อง “เอ…ในฝันมันหิวขนาดนี้เลยเหรอ?”

“ท่านหิวเหรอเจ้าคะ” รัตติเดินเข้าไปนั่งคุกเข่าข้างเตียง

ทิวาพยักหน้า

“ถ้าเช่นนั้นเดี๋ยวข้าไปยกอาหารมาให้ท่านนะเจ้าคะ” รัตติบอกแล้วก็ลุกไป

รัตตาก็เดินเข้าไปคุกเข่าข้างเตียงอีกด้านแล้วก็บอกว่า “เชิญเจ้าค่ะ” นางผายมือไปที่โต๊ะริมหน้าต่าง

ทิวามองตามแล้วก็ลุกขึ้นเดินไปนั่งที่เก้าอี้พลางมองออกไปนอกหน้าต่าง เธอเห็นต้นไม้เหี่ยวเฉาก็รู้สึกหดหู่

รัตติถือถาดอาหารเข้ามา นางวางอาหารลงบนโต๊ะ “วันนี้มีซุปข้าวโพดกับขนมปังเจ้าค่ะ”

ทิวามองดูอาหารอย่างรู้สึกหิว “ขอบคุณค่ะ” เธอพูดแล้วก็หยิบช้อนมาตักซุปกิน

รัตติชะงัก! ที่ได้ยินเจ้าหญิงพูดว่าขอบคุณค่ะ นางหันไปมองหน้าแม่อย่างประหลาดใจ

รัตตามองเจ้าหญิงอย่างประหลาดใจ ปกติเจ้าหญิงเพียงแค่พยักหน้าเท่านั้น เหตุใดวันนี้ท่านจึงได้พูดจาเช่นนี้เล่า

ทิวากินซุปหมดแล้วก็บิขนมปังกินต่อ เพียงครู่เดียวเธอก็จัดการอาหารหมดเรียบ แล้วเธอก็ยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม

“ขอบคุณค่ะ” เธอพูดกับทั้งสองคนแล้วก็ลุกขึ้นยืน

ทั้งสองคนมองเจ้าหญิงอย่างประหลาดใจ

ทิวามองไปรอบๆแล้วก็บอกว่า “ออกไปเดินเล่นดีกว่า”

ทั้งสองตะลึง! “เดินเล่น!”

แล้วทิวาก็เดินไปที่ประตูที่เห็นรัตติเดินออกไปยกอาหารมา เธอเปิดประตูออกแล้วก็เดินไปตามทางเดิน

เธอมองไปรอบๆอย่างตื่นตาตื่นใจ ปราสาทใหญ่สวยงาม “โห…ฝันเหมือนจริงมาก ทั้งรูปรสกลิ่นเสียง ฝันสี่มิติเลยใช่มั้ยเนี่ย อะไรจะฝันเป็นจริงเป็นจังได้ขนาดนี้ล่ะเนี่ย ว๊าว! สุดยอดเลย” เธอลูบผนังไปอย่างตื่นเต้น

เธอเดินไปตามทางเดินแล้วก็ลงบันไดไปข้างล่าง พลัน! เธอก็ได้ยินเสียงร้อง “โอ๊ย!”

เธอหันไปมองขวับ

“นังซุ่มซ่าม! รีบเช็ดให้สะอาดเชียว!”

ผู้ชายสองคนกำลังเงื้อแส้ฟาดใส่ผู้หญิงคนหนึ่ง “โอ๊ย!ๆ”

“เฮ้ย! ไรง่ะ!?” ทิวาตกใจรีบเดินไปดูทันที “หยุดนะ!” เธอตวาดลั่น

ผู้ชายสองคนนั้นชะงัก! หันมามอง “เจ้าหญิงจันทรา” แล้วทั้งสองก็หันไปเฆี่ยนผู้หญิงคนนั้นต่อ ขวับ!ๆ “โอ๊ย!ๆ”

ทิวาโกรธเลือดขึ้นหน้า เธอวิ่งเข้าไปผลักผู้ชายคนที่อยู่ใกล้ที่สุด “หยุดนะ! ไอ้พวกชั่วรังแกผู้หญิง!”

“โอ๊ะ!” ผู้ชายคนนั้นเซไป แล้วก็หันขวับมามองอย่างโกรธจัด “เจ้ากล้าผลักข้ารึ!”

“เออซิ!” ทิวากระแทกเสียงตอบพลางชี้หน้าด่า “ไอ้พวกหน้าตัวเมียรังแกผู้หญิงไม่มีทางสู้! พวกแกมันเลวยิ่งกว่าสัตว์ซะอีก!”

“เจ้าหญิง” ผู้หญิงคนนั้นเรียกอย่างเป็นห่วงปนซึ้งใจที่เจ้าหญิงเข้ามาปกป้องตัวเอง

ผู้ชายสองคนมองอย่างโกรธจัดที่ถูกด่า “เจ้าหญิงจันทรา!” แล้วคนหนึ่งก็เงื้อแส้ฟาดสุดแรง ขวับ!

ทิวาเบี่ยงตัวหลบอย่างว่องไวมือก็คว้าปลายแส้กระชากสุดแรง

แส้หลุดจากมือชายคนนั้น “โอ๊ะ!”

แล้วทิวาก็ใช้อีกมือคว้าด้ามแส้หมับ ต้องขอบคุณกีฬายิมนาสติกที่ทำให้เธอมีทักษะในการใช้แส้

พอมีแส้อยู่ในมือเธอก็ฟาดใส่ผู้ชายคนนั้น ขวับ! “โอ๊ย!”

แล้วทิวาก็ฟาดแส้ใส่ผู้ชายอีกคน ขวับ! “โอ๊ย!”

ทั้งสองมองอย่างโกรธสุดขีด “เจ้ากล้าเฆี่ยนพวกข้า ข้าจะเฆี่ยนเจ้าให้สลบเชียว! เจ้าหญิงจันทรา!”

“มีอะไรรึ?” เสียงหนึ่งถามพร้อมกับเจ้าของเสียงก้าวเข้ามา

ทั้งหมดหันไปมอง

“ราชาภากร” ผู้ชายสองคนรีบก้มหัวให้

ทิวาชะงัก! ผู้ชายคนนี้อีกแล้วเหรอ…?

ส่วนผู้หญิงคนนั้นก็มีท่าทีหวาดกลัวจนตัวสั่นเทา

“นางแย่งแส้ข้าไปแล้วยังเฆี่ยนพวกข้าอีก” ผู้ชายทั้งสองคนบอกเหมือนจะฟ้อง

ราชาภากรมอง ‘เจ้าหญิงจันทรา’ อย่างไม่พอใจ “ดูท่าทางว่าเจ้าคงจะลืมความเจ็บปวดไปแล้วกระมังถึงได้กล้าหาเรื่องใส่ตัวเช่นนี้น่ะ”

ทิวารู้สึกกลัวแต่ก็เชิดหน้าสู้ “แล้วจะทำไม? จะสามรุมหนึ่งรึไง?” เธอกำแส้แน่น ทำใจสู้ เอาวะ! ตายเป็นตาย!

ราชาภากรประหลาดใจกับคำพูดของนาง เขาแบมือออกก็ปรากฏแส้ขึ้นมา แล้วเขาก็ฟาดขวับ!

ทิวากระโดดถอยหลังหลบ ฉับพลัน! ตรงที่เธอเคยยืนอยู่ก็ปรากฏสิงโตสีทองขึ้น สิงโตตัวนั้นงับปลายแส้เอาไว้

“ท่านมาขวางข้าทำไม?” ราชาภากรถามเทพสุริยะในร่างจำแลง

เทพสุริยะคายแส้ออกแล้วก็พูดว่า “ข้าก็แค่ถูกใจนาง”

ทิวามองสิงโตตัวนั้นอย่างตะลึง! “สิงโต!” ตัวเบ้อเริ่มเทิ้มเลยด้วย

ราชาภากรมองเทพสุริยะอย่างไม่พอใจ

แล้วเทพสุริยะก็หันขวับไปกระโจนงับคอเสื้อทิวาหมับ!

“ว๊าย!” ทิวาตกใจร้องลั่น! กลัวสุดขีด ก็สิงโตตัวเบ้อเริ่มเทิ้มกระโจนใส่ไม่กลัวก็บ้าล่ะ

เทพสุริยะงับคอเสื้อทิวาแล้วก็คาบวิ่งออกไปจากปราสาท

“ว๊าย!” ทิวากรีดร้องลั่น! ตายแน่! ฉันโดนสิงโตเขมือบชัวร์!!!

ราชาภากรฟาดแส้ลงพื้นอย่างไม่พอใจ “ชิ!”

ผู้ชายสองคนรีบเดินเลี่ยงไปทันที ก็จะอยู่ให้โดนลูกหลงรึไง

ส่วนผู้หญิงคนนั้นก็รีบหลบไปเช่นกัน

เทพสุริยะวิ่งออกไปที่ทุ่งหญ้าแห้งแล้งแล้วก็ปล่อยทิวาลง

ทิวาตัวสั่นเทา กอดตัวเองก้มหน้าคู้ตัวจนคล้ายตัวนิ่มกลมๆที่ป้องกันตัวด้วยการขดตัว

เทพสุริยะใช้ขาหน้าเขี่ยต้นแขนอีกฝ่าย “นี่เจ้า เงยหน้าซิ”

“ไม่นะ อย่ากินฉันนะ ฉันไม่อร่อยหรอก ฉันทั้งผอมทั้งแห้งไม่มีเนื้อให้แกกินหรอกนะ” ทิวาตะโกนบอกอย่างหวาดกลัวทั้งๆที่ยังคู้ตัวอยู่อย่างนั้น

เทพสุริยะนึกขำก็แกล้งแหย่ว่า “ผอมๆแห้งๆแบบนี้ล่ะข้าชอบนัก เคี้ยวแต่ละทีอร่อยอย่าบอกใครเชียว”

ทิวาสะอึก! “เหวอ…ตายแน่ฉ้าน!”

เทพสุริยะหัวเราะ “ฮ่าๆๆๆ” แล้วก็บอกว่า “ข้าไม่กินเจ้าหรอก เงยหน้าหน่อยซิ”

ทิวาชะงัก! “ไม่กินจริงๆนะ” เธอเหลือบมองอย่างหวาดกลัว พลางคิดในใจว่า สิงโตพูดได้ด้วย…ก็ฝันนี่เน้อ…

เทพสุริยะพยักหน้า “ข้าไม่กินเจ้าหรอก ข้าจะเก็บเจ้าเอาไว้เลี้ยงให้อ้วนๆแล้วค่อยกิน”

ทิวาสะอึก! “ง่ะ!”

“เจ้าเป็นใครกันหรือเจ้าเด็กน้อย เจ้าไม่ใช่เจ้าหญิงจันทรา” เทพสุริยะถามพลางจ้องมองนาง

ทิวาเงยหน้ามองสิงโตตัวเท่าม้าอย่างงงๆ “อ้าว…จะไม่ใช่ได้ไง? ใครๆก็เรียกฉันว่าเจ้าหญิงจันทราทั้งนั้นนี่น่า”

“แค่กลิ่นก็ไม่ใช่แล้วเจ้าเด็กน้อย เจ้าอาจจะหลอกใครๆได้ แต่หลอกข้าไม่ได้หรอกนะ” เทพสุริยะพูดแล้วก็เดินเข้าไปจ้องหน้านางเขม็ง

ทิวาผงะออก “อึ๋ย…” ก็เธอกลัวโดนกัดนี่น่า

“แล้วใครล่ะเจ้าหญิงจันทรา” เธอย้อนถามอย่างอยากรู้

เทพสุริยะวาดขาหน้าเป็นวงกลมกลางอากาศ พลัน! ก็ปรากฏภาพเจ้าหญิงจันทราขึ้น

ทิวามองภาพนั้นเคลื่อนไหวไปเหมือนกำลังดูทีวี จมูกก็ได้กลิ่นหอมแรง กลิ่นคล้ายกับดอกซ่อนกลิ่น

“นี่แหละเจ้าหญิงจันทรา” เทพสุริยะบอก “ส่วนเจ้าถึงจะเหมือนแต่ก็ไม่ใช่ แค่กลิ่นก็ต่างกันแล้ว เสื้อผ้าเจ้ามีกลิ่นดอกจันทราแต่ก็ไม่อาจจะกลบกลิ่นของตัวเจ้าได้”

ทิวาก้มลงดมตัวเองอย่างงงๆ “ฉันมีกลิ่นตัวด้วยเหรอ ตายแล้ว กลิ่นคงเหม็นฉึ่งแน่ๆเลย”

เทพสุริยะส่ายหน้า “ไม่ใช่กลิ่นเหม็น แต่เจ้ามีกลิ่นหอมที่ข้าไม่รู้จัก ข้าไม่อาจจะบอกได้ว่ากลิ่นเจ้าเหมือนกับสิ่งใดในดินแดนมายา”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!