Skip to content

Battle Sun Chapter 6

Chapter 6

ฝัน?

อารยะรีบอุ้มทิวาวิ่งตามไป พอถึงรถที่เหมาเอาไว้ ตะวันก็รีบบอกกับคนขับเป็นภาษาอังกฤษว่า “ไปโรงพยาบาลด่วนครับ น้องผมได้รับบาดเจ็บ”

คนขับรถมองตาม “เยสเซอร์” แล้วก็รีบเปิดประตูสตาร์ทรถ

ตะวันรีบเปิดประตูรถรอ “เข้าไปเลยไอ้ยะ”

อารยะวางทิวาลงแล้วก็รีบก้าวเข้าไปนั่งข้างน้อง พลางรีบควักผ้าเช็ดหน้ามาผูกข้อมือห้ามเลือด

ตะวันปิดประตูรถแล้วก็รีบวิ่งไปนั่งข้างหน้าคู่กับคนขับ “ไปได้เลยครับ”

คนขับรถก็รีบขับรถไปโรงพยาบาลทันที

พอถึงโรงพยาบาล ทิวาก็ถูกส่งเข้าห้องฉุกเฉิน อารยะยืนเฝ้าอยู่หน้าห้องอย่างเป็นห่วง ส่วนตะวันก็เดินไปจัดการเรื่องเอกสารให้

สักพักใหญ่ๆ หมอก็ออกมาบอกว่า “ต้องแอดมิดนะครับ คนไข้เสียเลือดมากต้องให้เลือดด่วนครับ ส่วนแผลที่ข้อมือเราทำแผลให้เรียบร้อยแล้วครับ”

“เยสๆๆๆ” อารยะพยักหน้ารับอย่างเดียว จะรักษายังไงก็ทำไป ขอให้ยัยวาปลอดภัยก็พอ แล้วหมอก็ขอตัวเข้าไปข้างใน

ตะวันเดินมาทันได้ยินหมอพูดก็เข้าไปตบบ่าเพื่อนให้กำลังใจ “หมอต้องรักษาได้ แกเชื่อฉันซิ”

“เออ” อารยะพยักหน้ารับ แล้วก็พูดอย่างงงๆว่า “ยัยวาบาดเจ็บได้ไงวะ แกเห็นรึเปล่าไอ้วัน?”

“ไม่เห็นเหมือนกัน เห็นแต่ฟ้าฟาดเปรี้ยงลงมา จากนั้นก็เห็นทิวานอนอยู่กับพื้นแล้วว่ะ” ตะวันบอกอย่างงงๆเช่นกัน

“มันเกิดอะไรขึ้นวะ?” อารยะถามลอยๆ

ตะวันส่ายหน้า “ไม่รู้ว่ะ?”

สองหนุ่มมองตากันอย่างงงๆ

เวลาผ่านไปเกือบสองชั่วโมง คนไข้ก็ถูกย้ายขึ้นห้องพัก สองหนุ่มก็ตามไปเฝ้าไม่ห่าง

อารยะนั่งจับมือน้องเอาไว้ตลอดเวลา ส่วนตะวันก็กลับไปที่โรงแรมไปเอาเสื้อผ้าของตัวเองกับเพื่อนแล้วก็กลับไปที่โรงพยาบาล

ณ ลานจันทรา ราชาภากรเหาะพุ่งพรวดทันเห็นแสงจันทราเลือนหาย แล้วร่างของเจ้าหญิงจันทราก็ลอยลงสู่พื้น

“เจ้ากล้าบวงสรวงจันทรารึนี่!” ราชาภากรขบกรามแน่น เขาเดินเข้าไปยืนคล่อมตัวเจ้าหญิงจันทราผู้บังอาจขัดคำสั่งเขาทำพิธีบวงสรวงจันทรา

เขาก้มลงจ้องมองใบหน้างามอย่างโกรธจัด

ดวงตาคู่สวยค่อยๆกระพริบลืมตาขึ้น “หือ…พี่ยะ”

“เจ้ากล้าขัดคำสั่งข้าถึงเพียงนี้เชียวรึเจ้าหญิงจันทรา” ราชาภากรเข่นเขี้ยว

ทิวากระพริบตาปริบๆ ในความมืดเธอเห็นเงาผู้ชายตะคุ่มๆ “ทำไมมันมืดแบบนี้ล่ะพี่ยะ” เธอถามแล้วก็ยื่นมือไปคว้าตัวอีกฝ่ายเพื่อเป็นหลักดึงตัวเองลุกขึ้น

ราชาภากรชะงักงัน! ปกติเจ้าหญิงจันทราไม่เคยแตะต้องตัวเขาเลยสักครั้ง

“พี่ยะช่วยดึงวาขึ้นหน่อยซิคะ วาเมื่อยเนื้อเมื่อยตัวไปหมดเลยเนี่ย แล้วทำไมมันมืดแบบนี้ล่ะคะ” ทิวาดึงตัวเองลุกขึ้นนั่ง

ราชาภากรแบมือออกก็ปรากฏเปลวไฟขึ้นกลางฝ่ามือของเขา

ทิวาหันมองแว๊บนึง เธอนึกว่าแสงเทียน “อ้าวไฟดับเหรอพี่ยะ แล้วนี่มันกี่โมงแล้วคะ” เธอก้มลงมองนาฬิกาข้อมือ แต่พอเห็นแขนเสื้อตัวเองก็ชะงัก! “เอ๊ะ!”

เธอก้มลงมองเสื้อผ้าตัวเองอย่างงงๆ “เอ๊ะ! นี่ทำไมวาใส่เสื้อผ้าแบบนี้ล่ะพี่ยะ?” เธอเงยหน้ามองแล้วก็ร้องลั่น “ไม่ใช่พี่ยะนี่! ว๊าย!”

แล้วเธอก็กระถดผงะถอยหลัง “แกเป็นใคร! แล้วเข้ามาในห้องฉันได้ไง!” เธอตวาดถามอย่างตกใจกลัว

“พี่ยะช่วยวาด้วย ใครก็ไม่รู้เข้ามาในห้องค่ะ” เธอตะโกนลั่นมือก็ควานหาอาวุธป้องกันตัว แล้วก็เจอสิ่งหนึ่งเข้า เธอกำสิ่งนั้นไว้แน่น

ราชาภากรมองอย่างงงๆ เขาไม่เข้าใจว่านางเรียกหาใครกัน เขาขยายเปลวไฟขึ้น แสงสว่างส่องไปรอบลาน

ทิวาตะลึง! “อะไรกันเนี่ย!?” เธอมองเปลวไฟกลางฝ่ามือใหญ่อย่างงงๆ “ฉันฝันอยู่เหรอ?” เธอถามตัวเองแล้วก็มองไปรอบๆตัว เห็นแต่ลานกว้างๆ แล้วเธอก็หันกลับไปมองผู้ชายตรงหน้าอีกครั้ง

“ฉันกำลังฝันอยู่ใช่มั้ยคะ?” เธอถามเขาแล้วภาพตรงหน้าก็ค่อยๆดับวูบไป

สิ่งที่เธอกำไว้ในมือก็หล่นลงพื้น กริ๊ก! มันคือปิ่นปักผมที่เจ้าหญิงจันทราใช้กรีดข้อมือนั่นเอง

ราชาภากรจ้องมองอย่างงงๆกับท่าทีที่นางกระทำเมื่อครู่ เขาเดินเข้าไปจ้องหน้านางอย่างงุนงง “นางเป็นอะไร? เหตุใดนางจึงพูดจาแปลกประหลาด?”

เขาจ้องมองนางเขม็ง ใบหน้างามก็ไม่ได้มีสิ่งใดผิดแผกแปลกไปจากเดิม เขากำมือดับไฟแล้วก็ช้อนตัวนางขึ้นมา

“ไยนางตัวเล็กลง?” เขาพึมพำอย่างสงสัย เพราะเคยอุ้มนาง เขายังจำได้ว่าตัวนางใหญ่กว่านี้

ครั้นพอได้กลิ่นกายนางเขาก็ยิ่งสงสัย “ไยกลิ่นนางจึงเปลี่ยนไป?” เพราะกลิ่นกายเจ้าหญิงจันทรามีกลิ่นของดอกจันทรา ซึ่งเป็นกลิ่นที่เขาเกลียด

เขาอุ้มนางขึ้นมาแล้วก็พุ่งตัวเหาะกลับปราสาท เมื่อถึงปราสาท เขาก็วางนางลงบนเตียงแล้วก็หันไปจุดไฟจนทั่วทั้งห้องสว่างไสวดั่งกลางวัน

เขาเพ่งพิศใบหน้างามพลางก้มลงไปดมกลิ่นกายอย่างสงสัย เขาสูดกลิ่นแล้วก็ต้องแปลกใจ “กลิ่นอะไร? ข้าไม่เคยได้กลิ่นเช่นนี้เลย?”

แล้วเขาก็สูดกลิ่นอีกครั้ง ก็ยังได้กลิ่นเช่นเดิม เขาได้กลิ่นดอกจันทราจางๆผสมกับกลิ่นบางอย่างที่เขาไม่เคยได้กลิ่นมาก่อน กลิ่นนั้นหอมหวานอ่อนๆ

ทิวาค่อยๆลืมตาขึ้น พอเห็นใบหน้าอยู่ตรงหน้าเธอก็ถามว่า “พี่ยะเหรอ?”

ราชาภากรถอยห่าง

ทิวามองเห็นใบหน้านั้นชัดเจนขึ้นก็ผงะตกใจ “เหวอ!…ใครง่ะ?”

เธอลุกพรวด! ถอยหลังจนติดหัวเตียง “ออกไปนะ!”

ราชาภากรจ้องมองอย่างสังเกต

ทิวาจ้องอย่างตื่นกลัว เธอมองไปรอบๆอย่างงงๆ “ที่นี่ที่ไหนง่ะ? ไม่ใช่ห้องในโรงแรมนี่น่า?”

ราชาภากรขยับเข้าไปใกล้

ทิวาควานอะไรได้ก็ปาใส่เต็มแรง “ถอยไปนะ! จะทำอะไร อย่าเข้ามานะ!”

ราชาภากรปัดหมอนทิ้งแล้วก็กระชากแขนนางเข้าหาตัว “เจ้ากล้าสั่งข้ารึ!”

“ว๊าย! ปล่อยนะ!” ทิวากรี๊ดลั่น มืออีกข้างก็ต่อยเปรี้ยง!

ราชาภากรเอียงหน้าหลบแล้วก็คว้าเอวบางกระชากเข้าไปกอด

“ว๊าย! ปล่อยฉันนะไอ้บ้า!” ทิวาดิ้นสุดฤทธิ์ มือข้างที่ต่อยพลาดก็ตะกุยหน้าเต็มแรง

“โอ๊ย! เจ้า! กล้าทำข้าถึงเพียงนี้เชียวรึ!” ราชาภากรรีบจับแขนเรียวเล็กยึดเอาไว้

“ปล่อยนะไอ้บ้า! ปล่อย! บอกให้ปล่อย!” ทิวาตวาดลั่น ดิ้นสุดแรง

ราชาภากรมองจ้องพลางตวาดว่า “หยุด!”

ทิวาชะงักนิ่ง! เหมือนถูกสตาฟเอาไว้ “อะไรง่ะ!? ทำไมขยับไม่ได้ล่ะ?”

ราชาภากรยิ้มเหี้ยมแล้วก็พูดว่า “เจ้าคงจะห่างแส้ไปเสียนานจนลืมความเจ็บปวดไปแล้วกระมัง”

แล้วเขาก็ผลักนางล้มลงบนเตียง

ทิวาล้มคว่ำหน้าตัวแข็งทื่อ “ว๊าย! จะทำอะไรน่ะ?”

ราชาภากรแบมือออกก็ปรากฏแส้ขึ้นมา แล้วเขาก็กระชากเสื้อนางลง เงื้อแส้ฟาดสุดแรง

“ว๊าย! ไอ้บ้า! จะทำอะไรฉันอย่านะ!” ทิวาร้องลั่นน้ำตาไหลพราก“ว๊าย! ปล่อยนะ!”

ราชาภากรชะงัก! เมื่อเห็นแผ่นหลังขาวเนียน ไร้รอยแผล “ไม่มีแผล! เป็นไปได้อย่างไร!”

เขาก้มลงลูบแผ่นหลังนวลเนียนหารอยแผลเป็น

“ไอ้บ้า! อย่ามาจับตัวฉันนะ!” ทิวาร้องลั่น

“ไม่มีแผล! แผลเจ้าหายไปได้อย่างไร!?” ราชาภากรตวาดถามอย่างงุนงง จะว่าเป็นพลังลวงตาก็ไม่ใช่ เพราะเขาลูบสัมผัสเช่นนี้ก็ต้องพบรอยแผลเป็นซิ รอยแผลเป็นจากแส้เต็มหลังมันจะหายไปได้อย่างไรกัน เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด!

เขาพลิกตัวนางขึ้นมาจ้องหน้า “แผลเจ้าหายไปไหน!?” เขาตะคอกถาม

ทิวาน้ำตาไหลพราก “แผลอะไร ฉันไม่รู้”

พอรู้ตัวอีกทีเธอก็พนมมือไหว้เขา อาการตัวแข็งหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ “อย่าทำอะไรฉันเลยนะ ฉันขอร้อง ฉันกลัวแล้ว ได้โปรด…”

ราชาภากรมองใบหน้านองน้ำตาท่าทางตัวสั่นกลัวแล้วก็ชะงัก! นางไม่เคยอ้อนวอนเขาเช่นนี้เลยสักครั้ง เขาปล่อยแส้หายไปโดยไม่รู้ตัว ในอกรู้สึกตื้อๆพิกล เขาค่อยๆก้าวถอยห่าง ตาก็มองใบหน้างามเหมือนดั่งเห็นสิ่งแปลกประหลาด แล้วเขาก็หมุนตัวเดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว

พอเสียงประตูปิดดังปัง! ทิวาก็ปล่อยโฮอย่างขวัญเสีย “โฮๆๆๆ ฮือๆๆๆ…” เธอร้องไห้จนกระทั่งเผลอหลับไป

รู้สึกตัวอีกทีก็รู้สึกว่ามีมือมาจับแขน “เจ้าหญิงเจ้าขาตื่นเถอะเจ้าค่ะ”

ทิวาลืมตาขึ้นมอง เธอเห็นผู้หญิงข้างเตียงก็ชะงักมอง “เอ่อ…”

“ขอบพระคุณเจ้าหญิงที่ท่านเสียสละทำพิธีบวงสรวงเทพีจันทราเมื่อคืนนี้เจ้าค่ะ” นางกำนัลจับมือไปทูนหัวตัวเอง

ทิวากระพริบตาปริบๆมองอย่างงุนงง “เอ่อ…”

“แม่จ๋า รีบเอายาทาให้เจ้าหญิงเถอะ เมื่อคืนคงจะถูกท่าน…เฆี่ยนแน่เจ้าค่ะ ข้าได้ยินเสียงเจ้าหญิงร้องเสียงดังลั่นเลย” นางกำนัลสาวรุ่นบอกแล้วก็ส่งถ้วยยาสีน้ำเงินข้นให้แม่

“จริงซินะ” นางกำนัลคนแรกพยักหน้าแล้วก็บอกลูกว่า “เจ้าช่วยเจ้าหญิงพลิกตัวคว่ำที ข้าจะได้ทายาให้ท่าน”

“เจ้าค่ะ” นางกำนัลสาวรุ่นรับคำแล้วก็จับเจ้าหญิงพลิกตัว

ทิวาร้องห้าม “เฮ้ย! เดี๋ยวๆ อะไรกันคะคุณป้า” เธอจับสาบเสื้อรวบเข้าหากันอย่างตกใจ

“ข้าจะทายาให้ท่านไงเจ้าคะ” นางกำนัลบอกพลางชูถ้วยยาให้ดู

ทิวาทำหน้างง “ทายา! ทำไมต้องทายาด้วยล่ะ?”

“ก็เจ้าหญิงถูกเฆี่ยนก็ต้องทายาซิเจ้าคะ” นางกำนัลสาวรุ่นพูดแล้วก็บอกว่า “ท่านนอนคว่ำซิเจ้าคะ แม่จะได้ทายาให้ท่านไงเจ้าคะ”

ทิวาโบกมือ “ฉันไม่ได้ถูกตีถูกเฆี่ยน ไม่ต้องทายาหรอกค่ะ”

“งั้นหรือเจ้าคะ ถ้างั้นข้าก็โล่งอก” นางกำนัลถอนหายใจ ส่งถ้วยยาให้ลูกสาว “เจ้าเอาไปเก็บที”

“เจ้าค่ะ” นางกำนัลคนลูกรีบรับไปเก็บในตู้

ทิวามองทั้งสองแล้วก็ถามว่า “ป้าชื่ออะไรคะ? แล้วเธอล่ะชื่ออะไรเหรอ?”

ทั้งสองจ้องหน้าเจ้าหญิงอย่างงงๆ แล้วก็หันไปมองหน้ากันเอง

นางกำนัลคนลูกชี้ที่ตัวเองแล้วก็บอกว่า “ข้ารัตติไงเจ้าคะ แล้วนี่ก็แม่ของข้ารัตตาไงเจ้าคะ”

ทิวาทวนชื่อ “รัตตากับรัตติ รัตตา…รัตติ” เธอชี้ตัวพลางพูดย้ำๆเพื่อให้จำขึ้นใจ

รัตตากับรัตติหันไปมองหน้ากันเองอย่างงงๆ

“เชิญเจ้าหญิงไปอาบน้ำดีกว่าเจ้าค่ะ” รัตติบอกพลางยื่นแขนไปให้เจ้าหญิงเกาะ

“อาบน้ำเหรอก็ดีเหมือนกันนะ” ทิวาพยักหน้าเห็นด้วย เธอมองแขนรัตติแล้วก็เกาะแขนยันตัวลุกขึ้น

แล้วเธอก็นึกขึ้นได้ว่า “เอ่อ…เดี๋ยวนะ เมื่อกี้เธอเรียกฉันว่าเจ้าหญิงเหรอ?”

รัตติพยักหน้า “เจ้าค่ะ ก็เจ้าหญิงเป็นเจ้าหญิงไม่เรียกว่าเจ้าหญิงแล้วจะให้ข้าเรียกว่าอย่างไรหรือเจ้าคะ?”

ทิวาชี้ที่ตัวเอง “เจ้าหญิงเหรอ?” เธอทำหน้างง แล้วก็คิดว่านี่เธอคงกำลังฝันอยู่แน่ๆเลย เออ…ฝันว่าได้เป็นเจ้าหญิงก็ดีนะ เธอมองไปรอบๆห้องแล้วก็ยิ้ม เป็นเจ้าหญิงก็ต้องอยู่ห้องหรูๆแบบนี้ซินะ ดีจังเลย…เจ้าหญิงทิวา อร๊าย…แค่คิดก็ปลื๊ม…ปลื้ม

“เชิญเจ้าค่ะ” รัตติเดินไปเปิดประตู

ทิวามองแล้วก็เดินไป พลางคิดว่าเอาวะ…นานๆจะได้ฝันดีซะทีก็ขอฝันต่อยาวๆนะคะ

เธอก้าวเข้าไปในห้องน้ำแล้วก็ร้อง “ว้าว!”

ห้องน้ำกว้างใหญ่ กลางห้องน้ำมีสระน้ำใสแจ๋ว ต้องเรียกว่าสระเพราะขนาดมันใหญ่เท่าๆกับสระว่ายน้ำตามสโมสรออกกำลังกายได้ล่ะมั้ง

รัตติเดินไปยืนข้างหลังเจ้าหญิงแล้วก็ช่วยถอดเสื้อออกให้

ทิวายืนเฉยให้รัตติช่วยอย่างไม่รู้สึกอายเพราะคิดว่านี่คือความฝัน

รัตติถอดเสื้อออกแล้วก็พับวางไว้ นางจับเส้นผมเจ้าหญิงแล้วก็ถามว่า “ทำไมผมท่านสั้นลงล่ะเจ้าคะ?”

ทิวาจับปลายผมตัวเอง “ไม่สั้นนะ นี่มันก็ยาวมากแล้วนะ ฉันยังไม่ได้ตัดเลยนะตั้งหลายเดือนแล้ว”

รัตติทำหน้างงๆ แต่ครั้นพอเห็นแผ่นหลังเจ้าหญิงก็ทักว่า “แผลท่านหายหมดแล้วนี่เจ้าคะ” นางเอื้อมมือไปลูบแผ่นหลัง “เอ…หรือว่าเทพีจันทราช่วยรักษาแผลให้ท่านกระมัง”

ทิวายื่นมือไปลูบคลำหลังตัวเอง “แผลอะไรเหรอรัตติ? เธอถามฉันเหมือนไอ้บ้าคนนั้นอีกคนแล้วนะ”

“ก็แผลที่ถูกท่าน…เฆี่ยนอย่างไรล่ะเจ้าคะ” รัตติตอบแล้วก็บอกว่า “หายไปเสียได้ก็ดีแล้วเจ้าค่ะ ผิวท่านจะได้งามเหมือนเดิมเสียที”

ทิวาทำหน้างง

“อาบน้ำเถอะเจ้าค่ะ” รัตติบอก

“ฮื้ม” ทิวาพยักหน้ารับแล้วก็ก้าวลงไปในสระ เพียงแค่เท้าแตะน้ำเธอก็ขนลุกซู่ “น้ำเย็นจัง”

เธอกลั้นใจจุ่มตัวลงน้ำพรวด “อื้ย!”

รัตติถือฟองน้ำขัดตัวตามลงไปช่วยขัดตัวให้อย่างเบามือ

“ฮื้อ…สบายจัง นี่ถ้าน้ำมันอุ่นๆซะหน่อยล่ะแจ๋วเลย” ทิวาบอกพลางวักน้ำล้างหน้า

รัตติถามย้ำ “น้ำอุ่นเหรอเจ้าคะ”

“ฮื้อ…ก็น้ำอุ่นน่ะซิ” ทิวาบอกพลางวักน้ำเล่น

“อาบน้ำอุ่นไม่ได้นะเจ้าคะ เดี๋ยวเจ้าหญิงจะเป็นไข้อีกนะเจ้าคะ” รัตติห้ามแล้วก็บอกว่า “ครั้งที่แล้วที่ท่านโดนจับแช่น้ำอุ่นท่านเป็นไข้เสียนานจนพวกเราคิดว่าท่านคงไม่รอดแน่ แต่ท่านก็ยังรอดมาได้ น้ำอุ่นทำให้พวกเราเป็นไข้ถึงตายได้เชียวนะเจ้าคะ สำหรับพวกเราต้องน้ำเย็นเจ้าค่ะ ยิ่งเย็นยิ่งดีเจ้าค่ะ”

ทิวาฟังแล้วก็ทำหน้างงๆ

พอขัดตัวเสร็จรัตติก็วักน้ำล้างตัวให้ “เสร็จแล้วเจ้าคะ ไปแต่งตัวกันเถอะเจ้าค่ะ”

ทิวาพยักหน้าแล้วก็เดินขึ้นจากสระ

รัตติรีบหยิบผ้ามาซับน้ำจนตัวแห้งแล้วก็ช่วยใส่เสื้อผ้าให้

พอแต่งตัวเสร็จทิวาก็มองไปรอบๆ “เอ…กระจกอยู่ไหนนะ?”

“ตรงนั้นไงเจ้าคะ” รัตติชี้ไปที่กระจก

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!