วันที่เขียน 27 ตุลาคม 2566
บุรุษน่าตาย
นิยายเรื่องนี้เป็นภาคต่อจากเรื่อง อาจารย์เย็นชากับศิษย์ชั่วช้า เพื่อความสนุกและฟินสุดๆ
ควรอ่านเรื่อง เสนาบดีเจ้าจะหนีไปไหน(ภาคแดนมนุษย์)
ตามด้วยเรื่อง อาจารย์เย็นชากับศิษย์ชั่วช้า(ภาคแดนเซียน) ก่อนค่ะ
และสุดท้ายคือเรื่อง บุรุษน่าตาย(ภาคแดนเทพ) ค่ะ
ความเดิมจาก Chapter 51
บรรลุเป็นเทพ
เฉินมู่อิ๋งกำลังจะสู้กับศิษย์สำนักซ่อนจันทร์ พลัน! กระบี่ดำของเขาก็พุ่งเข้ามารับศึกแทนเสียแล้ว เพราะพวกเซียนพวกนั้นยังมัวตกตะลึงอยู่เลย มันจึงไม่โจมตีคนพวกนั้นตอนทีเผลอ เพราะเจ้านายไม่ได้สั่งให้มันฆ่า สั่งให้มันแค่ ‘จัดการ’ เท่านั้น มันจึงแค่ประมือกับเซียนเหล่านั้นเหมือนแมวหยอกหนูอย่างไรอย่างนั้น มันพุ่งมารับมือกับเซียนสาวที่คิดจะฆ่าเจ้านายมัน มันฟันเสียจนกระบี่เซียนของพวกนางแตกละเอียด ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!…
ซ้ำยังฟันกระบี่เซียนที่พวกนางขี่อยู่ ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!…
ทำให้พวกนางตกลงไปเบื้องล่างทันที “อ้า!”
ตุบ! ตุบ! ตุบ! ตุบ! ตุบ! ตุบ! พวกนางตกกระแทกพื้นดินอย่างอเนจอนาถยิ่ง เมื่อจัดการศัตรูให้เจ้านายแล้วกระบี่ดำก็บินไปอยู่ข้างๆ เจ้านายส่งเสียง “วิ๊ง!”
“ดีๆ ทำดีมาก” เฉินมู่อิ๋งชมมัน ขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกถึงพลังจากไพลินวิญญาณที่ส่งมาให้เขา พลังกลุ่มนี้ไหลจากติ่งหูซ้ายไปรวมกันที่ท้องน้อยหมุนวนอยู่ครู่หนึ่งแล้วพุ่งขึ้นไปตามกระดูกสันหลัง พุ่งขึ้นไปที่หน้าผาก ทำให้กระดูกหน้าผากที่ยังเหลืออีกนิดเปลี่ยนเป็นกระดูกเซียนทันที กระบี่เทพมารก็ไม่ได้ดึงพลังนั้นมาแม้แต่น้อย มันต้องการให้เจ้านายของมันบรรลุขั้นเช่นกัน
ทันทีที่กระดูกและเลือดเนื้อของเฉินมู่อิ๋งเปลี่ยนเป็นเซียนทั้งตัว ร่างเขาก็เปล่งแสงสีน้ำเงินออกมา แสงนี้ทำให้ทุกคนมองเป็นตาเดียว “นั่น!”
“เกิดอะไรขึ้น?”
เฟยเทียนก็มองไปเช่นกัน นางเห็นเมฆบนฟ้าหมุนวนแล้วรวมตัวกันหนาแน่นยิ่ง ทำให้ท้องฟ้าในบริเวณนี้มืดครึ้มลงทันตา ราวกับเป็นกลางคืนอย่างไรอย่างนั้น ฟ้าร้องดังครืนนนน—
สายฟ้าแลบแปร๊บปร๊าบอยู่ในกลุ่มเมฆ ปรากฎการณ์เช่นนี้ทำให้ผู้คนตกตะลึงแตกตื่น “เกิดอะไรขึ้น!?”
มวลเมฆหมุนวนราวกับน้ำวน เฟยเทียนมองแล้วยิ้ม พึมพำเสียงเบา “ในที่สุดนังหนูอิ๋งก็จะบรรลุเป็นเทพแล้ว! ดีจริงๆ ดีจริงๆ”
นางเอาถุงคุนเฉียนออกมาใบหนึ่งแล้วโยนให้ “อิ๋งเอ๋อร์ เจ้ารับนี่ไป เก็บไว้ให้ดีๆ ล่ะ”
เฉินมู่อิ๋งรับถุงใบนั้นมาอย่างงงๆ เขารีบเก็บมันใส่แหวนคุนเฉียนเอาไว้ก่อน ผู้คนมองดูท้องฟ้าแล้วพูดกันว่า “หรือว่าสวรรค์จะช่วยลงทัณฑ์นางมาร!?”
“เฮอะ! สวรรค์ลงทัณฑ์บิดาเจ้าซิ” เฟยเทียนด่า “ศิษย์ข้ากำลังจะกลายเป็นเทพแล้วต่างหากล่ะ”
“เป็นเทพ!” ผู้คนตกตะลึงอึ้งงันไป พวกเขามองมวลเมฆที่หมุนวนราวกับน้ำวนอย่างตกตะลึงยิ่ง เซียนหลายๆ คนที่เคยเห็นปรากฎการณ์ประตูสวรรค์เปิดออกย่อมรู้ดีว่านี่คือปรากฎการณ์ที่ประตูสวรรค์กำลังจะเปิด!
สายฟ้าผ่า เปรี้ยง! ลงมาใส่เฉินมู่อิ๋งที่ตัวเปล่งแสงสีน้ำเงินลานตา สายฟ้าเหล่านั้นถูกดูดหายไปไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวที่จะเล็ดลอดออกไป ทำให้เฟยเทียนถึงกับตะลึงงัน “โอ้!”
สายฟ้าผ่าลงมาอีก เปรี้ยง! แล้วก็อีก เปรี้ยง! สายฟ้าถูกดูดหายไปไม่เหลือหลอ ทำให้เฟยเทียนยิ้มชอบใจ “โอ้! ดีๆ”
เฉินมู่อิ๋งไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดแม้แต่น้อย รู้สึกว่าร่างกายกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เหมือนผลัดกระดูกล้างวิญญาณอย่างไรอย่างนั้น ไพลินวิญญาณร้องเรียก “เสี่ยวเฮย มานี่”
กระบี่ดำพุ่งเข้าไปตรงหน้าผากเจ้านายทันที มันหายวับไป เฉินมู่อิ๋งยกมือลูบๆ ตรงหน้าผากที่รู้สึกเจ็บๆ ตึงๆ เพราะแรงที่พุ่งเข้ามาเมื่อกี้ เขามองกระบี่ดำที่อยู่ในห้วงจิต มันลอยอยู่ใกล้ๆ กับร่างจิตของไพลินวิญญาณ
สายฟ้าผ่าลงมาอีก เปรี้ยง! ผู้คนตกตะลึงปากอ้าตาค้าง “4 สายแล้ว!”
สายฟ้าผ่าลงมาอีก เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!…
คราวนี้ผ่าลงมานับไม่ถ้วนเลยทีเดียว ผ่าเสียจนบริเวณนี้เกิดแสงวูบวาบ มีเสียงดังก้องราวกับเกิดวิกฤติการณ์โลกาวินาศอย่างไรอย่างนั้น ผ่าเสียจนพวกเซียนทั้งหลายถอยกรูดไปไกลเลยทีเดียว
“ใช่ประตูสวรรค์เปิดที่ไหนกัน! นี่มันสวรรค์ลงทัณฑ์ต่างหาก!” ศิษย์สำนักซ่อนจันทร์คนหนึ่งพูดขึ้นมา “เจ้าเด็กนั่นต้องถูกสวรรค์ลงทัณฑ์จนตกตาย! ตายไปเสีย! ตาย! ตาย! ตาย!”
เซียนหลายๆ คนเริ่มคล้อยตามศิษย์สำนักซ่อนจันทร์ บางทีนี่อาจจะเป็นสวรรค์ลงทัณฑ์ก็ได้ เจ้าเด็กนั่นฆ่าอาจารย์ตัวเอง สวรรค์คงทนดูไม่ไหวจึงได้คิดลงทัณฑ์มันให้ตกตาย!
ฟ้าผ่าเสียจนฟ้าสะเทือนแผ่นดินแทบทลาย ผ่าอยู่นานมาก ผ่าจนคนอื่นเริ่มเชื่อแล้วว่า นี่คือ ‘สวรรค์ลงทัณฑ์’ หาใช่ ‘ประตูสวรรค์เปิด’ ไม่ มีเพียงเฟยเทียนคนเดียวเท่านั้นที่ยิ้มชอบใจ “ศิษย์ข้าต้องแข็งแกร่งกว่าใครแน่นอน ฮ่าๆๆๆ…”
จนกระทั่งสายฟ้าหยุดผ่า กลางน้ำวนมวลเมฆปรากฏแสงส่องลงมา แสงนั้นดูดร่างของเฉินมู่อิ๋งที่เปล่งแสงสีน้ำเงินลอยขึ้นไป ผู้คนตกตะลึงเสียจนบื้อใบ้ไปหมด มีคนหนึ่งหลุดอุทานออกมา “เป็นประตูสวรรค์จริงๆ!”
แสงนั้นหดสั้นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งหายวับไป ร่างของเฉินมู่อิ๋งก็หายไปเช่นกัน มวลเมฆครึ้มสลายไปทันใด ท้องฟ้ากลับมาสว่างอีกครา เฟยเทียนหัวเราะร่า “ฮ่าๆๆๆ มันกลายเป็นเทพแล้วดีจริงๆ ดีจริงๆ”
ผู้คนยังคงตกตะลึงอึ้งงันไป เฟยเทียนหัวเราะแล้วลอยลงไปยืนบนพื้นยอดเขา จากนั้นนางก็วาดผนึกอาคมสีดำออกมาครอบคลุมยอดเขาอีกครั้ง นางไม่สนใจพวกเซียนเหล่านั้นเลยสักนิด พวกมันล้วนเป็นมดปลวกสำหรับนาง เพียงแต่เจ้าคนๆ นั้น ที่แท้แล้วเจ้าคนๆ นั้นเป็นร่างแยกของเผ่าจิตวิญญาณหรือนี่!
นางไม่รู้ว่ามันส่งร่างแยกนั้นมาเพื่อการใด แต่หากไม่ส่งผลกระทบถึงนางและครอบครัวนางก็คร้านจะสนใจ พวกเซียนกว่าจะหายตกตะลึงก็ผ่านไปพักใหญ่ กว่าพวกมันจะตั้งสติได้ ก็คงผ่านไปอีกนานทีเดียว นางเดินผ่านเขตอาคมรอบกระท่อมเข้าไป เดินเข้าไปในห้องนอนเห็นสามีกับลูกๆ กำลังหลับกันอยู่ นางจึงเดินไปนั่งลงบนเตียงอย่างแผ่วเบายิ่ง แล้วเอนตัวลงนอนข้างลูกชายคนโต กอดลูกเอาไว้อย่างมีความสุข
ส่วนเซียนพวกนั้น เดี๋ยวพวกมันหมดแรงแล้วก็จากไปเองนั่นแหละ พวกมันก็ยังคงทำอะไรนางไม่ได้อยู่ดี
ณ กลางฟ้ากระจ่างดาวผืนหนึ่ง มีดินแดนกว้างใหญ่อยู่กลางฟ้ากระจ่างดาว ดินแดนแห่งนี้คือดินแดนของเผ่าจิตวิญญาณ ใจกลางดินแดนมีตำหนักโอ่อ่าหลังใหญ่โต เรียงรายกันอยู่ ดวงแสงสีม่วงอมดำพุ่งลิ่วไปยังตำหนักหลังหนึ่ง แล้วรวมเข้ากับร่างที่นอนอยู่บนเตียงกลางห้อง ตู้ม!
เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวราวกับฟ้าจะถล่มแผ่นดินจะทลาย ทำให้เฉินจื้อกับจิงจ้านที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าห้องถึงกับสะดุ้งโหยง!
“องค์ราชา!” พวกเขาอุทานพร้อมกัน รู้สึกถึงกลิ่นอายกดดันที่แผ่ออกมาจากในห้อง กดดันเสียจนพวกเขาเข่าทรุดลงไป ปึก! ปึก! ปึก! ปึก!
เข่าทรุดลงไม่พอ ตัวยังถูกกดเสียจนต้องหมอบติดพื้นแล้ว ร่างกายพวกเขาราวกับจะถูกบดให้แหลกละเอียด เกิดความเจ็บปวดไปทั้งร่าง ทำให้พวกเขาเปล่งเสียงร้องออกมา “อ๊ากกกก—”
“อ๊ากกกก—”
พวกเขาพยายามฝืนยันตัวขึ้นแต่ก็ทำไม่ได้เลย
ภายในห้อง ร่างที่นอนอยู่บนเตียง ลืมตาขึ้น ดวงตาคมกริบราวกับกระบี่มองไป เขายันตัวลุกขึ้นนั่ง สีหน้าเหี้ยมเกรียมยิ่ง! ทำให้ใบหน้าที่หล่อเหลาราวกับเทพบุตรบึ้งตึงยิ่งนัก
“ชาติก่อนก็เป็นเจ้าเด็กเฉินมู่อิ๋งทำข้าเสียแผน ซ้ำยังทำให้ข้ารู้สึกหลงรักบุรุษอีก! ชาตินี้ก็เป็นเจ้าเด็กชื่อเฉินมู่อิ๋งอีกแล้ว ที่ทำให้ข้าเสียแผน จนต้องหลอมรวมกับจิตบรรพกาล ซ้ำยังทำให้ข้าหลงรักมันอีก ชื่อเฉินมู่อิ๋งนี้ช่างเป็นเสนียดกับข้าเสียจริง!” เสียงทุ้มกังวานไพเราะปานระฆังชั้นดีดังออกมาจากริมฝีปากสีแดงระเรื่อ แต่น้ำเสียงนั้นหากใครฟังเป็นต้องขนหัวลุกแน่นอน นั่นเป็นน้ำเสียงที่โกรธจัดจนโทสะท่วมฟ้าแล้ว!
“ข้า หยางเจียงหยุน (杨江云) จะไม่มีทางปล่อยทั้งเจ้าเด็กเฉินมู่อิ๋งคนนั้นกับเจ้าเด็กเฉินมู่อิ๋งคนนี้ไปแน่! ข้าจะต้องฆ่ามันให้ได้!” หยางเจียงหยุนตะโกนอย่างอาฆาตแค้น เขาที่เป็นบุรุษทั้งกายทั้งใจกลับเกิดจิตพิศวาสหลงรักบุรุษด้วยกันเพียงเพราะเจ้าเด็กมนุษย์อ่อนแอคนหนึ่งกับเซียนอ่อนแออีกคนหนึ่งที่มีชื่อเหมือนกันว่า ‘เฉินมู่อิ๋ง’ แน่นอนว่าเขาย่อมไม่ปล่อยพวกมันไปแน่นอน เจ้าเซียนคนนั้นย่อมอยู่ที่โลกพันเล็กลำดับที่ 2,900 แน่นอน ส่วนเจ้าเด็กมนุษย์เฉินมู่อิ๋งนั้น มันคงตายและไปเกิดใหม่นานแล้ว แต่ต่อให้มันไปเกิดที่ใดเขาก็จะตามหาตัวมันให้เจอและฆ่ามันให้ตายด้วยน้ำมือของเขาเอง ทั้งยังจะทำลายวิญญาณพวกมันให้สิ้นซากด้วย โทษฐานที่ทำให้องค์ราชาผู้ยิ่งใหญ่อย่างเขาเกิดจิตวิปริตผิดเพี้ยนกลายเป็นรักชอบบุรุษขึ้นมา
เขาสำรวจดวงจิตตัวเองพบว่ามีวิญญาณอาฆาตติดมาด้วย เขาจึงทำลายวิญญาณอาฆาตนั้นในพริบตาเดียว โพล๊ะ!
วิญญาณอาฆาตสูญสลายไป แต่ก็ทำให้เขาเกิดอาการดวงจิตบาดเจ็บเล็กน้อยเนื่องเพราะวิญญาณอาฆาตนี้เกิดจากจิตของเขาเอง เขากระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง เลือดสาดพ่นเปื้อนริมฝีปากและอาภรณ์ เขายกแขนเสื้อขึ้นเช็ดเลือดแล้วร้องสั่งว่า “เตรียมน้ำร้อน”
“พะ…พะ…” เฉินจื้อพยายามจะขานรับ แต่ก็ขานไม่ค่อยออก แรงกดดันนั้นทำเขาแทบเปล่งเสียงไม่ได้เลย หยางเจียงหยุนรู้สึกตัวจึงเก็บกลิ่นอายกดดันกลับมา เฉินจื้อกับจิงจ้านจึงรู้สึกตัวเบาขึ้น พวกเขารีบลุกขึ้นยืน ขานรับพร้อมกันว่า “พะย่ะค่ะ”
เฉินจื้อรีบเข้าไปในห้องอาบน้ำ ใช้พลังทำให้น้ำทั้งสระร้อนขึ้น แล้วจัดเตรียมเครื่องอาบน้ำให้องค์ราชา ไม่กี่อึดใจเขาก็เตรียมเสร็จแล้ว จึงกุมมือร้องบอกอยู่ที่ประตูอีกด้านซึ่งเชื่อมต่อกับห้องนอนขององค์ราชา “น้ำร้อนแล้วพะย่ะค่ะ”
“อืม” หยางเจียงหยุนพยักหน้า ลุกออกจากเตียง เดินไปเปิดประตู เดินเข้าไปในห้องอาบน้ำอันกว้างใหญ่ เห็นเฉินจื้อยืนกุมมือคารวะอยู่จึงมองอย่างเย็นชา เฉินจื้อถูกกลิ่นอายกดดันจนเข่าทรุดลงไปอีกครั้ง ปึก! ปึก!
เขารู้สึกว่าพลังขององค์ราชาเพิ่มขึ้นมากมายมหาศาลยิ่งนัก ทำให้เขาหลุดอุทานออกมาว่า “หลอมรวมแล้ว!”
“ใช่! หลอมรวมแล้ว” หยางเจียงหยุนพยักหน้า สีหน้าเย็นชายิ่ง จิตบรรพกาลทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้นก็จริง แต่มันก็ทำให้จิตใจเขาเปลี่ยนเป็นเหี้ยมโหดขึ้นหลายเท่าเช่นกัน เขาอุตส่าห์วางแผนสร้างร่างแยกนำจิตบรรพกาลกับจิตวิญญาณของเขาใส่รวมไว้ด้วยกันเพื่อกำจัดจิตบรรพกาลออกไป แผนการของเขาเกือบจะสำเร็จอยู่แล้วเชียว ถ้าไม่เป็นเพราะชาติที่แล้วเจ้าเด็กมนุษย์อ่อนแอเฉินมู่อิ๋งคนนั้นทำให้เขาเสียแผน เขาคงกำจัดจิตบรรพกาลออกไปได้แล้วแท้ๆ เขาฝึกวิชา ‘จิตไร้รัก’ เพื่อกำจัดจิตบรรพกาล ชาติที่แล้วก็เกือบจะสำเร็จแล้วเชียว หากว่าเขาไม่เจอเจ้าเด็กเฉินมู่อิ๋งคนนั้น เขาก็คงกลายเป็นฮ่องเต้ที่ไม่มีฮองเฮาหรือนางสนม ใช้ชีวิต ‘ไร้รัก’ ไปจนตาย เมื่อไร้ความรัก จิตบรรพกาลก็จะถูกขังอยู่ในร่างแยกร่างนั้นไปตลอด ส่วนจิตวิญญาณของเขาก็จะกลับสู่ร่างหลักโดยแยกจากจิตบรรพกาลไปตลอดกาล
แต่นี่เจ้าเด็กเฉินมู่อิ๋งหน้าตางดงามคนนั้นทำให้เขาเกิดจิตรักใคร่ปรารถนา ทำให้จิตบรรพกาลไม่อาจแยกจากจิตวิญญาณของเขาได้ ซ้ำยังเกิดวิญญาณอาฆาตขึ้นเสียอีก ดังนั้นเขาจึงหลอมสร้างร่างแยกขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
นำจิตบรรพกาล วิญญาณอาฆาตและจิตวิญญาณของเขาใส่ไว้ในร่างแยกอีกครั้ง จากนั้นก็ส่งร่างแยกไปเกิดยังโลกแห่งนั้นอีกหน ที่เลือกโลกแห่งนั้นก็เพราะว่าง่ายต่อการส่งร่างแยกไปนั่นเอง วิญญาณอาฆาตทำให้บิดาเกลียดชังเขา นี่ก็เป็นแผนการหนึ่งเพื่อให้ตัวเองถูกเกลียดชังจากผู้คน เมื่อถูกเกลียดชัง จิตใจก็จะไร้ความรัก ยิ่งลิขิตให้ชะตาของร่างแยกพบเซียนนำพาไปฝึกฝน จิตใจก็จะยิ่งไร้รักมากยิ่งขึ้น
แผนของเขาใกล้จะสำเร็จเต็มที แต่แล้วเจ้าเด็กเฉินมู่อิ๋งคนนั้นก็โผล่มาทำให้แผนการของเขาพังพินาศไม่มีชิ้นดี แผนฝึกฝน ‘จิตไร้รัก’ พังไม่เป็นท่า ซ้ำยังทำให้เขาหลงรักเจ้าเด็กคนนั้นขึ้นมาอีก เพียงเพราะว่ามันมีชื่อว่า ‘เฉินมู่อิ๋ง’ เหมือนกับเจ้าเด็กมนุษย์หล่อเหลาคนนั้น ซ้ำร้ายเขายังยินยอมหลอมรวมกับจิตบรรพกาลเพียงเพราะอยากจะปกป้องเจ้าเด็กเซียนคนนั้นเสียอีก! นี่มันช่างบัดซบสิ้นดี!
แผนการของเขาพังไม่เป็นท่าก็เพราะเจ้าเด็กเฉินมู่อิ๋ง 2 คนนั่น! น่าตายนัก พวกมันล้วนน่าฆ่าให้ตาย! สมควรสับให้เป็นหมื่นๆ ชิ้น บดขยี้วิญญาณพวกมันให้เป็นผุยผง!
เฉินจื้อที่ได้ยินเช่นนั้นก็ปากอ้าตาค้างเติ่ง! หลอมรวมแล้ว! เช่นนั้นก็หมายความว่าแผนการขององค์ราชาพังพินาศไปแล้ว!
“เฉินจื้อ เจ้าออกไปเสีย” หยางเจียงหยุนสั่งพลางสะบัดมือทีหนึ่ง เฉินจื้อก็ปลิวกลิ้งออกไปทันที “หว๋าาาาา…”
เขากลิ้งออกไปจนพ้นห้องอาบน้ำ ประตูก็ปิดลงตามหลัง เขาตะเกียกตะกายลุกขึ้นมาอย่างมึนงง ไม่เข้าใจว่าตัวเองทำอะไรให้องค์ราชาไม่พอใจหรือ? ฮือๆๆๆๆ…
จิงจ้านมองเฉินจื้อที่ถูกโยนออกมา เขาจึงเข้าไปกระซิบกระซาบข้างๆ “เจ้าไปทำให้อะไรให้องค์ราชาโมโหรึ?”
“ข้าไม่ได้ทำอะไรเสียหน่อย” เฉินจื้อกระซิบตอบ เขายังงงๆ ไม่หายว่าตัวเองทำอะไรให้องค์ราชาไม่พอใจหรือ?
หยางเจียงหยุนไล่เฉินจื้อออกไปเพียงเพราะแซ่ของมันที่ออกเสียงเหมือนกับเจ้าเด็กสมควรตาย 2 คนนั่น ‘เฉินมู่อิ๋ง!’ เขาเห็นเจ้าเฉินจื้อแล้วพาลนึกถึงเจ้าเด็ก 2 คนนั้นขึ้นมาทันที นึกแล้วก็โมโหยิ่งนัก ดังนั้นจึงพาลไม่อยากเห็นเจ้าเฉินจื้อไปด้วย หากว่าเฉินจื้อรู้ว่าสาเหตุเป็นเพราะแซ่ของตัวเองเขาคงอยากขออนุญาตบรรพบุรุษในหลุมศพทั้งหลายขอเปลี่ยนแซ่ชั่วคราวจนกว่าองค์ราชาจะหายโมโหนั่นแหละ
“ว่าแต่องค์ราชาตื่นขึ้นมาแล้ว เช่นนี้หมายความว่าแผนการสำเร็จแล้วซินะ?” จิงจ้านกระซิบถาม เฉินจื้อด่า “สำเร็จกับผีซิ! หลอมรวมแล้วต่างหากเล่า!”
“หลอมรวมแล้ว!” จิงจ้านตกใจเสียจนเข่าอ่อนยวบ แผนการณ์ที่องค์ราชาวางเอาไว้ผิดแผนไปได้อย่างไร!?
ณ ประตูสวรรค์ เฉินมู่อิ๋งผ่านลำแสงจ้าสว่างเสียจนเขาต้องหลับตาลง จนกระทั่งได้ยินเสียงดังแว่วๆ ว่า “โอ้! เทพบรรลุขึ้นมาใหม่!”
เขาจึงลืมตาขึ้นมอง พบว่าตัวเองยืนอยู่บนพื้นหินสีเขียวที่สุกสว่างเป็นประกายราวกับมรกตน้ำงาม พื้นที่นี้มองไปกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา เขาเห็นคนกลุ่มหนึ่งมีไอสีขาวจางๆ ล้อมรอบตัวคนเหล่านั้น ไอสีขาวนี้คล้ายกับกลิ่นอายของอาจารย์กู่เสียนฟางที่เป็นเทพไม่มีผิด เช่นนั้น ‘คน’ เหล่านี้ย่อมเป็นเทพเหมือนกับอาจารย์กู่แน่นอน
“หือ? แสงสีน้ำเงิน?” คนหนึ่งในกลุ่มคนเหล่านั้นอุทานออกมา คนอื่นๆ ก็มองจ้องเช่นกัน “ไยจึงเป็นสีน้ำเงิน? หากเป็นธาตุน้ำย่อมเป็นสีฟ้ามิใช่รึ?”
“หรือว่าจะเป็นเทพชั้นสูง?”
“เจ้าจะบ้ารึ เขาเป็นเทพใหม่จะเป็นเทพชั้นสูงได้อย่างไร?”
“นั่นซิ”
“หรือว่าเป็นพลังธาตุน้ำที่ผิดปกติ?”
“ผิดปกติอย่างไร?”
“อย่างเช่นธาตุน้ำ แต่กลับกลายเป็นน้ำแข็งเหมือนอย่างเทพคนนั้นเมื่อปีก่อนนู้นอย่างไรล่ะ”
“อืม ก็อาจเป็นได้ แต่ว่าของเทพคนนั้นเป็นสีฟ้าจางๆ จนแทบจะเป็นสีขาวไม่ใช่รึ”
“อันนี้ก็อาจจะผิดปกติจากสีฟ้ากลายเป็นสีน้ำเงินอย่างไรล่ะ”
“อืม”
ฯลฯ เสียงพูดคุยดังหึ่งๆ เฉินมู่อิ๋งที่ถูกจ้องมองจึงกวาดตามองคนเหล่านั้นแล้วมองตัวเอง เขาพบว่ารอบตัวเขาเปล่งแสงสีน้ำเงินออกมา เขาจึงคิดเก็บ แสงสีน้ำเงินก็หายวับไปทันที
“น้องชาย” บุรุษคนหนึ่งเรียกพลางเดินเข้ามาใกล้ เฉินมู่อิ๋งมองบุรุษคนนั้นอย่างระวังตัว บุรุษคนนั้นยิ้มแย้มให้อย่างเป็นมิตรแล้วพูดว่า “ข้าชื่อจางเย่าหยาง (张耀炀) ข้าเป็นเทพจากแดนเทพเป่ยต้าไห่ (北大海 มหาสมุทรเหนือ)”
“แดนเทพเป่ยต้าไห่?” เฉินมู่อิ๋งทวนคำอย่างงงๆ จางเย่าหยางถาม “น้องชายมาจากที่ไหนรึ?”
เฉินมู่อิ๋งไม่ตอบ มองคนๆ นั้นอย่างระวังตัว จางเย่าหยางยิ้มแล้วอธิบายว่า “น้องชายเป็นเทพใหม่เพิ่งบรรลุผ่านประตูสวรรค์มา คงจะยังงงๆ อยู่กระมัง มาเถอะ มานั่งตรงนี้ซิ ข้าจะอธิบายเรื่องแดนเทพให้เจ้าฟัง”
เฉินมู่อิ๋งไม่ได้เดินตามไป เขาทำเพียงยืนมองคนๆ นั้นอยู่ตรงนั้น ทำให้จางเย่าหยางถึงกับเกาหัวแกรกๆ “เจ้าช่างระวังตัวเสียจริง ข้าไม่ทำอะไรเจ้าหรอกน่า เอางี้ เจ้าฟังนะ แดนเทพแบ่งเป็น 5 ทวีปใหญ่ มีแดนเทพจงยางต้าไห่ (中央大海 มหาสมุทรกลาง) เป็นศูนย์กลาง แล้วก็มีแดนเทพเป่ยต้าไห่ หนานต้าไห่ (南大海 มหาสมุทรใต้) ตงต้าไห่ (东大海 มหาสมุทรตะวันออก) แล้วก็ซีฟางต้าไห่ (西方大海 มหาสมุทรตะวันตก) แต่ละแดนเทพมีเมืองย่อยอีกนับไม่ถ้วน แต่ละเมืองมีราชาปกครอง แต่ละเมืองก็มีกองกำลังของตัวเอง ส่วนทั้งห้าดินแดนก็มีกองกำลังเป็นของตัวเอง อย่างเช่นข้าอยู่ในกองกำลังแดนเทพเป่ยต้าไห่ ข้ามารออยู่ที่นี่ก็เพื่อคัดเลือกเทพใหม่เข้าร่วมกองกำลังเป่ยต้าไห่”
“ทำไมต้องเข้าร่วมกองกำลังด้วยล่ะ?” เฉินมู่อิ๋งถาม จางเย่าหยางจึงอธิบายว่า “ก็เพื่อที่จะได้รับทรัพยากรในการฝึกฝนพลังน่ะซิ หากเข้าร่วมกับกองกำลังก็จะได้รับทรัพยากรฝึกฝน เพียงแต่ต้องแลกกับการทำงานปกป้องดินแดน ก็คล้ายๆ กับทหารนั่นแหละ”
“อ่อ” เฉินมู่อิ๋งพยักหน้าเข้าใจ แล้วบอกว่า “เช่นนั้นขอข้าคิดก่อนล่ะกัน”
เขาบอกแล้วก็เดินห่างออกไปทันที จางเย่าหยางจึงไม่ตามไปคุยด้วยอีก เจ้าเด็กนั่นท่าทางก็บอกชัดแล้วว่าไม่ไว้ใจใครง่ายๆ ช่างเป็นเด็กที่ระวังตัวเสียจริง เฮ้อ…
เฉินมู่อิ๋งเดินห่างออกมาแล้วก็แอบเอาถุงที่อาจารย์เฟยเทียนให้มาออกมาดู เขาเห็นหินสีเขียว ข้างในหินมีแสงระยิบระยับแวววาว แสงนี้เหมือนกับแสงระยิบระยับที่เขาเห็นอยู่รอบๆ ตัว มันลอยอยู่ในอากาศ เมื่อเขาสูดลมหายใจเข้าไป แสงระยิบระยับเหล่านั้นก็ลอยเข้าไปในจมูกของเขาด้วย แสงพวกนั้นไหลลงไปผ่านปอดแล้วไหลไปรวมตัวกันอยู่ตรงท้องน้อย เขารู้สึกว่าตรงจุดตันเถียนของเขากลายเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่แห่งหนึ่งที่แสงระยิบระยับเหล่านั้นเข้าไปรวมตัวกันอยู่ตรงจุดนั้น เขายังไม่รู้ว่าสิ่งนั้นเรียกว่า ‘จุดรวมกำเนิด’
Chapter 2
ประวัติของบรรพบุรุษ
ไพลินวิญญาณเห็นว่าเจ้านายมีท่าทีงุนงงไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย มันจึงบอก {หินสีเขียวนั่น เรียกว่าหยกปราณสวรรค์ ก้อนเล็กนั้นคือหยกปราณสวรรค์ระดับต่ำ ก้อนใหญ่นั่นคือหยกปราณสวรรค์ระดับกลาง นางมารผู้นั้นใจกว้างกับเจ้านายไม่น้อยเลย นางให้หยกปราณสวรรค์กับเจ้า อ่อ หยกปราณสวรรค์ก็คือเงินของแดนเทพนี่แหละ ส่วนแสงวิบๆ นั่นก็คือไอเทพอย่างไรล่ะ ไอเทพนี้ก็คล้ายๆ กับพลังฟ้าดินนั่นแหละเพียงแต่มันบริสุทธิ์มากกว่าพลังฟ้าดิน ไอเทพนี้มีเฉพาะในแดนเทพเท่านั้น หากเจ้าไปแดนมารก็จะเห็นไอมารคล้ายๆ เช่นนี้เพียงแต่ว่าเป็นสีดำ}
{ไอมาร ข้าเคยเห็นแล้วตอนที่พี่สาวมังกรเอาตำรามารให้ข้าดู ข้ายังดูดกลืนไอมารเข้าไปด้วยซ้ำ} เฉินมู่อิ๋งบอก ไพลินวิญญาณอึ้งไป {นับว่าเจ้าโชคดีที่มีพลังของข้าขจัดไอมาร ไม่เช่นนั้นไอมารจะทำให้เจ้าวิกลจริตเข้าสักวันแน่ๆ}
{อืม พี่สาวมังกรก็บอกคล้ายๆ แบบนี้เหมือนกัน} เฉินมู่อิ๋งคุยกับไพลินวิญญาณอยู่ในห้วงจิต {ข้าว่าข้าไปจากที่นี่ดีกว่า}
{เดี๋ยวเจ้านาย เจ้าอย่าใช้เสี่ยวเฮยในแดนเทพดีกว่า ไม่เช่นนั้นคนอื่นอาจเข้าใจผิดได้ว่าเป็นกระบี่มาร ทีนี้ล่ะเจ้าได้ถูกตามล่าแน่} ไพลินวิญญาณเตือน เฉินมู่อิ๋งจึงถาม {แล้วจะไปจากที่นี่ได้อย่างไร?}
{ข้าจำได้ว่ามีเรือล่องเมฆานะ แต่ไม่รู้ว่าเรือล่องเมฆานี้จะมาที่นี่เมื่อไหร่ เจ้าก็คอยก่อนเถอะ} ไพลินวิญญาณบอก เฉินมู่อิ๋งจึงส่งเสียงรับ {อืม}
เขานั่งลงตรงนั้นแล้วรอคอยเรือล่องเมฆา คนอื่นๆ ก็ไม่เข้าไปใกล้เจ้าเทพใหม่นัก เพราะเห็นมันระวังตัวแจทีเดียว ทำอย่างกับพวกเขาจะหลอกมันไปขายอย่างนั้นแหละ เฮอะ! เด็กใหม่เช่นนี้ต้องปล่อยให้มันติดแหง็กอยู่ที่นี่นานๆ หน่อย พอมันทนไม่ไหวเดี๋ยวมันก็ขอเข้าร่วมกองกำลังเองนั่นแหละ ถึงตอนนั้นค่อยเข้าไปคุยกับมันก็ยังไม่สาย ฮี่ๆๆๆ
เฉินมู่อิ๋งนั่งอยู่เฉยๆ ไม่รู้จะทำอะไรจึงขัดสมาธิแล้วดูดกลืนไอเทพเข้าไป ทำให้รอบๆ ตัวเขาเกิดกระแสลมพัดโหมทันที วู้มมมม—
“หือ?” เหล่าเทพที่อยู่ ณ ประตูสวรรค์มองคลื่นลมที่เกิดขึ้นอย่างประหลาดใจ คลื่นลมหมุนม้วนราวกับพายุลูกหนึ่งแล้วถูกดูดหายเข้าไปในร่างของเฉินมู่อิ๋ง วูบ!
ทำให้ไอเทพในบริเวณนั้นเบาบางลงจนสังเกตได้ เฉินมู่อิ๋งหายใจออกทีหนึ่ง แล้วหายใจเข้าใหม่อีกครั้ง คลื่นลมรอบๆ ตัวก็กระเพื่อมไหวอีกครา วู้มมมม—
“โอ! เจ้าเด็กนี่ดูดซับไอเทพเป็นแล้วรึ?” เทพคนหนึ่งอุทานออกมา แน่นอนว่าเทพใหม่ล้วนยังไม่รู้วิธีดูดซับไอเทพเข้าไป ต้องได้รับการสอนจากเทพคนอื่นเสียก่อน แต่เจ้าเด็กนี่เพิ่งขึ้นมาใหม่ยังไม่มีใครสอนก็ดูดซับเองได้แล้ว!
“ดูดซับแรงเสียด้วย” เทพอีกคนพยักเพยิดมองดูเด็กใหม่ดูดซับไอเทพอย่างสนใจ เทพข้างๆ พูดขึ้นว่า “ก็คงดูดซับได้อีกนิดหน่อยแล้วก็คงถึงจุดอิ่มตัวกระมัง”
คลื่นลมในบริเวณนั้นหมุนม้วนราวกับพายุพัดโหม คราวนี้แรงยิ่งกว่าเดิมหลายสิบเท่า แรงเสียจนพวกเทพที่อยู่ ณ ประตูสวรรค์ล้วนนั่งไม่ค่อยอยู่แล้ว พวกเขาราวกับจะปลิวตามแรงลม ทำให้ต้องใช้พลังต้านแรงลมเอาไว้ บางคนยืนจิกเท้าก้มตัวต้านแรงลมที่ราวกับจะกระชากพวกเขาให้ปลิวหลุดลอยตามกระแสลม ยิ่งนานแรงลมยิ่งพัดโหมเสียจนพวกเขาต้องใช้พลังต้านกระแสลมกันทั้งหมด พลังหลากสีจึงเปล่งออกมาตามธาตุของแต่ละคน บางคนสีเขียว บางคนสีเหลือง บางคนสีน้ำตาล บางคนสีแดง ฯลฯ
วูบบบบบ— เฉินมู่อิ๋งดูดกลืนไอเทพในบริเวณนี้เข้าไปจนหมด แม้กระทั่งพื้นหยกสีมรกตยังไร้ประกาย ซ้ำยังดูดกลืนพลังที่เทพแต่ละคนเปล่งออกมาเป็นเกราะต้านแรงลมหายไปด้วย ทำให้พวกเขาไร้เกราะป้องกันเซล้มลุกคลุกคลานกันถ้วนหน้า “เหวอ—”
“หว๋าาาาา—”
เมื่อลมพายุหายไป เหล่าเทพก็มองดู พวกเขาตกตะลึงจนปากอ้าตาค้างเติ่งกันเลยทีเดียว “นี่!”
ไอเทพในบริเวณนี้ไม่เหลือสักเศษเสี้ยว แม้แต่หินหยกที่ปูพื้นยังไร้ประกายกลายเป็นหินสีเขียวขุ่นที่ราวกับหินเก่าใกล้จะผุพังเต็มที
“โอ!”
“อา!”
ความสามารถเช่นนี้ทำให้จางเย่าหยางถึงกับตื่นเต้นเสียจนระงับไว้ไม่อยู่ เขารีบก้าวไปหาเทพใหม่คนนั้นทันที “เจ้าหนู”
เฉินมู่อิ๋งลืมตามองเห็นจางเย่าหยางก้าวมาหา เขาจึงดีดตัวลุกขึ้นยืนอย่างระวังตัวทันที จางเย่าหยางรีบยกมือ “ข้ามาดีๆ”
แล้วเขาก็รีบพูดว่า “เจ้าเข้าร่วมกับแดนเป่ยต้าไห่ของข้าเถอะ ข้าจะรายงานเรื่องเจ้าเป็นกรณีพิเศษ จะทำให้เจ้าได้รับทรัพยากรฝึกฝนที่มากกว่าคนอื่นแน่นอน”
“แซ่จาง ท่านจะรีบร้อนไปใย” เทพคนหนึ่งพูดแทรก เขาก้าวไปหาเทพใหม่ แล้วชักชวนว่า “เจ้าหนู เจ้าเข้าร่วมกับแดนหนานต้าไห่เถอะ ข้ารับรองว่าเจ้าจะได้รับการดูแลอย่างดีทีเดียว”
“เจ้าหนู เจ้าอย่าไปฟังพวกเขาเลย เจ้าเข้าร่วมกับแดนเทพซีฟางต้าไห่ดีกว่า ข้ารับรองว่าเจ้าจะได้รับผลประโยชน์มหาศาลเลยทีเดียว”
“เจ้าหนู เจ้าเข้าร่วมกับแดนเทพตงต้าไห่เถอะ ข้ารับรองว่าเจ้าจะได้รับผลประโยชน์มากกว่าการเข้าร่วมกับแดนอื่นแน่”
เฉินมู่อิ๋งฟังแล้วก้าวถอยหลังไปอย่างระวังตัว ทำให้เทพคนหนึ่งอดปากไม่ไหว “นี่ๆ เจ้าไม่ต้องทำเหมือนพวกเราจะหลอกเจ้าไปขายหรอกน่า พวกเราล้วนเป็นเทพที่มาคอยรอรับเทพใหม่ มีเกียรติอันสูงส่งหาใช่โจรชั่วช้าสามานย์ไม่”
“ก็ไม่แน่หรอก หากไม่ระวังตัวข้าอาจถูกขายแล้วยังช่วยเขานับเงินอีก* ก็ได้” เฉินมู่อิ๋งพูดน้ำเสียงเย็นชา ทำให้เทพเหล่านั้นหน้ากระตุกยึกๆ คนละทีสองทีอย่างไม่พอใจ พวกเขาจึงสะบัดแขนเสื้อถอยห่างไปทันที “หึ!”
“เฮอะ!”
(ถูกขายแล้วยังช่วยเขานับเงินอีก 被人卖了还帮人家数钱 หมายถึง ถูกเอาเปรียบแต่ยังไปขอบคุณหรือซาบซึ้งในน้ำใจของคนที่มาเอาเปรียบได้ มีความหมายคือ โง่มากๆ ซื่อบื้อสุดๆ)
“หึ! คงต้องปล่อยให้มันติดแหง็กอยู่ที่นี่หลายๆ วันหน่อยแล้ว” เทพคนหนึ่งกระซิบกับสหายข้างๆ คนข้างๆ ก็พยักเพยิด “อืมๆ”
เฉินมู่อิ๋งเห็นพวกเขาถอยไปแล้วจึงนั่งลงขัดสมาธิมองไปรอบๆ ตัว พบว่าในบริเวณนี้ไม่มีประกายแสงไอเทพเหลืออีก ซ้ำพื้นหินสีเขียวเป็นประกายก่อนหน้านี้ก็เปลี่ยนเป็นสีขุ่นเก่าคราคร่ำราวกับผ่านแดดผ่านฝนมานับร้อยๆ ปี แต่ก็ไม่มีเทพคนไหนกล่าวโทษเขาในเรื่องนี้เลย ราวกับว่าพวกเขาไม่ใส่ใจที่ไอเทพในบริเวณนี้หายไปหมด ข้อนี้ทำให้เฉินมู่อิ๋งที่เตรียมตั้งท่าจะหนีเมื่อครู่เบาใจลง
ณ แดนจิตวิญญาณ หยางเจียงหยุนที่อาบน้ำเปลี่ยนอาภรณ์ใหม่แล้วเดินออกไปนั่งในห้องโถง เขาเหยียดยิ้มเยาะหยัน สุดท้ายจิตบรรพกาลนั่นก็หลอกเขาข้อหนึ่ง นั่นคือหลังจากมันหลอมรวมกับเขาแล้วมันก็ไม่อาจช่วยปกป้องเจ้าเด็กเซียนคนนั้นได้ ไม่รู้ว่าป่านนี้มันเป็นอย่างไรบ้าง อาจจะถูกเซียนคนอื่นๆ ฆ่าตายไปแล้วกระมัง หรือไม่ก็หนีหัวซุกหัวซุนอยู่เป็นแน่ แต่ต่อให้มันตกตายไปแล้วเขาก็ต้องเอาวิญญาณมันมาบดขยี้จึงจะหายแค้นที่มันทำให้แผนการของเขาพังไม่เป็นท่าเช่นนี้!
“จิงจ้าน” เขาเรียก จิงจ้านขานรับทันที “พะย่ะค่ะ”
“เจ้ากับข้าไปโลกพันเล็กลำดับที่ 2,900 ส่วนเฉินจื้อให้อยู่ที่นี่ดูแลดินแดน” หยางเจียงหยุนสั่ง จิงจ้านขานรับ “พะย่ะค่ะ”
“องค์ราชา” เฉินจื้อเรียกเสียงเบา เขาอยากติดตามไปด้วย แต่พอสบตากับดวงตาดุคมกริบเขาก็ย่นคอไม่กล้าพูดอะไรอีก “…”
หยางเจียงหยุนเมินเฉินจื้อแล้วเดินออกไป จิงจ้านรีบตามไป เฉินจื้อได้แต่งุนงงสงสัย เขาไปทำอะไรให้องค์ราชาไม่พอใจหรือ?
คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก ตั้งแต่องค์ราชาตื่นขึ้นมาก็มองเขาราวกับเป็นศัตรูก็มิปาน! ฮือๆๆๆ…
จิงจ้านเดินตามเจ้านายไป เขารู้สึกว่าองค์ราชาน่ากลัวยิ่งกว่าเดิมหลายร้อยเท่านัก ทำให้เขาได้แต่เดินตามเงียบๆ ไม่กล้าพูดอะไรสักคำ หลอมรวมกับจิตบรรพกาลทำให้ขั้นพลังขององค์ราชาสูงขึ้นมากก็จริง แต่ก็มีข้อเสียไม่น้อยเลย นั่นคือ นิสัยที่เหี้ยมโหดเพิ่มขึ้นทำให้เขาหวั่นกลัวเสียจนอยากจะอยู่ให้ห่างๆ แต่ก็ไม่อาจทำเช่นนั้นได้
หยางเจียงหยุนเดินออกไปหน้าตำหนัก เขาเอาเรือเยว่กวง (月光)ออกมา ซึ่งเรือเยว่กวงนี้มีคุณสมบัติต่ำกว่าเรือล่องพิภพ แต่ก็สามารถล่องไปในผืนฟ้ากระจ่างดาวได้ อีกทั้งมีคุณสมบัติดีกว่าชิงชิงฉวน* เล็กน้อย
(ชิงชิงฉวน 星星船 เรือสตาร์ ชิงชิงฉวนนี้สามารถทะลวงกฎของโลกพันเล็ก ซึ่งก็คือจักรวาลขนาดเล็ก)
เขาลอยขึ้นไปบนเรือเยว่กวง จิงจ้านรีบตามขึ้นไป เขายืนนิ่งอยู่ข้างหลังองค์ราชา ก้มหน้าลงต่ำ แต่ก็แอบเหลือบตามององค์ราชานิดหนึ่ง องค์ราชาคิดจะไปโลกพันเล็กลำดับที่ 2,900 ด้วยตัวเอง แน่นอนว่าคงไปจัดการเหตุที่ทำให้แผนการล่มแน่แท้ เขาไม่กล้าถามเหตุที่ทำให้แผนการล้มเหลว ได้แต่รอให้องค์ราชาเป็นคนเอ่ยปากเองจะดีที่สุด ขืนถามไม่แน่ว่าอาจจะกลายเป็นที่รองรับโทสะก็ได้ บรื๊ออออ—
หยางเจียงหยุนใช้พลังบังคับเรือเยว่กวงพุ่งออกไปทันที เรือเยว่กวงก็พุ่งขึ้นสู่ผืนฟ้ากระจ่างดาวราวด้วยความเร็วสูงสุดทำให้เฉินจื้อเห็นเพียงแสงนวลอ่อนราวแสงจันทร์ทิ้งยาวเป็นสายขึ้นสู่ผืนฟ้ากระจ่างดาว การใช้เรือเยว่กวงแต่ละครั้งต้องใช้ทรัพยากรมากมายยิ่งนัก ไม่ใช่ว่าใครมีเรือเยว่กวงแล้วจะสามารถใช้ได้ดั่งใจ ต้องร่ำรวยหยกวิญญาณด้วยจึงจะทำให้เรือเยว่กวงสามารถแล่นไปได้ ซึ่งเรือเยว่กวงนี้ผลาญหยกวิญญาณอย่างยิ่ง!
หยางเจียงหยุนเดินไปนั่งที่เก้าอี้บนดาดฟ้าเรือ มองผืนฟ้ากระจ่างดาวสีหน้าบึ้งตึง จิงจ้านก้าวตามไปยืนอยู่ด้านหลังอย่างเงียบเชียบราวกับไร้ตัวตน
ณ ประตูสวรรค์ เฉินมู่อิ๋งที่นั่งรอมานานมาก นานเสียจนเขาแทบหลับเลยทีเดียว เขาจึงเปลี่ยนท่านั่งเป็นชันเข่าคู่ขึ้นมาแล้วก้มลงซบหน้ากับเข่าตัวเอง หลับตาลงนอนหลับ เหลือประสาทสัมผัสไว้สายหนึ่งเช่นเคย เทพคนอื่นๆ ก็มองเทพใหม่เป็นครั้งคราว อยากจะเข้าไปพูดคุยด้วยแต่เจ้าเด็กนั่นก็ระวังตัวแจยิ่ง ทำให้พวกเขาล้มเลิกความคิดที่จะคุยกับเจ้าเด็กนั่นก่อน รอไว้มันมาถามไถ่อะไรก็ค่อยเล่นตัวกับมันบ้างเถอะ เหอๆๆๆ…
จนกระทั่งเรือล่องเมฆาแล่นมาเทียบท่า สะพานเรือก็เปิดลงมา คนเรือร้องตะโกน “เรือมาแล้วๆ ใครจะไปก็รีบขึ้นมาเร็ว”
มีเทพสองสามคนเดินไปหาเรือลำนั้น เฉินมู่อิ๋งจึงลุกขึ้นเดินตามไป เทพคนอื่นๆ มองแล้วยิ้มเยาะ กระซิบกับสหายข้างๆ ว่า “หึ! เจ้าหนูนั่นคิดจะขึ้นเรือไป ตราบใดที่มันไม่มีหยกปราณสวรรค์ก็อย่าหวังเลยว่าจะได้ขึ้นเรือน่ะ”
“นั่นซิๆ โถ เจ้าหนู ช่างไม่รู้เรื่องรู้ราวเอาเสียเลย” คนข้างๆ พยักเพยิดกระซิบตอบ
เทพที่เดินนำหน้าอยู่จ่ายหยกแล้วเดินขึ้นเรือไป เฉินมู่อิ๋งเดินตามไป คนเรือก็ยื่นมือขวาง “10 หยก”
เฉินมู่อิ๋งจึงเอาหยกปราณสวรรค์ระดับต่ำออกมาจ่ายค่าเรือ คนเรือรับหยกไปแล้วเบนมือไปทำท่าเชื้อเชิญ เฉินมู่อิ๋งจึงเดินขึ้นเรือไป พวกเทพทั้งหลายถึงกับมองตาค้าง “อ๋า?”
“เจ้าหนูนั่นมีหยกรึ?”
“แสดงว่าเจ้าหนูนั่นต้องมีเส้นสายแน่นอน ไม่ใช่เด็กใหม่ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร หรือว่ามันเป็นคนของสำนักโอสถจากโลกเบื้องล่าง?”
“เฮอะ! เป็ดสุกบินหนีไปเสียแล้ว*”
(เป็ดสุกบินหนีไปเสียแล้ว หมายถึง โอกาสหรือเรื่องที่ดีมาถึงมือแล้วก็หายไป พลาดโอกาสที่ดี)
“เฮ้อ…”
ฯลฯ เหล่าเทพคุยกันพักใหญ่ คนเรือมองๆ ไปไม่เห็นใครมาขึ้นเรือแล้วเขาจึงจะเดินขึ้นเรือไป แต่แล้วเขาก็หันไปมองใหม่เมื่อเพิ่งสังเกตเห็นว่าบรรยากาศที่ประตูสวรรค์เปลี่ยนไป มีไอเทพลอยอยู่บางเบามาก ซ้ำหยกปูพื้นยังกลายเป็นสีเขียวขุ่นไร้ประกายเหมือนที่เคยเป็น เขาถึงกับยอบตัวลงจับพื้นหยก “หือ?”
“ไม่ต้องหือต้องหาล่ะ เป็นฝีมือเจ้าเด็กหน้าใหม่ที่เพิ่งขึ้นเรือไปน่ะ” เทพคนหนึ่งบอก คนเรือถึงกับเบิกตากว้าง “หือ?”
“เป็นฝีมือเจ้าเด็กเทพใหม่นั่นแหละ มันดูดซับไอเทพในบริเวณนี้ไปเสียหมด ช่างเป็นตัวประหลาดอีกคนแล้ว” เทพคนเดิมบ่น คนเรือทำหน้าตารับรู้ ยืนขึ้นแล้วเดินขึ้นเรือไป จากนั้นก็เก็บสะพานเรือ เรือก็แล่นออกจากท่า
เฉินมู่อิ๋งถูกพาไปยังห้องพักใต้ท้องเรือ เขามองห้องเล็กๆ ที่มีเตียงหลังหนึ่ง โต๊ะเล็กๆ กับเก้าอี้ 2 ตัว กับฉากบังตาแล้วก็อ่างอาบน้ำเล็กๆ ตั้งอยู่หลังฉากบังตานั้น คนที่พาเขามานั้นเมื่อส่งแขกเข้าห้องแล้วก็จากไปทันที เฉินมู่อิ๋งจึงปิดประตู เดินไปนั่งที่เตียง เขาเหนื่อยจนอยากจะนอนหลับยาวๆ สักตื่นจึงถอดรองเท้าแล้วล้มตัวลงนอนบนเตียง ดึงผ้าห่มมาห่มตัวเหมือนดักแด้ เหลือประสาทสัมผัสสายหนึ่งเอาไว้เช่นเคย ใจคิดถึงอาจารย์หยางที่ตกตายไปอย่างเศร้าใจ ถึงอาจารย์หยางแรกๆ จะไม่ดีกับเขา แต่หลังๆ มาก็ดูแลเขาดียิ่ง เขาจึงเกิดความผูกพันกับอาจารย์หยางที่เปรียบเสมือนบิดาคนที่สองขึ้นมา แต่คนก็ตกตายไปแล้วเขาจึงได้แต่หวังว่าวันหน้าอาจจะเจออาจารย์หยางที่มาเกิดใหม่ในสักวันกระมัง เหมือนเช่นที่เขาพบท่านพ่อ ท่านแม่ ตาเฒ่าฮ่องเต้ องค์ชายเก้าที่มาเกิดใหม่ เขาหลับตาลงนอนหลับไป
เรือล่องเมฆาก็แล่นไปตามเส้นทาง เป้าหมายคือแดนเทพเป่ยต้าไห่
เวลาผ่านไป 1 วัน เฉินมู่อิ๋งก็ตื่นขึ้นมา เขาจึงลุกขึ้นบิดขี้เกียจแล้วมองรอบๆ ห้องเห็นตรงเหนืออ่างอาบน้ำมีอักขระเขียนอยู่ เขาจึงเดินไปอ่าน แน่นอนว่าตอนนี้เขาอ่านอักขระเทพได้แล้ว หลังจากบรรลุขั้น ถูกสายฟ้าสวรรค์ชำระล้างร่างแล้ว ร่างกายก็จะเปลี่ยนไปกลายเป็นร่างเทพที่แข็งแกร่งกว่าร่างเซียน ซ้ำยังได้ความรู้พื้นฐานในการอ่านอักขระเทพปลูกฝังลงในจิตวิญญาณด้วย ตรงนั้นเขียนอธิบายถึงวิธีการใช้อ่างอาบน้ำเอาไว้ เฉินมู่อิ๋งอ่านเสร็จแล้วก็เปิดท่อน้ำร้อนกับท่อน้ำเย็น ทำให้น้ำร้อนและน้ำเย็นไหลมารวมกัน ใครชอบน้ำร้อนก็เปิดน้ำร้อนมากหน่อย ใครชอบน้ำเย็นก็เปิดน้ำเย็นมากหน่อย วิธีการเช่นนี้ช่างสะดวกยิ่ง ไม่ต้องเรียกคนยกน้ำร้อนมาเท เขาไม่รู้ว่าวิธีการเช่นนี้ทางเรือล่องเมฆาได้ทำการปรับปรุงตามแบบห้องอาบน้ำของตำหนักไป๋หยุน ซึ่งเป็นที่อยู่ของตี้จวิน* ส่วนคนที่ออกแบบระบบน้ำร้อนน้ำเย็นนี้ก็คือตี้โฮ่ว**
(ตี้จวิน คือเทพผู้มีพลังแข็งแกร่งที่สุดในแดนเทพ เปรียบได้กับราชาสูงสุดของแดนเทพนั้นเอง เพียงแต่ตี้จวินจะยุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับความเป็นตายของแดนเทพเท่านั้น ส่วนเรื่องหยุมหยิมเขาไม่ยุ่งเกี่ยวเลย
ตี้โฮ่ว คือฮูหยินของตี้จวิน นางเป็นเทพที่มีพลังแข็งแกร่งเทียบเท่าตี้จวิน อยากรู้เรื่องราวความรักของตี้จวินและตี้โฮ่ว เชิญอ่านนิยายเรื่อง สตรีน่าตาย ค่ะ)
เมื่อน้ำถึงค่อนอ่างเฉินมู่อิ๋งก็ปิดท่อน้ำร้อนน้ำเย็น ถอดอาภรณ์ออก แกะหน้ากากปลอมแปลงออกแล้วลงแช่น้ำ เขาแกะผ้าผูกผมออกแล้วจัดแจงสระผมไปด้วย ร่างกายได้แช่น้ำอุ่นทำให้รู้สึกผ่อนคลายยิ่งนัก หลังจากอาบน้ำสระผมเสร็จแล้วเขาก็ลุกออกจากอ่าง จัดแจงแต่งตัวใหม่ เขานั่งลงตรงหน้ากระจกจัดแจงแปะหน้ากากปลอมแปลงเข้าไป สำรวจรอยขอบของหน้ากากดีแล้วจึงลุกไปเปิดประตูห้องแล้วเดินขึ้นไปชั้นบนซึ่งเป็นโถงกว้าง มีโต๊ะวางเรียงรายคล้ายกับโถงของโรงเตี้ยมไม่มีผิด ด้านหนึ่งของผนังมีอักขระเขียนชื่ออาหารต่างๆ ติดเอาไว้เรียงยาวเหยียด เขามองชื่ออาหารบนผนังแล้วร้องสั่ง “บะหมี่ชามนึง”
“ขอรับๆ” เสี่ยวเอ้อร์รับคำแล้วเอาบะหมี่ที่แช่แข็งเอาไว้ออกมาอุ่นด้วยความร้อน แน่นอนว่าบะหมี่นี้เป็นของ ‘สำนักที่หนึ่ง’ ที่ทำขายไปทั่วแดนเทพ บะหมี่นี้ได้รับความนิยมอย่างมาก ทำเป็นชามๆ แช่แข็งเอาไว้ มี ‘ฉลาก’ บอกวันผลิต และวันหมดอายุเอาไว้ด้วย เวลาจะกินก็ง่ายมาก เอาไปอุ่นให้ร้อนๆ ก็กินได้แล้ว ทำให้บะหมี่ของสำนักที่หนึ่งนี้ขายดียิ่งนัก เรือล่องเมฆาจึงสั่งบะหมี่ของสำนักที่หนึ่งมาแช่แข็งเอาไว้บริการลูกค้า ส่วนสำนักที่หนึ่งเป็นสำนักที่เทียนโฮ่ว* ก่อตั้ง แน่นอนว่าสำนักของนางเป็น ‘ที่หนึ่ง’ จริงๆ เชี่ยวชาญการทำอาหารขายจนคนในสำนักที่หนึ่งล้วนอ้วนท้วนกันทุกคน
(เทียนโฮ่ว คือ ฮูหยินของเทียนจวิน เทียนจวินก็คือราชาของแดนเทพ
ลำดับอำนาจในแดนเทพแบ่งตามนี้ :-
- ตี้จวิน
- ตี้โฮ่ว
- ผู้อาวุโสจางอี้ปิน
- เทียนจวิน
- เทียนโฮ่ว
- ราชาแดนเทพทั้ง 4 แดน ราชาเผ่าเฟิ่งหวง ราชาเผ่ามังกร เจ้าสำนักศาสตรา และเจ้าสำนักโอสถ
ส่วนเรื่องราวความรักของเทียนจวินกับเทียนโฮ่ว อ่านได้ในเรื่อง สตรีอ้วนป่วนสวรรค์ ค่ะ เป็นแนวทะลุมิติเกิดใหม่ค่ะ)
“มาแล้วๆ” เสี่ยวเอ้อร์ยกบะหมี่ร้อนๆ ไปวางที่โต๊ะแล้วถอยไป เฉินมู่อิ๋งมองบะหมี่น้ำหอมฉุยชวนกิน เขาหยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วคีบกิน คำแรกที่เข้าปาก เขารู้สึกว่าอร่อยมาก! อร่อยเสียจนเขาแทบจะกลืนลิ้นตัวเองลงไปเลยทีเดียว เขาจึงเป่าๆ กินๆ ยกชามซดน้ำอย่างห้ามใจตัวเองไม่ได้ เมื่อกินหมดแล้วเขาก็สั่งอีกชามทันที “บะหมี่อีกชาม”
“ได้ขอรับ” เสี่ยวเอ้อร์รับคำแล้วเอาบะหมี่ออกมาอุ่น จากนั้นก็ยกไปวางที่โต๊ะ “ชามที่ 2 นี้คิดเพิ่ม 10 หยกขอรับ ซึ่งชามแรกนั้นรวมกับค่าเรือแล้วขอรับ ทุกวันท่านลูกค้าจะสามารถกินอาหารโดยไม่ต้องจ่ายหยกเพิ่มมื้อละ 1 จานขอรับ จึงเป็น 3 จานต่อวันขอรับ หากว่าท่านกินเพิ่มต้องจ่ายของจานที่ 2 ขอรับ”
“อ่อ” เฉินมู่อิ๋งพยักหน้ารับรู้ เขาเอาหยกออกมาจ่าย เสี่ยวเอ้อร์รับไปแล้วถอยไป เฉินมู่อิ๋งก็กินบะหมี่ร้อนๆ แสนอร่อยต่อ ปกติแล้วเขากินแค่ชามเดียวก็อิ่ม แต่บะหมี่นี้อร่อยมากทำให้เขาอยากกินอีก เมื่อกินชามที่ 2 หมดเขาก็ถึงกับเรอออกมา “เอิ๊กกกก—”
“อร่อยจริงๆ” เขาชมแล้วลุกขึ้นเดินขึ้นไปชั้นบนซึ่งเป็นดาดฟ้าเรือ เขาเดินไปยืนตรงข้างกาบเรือ มองทิวทัศน์ไปเรื่อยๆ เขามองดูผืนน้ำใสแจ๋ว ดูสัตว์ทะเลแหวกว่ายไปมาอยู่ในน้ำ ความสวยงามนี้ทำให้เขามองอย่างเพลินตาเลยทีเดียว บนดาดฟ้าเรือมีเทพคนอื่นราวๆ เจ็ดแปดคน คนเหล่านั้นล้วนไม่สนใจคนอื่น พวกเขาบ้างนั่งบ้างยืนชมทิวทัศน์ ข้อนี้ทำให้เฉินมู่อิ๋งรู้สึกสบายใจที่ไม่มีใครมายุ่งกับเขา
{ไพลินวิญญาณ เจ้ารู้เรื่องเกี่ยวกับแดนเทพมากน้อยขนาดไหน?} เขาถามไพลินวิญญาณในห้วงจิต ไพลินวิญญาณจึงตอบ {ก็รู้มาบ้าง แต่ข้าไม่ได้มาจากแดนเทพนี้หรอกนะ ข้ามาจากเผ่าวิญญาณซึ่งอยู่ห่างไกลจากที่นี่มาก ในเมื่อเจ้าเป็นเทพแล้วข้าก็จะเล่าประวัติบรรพบุรุษของเจ้าให้ฟังละกัน}
เฉินมู่อิ๋งรอฟัง ตาก็มองทิวทัศน์เบื้องนอกไปด้วย ไพลินวิญญาณจึงเล่าว่า {บรรพบุรุษเจ้าเป็นชาวเผ่าวิญญาณ พวกเราไม่ใช่เทพแต่เป็นเผ่าวิญญาณที่มีพลังเทียบเท่ากับเทพ วิชาที่พวกเราเชี่ยวชาญก็คือวิชาที่เกี่ยวข้องกับวิญญาณ ไม่ว่าจะเป็นการกลืนวิญญาณ หลอมวิญญาณ มองวิญญาณ ค้นวิญญาณ เรื่องนี้เอาไว้เจ้าค่อยๆ เรียนรู้เถอะ กลับมาที่บรรพบุรุษเจ้าก่อน บรรพบุรุษเจ้าเป็นราชาวิญญาณ ข้าเป็นของวิเศษที่เกิดจากการหลอมวิญญาณ เผ่าเจ้ามีศัตรูตัวฉกาจก็คือเผ่าจิตวิญญาณ ซึ่งเผ่านี้ถือเป็นศัตรูตัวร้ายของพวกเราทีเดียว พวกมันควบคุมจิต หากใครถูกพวกมันควบคุมก็จะกลายเป็นทาสของพวกมัน พวกมันยึดครองแดนวิญญาณเมื่อหลายหมื่นปีก่อน เจ้านายข้าพาข้าหนีพร้อมกับฮูหยินของเขากับพวกบ่าวส่วนหนึ่ง นายท่านหนีไปจนถึงโลกพันเล็กลำดับที่ 2,900 ซึ่งก็คือโลกที่เจ้าเกิดนั่นแหละ}
เฉินมู่อิ๋งฟังเงียบๆ ไพลินวิญญาณเล่าต่อ {นายท่านหลบอาศัยอยู่ที่นั่นจนกระทั่งตายไป ฮูหยินก็ตายอยู่ที่นั่นเหลือคุณชายน้อยกับพวกบ่าว คุณชายน้อยเติบใหญ่ก็แต่งงานกับมนุษย์แล้วก็มีลูกหลานสืบทอดต่อๆ มา ความลับที่พวกเราไม่ใช่มนุษย์ถูกปกปิดเอาไว้จนในที่สุดคนในตระกูลก็ค่อยๆ ลืมเลือนความลับนี้ไป สายเลือดเผ่าวิญญาณก็ค่อยๆ เจือจางลงไปเรื่อยๆ ข้าก็อ่อนแอลงไปเรื่อยๆ เช่นกันเพราะถูกฝังไปพร้อมกับศพนายท่าน ไม่ได้ดูดกลืนวิญญาณ เวลาผ่านไปหลายหมื่นปีจนกระทั่งร่างกายของนายท่านผุสลายไปหมดแล้วข้าจึงเป็นอิสระอีกครั้ง ข้าเฝ้ารอมานานแสนนานอยู่ในหลุมศพ จนกระทั่งมีคนทำลายสุสานของนายท่าน ข้าจึงได้ออกมา คนพวกนั้นเป็นลูกหลานของนายท่านนี่แหละ พวกเขาไม่รู้ว่าตรงนั้นเป็นสุสานของบรรพบุรุษจึงขุดดินเพื่อปลูกเรือน เมื่อหลุมศพถูกขุดพวกเขาก็เจอข้าที่อยู่ในโลงหิน พวกเขาจึงเก็บข้าไปคิดว่าเป็นเพียงสมบัติไร้ค่าชิ้นหนึ่ง ข้าตามหาวิญญาณบ่าวของนายท่านจนเจอ แล้วก็ร่วมมือกับมันตามหาเชื้อสายของนายท่าน แต่กลับกลายเป็นว่ามันออกอุบายเพื่อหลอกเชื้อสายของนายท่านมาดูดกลืนวิญญาณเพื่อต่อวิญญาณมันไม่ให้สูญสลายไป}
Chapter 3
บททดสอบเข้าสำนักโอสถ
ไพลินวิญญาณเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า {ข้าในตอนนั้นก็ไร้พลังจึงร่วมมือกับมันดูดกลืนวิญญาณเชื้อสายของนายท่านเพื่อต่อชีวิตข้าเช่นกัน เจ้ารู้เช่นนี้แล้วเจ้าจะโกรธข้า เกลียดข้าก็ได้ที่เป็นคนทำร้ายญาติของเจ้าในกาลก่อน}
{ผิดถูก ข้าไม่อาจตัดสินได้หรอก} เฉินมู่อิ๋งบอก เพราะเขาไม่ได้อยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับไพลินวิญญาณจึงไม่อาจเอาความรู้สึกของตัวเองไปตัดสินมันได้ หากเป็นเขาที่กำลังจะตายก็คงทำทุกอย่างเพื่อเอาชีวิตรอดเช่นกัน!
{ข้ากับมันร่วมมือกันดูดกลืนวิญญาณเชื้อสายของนายท่านจนกระทั่งข้าได้เจอกับเจ้า เจ้ามีสายเลือดเผ่าวิญญาณเข้มข้นที่สุดในบรรดาลูกหลานของนายท่านเท่าที่ข้าเคยเจอมา ดังนั้นข้าจึงฉวยโอกาสรับเจ้าเป็นนายแล้วดูดกลืนพลังวิญญาณจากเจ้ามาทีละเล็กทีละน้อย ทำให้ข้าฟื้นพลังได้นิดหน่อย หากว่าข้ายังไม่รับเจ้าเป็นนาย ข้าก็ไม่รู้ว่าต้องรออีกนานเท่าไหร่ถึงจะเจอคนที่มีสายเลือดเผ่าวิญญาณเข้มข้นเท่ากับเจ้า บางทีอาจจะไม่เจออีกแล้วก็ได้ เจ้าก็รู้นี่ว่าสายเลือดยิ่งนานไปยิ่งเจือจางลงไปเรื่อยๆ ข้ากลัวว่าจะไม่มีโอกาสอีกแล้วจึงได้เลือกเจ้าเป็นนาย} ไพลินวิญญาณบอก
{เจ้าพูดถึงเผ่าจิตวิญญาณ เผ่านี้เป็นเช่นไรรึ? เหตุใดถึงได้เป็นศัตรูกับบรรพบุรุษข้าล่ะ?} เฉินมู่อิ๋งถาม ไพลินวิญญาณตอบ {เผ่าจิตวิญญาณ พวกมันมีระดับพลังสูงกว่าเผ่าวิญญาณก็เพราะพวกมันควบคุมจิตวิญญาณได้ ถูกพวกมันควบคุมจิตวิญญาณได้เมื่อไหร่มีแต่ต้องตกเป็นทาสพวกมันตราบจนวิญญาณสลาย อันที่จริงเผ่าจิตวิญญาณไม่ได้แข็งแกร่งจนพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินได้ แต่เป็นเพราะราชาเผ่าพวกมันในรุ่นนี้ที่ดูเหมือนประสบโชคดีเข้าได้พลังจากจิตบรรพกาล จึงทำให้มันแข็งแกร่งขึ้นมาก เมื่อพวกมันแข็งแกร่งขึ้นจึงเริ่มรุกรานเผ่าวิญญาณของพวกเรา ทำให้ชาวเผ่าวิญญาณตกเป็นทาสของพวกมัน คนเผ่าเรากลายเป็นทาสของมันแล้วก็กลายเป็นหนอนบ่อนไส้นำความฉิบหายมาสู่เผ่าเรา บรรพบุรุษเจ้าสู้ไม่ไหวจึงได้พาครอบครัวกับบ่าวที่ภักดีหนีมา}
{อ่อ} เฉินมู่อิ๋งพยักหน้ารับรู้ ไพลินวิญญาณเตือน {จำไว้ว่าเจ้าเจอพวกมันที่ไหนก็จงรีบหนีให้ไกลๆ เชียว พวกมันล้วนร้ายกาจ หากเจ้าตกเป็นทาสมันแล้วแม้แต่วิญญาณเจ้าก็จะไม่เหลือหลอถูกพวกมันยึดครองช่วงใช้จนกว่าจะสลายมลายสิ้นไป}
{อืม} เฉินมู่อิ๋งพยักหน้า เขารู้สึกว่ายืนชมทิวทัศน์มานานจนเมื่อยขาจึงเดินไปหาเก้าอี้นั่งแล้วถามไพลินวิญญาณว่า {ว่าแต่เกี่ยวกับแดนเทพนี่เจ้ารู้อะไรบ้างล่ะ?}
{ก็พอรู้มาบ้าง แดนเทพมี 5 ดินแดนใหญ่ กับเกาะเล็กเกาะน้อยอีกมากมาย 5 ดินแดนใหญ่นี้ก็ตามที่เจ้าได้ฟังจากเจ้าเทพคนนั้นนั่นแหละ ส่วนการปกครองของที่นี่นั้น ตี้จวินเป็นใหญ่ที่สุด เพราะเขามีพลังแข็งแกร่งที่สุด รองลงมาก็คือเทียนจวินซึ่งเปรียบเหมือนกับราชาเหนือราชาของแดนเทพนี่แหละ ลำดับถัดไปก็คือราชาแห่งแดนเทพทั้ง 4 ดินแดน เป่ยต้าไห่ หนานต้าไห่ ตงต้าไห่ ซีฟางต้าไห่ แล้วก็ยังมีราชาเฟิ่ง ราชามังกร กับเจ้าสำนักโอสถและเจ้าสำนักศาสตรา ส่วนสำนักอื่นๆ ก็ไม่ยิ่งใหญ่เท่า 2 สำนักนี้ ก็คล้ายกับในแดนเซียนที่มี 3 สำนักใหญ่คานอำนาจกันนั่นแหละ เหนือกว่าตี้จวินก็จะเป็นระดับเจ้าแม่ทั้งหลาย เช่นเจ้าแม่จุ้ยบ๊วยเนี่ย เจ้าแม่กวนอิม เหนือกว่าเจ้าแม่ก็คือพระพุทธองค์ทั้งหลาย เช่นพระยูไล แต่ท่านๆ เหล่านี้หากเจ้ามีวาสนาก็คงได้พบเจอ หากไร้วาสนาก็ยากจะพบเจอ} ไพลินวิญญาณบอก ซึ่งนี่เป็นข้อมูลเท่าที่มันรู้มา ไม่ใช่ข้อมูลปัจจุบันที่ในแดนเทพมีการเปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว
เฉินมู่อิ๋งฟังแล้วจดจำเอาไว้ จากนั้นเขาเห็นคนของเรือล่องเมฆากำลังทำถูดาดฟ้าอยู่ เขาจึงลุกขึ้นเดินไปกุมมือคารวะแล้วชวนคุย “พี่ชาย พอดีข้าเพิ่งมาใหม่ ยังไม่ค่อยรู้เรื่องเกี่ยวกับที่นี่มากนัก ไม่ทราบว่าพี่ชายพอจะบอกเล่าให้ข้าฟังเป็นความรู้ได้หรือไม่”
“อ่อ ได้ซิ” คนเรือคนนั้นเห็นเจ้าหนูหน้าอ่อนมีสัมมาคารวะดีจึงเล่าเรื่องราวของแดนเทพให้ฟัง ทำให้เฉินมู่อิ๋งกับไพลินวิญญาณได้รับรู้ข้อมูลที่เปลี่ยนแปลงไปจากความทรงจำของไพลินวิญญาณมากนัก เช่นว่า ตี้จวินมีตี้โฮ่วและมีองค์รัชทายาทผู้สืบทอดตำหนักไป๋หยุนแล้ว เทียนจวินก็มีเทียนโฮ่วและมีองค์รัชทายาทผู้สืบบัลลังก์แล้วเช่นกัน เพียงแต่ว่าเรื่องของเทียนโฮ่วนี้มีเรื่องซุบซิบกันว่ามีองค์รัชทายาทตั้งแต่ก่อนอภิเษกเสียอีก และเทียนโฮ่วก็เป็นผู้ก่อตั้ง ‘สำนักที่หนึ่ง’ สำนักที่ผงาดขึ้นมามีอำนาจเทียบเท่าสำนักโอสถและสำนักศาสตรา
ดังนั้นสำนักที่หนึ่งนี้จึงยิ่งใหญ่พอๆ กับสำนักโอสถและสำนักศาสตรา สำนักที่หนึ่งนี้เชี่ยวชาญด้านอาหาร แม้แต่บะหมี่ที่นำมาให้ลูกค้ากินก็มาจากสำนักนี้เช่นกัน คนเรือคุยจ้ออย่างออกรส ซ้ำยังเล่าเรื่องที่ ‘เยี่ย’ ตื่นขึ้นมาเมื่อหลายปีก่อนทำให้แดนเทพตกอยู่ในความมืดมิดไปช่วงหนึ่ง ตี้จวินต้องออกโรงแก้ปัญหานี้ด้วยตัวเอง เฉินมู่อิ๋งก็ซักถามเกี่ยวกับ ‘เยี่ย’ อย่างอยากรู้อยากเห็น แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบมากนัก คล้ายๆ กับว่าเป็นของวิเศษของแดนเทพอะไรประมาณนั้น ไม่มีใครเคยเห็นนอกจากตี้จวิน เทียนจวิน คนอื่นๆ จึงไม่รู้ว่า ‘เยี่ย’ เป็นอย่างไร เป็นของวิเศษที่มีรูปร่างหน้าตาอย่างไร ไพลินวิญญาณก็ไม่รู้จัก ‘เยี่ย’ เช่นกัน
หลังจากฟังคนเรือคุยน้ำไหลไฟดับจวบจนกระทั่งตะวันตรงหัวแล้วเฉินมู่อิ๋งจึงขอตัวไปกินมื้อกลางวัน คนเรือยิ้มอย่างเอ็นดูมองตามเทพใหม่ที่ดูมีสัมมาคารวะคนนั้นไปอย่างถูกอกถูกใจ ปกติแล้วเทพส่วนใหม่มักเห็นเขามีฐานะเหมือนบ่าวไพร่ก็มิปาน น้อยนักที่จะมีสัมมาคารวะกับเขา ดังนั้นเขาจึงเอ็นดูเจ้าเด็กนี่เป็นพิเศษ
วันเวลาผ่านไปเดือนกว่า ในที่สุดเรือก็แล่นไปถึงแดนเทพเป่ยต้าไห่ เฉินมู่อิ๋งลงจากเรือ คนเรือโบกๆ มือให้อย่างเอ็นดู ซ้ำยังอวยพรว่า “โชคดีนะเจ้าหนู”
“อื้ม” เฉินมู่อิ๋งยิ้มรับ เขาได้ข้อมูลจากคนเรือไม่น้อยทีเดียว ดังนั้นในใจจึงมีรายชื่อบุคคลที่ไม่ควรล่วงเกินยาวเหยียดทีเดียว เรื่องแรกที่เขาสนใจคือการเข้าสำนักโอสถ เขาอยากฝึกหลอมโอสถเทพ เพราะการมีโอสถมากๆ ย่อมเป็นเรื่องดี เจ็บป่วยขึ้นมาจะได้รักษาได้ทันท่วงที แต่ราคาโอสถเทพก็ไม่น้อยเลย หากเขาจะซื้อหามาใช้ย่อมสิ้นเปลืองยิ่งนัก เช่นนั้นก็เรียนการหลอมโอสถก่อนเถอะ จากข้อมูลที่ได้มา เขาต้องขึ้นเรือล่องเมฆาอีกลำที่แล่นระหว่างแดนเทพเป่ยต้าไห้กับแดนเทพจงยางต้าไห่เพราะสำนักโอสถอยู่ที่แดนเทพจงยางต้าไห่ ซึ่งต้องไปขึ้นที่ท่าเรืออีกแห่ง เขาสอบถามเส้นทางกับคนเรือมาแล้วจึงเดินไปที่ท่าเรืออีกแห่งทันที
“น้องชาย เจ้าจะไปไหนหรือ? ใช้รถม้าของข้าดีกว่า ข้าคิดราคาไม่แพงหรอก” เทพคนหนึ่งปราดมาดักหน้า เฉินมู่อิ๋งมองหน้าตาเทพคนนั้นแล้วตอบว่า “ข้าไม่ได้ไปไกล ไม่จำเป็นต้องใช้รถม้าของพี่ชายหรอก ขอบคุณมาก”
เขาตอบแล้วก็เดินเลี่ยงไปทันที เทพคนนั้นจึงได้แต่ยืนมองตามแล้วถอนหายใจ “เฮ้อ…”
หากินสุจริตใยยากเย็นถึงเพียงนี้นะ! แต่เขาก็ไม่กล้ากลับไปจี้ปล้นอีกแล้ว ไม่เช่นนั้นหากว่าเทียนโฮ่วรู้เข้า นางสั่งสำนักที่หนึ่งไม่ให้ขายอาหารในสำนักให้เขา เขาได้ลงแดงตายแน่แท้! งื๊ดดดด…
เฉินมู่อิ๋งไม่ไว้ใจเทพคนนั้นเพราะดูหน้าตาโหงวเฮ้งแล้วไว้ใจไม่ได้ ไม่แน่ว่าอาจจะพาเขาไปจี้ปล้นกลางทางก็ได้ อยู่ต่างถิ่นต่างแดนก็ต้องระวังตัวไว้มากๆ หน่อยเป็นดี ไว้ใจใครง่ายๆ อาจจะกลายเป็น ‘ถูกเขาหลอกขายแล้วยังช่วยเขานับเงินอีก’ ก็ได้ เขาเดินไปทางท่าเรืออีกแห่งที่อยู่ห่างจากที่นี่พอสมควรพลางมองบ้านเมืองในแดนเทพที่ไม่ค่อยต่างจากบ้านเมืองในโลกมนุษย์สักเท่าไหร่
จนกระทั่งไปถึงท่าเรืออีกแห่งเขาจึงนั่งรอเรืออยู่แถวๆ นั้น ระหว่างที่นั่งรอก็กินซาลาเปาที่ซื้อมาไปพลางๆ เขารออยู่นานมาก จนกระทั่งเรือแล่นมาเทียบท่า คนบนเรือลงจากเรือแล้ว คนเรือจึงร้องเรียก “เอ้า ใครจะไปแดนเทพจงยางต้าไห่ก็รีบขึ้นมาเร็ว”
เฉินมู่อิ๋งจึงลุกขึ้นเดินไปขึ้นเรือ เขาจ่ายค่าเรือแล้วเดินขึ้นสะพานเรือไป คนด้านบนก็พาเขาไปที่ห้องพักใต้ท้องเรือ เขาเข้าห้องไปแล้วก็ปิดประตู จัดแจงเปิดน้ำร้อนใส่อ่าง ห้องพักนี้ก็เหมือนกับเรือลำก่อนไม่มีผิด มีห้องส้วมเล็กๆ ที่แสนสะดวกสบายยิ่ง ภายในห้องส้วมก็มีคำอธิบายวิธีการใช้งานเขียนเอาไว้บนผนังในห้องส้วมอีกเช่นเคย ซึ่งความสะดวกสบายของอ่างอาบน้ำและห้องส้วมนี้เขาก็ได้รู้จากคนเรือลำก่อนว่าลอกแบบมาจากตำหนักไป๋หยุนของตี้จวิน ซึ่งตี้โฮ่วเป็นคนออกแบบระบบห้องอาบน้ำและห้องส้วม เจ้าของเรือล่องเมฆาไปเห็นเข้าจึงได้ขอแบบมาปรับปรุงเรือทุกลำ แน่นอนว่าไม่ได้ขอมาเปล่าๆ ต้องจ่ายหยกให้ตี้โฮ่วไม่น้อยอยู่เหมือนกัน
เขาถอดอาภรณ์ออกแล้วลงแช่น้ำอุ่น จากนั้นก็ไปนอนพักงีบหนึ่ง ตื่นมาแล้วค่อยไปกินข้าว แน่นอนว่าอาหารที่เขาเลือกมากินนั้นล้วนเป็นอาหารของสำนักที่หนึ่งทั้งสิ้น เรียกว่ารสชาติอาหารอร่อยยิ่งนัก เขากินทีไรรสชาติก็ไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด
กลางฟ้ากระจ่างดาว เรือเยว่กวงแล่นผ่านห้วงอวกาศไปเรื่อยๆ ดูเหมือนช้า แต่ความจริงแล้วเร็วมาก
เร็วจนเห็นแสงสีนวลลากยาวเป็นลำตามเส้นทางที่เรือแล่นผ่าน หยางเจียงหยุนยังคงมีสีหน้าบึ้งตึงยิ่งนัก บึ้งตึงเสียจนจิงจ้านได้แต่อยู่เงียบๆ อย่างไร้ตัวตน
“จิงจ้าน เจ้าว่าบุรุษที่รักชอบบุรุษวิปริตหรือไม่?” หยางเจียงหยุนถาม จิงจ้านตอบ “ย่อมวิปริตพะย่ะค่ะ บุรุษดีๆ ที่ไหนกันจะรักชอบบุรุษด้วยกันเองได้ลงคอ ดังนั้นบุรุษที่ชมชอบบุรุษย่อมมีจิตใจวิปริตแน่นอนพะย่ะค่ะ”
สีหน้าของหยางเจียงหยุนยิ่งทึบทมึนขึ้นมาก จิงจ้านรู้สึกถึงกลิ่นอายกดดันที่แผ่ออกมาจากองค์ราชาจนเขาอดที่จะถอยหลังห่างออกไปมิได้ ไอหยา! ข้าพูดอะไรผิดไปหรือ!?
หยางเจียงหยุนยิ่งคิดโทษทัณฑ์ที่เจ้าเด็กมนุษย์นั่นกับเจ้าเด็กเซียนที่ชื่อ ‘เฉินมู่อิ๋ง’ ควรได้รับนั่นก็คือบดทำลายวิญญาณพวกมันให้สิ้นซาก! ต้องบดขยี้วิญญาณพวกมันให้แหลกสลายไปสถานเดียว จิตใจเขาจึงจะไม่คิดรักชอบพวกมันอีก เท่านี้เขาก็จะกลับไปเป็นบุรุษแท้จริงได้อีกครั้ง เขาจะต้องตามหาเจ้าเด็กเซียนนั่นก่อน บดขยี้วิญญาณมันแล้วค่อยลอบเข้าแดนเทพไปตำหนักเทพดวงชะตาหมิงเทียน ตามหาเจ้าเด็กมนุษย์เฉินมู่อิ๋ง ที่ตำหนักเทพหมิงเทียนซึ่งควบคุมชะตามนุษย์ย่อมมีบันทึกเกิดตายของเจ้าเด็กนั่น ต่อให้มันไปเกิดที่ไหนแค่ดูบันทึกของมันเขาก็ตามไปฆ่ามัน บดขยี้วิญญาณมันได้ ส่วนเทพดวงชะตาเหอเทียนเหิงของตำหนักไป๋หยุนนั้นควบคุมชะตาของเหล่าเทพ เทพเกิดดับล้วนต้องผ่านตำหนักของเทพเหอเทียนเหิงทั้งสิ้น ซึ่งในส่วนนี้เขาไม่จำเป็นต้องไปยุ่งเกี่ยวกับเทพเหอเทียนเหิงเลย
วันเวลาผ่านไป เรือล่องเมฆาก็แล่นไปถึงแดนเทพจงยางต้าไห่ เฉินมู่อิ๋งลงจากเรือแล้วเดินทางมุ่งหน้าไปยังสำนักโอสถทันที ระหว่างทางเขาพบร้านอาหารของสำนักที่หนึ่งเป็นระยะๆ เรียกว่าทุกเมืองทุกหมู่บ้านเลยกระมังจะต้องมีร้านอาหารของสำนักที่หนึ่งตั้งอยู่อย่างน้อย 1 ร้าน ทำให้เขารู้สึกนับถือเทียนโฮ่วในใจ นางช่างมีหัวการค้ายิ่ง เขาแวะร้านอาหารของสำนักที่หนึ่งทุกครั้ง พักตามโรงเตี้ยมเล็กๆ ทุกคืน หยกปราณสวรรค์ที่อาจารย์เฟยเทียนมอบให้มาถึงจะมีไม่มากนัก แต่คิดคำนวณแล้วก็น่าจะพอให้เขาไปถึงสำนักโอสถได้
ในเวลาเดียวกัน เรือเยว่กวงก็แล่นไปถึงโลกพันเล็กลำดับที่ 2,900 หยางเจียงหยุนกับจิงจ้านลอบเข้าไป แน่นอนว่าพลังของพวกเขาย่อมถูกกฎเกณฑ์ของโลกพันเล็กกดเอาไว้จนมีระดับพลังเท่ากับเซียนระดับสูง นี่เป็นกฎเกณฑ์ที่ผู้แข็งแกร่งเหนือ 6 ภพภูมิสร้างเอาไว้เพื่อป้องกันมิให้ผู้แข็งแกร่งเข้าไปรังแกคนอ่อนแอกว่าได้ กฎเกณฑ์นี้มีมานานแล้ว นานเสียจนไม่รู้ว่าใครเป็นคนสร้างกฎนี้
หยางเจียงหยุนกับจิงจ้านมุ่งหน้าไปยังแดนเซียน จิงจ้านสืบข่าวได้ความว่าเจ้าเด็กเฉินมู่อิ๋งคนนั้นบรรลุขั้นกลายเป็นเทพเข้าสู่แดนเทพไปเสียแล้ว หยางเจียงหยุนรู้เรื่องจึงไปจากโลกพันเล็กลำดับที่ 2,900 ทันที แน่นอนว่าเขาย่อมไปยังแดนเทพซิ เพื่อตามหาเจ้าเด็กเฉินมู่อิ๋งที่กลายเป็นเทพไปแล้ว เขาจะต้องฆ่ามัน บดขยี้วิญญาณมันให้ได้!
ระหว่างทางที่นั่งเรือเยว่กวงไปยังแดนเทพ จิงจ้านก็เอ่ยขึ้นว่า “เจ้าเด็กนั่นบรรลุเป็นเทพเร็วยิ่งนักพะย่ะค่ะ ข้าจำได้ว่ามันอยู่แดนเซียนไม่นานเท่าไหร่นี่นา”
“หึ! ต่อให้มันกลายเป็นเทพ ข้าก็จะฆ่ามัน!” หยางเจียงหยุนแค่นเสียงเย็นชา กำมือแน่นอย่างแค้นเคือง เขาคาดว่ามันจะต้องตายไปแล้วหรือไม่ก็ถูกไล่ล่าหนีหัวซุกหัวซุนอยู่กระมัง แต่ผิดคาดยิ่งนัก มันกลับบรรลุขั้นกลายเป็นเทพไปเสียแล้ว แดนเทพกว้างใหญ่ยิ่งนัก การจะตาม หาเทพเล็กๆ คนหนึ่งย่อมเหมือนงมเข็มในมหาสมุทร แม้แต่บันทึกของตำหนักเทพเหอเทียนเหิงก็จะมีบันทึกไว้เฉพาะเวลาเทพเกิดกับเทพดับเท่านั้น ไม่ได้มีบันทึกละเอียดลออถึงขั้นรู้ว่ามันไปทำอะไรอยู่ที่ไหน
จิงจ้านฟังคำขององค์ราชาแล้วเริ่มคิดๆ เดาๆ ว่าดูเหมือนคนที่ทำให้แผนการขององค์ราชาล้มเหลวจะเป็นเจ้าเด็กเฉินมู่อิ๋งคนนั้นจริงๆ หากว่าเขารู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ ตอนนั้นเขาน่าจะฆ่ามันทิ้งเสีย! ไม่น่าปล่อยให้มันกลายเป็นภัยต่อองค์ราชาเลย คิดแล้วก็เจ็บใจยิ่งนัก คอยดูเถอะเจอตัวมันเมื่อไหร่เขาจะฆ่ามัน บดขยี้วิญญาณมันให้แหลกสลายไม่อาจเกิดได้ไปตลอดกาล!
วันเวลาผ่านไป เฉินมู่อิ๋งก็เดินทางไปถึงสำนักโอสถ โชคดีที่เขามาถึงในช่วงที่สำนักโอสถใกล้จะเปิดรับศิษย์ใหม่พอดี นี่ต้องขอบคุณคนเรือที่เล่าเรื่องราวให้ฟัง ทำให้เขารู้วันเวลาที่สำนักโอสถจะเปิดรับศิษย์ เขาจึงรีบเร่งเดินทางมาให้ทัน ไม่เช่นนั้นคงต้องรอครั้งหน้ากระมัง
ซึ่งก็คงอีกนานโขทีเดียว เขามาถึงก่อนวันเปิดรับศิษย์ถึง 10 วัน ดังนั้นช่วงที่รออยู่นี้เขาจึงหาที่พัก ซึ่งก็ได้กระท่อมหลังเล็กๆ ซอมซ่อหลังหนึ่งเป็นที่พัก ราคาถูกทีเดียว สภาพภายในก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่ เขาปัดกวาดเช็ดถูแล้วก็สะอาดสะอ้านดี หลังจากปัดกวาดแล้วเขาก็ออกไปเดินเล่นในตลาดชั่วคราวที่มาตั้งแผงขายของกันอยู่หน้าสำนักโอสถ
10 วันผ่านไปเร็วยิ่งนัก ในที่สุดสำนักโอสถก็เปิดรับศิษย์เสียที ทางสำนักโอสถก็ประกาศว่า “คนที่ต้องการเข้ารับการทดสอบเป็นศิษย์สำนักโอสถให้ไปรวมตัวกันที่หน้าประตูสำนัก”
เสียงประกาศดังซ้ำไปซ้ำมาตั้งแต่เช้า ผู้คนรีบไปรวมตัวกันที่หน้าประตูสำนัก เฉินมู่อิ๋งก็ตามผู้คนไป ยืนรวมอยู่ในหมู่ผู้คน ประตูสำนักโอสถเปิดออก อาจารย์หลอมโอสถคนหนึ่งก็เดินไปยืนอยู่ตรงระหว่างประตู พูดว่า “ให้พวกเจ้าทุกคนเข้าไปทางป่าด้านซ้ายมือ เก็บสมุนไพรคนละ 100 ชนิด แล้วนำมาลงชื่อ พวกเจ้าต้องบอกชื่อสมุนไพรที่พวกเจ้าเก็บมาให้ถูกต้อง หากผิดพลาดแม้แต่ชนิดเดียวถือว่าไม่ผ่าน”
“หึๆๆๆ 100 ชนิด คราวนี้ข้าไม่พลาดแน่” คนหนึ่งพูดขึ้นมาสีหน้ามั่นใจยิ่ง อาจารย์หลอมโอสถก็พูดว่า “เอาล่ะ พวกเจ้าไปได้แล้ว มีเวลาแค่ถึงพระอาทิตย์ตกดิน หากใครไม่ทันก็ถือว่าไม่ผ่าน”
ผู้คนจึงรีบวิ่งไปทางป่าด้านซ้ายมือทันที เฉินมู่อิ๋งก็ตามผู้คนไป ผู้คนเข้าป่าไปก็พากันรีบแย่งเก็บสมุนไพรกันทันที ชนิดว่าใครไวกว่าก็ได้ไป เฉินมู่อิ๋งไม่ยื้อแย่งกับคนอื่น เขามองดูสมุนไพรต่างๆ ที่รู้จักบ้างไม่รู้จักบ้าง เขาค่อยๆ เลือกเก็บสมุนไพรที่เขารู้จัก จนกระทั่งเก็บสมุนไพรจนครบ 100 ชนิดแล้วก็เดินกลับไปที่จุดลงชื่อ
จนกระทั่งพระอาทิตย์ตกดิน แสงสุดท้ายลับฟ้าไปแล้วอาจารย์หลอมโอสถก็ปิดการลงชื่อ คนที่กลับมาไม่ทันจึงไม่ผ่านการทดสอบไปโดยปริยาย อาจารย์หลอมโอสถก็ประกาศว่า “พรุ่งนี้เช้าให้พวกเจ้ามารวมตัวกันที่หน้าประตูอีกครั้งเพื่อเข้ารับการทดสอบครั้งที่สอง”
ผู้คนจึงแยกย้ายกันไป เฉินมู่อิ๋งก็กลับไปที่กระท่อมน้อยของเขา
เช้าวันต่อมา เฉินมู่อิ๋งไปรออยู่หน้าประตูสำนักโอสถรวมกับผู้คนที่ผ่านการทดสอบเมื่อวานนี้ ประตูสำนักโอสถเปิดออก อาจารย์คนเดิมก็เดินมาประกาศว่า “วันนี้ให้พวกเจ้าเดินขึ้นบันไดทางด้านนั้น ใครขึ้นไปด้านบนไม่ทันพระอาทิตย์ตกดินถือว่าไม่ผ่าน”
ผู้คนก็เดินนำหน้าไปที่บันไดทันที คนหนึ่งก้าวเท้าขึ้นบันได พลัน! ก็รู้สึกถึงแรงผลักจนเขาไม่อาจวางเท้าลงบนขั้นบันไดได้ เขาพยายามวางเท้าลงไป แต่เท้าก็ชะงักค้าง เขาทุ่มแรงสุดกำลังจนเหงื่อซึมแผ่นหลังเลยทีเดียวจึงก้าวเท้าวางบนขั้นบันไดขั้นแรกได้สำเร็จ ผู้คนมองดูเทพคนนั้นปากอ้าตาค้าง พวกเขาตระหนักดีว่าการทดสอบของสำนักโอสถจะง่ายดายได้อย่างไร!
หลังจากนั้นผู้คนจึงพากันเดินขึ้นบันได แต่ละคนต้องใช้กำลังสุดแรงจึงจะก้าวเท้าขึ้นบันไดได้ บางคนแม้แต่บันไดขั้นแรกก็ยังไม่อาจวางเท้าได้เลย พวกเขายืนพยายามอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่ตรงนั้น ซึ่งบันไดของสำนักโอสถนั้นกว้างใหญ่ ดังนั้นจึงสามารถรองรับคนหมู่มากได้อย่างไม่แออัด อาจารย์หลอมโอสถก็มองดูฝูงชนที่กำลังพยายามเดินขึ้นบันได พลางมองผู้คนที่แม้แต่บันไดขั้นแรกยังไม่อาจวางเท้าลงไปได้อย่างเหยียดหยาม “เฮอะ!”
เฉินมู่อิ๋งเดินขึ้นบันได เขาไม่รู้สึกถึงแรงกดดันอะไรที่แตกต่างจากบริเวณอื่น เขายกเท้าก้าวขึ้นบันไดอย่างง่ายดาย ทำให้คนอื่นๆ หันไปมองเด็กหนุ่มนั้นตาแทบถลนออกมานอกเบ้าเลยทีเดียว เฉินมู่อิ๋งขึ้นบันไดไปเรื่อยๆ อาจารย์หลอมโอสถมองดูเด็กหนุ่มคนนั้นปากอ้าตาถลน หา!? มีคนขึ้นบันไดทดสอบง่ายเช่นนี้ด้วยหรือ!? นี่ช่างเหมือนกับในตอนนั้นเหลือเกิน!
เฉินมู่อิ๋งเดินขึ้นไปเรื่อยๆ เขาไม่รู้สึกถึงแรงกดดันอะไรทั้งนั้น การเดินขึ้นไปอย่างง่ายดายของเขาทำให้คนทั้งหมดล้วนปากอ้าตาค้าง คนอื่นๆ ที่เข้ารับการทดสอบเช่นเดียวกันจึงยิ่งพยายามมากกว่าเดิม ในเมื่อเจ้าหนุ่มนั้นทำได้ข้าก็ต้องทำได้ซิ! ฮึ่ม!
บันไดทอดยาวสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ยิ่งสูงแรงกดดันยิ่งมาก เฉินมู่อิ๋งเดินขึ้นไปด้วยท่าทีสบายๆ ราวกับไม่รู้สึกถึงแรงกดดันอะไรเลยอย่างไรอย่างนั้น เขายังคงเดินขึ้นไปเรื่อยๆ ราวกับก้าวขึ้นบันไดธรรมดาๆ จนกระทั่งไปถึงลานหินด้านบน อาจารย์หลอมโอสถที่รออยู่ด้านบนก็มองเด็กหนุ่มอย่างตกตะลึงไม่น้อย หา!? มีคนขึ้นมาไวถึงเพียงนี้เชียวหรือ!?
เขามองเทพคนนั้นขึ้นๆ ลงๆ ลงๆ ขึ้นๆ หลายครากว่าจะตั้งสติได้จึงค่อยพูดว่า “เจ้าบอกชื่อแซ่มา”
“ข้า เฉินมู่อิ๋ง” เฉินมู่อิ๋งบอก อาจารย์หลอมโอสถก็จดชื่อแซ่ลงไปแล้วชี้นิ้วสั่ง “เจ้าตามศิษย์คนนั้นไปพักได้ พรุ่งนี้ให้มารออยู่ที่นี่เพื่อเข้าทดสอบรอบที่สาม”
“ขอบคุณท่านมาก” เฉินมู่อิ๋งกุมมือคารวะ ศิษย์สำนักโอสถคนหนึ่งก็เดินมาพาเด็กหนุ่มไปยังที่พักซึ่งเป็นห้องโถงหลังหนึ่งที่เอาไว้ให้ผู้ผ่านการทดสอบใช้พักชั่วคราว เฉินมู่อิ๋งก็เดินตามศิษย์คนนั้นไป อาจารย์หลอมโอสถมองตามเด็กหนุ่มคนนั้นไปอย่างตกตะลึงไม่หาย นับตั้งแต่มีการทดสอบรับศิษย์ เจ้าเด็กคนนั้นก็ทำลายสถิติการขึ้นบันไดทดสอบได้เร็วพอๆ กับผู้อาวุโสสิบห้าและผู้อาวุโสสิบหกเลยกระมัง การทดสอบนี้ เจ้าหนุ่มนั้นขึ้นบันไดมาไวยิ่งนัก! โอ!
จนกระทั่งพระอาทิตย์ตกดิน ก็มีผู้ผ่านการทดสอบจำนวนหนึ่ง คนเหล่านั้นก็ถูกนำไปพักรวมกันที่ห้องโถง เฉินมู่อิ๋งตกเป็นเป้าสายตาของผู้คนบ่อยครั้งเพราะเขาผ่านการทดสอบเป็นคนแรกของการทดสอบในวันนี้
เช้าวันต่อมา ผู้เข้าทดสอบทุกคนก็ไปรวมตัวกันที่ลานกว้างอีกครั้ง อาจารย์หลอมโอสถคนเดิมก็เดินมาประกาศว่า “วันนี้จะทำการทดสอบการหลอมโอสถ พวกเจ้าหลอมโอสถอะไรได้ก็จงหลอมออกมา ใครที่หลอมโอสถไม่ได้ให้ก้าวออกไปลงชื่อทางด้านนั้น พวกเจ้าจะมีหน้าที่ดูแลป่าสมุนไพร จนกว่าพวกเจ้าจะสามารถหลอมโอสถได้จึงจะได้รับการคัดเลือกเป็นศิษย์ขั้นต้น”
อาจารย์หลอมโอสถชี้นิ้วไปทางจุดลงชื่อซึ่งมีอาจารย์หลอมโอสถ 3 คนรออยู่ คนที่ยังหลอมโอสถไม่ได้จึงก้าวออกไปลงชื่อ ซึ่งหน้าที่นี้ได้คัดคนที่สามารถขึ้นบันไดได้แต่ไม่สามารถขึ้นไปถึงข้างบนได้ก่อนตะวันตกดินรวมไว้ด้วย ส่วนคนที่ไม่สามารถขึ้นบันไดได้แม้แต่ขั้นเดียวก็ถือว่าไม่ผ่านการทดสอบ เมื่อคนที่ไม่สามารถหลอมโอสถได้แยกตัวไปแล้วอาจารย์หลอมโอสถจึงพูดกับคนที่เหลือว่า “พวกเจ้าเริ่มหลอมโอสถได้แล้ว”
ผู้คนที่รออยู่จึงแยกย้ายกันกระจายตัวออกไปหาที่นั่งลงหลอมโอสถ พวกเขาเอาหม้อหลอมโอสถของตัวเองออกมาตั้ง เอาสมุนไพรของตัวเองออกมาวาง แล้วเริ่มลงมือหลอมโอสถ เฉินมู่อิ๋งก็เดินไปหาพื้นที่ว่างๆ ซึ่งห่างจากคนอื่นๆ เขาถูกอาจารย์หลอมโอสถจับตามองเป็นพิเศษเนื่องจากเขาผ่านการทดสอบเมื่อวานไวอย่างยิ่ง อาจารย์หลอมโอสถจึงอยากรู้นักว่าเด็กหนุ่มคนนั้นจะสามารถหลอมโอสถได้ระดับใด?
เฉินมู่อิ๋งก็เอาสมุนไพรออกมาหลอมโอสถ เขาเคยหลอมโอสถอย่างไรก็ทำตามนั้น สมุนไพรวางเรียงรายตรงหน้าแล้วเริ่มหลอมโอสถเหมือนเช่นที่เคยทำ อาจารย์หลอมโอสถเห็นเจ้าหนุ่มคนนั้นไม่เอาหม้อหลอมโอสถออกมาตั้งก็มองดูอย่างสงสัย
เวลาผ่านไปราว 3 ชั่วโมง เฉินมู่อิ๋งก็หลอมโอสถเซียน ซึ่งเป็นโอสถสมานแผลระดับสมบูรณ์ระดับหนึ่งออกมา 1 เม็ด เขามองดูโอสถระดับสมบูรณ์ระดับหนึ่งที่ลอยอยู่ตรงหน้าอย่างพอใจ การหลอมโอสถนี้เขาหลอมจนชำนาญแล้วจึงไม่ยุ่งยากอะไร อาจารย์หลอมโอสถซึ่งจับตาดูเด็กหนุ่มคนนั้นตลอดเวลารู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่งที่เห็นเด็กหนุ่มคนนั้นหลอมโอสถได้โดยไม่ต้องใช้หม้อหลอม? เขาเดินไปหาเด็กหนุ่มคนนั้นทันที สั่งว่า “เจ้าหลอมโอสถให้ข้าดูหน่อย”
เฉินมู่อิ๋งมองอาจารย์หลอมโอสถคนนั้น คนอื่นๆ ได้ยินอาจารย์หลอมโอสถสั่งเช่นนั้นก็หันไปมองดูอย่างสงสัยใคร่รู้ พวกเขาหยุดมือรอชมเหตุการณ์ อาจารย์หลอมโอสถจึงสั่งว่า “เอ้า เจ้าหนู เจ้าหลอมโอสถให้ข้าดูเดี๋ยวนี้”
“หือ?” เฉินมู่อิ๋งมองอย่างสงสัย อาจารย์หลอมโอสถคนนั้นจึงสั่งอีกครั้ง “เจ้าหลอมโอสถให้ข้าดูอีกหนซิ”
“ท่านไม่เชื่อว่าข้าหลอมโอสถได้หรือ?” เฉินมู่อิ๋งถาม อาจารย์หลอมโอสถส่ายหน้า “ไม่ใช่ไม่เชื่อ แต่วิธีการหลอมของเจ้าต่างจากคนอื่น ดังนั้นข้าและอาจารย์ท่านอื่นๆ จึงอยากเห็นให้แน่ใจอีกครั้งว่าเจ้าเป็นผู้มีพรสวรรค์จริงๆ หากเจ้าเป็นผู้มีพรสวรรค์ย่อมได้รับโชควาสนาที่ดีแน่นอน”
เขาหันไปปรายตามองอาจารย์ท่านอื่นๆ ที่ล้วนมองจ้องเด็กหนุ่มเป็นตาเดียว เฉินมู่อิ๋งมองอาจารย์คนอื่นๆ แล้วเอาสมุนไพรออกมาวางเรียง จากนั้นก็ลงมือหลอมโอสถเซียนอีกครั้ง อาจารย์หลอมโอสถทั้งหลายก็จ้องดูตาไม่กะพริบเลยทีเดียว
Chapter 4
ลอบเข้าตำหนักเทพดวงชะตา
เวลาผ่านไป 3 ชั่วโมง เฉินมู่อิ๋งก็หลอมโอสถเซียนระดับสมบูรณ์ระดับหนึ่งออกมา 1 เม็ด อาจารย์หลอมโอสถทุกคนที่เฝ้ามองอยู่จับตาดูสีหน้าตื่นเต้นยินดียิ่ง พวกเขาหันไปมองหน้ามองตากันแล้วกระซิบกระซาบกันเอง อาจารย์หลอมโอสถคนแรกมองๆ เด็กหนุ่มคนนั้น ถามว่า “เจ้ามาจากที่ใด?”
“แดนเทพเป่ยต้าไห่” เฉินมู่อิ๋งตอบ อาจารย์หลอมโอสถรีบโบกมือ “ไม่ใช่ๆ ข้าหมายถึงว่าก่อนจะบรรลุเป็นเทพ เจ้าอยู่ที่ใด?”
“ข้ามาจากโลกมนุษย์” เฉินมู่อิ๋งตอบ อาจารย์หลอมโอสถทำหน้าไม่ถูกใจกับคำตอบที่กว้างเสียจนไม่รู้เรื่อง ไพลินวิญญาณจึงบอกว่า {เจ้านายๆ ตอบเขาว่า โลกพันเล็ก ลำดับที่ 2,900 ซิ}
“ข้ามาจากโลกพันเล็ก ลำดับที่ 2,900” เฉินมู่อิ๋งตอบตามที่ไพลินวิญญาณบอก อาจารย์หลอมโอสถเลิกคิ้วขึ้น “หือ? โลกพันเล็ก ลำดับที่ 2,900?”
เขาเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “ยากนักที่จะมีคนจากโลกพันเล็กบรรลุเป็นเทพได้”
เขาเห็นเจ้าหนุ่มมองอย่างสงสัยจึงอธิบายว่า “พลังฟ้าดินของโลกพันเล็กทุกแห่งล้วนน้อยนิดยิ่งนัก จึงยากมากที่ผู้ฝึกตนจากโลกเหล่านั้นจะฝึกฝนจนบรรลุเป็นเทพได้”
“อ่อ” เฉินมู่อิ๋งพยักหน้าเข้าใจ ใช่ พลังฟ้าดินของที่นั่นน้อยนิดจริงๆ นั่นแหละ หากว่าเขาไม่ได้เข้าไปในเหวอเวจีก็คงยังไม่อาจบรรลุขั้นได้เลยกระมัง
เหล่าอาจารย์หลอมโอสถหันไปกระซิบกระซาบคุยกันอีกครา อาจารย์หลอมโอสถคนแรกจึงพูดว่า “เจ้ามาเป็นศิษย์ข้า เอ้า กราบอาจารย์เสียซิ”
“ฮ๊าย! ฉีเล่อ เจ้าจะแย่งรับศิษย์อย่างนี้ไม่ได้นา” อาจารย์หลอมโอสถคนหนึ่งรีบร้องขึ้นมาทันทีทันใด ฉีเล่อยืดอกเชิดหน้า หันไปพูดว่า “เหตุใดจะไม่ได้เล่า เจ้าคนนี้เป็นต้นกล้าที่ดีข้าย่อมอยากรับเป็นศิษย์”
คำพูดของฉีเล่อทำให้อาจารย์หลอมโอสถด่าออกมา 1 ประโยค “เจ้าหน้าหนายิ่ง”
“เฮอะ! ของอย่างนี้ใครดีใครได้” ฉีเล่อพูดอย่างหน้าหนายิ่ง ทำอาจารย์หลอมโอสถคนอื่นๆ มองอย่างหมั่นไส้ยิ่งนัก เฉินมู่อิ๋งมองๆ เหล่าอาจารย์หลอมโอสถแล้วถามว่า “หากข้ากราบอาจารย์ ข้าจะได้ผลประโยชน์อะไรบ้าง?”
“แค่กๆ” เหล่าอาจารย์หลอมโอสถกระแอมกระไอกันทุกคน แอบด่าอยู่ในใจ เจอคนเขี้ยวลากดินอีกคนแล้ว!
ฉีเล่อยิ่งกระแอมกระไอมากกว่าทุกคน เขาหันไปมองเด็กหนุ่มคนนั้นพูดว่า “กราบข้าเป็นอาจารย์ เจ้าย่อมได้รับผลประโยชน์ไม่น้อย”
“เช่นนั้นท่านช่วยบอกผลประโยชน์ที่ข้าควรได้รับมาให้หมดเถิด ข้าจะได้ลองพิจารณาดูว่าควรจะกราบผู้ใดเป็นอาจารย์” เฉินมู่อิ๋งบอกน้ำเสียงราบเรียบ ทำเหล่าอาจารย์หลอมโอสถตกตะลึงกันเลยทีเดียว พวกเขาก่นด่าในใจ เจ้าคนๆ นี้เขี้ยวลากดินยิ่งนัก! เขี้ยวลากดินพอๆ กับผู้อาวุโสสิบหกเลยกระมัง!
ฉีเล่อรีบพูดผลประโยชน์ที่ศิษย์ของเขาควรได้รับออกมาจนหมด อาจารย์หลอมโอสถคนอื่นๆ ก็พูดต่อแจกแจงรายละเอียดผลประโยชน์ของศิษย์ของเขาออกมาอย่างละเอียดลออ เฉินมู่อิ๋งตั้งใจฟังพวกเขาพูด จนกระทั่งเหล่าอาจารย์หลอมโอสถพูดจนครบทุกคนแล้วเฉินมู่อิ๋งจึงกุมมือคารวะเหล่าอาจารย์ พูดว่า “ขอบคุณพวกท่านมาก ถ้าอย่างไรขอเวลาข้าคิดสักหน่อยเถอะ”
“ได้” ฉีเล่อพูดแล้วพูดต่อว่า “เอาล่ะตอนนี้เจ้าผ่านเป็นศิษย์ขั้นต้นแล้ว เจ้าตามศิษย์พี่ไปที่ห้องพักของเจ้าเถอะ”
“ขอบคุณท่านมาก” เฉินมู่อิ๋งบอกพลางคารวะอีกครั้ง ฉีเล่อจึงให้ศิษย์พาเด็กหนุ่มไป เฉินมู่อิ๋งจึงเดินตามศิษย์พี่ไป ยังเดินไปไม่กี่ก้าวจู่ๆ ก็ถูกเรียก “เดี๋ยวก่อนเจ้าหนู”
มีอาจารย์หลอมโอสถท่านหนึ่งเดินมาขวางหน้าเด็กหนุ่มเอาไว้ เฉินมู่อิ๋งมองคนที่มาขวางหน้าเขารู้สึกถึงกลิ่นอายที่คล้ายกับพี่สาวมังกรจากตัวอาจารย์หลอมโอสถที่ยังดูเด็กยิ่งนัก อายุน่าจะพอๆ กับเขากระมัง
“เจ้ามีกลิ่นอายมังกร” หลงจิ่งเทียน(龙景添) เอ่ยขึ้นพลางมองเด็กหนุ่ม ไม่ใช่ซิ ต้องบอกว่าเป็นเด็กสาวต่างหาก เขาได้กลิ่นสตรีจากเด็กหนุ่มคนนี้ไม่ผิดแน่นอน คนอื่นๆ ก็มองดูองค์รัชทายาทเผ่ามังกรคนนั้นกับเด็กหนุ่มคนนั้นเป็นตาเดียว หรือว่าเขาจะเป็นมังกรเช่นเดียวกันกับองค์รัชทายาทงั้นรึ?
หลงจิ่งเทียนยื่นหน้าไปสูดกลิ่น เฉินมู่อิ๋งผงะถอยไปทันที ทำให้เกือบชนคนที่จู่ๆ ก็มาอยู่ข้างหลังเขาโดยที่เขาไม่ทันรู้ตัวเลย คนๆ นั้นเป็นบุรุษคนหนึ่ง เขายื่นมือข้ามไหล่เด็กหนุ่มไปพลางผลักหน้าหลงจิ่งเทียนออกพลางดุ “ฮื้อ! เจ้าจะทำเช่นนี้ไม่ได้นะจิ่งเทียน”
“พี่ใหญ่ ข้าได้กลิ่นอายมังกรจากตัวเขาจริงๆ” หลงจิ่งเทียนบอก ยืดตัวตรง มองดูเด็กหนุ่ม เอ้ย! เด็กสาวตรงหน้าอย่างแน่ใจ เฉินมู่อิ๋งก้าวเท้าไปด้านข้างทันทีอย่างระวังตัว คนข้างหลังเขาต้องมีวรยุทธ์สูงยิ่งนัก ไม่เช่นนั้นจะเข้าใกล้เขาโดยที่เขาไม่รู้ตัวได้อย่างไร
“ผู้อาวุโสสิบแปด องค์รัชทายาทหลง” ฉีเล่อเรียกอย่างนอบน้อมยิ่ง เฉินมู่อิ๋งจึงหันไปมองคนที่ถูกเรียกว่า ‘ผู้อาวุโสสิบแปด’ กับ ‘องค์รัชทายาทหลง’ ที่จู่ๆ ก็เข้ามาขวางทางเขา สองคนนี้ต้องการอะไร?
หลินจื่อเซียน林子仙) ในคราบผู้อาวุโสสิบแปดจึงสะบัดแขนเสื้อทีหนึ่ง ศิษย์ของสำนักโอสถก็ถูกพัดออกไปไกล “อ้า!”
เขาเซไปหลายสิบก้าวกว่าจะตั้งตัวยืนได้ จากนั้นหลินจื่อเซียนก็วาดอาคมขึ้นมาครอบคลุมตัวเธอ หลงจิ่งเทียนและเด็กหนุ่มศิษย์ใหม่คนนั้นเอาไว้ เฉินมู่อิ๋งหรี่ตามองผนึกอาคม เตรียมพร้อมจะสู้ทุกวินาที หลินจื่อเซียนจึงรีบบอก “เจ้าไม่ต้องตื่นตัวไป ข้าเห็นว่าเจ้ามีพรสวรรค์จึงอยากรับเจ้าเป็นศิษย์”
“รับข้าเป็นศิษย์?” เฉินมู่อิ๋งทวนคำ จ้องผู้อาวุโสสิบแปดเขม็ง หลินจื่อเซียนยิ้มให้แล้วบอกว่า “วิชามายาลวงตาของเจ้าอาจจะตบตาคนอื่นได้แต่ตบตาข้าไม่ได้หรอกน้องสาว อีกทั้งวิชาปลอมใบหน้าของเจ้าก็ดีจริงๆ ฝีมือเทียบเท่ากับข้าเลยทีเดียว”
{ไอหยา! คนๆ นี้ดูออกได้อย่างไร?} ไพลินวิญญาณพูดอยู่ในห้วงจิต เฉินมู่อิ๋งหรี่ตามองผู้อาวุโสสิบแปด “ท่านเป็นใคร?”
“ข้าคือผู้อาวุโสสิบแปดของสำนักโอสถ พรสวรรค์ของเจ้าดีจริงๆ หากฝึกฝนอีกนิดหน่อยเจ้าย่อมเก่งกาจแน่” หลินจื่อเซียนบอก พลางใช้พลังจิตตรวจสอบเด็กสาวตรงหน้า เฉินมู่อิ๋งรู้สึกว่ามีพลังไร้รูปลักษณ์สายหนึ่งกวาดมาบนตัวเขา เขาจึงเผลอใช้พลังของมือทารกเล็กๆ คู่นั้นต้านเอาไว้
“โอ้! เจ้าเป็นชิงเฉิน* ด้วยรึ?” หลินจื่อเซียนอุทานออกมา เธอเก็บพลังจิตกลับไป เฉินมู่อิ๋งทวนคำ “ชิงเฉิน?”
(ชิงเฉินเนี่ยนซือ หมายถึงผู้มีพลังจิต)
“หมายถึงผู้มีพลังจิตน่ะ” หลินจื่อเซียนบอก “ร่างจิตของเจ้าเพิ่งจะก่อตัวได้นิดหน่อย หากฝึกฝนให้ดีจะเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่กว่าพลังเทพเสียอีก”
“ท่านก็มีมือเล็กๆ ด้วยรึ?” เฉินมู่อิ๋งถาม หลินจื่อเซียนยิ้ม “ข้าไม่ได้มีแค่มือเล็กๆ หรอก เจ้าใช้จิตมองข้าซิ”
“ใช้จิตมอง?” เฉินมู่อิ๋งทวนคำอย่างไม่เข้าใจ หลินจื่อเซียนจึงบอก “หลับตาลง มองดูข้า ใช้ใจเจ้ามอง”
เฉินมู่อิ๋งหลับตาลง คิดๆ ใช้ใจมอง? ใช้ใจมองอย่างไร?
เขามองอย่างไรก็มองไม่เห็นอะไรเลย เห็นแต่ความมืด เขาเพ่งมองทั้งๆ ที่หลับตาจนคิ้วขมวดเข้าหากัน หลินจื่อเซียนจึงบอกว่า “ไม่ต้องรีบร้อน ตอนนี้เจ้ายังมองไม่เห็นก็ช่างเถอะ มาว่ากันเรื่องเป็นศิษย์ข้าดีกว่า ว่าอย่างไรน้องสาว เจ้าจะยอมเป็นศิษย์ข้าไหม?”
เฉินมู่อิ๋งลืมตาขึ้น “เป็นศิษย์ท่านแล้วข้าจะได้ผลประโยชน์อะไรบ้างล่ะ?”
“แน่นอนว่าข้าสอนเจ้าหลอมโอสถแบบไม่ใช้หม้อหลอมได้ ซึ่งมีไม่กี่คนหรอกนะที่ทำแบบนี้ได้” หลินจื่อเซียนบอก หลงจิ่งเทียนรีบพูด “เจ้านี่วาสนาดีนัก พี่ใหญ่ข้าปกติแล้วไม่รับใครเป็นศิษย์ง่ายๆ หรอกนะ”
“เอ่อ…ขอข้าคิดดูก่อนล่ะกัน” เฉินมู่อิ๋งบอก หลินจื่อเซียนจึงยื่นหยกชิ้นหนึ่งให้ “งั้นเจ้ามีอะไรสงสัยไม่เข้าใจก็ไปถามข้าได้ทุกเมื่อ”
เฉินมู่อิ๋งจึงรับหยกชิ้นนั้นมาเก็บเอาไว้ หลินจื่อเซียนคลายอาคมออก คนอื่นๆ แน่นอนว่าย่อมไม่เห็นคนในผนึกอาคม ทั้งยังไม่ได้ยินเสียงจึงไม่รู้ว่าพวกเขาคุยอะไรกัน หลินจื่อเซียนเดินกลับไปนั่งที่เก้าอี้ นานๆ ทีเธอถึงจะมีโอกาสมาดูการรับศิษย์ใหม่ ดังนั้นจึงใช้โอกาสนี้ให้คุ้มสักหน่อย หลงจิ่งเทียนก็ก้าวไปนั่งข้างๆ ‘เจ้ใหญ่’ ของเขา เฉินมู่อิ๋งมองทั้งสองคนนั้น จนกระทั่งศิษย์พี่คนเดิมเดินมาสะกิด “ไปๆ ข้าจะพาเจ้าไปที่เรือนของเจ้า”
“อ่า อ่อ” เฉินมู่อิ๋งดึงสติกลับมา เดินตามศิษย์พี่คนนั้นไป แล้วถามว่า “ศิษย์พี่ ผู้อาวุโสสิบแปดคือใครรึ?”
“ผู้อาวุโสสิบแปดก็คือผู้อาวุโสสิบแปดน่ะซิ” ศิษย์พี่ตอบ แล้วอธิบายว่า “สำนักเรา มีเจ้าสำนัก รองจากเจ้าสำนักลงมาก็คือผู้อาวุโสซึ่งมีอยู่ 20 กว่าคน อีกหน่อยเจ้าก็จะได้เห็นเองนั่นแหละ ตั้งแต่ผู้อาวุโสสิบหกเป็นต้นไป พวกเขาล้วนเป็นพวกเดียวกัน นอกจากพวกของผู้อาวุโสสิบหก ก็ยังไม่มีผู้อาวุโสคนใหม่อีกเลย นี่ก็หลายปีมาแล้วที่ในสำนักเรายังไม่ปรากฏผู้มีพรสวรรค์คนใหม่ที่หลอมโอสถระดับสวรรค์ได้อีก ดังนั้นข้าจะเตือนเจ้าไว้หน่อยว่า เจ้าอย่าได้เผลอไปทำให้พวกผู้อาวุโสทั้งหลายไม่พอใจเชียวนะ”
“อ่อ ขอบคุณศิษย์พี่มาก” เฉินมู่อิ๋งบอกพลางยิ้มให้ หลังจากนั้นศิษย์พี่คนนั้นก็คุยเรื่องต่างๆ ที่ศิษย์น้องควรจะรู้เอาไว้ให้ฟัง เฉินมู่อิ๋งฟังไปจนกระทั่งถึงเรือนไม้เรียงรายในบริเวณหนึ่ง ศิษย์พี่ก็บอกว่า “นี่เป็นเรือนพักของศิษย์ขั้นต้น เอ้า เจ้าเอาหยกนี่ไปจะได้เข้าเรือนได้”
เฉินมู่อิ๋งรับหยกชิ้นนั้นมา เขาค่อนข้างคุ้นกับหยกที่ใช้เปิดประตูแล้ว เพียงแต่ว่าเขาไม่เคยได้ใช้หยกประเภทนี้เลยสักครั้ง เพราะพลังในการผ่านอาคมของพี่สาวมังกรทำให้เขาสามารถผ่านอาคมทุกชนิดได้อย่างง่ายดายราวกับไร้อาคม แค่แตะประตูเขาก็เปิดเข้าไปได้แล้ว จึงไม่เคยได้ใช้หยกในการเปิดประตู ศิษย์พี่ส่งศิษย์น้องแล้วก็เดินจากไป
เฉินมู่อิ๋งมองหมายเลขบนหยกชิ้นนั้นแล้วเดินไปที่เรือนซึ่งมีหมายเลขตรงกัน เขาเปิดประตูเดินเข้าไปมองเรือนหลังเล็กที่เรียบง่าย ภายในมีเตียง ตู้ โต๊ะ เขาเห็นประตู 2 บานจึงเปิดดู บานหนึ่งเป็นประตูด้านหลัง ข้างหลังเป็นสวนสมุนไพรที่ได้รับการดูแลอย่างดี ส่วนประตูอีกบานเป็นห้องส้วมและห้องอาบน้ำ ลักษณะเหมือนห้องส้วมบนเรือล่องเมฆาไม่มีผิด ดูท่าทางแล้วที่นี่ก็คงลอกแบบห้องส้วมห้องอาบน้ำมาจากตำหนักไป๋หยุนแน่นอน ดูๆ จนทั่วเรือนหลังน้อยแล้วเขาจึงเดินไปดูแปลงสมุนไพรข้างหลัง มีสมุนไพรที่เขารู้จักและไม่รู้จักหลายชนิดทีเดียว
หลังจากดูสมุนไพรแล้วเขาจึงออกจากเรือนไปเดินเล่นรอบๆ เรือน มองดูทิวทัศน์ในบริเวณรอบๆ ที่ร่มรื่นยิ่งนัก กลิ่นหอมสมุนไพรโชยชายไปทั่วบริเวณ เขาสูดกลิ่นหอมเข้าไปรู้สึกกระปรี้กระเปร่าไม่น้อยเลย หลังจากนั้นเขาก็เดินไปทางหอตำรา ซึ่งการเรียนของที่นี่เป็นแบบศึกษาด้วยตัวเอง หากว่าต้องการคำชี้แนะจากอาจารย์ก็กราบอาจารย์ที่ตัวเองเลื่อมใสแล้วขอคำชี้แนะจากอาจารย์ท่านนั้นๆ
เมื่อไปถึงหอตำรา เขาก็เห็นคนหลายคนนั่งอยู่ตามมุมต่างๆ บ้างนั่งโต๊ะ บ้างนอนอิงอยู่บนผืนขนสัตว์หนานุ่ม บ้างยืนอ่านตำรา บางคนเหลือบมองผู้มาใหม่แวบหนึ่งแล้วก็ไม่สนใจ เฉินมู่อิ๋งเดินเข้าไปมองม้วนตำราบนชั้นแต่ละชั้น เขาหยิบตำราที่เกี่ยวกับสมุนไพรมาอ่านก่อน เพราะยังมีสมุนไพรอีกหลายชนิดที่เขาไม่รู้จัก ดังนั้นก่อนจะหลอมโอสถ เขาควรจะต้องรู้จักสมุนไพรทุกชนิดเสียก่อน เขาเอาตำราไปนั่งอ่านที่โต๊ะว่างๆ ตัวหนึ่ง เปิดอ่านอย่างละเอียดลออยิ่ง
ขณะที่เฉินมู่อิ๋งได้เป็นศิษย์ขั้นต้นของสำนักโอสถ เรือเยว่กวงก็มาถึงชายแดนเทพพอดี หยางเจียงหยุนกับจิงจ้านจึงลอบเข้าแดนเทพอย่างลับๆ หากพวกเขาไม่ใช้พลังก็จะไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาไม่ใช่เทพ เป้าหมายของพวกเขาคือตำหนักเทพดวงชะตาหมิงเทียน
ซึ่งตำหนักของเทพดวงชะตาหมิงเทียนนี้อยู่ในตำหนักเก้าชั้นฟ้า ดังนั้นพวกเขาจึงมุ่งหน้าไปยังตำหนักเก้าชั้นฟ้า ซึ่งอยู่เกือบกึ่งกลางแดนเทพจงยางต้าไห่ ส่วนตรงกลางของแดนเทพจงยางต้าไห่นั้นเป็นตำหนักไป๋หยุน อันเป็นที่อยู่ของตี้จวิน ตำหนักไป๋หยุนนั้นไม่ว่าใครก็ไม่อาจล่วงล้ำเข้าไปได้ เพียงแค่ผนึกอาคมรอบๆ ตำหนักก็แข็งแกร่งเสียจนทำให้ผู้บุกรุกกลายเป็นจุณได้ในพริบตา ความแข็งแกร่งของอาคมทำให้ไม่มีใครกล้าเอาชีวิตของตัวเองไปเสี่ยงเด็ดขาด
เมื่อมาถึงแดนเทพแน่นอนว่าพลังของพวกเขาไม่ถูกกดเอาไว้ เพราะที่นี่ไม่มีกฎเกณฑ์เหมือนโลกพันเล็กและโลกน้อยใหญ่ทั้งสามพัน ที่นี่มีแต่ผู้แข็งแกร่ง ต่อให้เป็นคนที่อ่อนแอที่สุดในดินแดนนี้ก็ยังมีพลังสูงกว่าเซียนจากโลกพันเล็กมากนัก พวกเขาใช้ของวิเศษเหินไปในอากาศ มุ่งหน้าไปยังตำหนักเก้าชั้นฟ้า
เวลาผ่านไป 1 เดือน ในที่สุดพวกเขาสองคนก็มาถึงด้านนอกของตำหนักเก้าชั้นฟ้า หยางเจียงหยุนมองเมืองใต้ตำหนักเก้าชั้นฟ้าแล้วลอยตัวลงนอกเมืองในจุดที่ไร้ผู้คน จิงจ้านตามไปติดๆ หยางเจียงหยุนจึงเดินเข้าเมืองไป จิงจ้านตามไป หยางเจียงหยุนเลือกโรงเตี้ยมแห่งหนึ่ง เหมาห้องที่ดีที่สุดของโรงเตี้ยมเอาไว้ 2 ห้องแล้วเข้าพัก พลางสั่งจิงจ้านว่า “เจ้าหาทางลอบเข้าไปในตำหนักเก้าชั้นฟ้าให้ได้ เข้าไปสืบหาบันทึกของเจ้าเด็กมนุษย์เฉินมู่อิ๋งแห่งโลกพันเล็กลำดับที่ 2,900 เกิดที่เมืองซินหยาง ส่วนปีเกิดข้าจำไม่ได้แล้ว”
“พะย่ะค่ะ” จิงจ้านรับคำ หยางเจียงหยุนจึงเตือนน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “อยู่ที่นี่ใช้คำพูดเฉกเช่นสามัญ อย่าให้ใครสงสัยฐานะของพวกเรา”
“พะ…อ่า…ขอรับ” จิงจ้านรับคำแล้วถอยออกไป หยางเจียงหยุนก็นั่งอยู่ในห้องปรับสมดุลของพลังในร่าง แน่นอนว่าเขายังคงต่อต้านจิตบรรพกาลอยู่เล็กน้อย ดังนั้นจึงยังไม่สามารถหลอมรวมได้ทั้งหมด คล้ายกับว่าถ้าเขายินยอมหลอมรวมทั้งหมดแล้ว เขาอาจจะสูญเสียจิตวิญญาณของตัวเองไป ถูกจิตบรรพกาลกลืนกินจิตวิญญาณไปจนไม่เหลือหลอ
จิงจ้านออกจากโรงเตี้ยมไปแล้วคิดหาวิธีลอบเข้าไปในตำหนักเก้าชั้นฟ้า เขายอมแม้กระทั่งสมัครเป็นบ่าวรับใช้ของตำหนักเก้าชั้นฟ้า แล้วก็ถูกผู้ดูแลพาเข้าตำหนักเก้าชั้นฟ้าไป แน่นอนว่าฐานะบ่าวของเขาย่อมเป็นบ่าวใช้แรงงาน เช่นหาบน้ำ ตัดฟืน ฯลฯ หรือต่อให้เขาต้องทำงานที่ต่ำต้อยกว่านี้เขาก็ยอมทนได้เพียงเพื่อลอบเข้าไปในตำหนักเทพดวงชะตาหมิงเทียนได้สำเร็จก็พอ
เวลาผ่านไปอีก 1 เดือน จิงจ้านก็หาทางลอบเข้าตำหนักเทพดวงชะตาหมิงเทียนได้สำเร็จ โชคดีที่พระชายาของเทพหมิงเทียนไม่อยู่พอดี จึงทำให้จิงจ้านโล่งอกไม่น้อยเลย เพราะหากนางอยู่ที่ตำหนัก ด้วยจมูกมังกรของนางย่อมได้กลิ่นอายที่ผิดแผกไปจากเทพคนอื่นๆ จากตัวเขาแน่แท้ เขาหลบเลี่ยงเทพบริวารในตำหนัก ลอบเข้าไปในห้องเก็บบันทึกดวงชะตา เขาค่อยๆ ค้นบันทึกดวงชะตาอย่างเงียบกริบ หยิบจับม้วนบันทึกออกมาอย่างเบามือ เปิดอ่านแล้วก็วางเก็บไว้เหมือนเดิมไม่ผิดเพี้ยน ความสามารถเหมือนตีนแมวย่องเบานี้จึงทำให้เขาสามารถสืบข่าวให้องค์ราชาสำเร็จมานับไม่ถ้วนแล้ว
เขาค่อยๆ ค้นบันทึกไปทีละม้วน…ทีละม้วน จนกระทั่งเจอบันทึกของ ‘เฉินมู่อิ๋ง’ เขาเปิดอ่านทันที ในบันทึกเขียนเอาไว้ว่า
แซ่ : เฉิน
ชื่อ : มู่อิ๋ง
เพศ : หญิง
วันที่เกิด : รัชศก หยาง ปีที่ 15 เดือน อ้าย วันที่ 9
สถานที่เกิด : จวนเสนาบดีเฉินจงกุ้ย
เมือง : เมืองซินหยาง
แคว้น : แคว้นซินหยาง
บิดา : เฉินจงกุ้ย
มารดา : เฉินม่านอิ๋ง แซ่เดิม หวง
วันที่ตาย : รัชศก หยาง ปีที่ 15 เดือน ยี่ วันที่ 10
สถานที่ตาย : จวนเสนาบดีเฉินจงกุ้ย
เมือง : เมืองซินหยาง
แคว้น : แคว้นซินหยาง
เขาอ่านข้อความที่เขียนเอาไว้ซึ่งมีอยู่เพียงเท่านี้ ไม่มีบันทึกการเกิดใหม่อีก ทำให้เขาคิ้วขมวดเสียจนยับย่น เขามองที่ ‘เพศ’ ซึ่งระบุว่าเป็น ‘หญิง’
“หรือว่าจะไม่ใช่เจ้าเด็กคนนั้น?” เขาคิดๆ แล้วค้นหาบันทึกม้วนอื่นๆ มาดู แต่ก็ไม่เจอเลย ส่วนใหญ่ชื่อเหมือน แต่เมืองที่เกิดไม่ใช่ ซ้ำชื่อบิดามารดาผู้ให้กำเนิดก็ไม่ใช่เฉินจงกุ้ยและเฉินม่านอิ๋งเลย เขาค้นๆ บันทึกจนหมดทั้งชั้นนั้นเลยทีเดียว แต่ก็ไม่พบบันทึกของ ‘เฉินมู่อิ๋ง’ ที่เป็นลูกของเสนาบดีเฉินกับเฉินม่านอิ๋งเลย เขาพบบันทึกที่ตรงกับเจ้าเด็กนั่นเพียงม้วนเดียว ซ้ำยังเป็น ‘หญิง’ ที่เกิดได้เพียงเดือนกว่าๆ ก็ตกตายไปเสียแล้ว ช่างอายุสั้นยิ่งนัก แล้วความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมา “หรือว่าเจ้าเด็กคนนั้นจะถูกนำมาเลี้ยงดูแทนเด็กคนนี้?”
ใช่! มักมีบ่อยไปที่เด็กทารกตายไปแล้ว ครอบครัวแอบนำทารกคนใหม่มาเลี้ยงดูแทนทารกที่ตายเพื่อหลอกปู่ย่าตายายหรือไม่ก็พ่อหรือแม่ของเด็ก เพื่อมิให้เสียใจหรือไม่ก็หวังผลในการสืบตระกูล หากว่าเป็นเช่นนี้จริงๆ การจะสืบหาตัวตนที่แท้จริงของเจ้าเด็กคนนั้นก็ยากเสียแล้ว เพราะบันทึกย่อมบันทึกข้อมูลตามความจริง แต่เจ้าเด็กนั่นกลับใช้ชีวิตแทนเด็กเฉินมู่อิ๋งที่ตายไป ดังนั้นชื่อของเจ้าเด็กคนนั่นย่อมไม่ใช่เฉินมู่อิ๋งแน่นอน เขาเอาบันทึกม้วนนั้นใส่เข้าไปในถุงคุนเฉียนแล้วลอบออกจากห้องเก็บบันทึกอย่างเงียบกริบ
ขณะที่เขากำลังเดินจากไปนั้น จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเรียก “เจ้าคนนั้นน่ะ หยุดก่อน”
จิงจ้านหันไปมองแล้วรีบกุมมือคารวะ “ท่านเทพ”
วะ! ไยต้องมาเจอตอนนี้ด้วยนะ! เขาแอบก่นด่าอยู่ในใจ เทพหมิงเทียนมองบ่าวคนนั้นแล้วเอ่ยว่า “เจ้าหน้าตาไม่คุ้นเลย”
“อ่า…” จิงจ้านไม่รู้จะแก้ตัวอย่างไรดี
“ไอหยา! เจ้ามาทำอะไรที่นี่!? ข้าบอกแล้วใช่ไหมว่าไม่ให้เดินเพ่นพ่านน่ะ” เทพบริวารคนหนึ่งปราดเข้ามาตะคอกบ่าวใหม่ เทพหมิงเทียนจึงโบกมือไล่ “ไปๆ”
เทพบริวารจึงรีบรับคำ “พะย่ะค่ะๆ”
จากนั้นเขาก็รีบลากบ่าวใหม่ออกไปทันที จิงจ้านแอบโล่งอก ขณะเดียวกันเทพบริวารก็ด่า “เจ้านี่นะ เที่ยวเดินเพ่นพ่านไปเช่นนี้ไม่ได้นะ ทีหลังอย่าได้ทำเช่นนี้อีก ไม่เช่นนั้นข้าจะไล่เจ้าออกไปเสีย ท่านเทพยิ่งไม่ชอบให้ใครเดินเพ่นพ่านเสียด้วย”
“อ่า ขออภัยขอรับ ขออภัยขอรับ ข้าหลงทางขอรับ” จิงจ้านแก้ตัว เทพบริวารไล่ “ไปๆ รีบไปทำงานของเจ้าเสีย”
จิงจ้านจึงรีบเดินไปทันที เมื่อเดินลับตาไปแล้วเขาก็รีบหลบออกจากตำหนักเทพดวงชะตาไปทันที แล้วรีบไปพบเจ้านาย นำม้วนบันทึกมอบให้เจ้านาย “องค์…เอ่อ นายท่านขอรับ”
เขาส่งม้วนบันทึกให้ หยางเจียงหยุนรับมาเปิดอ่าน เขาอ่านจบแล้วก็เงยหน้ามองจิงจ้าน “นี่มันหมายความว่าอย่างไร?”
“อ่า ข้าพบบันทึกนี้ม้วนเดียวขอรับที่มีบันทึกตรงกับเจ้าเด็กเฉินมู่อิ๋งที่ท่านให้ตามหาขอรับ” จิงจ้านตอบ
Chapter 5
เข้าเฝ้าตี้จวิน
จิงจ้านอธิบายว่า “ข้าค้นบันทึกของเมืองซินหยางทั้งหมดแล้ว มีแค่ม้วนนี้ม้วนเดียวที่ตรงกับเจ้าเด็กเฉินมู่อิ๋งคนนั้น ข้าเดาว่าหลังจากเด็กคนนี้ตายไปแล้ว เฉินจงกุ้ยคนนั้นคงนำเด็กทารกคนใหม่มาเลี้ยงดูแทนเพื่อหลอกฮูหยินของเขาว่าลูกยังไม่ตายกระมัง”
“หากเป็นเช่นที่เจ้าว่าจริงๆ เช่นนั้นการจะหาตัวเจ้าเด็กเฉินมู่อิ๋งคนนั้นก็ยากยิ่งนัก พวกเราไม่รู้ชื่อแซ่แท้จริงของมัน ซ้ำไม่รู้ด้วยว่าใครเป็นบิดามารดาของมัน มันใช้ชีวิตในฐานะตัวปลอมมาตลอดทั้งชีวิต ฮึ่ม!” หยางเจียงหยุนคำรามอย่างขัดใจ กลิ่นอายกดดันแผ่ออกไป ทำให้จิงจ้านสั่นสะท้านเฮือกๆ หยางเจียงหยุนครุ่นคิดอยู่สักพักจึงเอ่ยออกมา “เช่นนั้นเรื่องตามหาเจ้าเด็กมนุษย์นี่ก็พักไว้ก่อน เจ้าจงไปตามหาเจ้าเด็กเซียนคนนั้นให้เจอ มันเป็นเทพแล้วย่อมอยู่ในแดนเทพแห่งนี้แน่นอน”
“อ่า…ขอรับ” จิงจ้านรับคำแล้วถอยออกไป เขาคิดๆ จะตามหาอย่างไร ได้ยินว่าเทพใหม่ที่บรรลุขึ้นมาจะผ่านประตูสวรรค์ แล้วก็เข้าร่วมกับกองกำลังของแดนเทพแดนใดแดนหนึ่ง เช่นนั้นเขาก็ควรไปสืบข่าวที่ประตูสวรรค์เพื่อหาว่ามันเข้าร่วมกับแดนเทพแดนใด จากนั้นกรอบในการหาตัวมันก็จะแคบลง เขาคิดแล้วก็รีบไปทันที
หยางเจียงหยุนคิดถึงเจ้าเด็กมนุษย์หน้าตาหล่อเหลานั่น หัวใจพลันเต้นตึกๆ ทั้งคิดถึง ทั้งอาวรณ์ ทั้งรักใคร่ ทั้งชิงชัง ทั้งแค้นเคือง จูบนั้นบนหลังม้าก่อนที่จะตกตาย เขายังจำสีหน้าของมันได้ดี มันเบิกตาโตตกใจที่ถูกร่างแยกของเขาจูบ รสจูบนั้นยังตราตรึงอยู่ในหัวใจมิลืมเลือน
ใช่ ยากจะลืมเลือนจริงๆ มันพุ่งมาขวางกระบี่เอาไว้อย่างไม่คิดชีวิต เขาก็คิดไม่ถึงว่ามันจะทำเช่นนั้น ยอมสละชีวิตของมันปกป้องเขา เขาตกตายไปพร้อมกับภาพดวงตาเบิกโตราวกับนกฮูกตกใจของมัน ดวงตาที่งดงามสุกสกาวราวดวงจันทร์ ดวงตาคู่นั้นยากจะลืมเลือน แต่แล้วเขาก็พบเจอดวงตาที่เหมือนกันกับดวงตาคู่นั้นอีกครา เพียงแต่ว่าเจ้าเซียนคนนั้นนอกจากดวงตาที่งดงามคู่นั้นแล้ว หน้าตามันสามัญยิ่งหาความหล่อเหลาไม่เจอเอาเสียเลย เขาก็ไม่คิดว่าจะรักใคร่มันถึงขนาดนั้น ถึงขนาดเอาตัวเข้าปกป้องมันจนตกตาย ซ้ำยังหลอมรวมกับจิตบรรพกาลเพราะอยากมีพลังที่แข็งแกร่งเพียงเพื่อปกป้องมัน “หึ! เฉินมู่อิ๋ง เฉินมู่อิ๋ง ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ที่ไหนข้าก็จะตามหาเจ้าให้เจอ บดขยี้วิญญาณเจ้าให้ดับสลายไปตลอดกาล!”
เฉินมู่อิ๋งที่กำลังอ่านตำราอยู่จู่ๆ ก็จามออกมา 2 ที “ฮัดชิ้ว! ฮัดชิ้ว!”
เขายกมือขึ้นขยี้จมูกแล้วอ่านตำราต่อ หลังจากอ่านตำราจบแล้วเขาก็ลุกขึ้นบิดขี้เกียจ เดินกลับเรือนตัวเองไป เขาขลุกอยู่ในหอตำรามาเสียนาน จนอ่านตำราสมุนไพรจบหมดสิ้น จดจำสมุนไพรนับล้านๆ ชนิดเอาไว้ในหัว หยกปราณสวรรค์ที่อาจารย์เฟยเทียนให้มาก็เหลืออยู่เล็กน้อยแล้ว เห็นทีเขาต้องหาวิธีทำให้มี ‘เงินทอง’ เสียแล้ว ต้องหลอมโอสถขาย!
แต่ตอนที่อ่านตำราหลอมโอสถ เขาพบว่ามีแต่วิธีหลอมที่ใช้หม้อหลอมทั้งสิ้น วิธีการที่ไม่ใช้หม้อหลอมนั้นไม่มีตำราเล่มไหนเขียนไว้เลย เท่าที่ถามศิษย์พี่คนอื่น ทุกคนล้วนบอกว่าวิธีการหลอมโดยไม่ใช้หม้อ มีเพียงผู้อาวุโสสิบหกจนถึงยี่สิบสามเท่านั้นที่ทำได้ เท่าที่ฟังๆ มาผู้อาวุโสสิบหกกับผู้อาวุโสสิบเจ็ดเป็นบิดามารดาของผู้อาวุโสสิบแปด ส่วนผู้อาวุโสสิบเก้าจนถึงยี่สิบสามก็เป็นพวกพ้องเดียวกันกับผู้อาวุโสสิบแปด เช่นนั้นเขาควรจะกราบใครเป็นอาจารย์ดีล่ะ?
เขาคิดๆ ขณะแช่น้ำร้อนอยู่ในอ่าง คิดไปคิดมาลองไปดูท่าทีของผู้อาวุโสสิบแปดดูก่อนดีกว่า หากว่าผู้อาวุโสสิบแปดจริงใจที่จะสอนเขาจริงๆ เขาก็จะกราบผู้อาวุโสสิบแปดเป็นอาจารย์ก็ได้
หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้ว เขาจึงออกจากเรือนไปกินข้าวที่โรงครัวซึ่งมีอาหารให้ศิษย์ในสำนักกินตลอดเวลา เพียงแต่ว่าอาหารของโรงครัวนี้รสชาติไม่ได้ล้ำเลิศอะไร เขาจำใจกินอาหารที่นี่ก็เพราะว่าไม่ต้องจ่ายหยกอย่างไรล่ะ หยกปราณสวรรค์ของเขาเหลือน้อยเต็มที ไม่อาจใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายได้อีก เฮ้อ…
เมื่อกินอิ่มแล้วเขาก็ยกจานไปเก็บ จากนั้นก็เดินไปทางเรือนของผู้อาวุโสสิบแปด เขาสอบถามกับศิษย์พี่มาแล้วว่าเรือนของผู้อาวุโสสิบแปดอยู่ที่ไหน เพียงแต่พวกศิษย์พี่บอกว่าส่วนใหญ่แล้วผู้อาวุโสสิบแปดมักจะไม่ค่อยอยู่ในสำนัก นานๆ ทีเขาถึงจะมาที่สำนักเสียหนหนึ่ง
เขาจึงได้แต่ลองไปเสี่ยงดวงดูเท่านั้น หากโชคดีก็ได้พบ หากว่าโชคไม่ดีไม่ได้เจอ คงต้องคิดๆ ว่าจะกราบอาจารย์ท่านอื่นฝากตัวเป็นศิษย์ไปก่อนกระมัง เขาเดินเรื่อยไปจนกระทั่งถึงเรือนของผู้อาวุโสสิบแปด เขาเห็นผนึกอาคมล้อมรอบเรือนหลังนั้น เขาไม่ได้เดินเข้าไป ทำเพียงยืนมองอยู่นอกผนึกอาคม ขณะที่กำลังยืนมองอยู่นั้น บุรุษคนหนึ่งรูปร่างสูงใหญ่เดินมามองเขา เขามองบุรุษคนนั้น
“เจ้าคือคนที่ผู้อาวุโสสิบแปดคิดจะรับเป็นศิษย์กระมัง?” บุรุษรูปร่างสูงใหญ่ถาม เฉินมู่อิ๋งมองบุรุษคนนั้นแล้วถามว่า “ท่านเป็นใคร?”
“อ่อ ข้าถางห้าวหมิง(唐浩铭)” ถางห้าวหมิงบอกชื่อแซ่แล้วพูดต่อว่า “ผู้อาวุโสสิบแปดให้ข้ามารอเจ้าอยู่นานแล้ว หากว่าเจ้ามาหาก็ให้พาเจ้าไปพบ”
“ไปพบที่ไหน? แล้วข้าจะเชื่อท่านได้อย่างไร?” เฉินมู่อิ๋งบอกอย่างไม่ไว้ใจ ถางห้าวหมิงจึงบอกว่า “เจ้าตามข้าไปตำหนักไป๋หยุนเถอะ ไปถึงที่นั่นก็เจอผู้อาวุโสสิบแปดเองนั่นแหละ”
“ตำหนักไป๋หยุน? ตำหนักของตี้จวินน่ะหรือ!?” เฉินมู่อิ๋งเบิกตาโต “หรือว่าผู้อาวุโสสิบแปดเป็นหมออยู่ที่นั่น?”
“อืม” ถางห้าวหมิงพยักหน้า เฉินมู่อิ๋งมองแววตาของคนตรงหน้าที่ไม่มีแววหลุกหลิกแม้แต่น้อย อีกทั้งไปตำหนักไป๋หยุน นี่เป็นโอกาสที่คนอื่นอยากมีวาสนาก็ยากจะมีได้ ตำหนักไป๋หยุนเป็นสถานที่เช่นไร คนส่วนมากล้วนอยากไปสักครั้งกลับไม่มีวาสนา ในเมื่อวาสนามาอยู่ตรงหน้าแล้ว เขาก็อยากไปชมตำหนักไป๋หยุนสักครา ฮี่ๆๆๆ…
“เช่นนั้นเชิญท่านนำทาง” เขาบอกกับถางห้าวหมิงคนนั้น ถางห้าวหมิงพยักหน้า “อืม”
เขาบอกแล้วเอาหยกเคลื่อนย้ายออกมาชิ้นหนึ่ง จากนั้นก็ดึงแขนเสื้อเฉินมู่อิ๋ง “เจ้าเข้ามาใกล้ๆ ซิ”
เฉินมู่อิ๋งจึงขยับไปใกล้ถางห้าวหมิงก้าวหนึ่ง ถางห้าวหมิงบอก “ใกล้อีก”
เฉินมู่อิ๋งจึงขยับไปอีกก้าว ถางห้าวหมิงจึงบีบหยกเคลื่อนย้ายให้แตกออก ใต้เท้าพลันปรากฏวงอาคมเคลื่อนย้ายขึ้นมา แสงส่องขึ้นมาจากวงอาคม แล้วถางห้าวหมิงก็หายไป เหลือเพียงเฉินมู่อิ๋งที่ยังคงยืนอยู่ตรงนั้นจนกระทั่งแสงของอาคมเคลื่อนย้ายจางหายไป เขามองไปไม่เห็นถางห้าวหมิงคนนั้นแล้ว ส่วนตัวเองยังคงยืนอยู่ที่เดิม เขาทำหน้าฉงน “หือ?”
ณ ตำหนักไป๋หยุน ถางห้าวหมิงปรากฏตัวขึ้นกลางอาคมเคลื่อนย้าย เขามองไปไม่เห็นเด็กหนุ่มคนนั้นก็เลิกคิ้วขึ้นอย่างประหลาดใจ “หือ?”
“คนล่ะ?” เขามองๆ อย่างงุนงง ทำไมถึงมีแต่เขาที่มาล่ะ แล้วเจ้าเด็กนั่นล่ะ? ไม่ใช่ว่าตกหล่นกลางทางหรอกนะ! หากเป็นเช่นนั้นก็แย่ล่ะ!
เขาคิดแล้วสีหน้าก็ตื่นตกใจ ตกหล่นอยู่กลางทาง คือตกหล่นอยู่ในห้วงมิติ นั่นไม่ใช่เรื่องดีเลย! เขาจึงรีบวิ่งไปรายงานเจ้านายทันที จนกระทั่งเจอตี้โฮ่วนั่งอยู่ที่ศาลากับตี้จวินและองค์รัชทายาท เขาจึงค่อยๆ ก้าวไปหาสีหน้าไม่สู้ดี ตี้โฮ่วเห็นถางห้าวหมิงค่อยๆ เข้ามาหาอย่างเกรงๆ กลัวๆ จึงถาม “มีอะไรรึ? คนล่ะ?”
“อ่า…เกรงว่าคงจะตกหล่นกลางทางตอนใช้อาคมขอรับ” ถางห้าวหมิงบอก ตี้โฮ่วผุดลุกขึ้นมาทันที เธอรีบเดินไปหาถางห้าวหมิง “ตกหล่นได้อย่างไร?”
“ไม่ทราบขอรับ ข้าออกมาแต่ไม่เห็นเขา จึงคาดว่าน่าจะตกหล่นกลางทางขอรับ” ถางห้าวหมิงบอก ตี้โฮ่วสั่ง “ไป”
ถางห้าวหมิงจึงรีบเดินนำไปยังจุดที่เขาปรากฏตัวออกมาทันที ตี้โฮ่วเดินตามไปอย่างร้อนใจ ตี้จวินมองฮูหยินแล้วหันไปพูดกับลูกชายว่า “เอ้า อ่านต่อซิ”
“ขอรับ” องค์รัชทายาทหานปิงเซียน(韩兵仙) จึงอ่านตำราให้ท่านพ่อฟังต่อ
เมื่อไปถึงจุดที่อาคมเคลื่อนย้ายปรากฎ ถางห้าวหมิงก็รีบบอก “ตรงนี้ขอรับ”
ตี้โฮ่วก็ตรวจร่องรอยของอาคมเคลื่อนย้ายทันที เธอย้อนรอยอาคมกลับไป ถางห้าวหมิงมองตี้โฮ่วที่หายไปท่ามกลางแสงอาคมเคลื่อนย้าย เขาหวังว่าเจ้าเด็กคนนั้นคงจะไม่เป็นอะไรนะ
ระหว่างเส้นทางในห้วงมิติ ตี้โฮ่วก็มองตามช่องว่างระหว่างมิติไปด้วย เผื่อว่าเด็กคนนั้นจะตกหล่นอยู่ตรงไหน เธอใช้พลังจิตแผ่ออกไปตรวจหาคน จนกระทั่งปรากฏตัวขึ้น ณ จุดเริ่มต้นของอาคมเคลื่อนย้าย ก็พบเด็กคนนั้นยืนอยู่
“หือ?” เฉินมู่อิ๋งมองสตรีนางหนึ่งที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นมา ตี้โฮ่วมองเด็กคนนั้นแล้วโล่งใจ “ที่แท้ก็อยู่นี่เอง”
เฉินมู่อิ๋งมองสตรีนางนั้นที่งดงามยิ่งนัก ขนาดเขาเป็นสตรีเขายังอดหลงใหลไม่ได้ ช่างงามจริงๆ “ท่านคือ?”
“ผู้อาวุโสสิบแปด” ตี้โฮ่วใช้น้ำเสียงของผู้อาวุโสสิบแปดตอบออกไป แล้วอธิบายด้วยน้ำเสียงแท้จริงว่า “จริงๆ แล้วข้าก็เป็นสตรี เรื่องนี้เจ้ารู้แล้วก็ปิดเป็นความลับด้วย”
“อ่า…” เฉินมู่อิ๋งตกตะลึงจนอึ้งงันไป น้ำเสียงเมื่อครู่ฟังอย่างไรก็เป็นเสียงบุรุษ ประโยคต่อมาก็กลายเป็นเสียงสตรีที่หวานไพเราะยิ่ง แน่นอนว่าสตรีนางนี้มีความสามารถในการเลียนเสียง ก็เหมือนเช่นเดียวกันกับเขาที่สามารถเลียนเสียงบุรุษได้หลากหลายแบบ และเลียนเสียงสตรีได้แตกต่างกันมากมาย
“เอาล่ะ อย่ามัวแต่ตะลึงอยู่เลย ไปคุยกันที่ตำหนักไป๋หยุนดีกว่า” ตี้โฮ่วบอกแล้วก็จับมือเฉินมู่อิ๋งเอาไว้พลางใช้อาคมเคลื่อนย้าย แต่เมื่ออาคมเริ่มทำงานกลับเป็นเธอคนเดียวที่เข้ามาในห้วงมิติ ทำให้เธอประหลาดใจ “หือ?”
เธอจึงย้อนกลับไปใหม่ ปรากฏตัวขึ้นกลางวงอาคมที่เพิ่งจะสิ้นแสงไป เห็นเฉินมู่อิ๋งยังคงยืนอยู่ที่เดิม เธอจึงเอาหยกอาคมเคลื่อนย้ายยื่นให้ “เอ้า เจ้าบีบหยกอาคมเคลื่อนย้ายนี้ซิ”
เฉินมู่อิ๋งรับหยกชิ้นนั้นมา แล้วบีบหยกให้แตกออก หยกอาคมแตกออกแล้วปรากฏวงอาคมขึ้นใต้ฝ่าเท้าของเขา แสงอาคมส่องขึ้นมาโอบล้อมตัวเขาเอาไว้ เมื่อแสงหายไป เขาก็ยังคงยืนอยู่ที่เดิม ตี้โฮ่วมองแล้วครุ่นคิด “เพราะอะไรจึงเป็นแบบนี้นะ?”
เธอยื่นมือไปจับชีพจรหมับ เฉินมู่อิ๋งไม่ได้สะบัดมือออกเพราะเห็นว่าเป็นสตรีเหมือนกัน แต่หากเป็นบุรุษล่ะก็เขาคงสะบัดมือออกทันที ตี้โฮ่วส่งพลังจิตเข้าไปตรวจ เฉินมู่อิ๋งก็ใช้มือทารกเล็กๆ คู่นั้นต้านเอาไว้โดยไม่รู้ตัว ตี้โฮ่วจึงบอกว่า “เจ้าอย่าใช้พลังจิตต้าน ข้าแค่จะตรวจดูสักหน่อยเท่านั้น ไม่เช่นนั้นจิตเจ้าอาจจะบาดเจ็บได้”
เฉินมู่อิ๋งจึงไม่ต่อต้าน มือทารกเล็กๆ คู่นั้นก็หายไป ตี้โฮ่วใช้พลังจิตตรวจอยู่ครู่หนึ่งก็เจอสาเหตุ “ที่แท้เป็นเพราะเลือดมังกรในร่างเจ้านี่เอง เจ้าได้ของดีมานี่นา”
เธอดึงพลังจิตกลับแล้ววาดอาคมเคลื่อนย้ายใหม่ จากนั้นก็จับข้อมือเฉินมู่อิ๋งเอาไว้ แสงจากวงอาคมสว่างขึ้นโอบล้อมรอบตัวเขาและตัวตี้โฮ่ว ทั้งสองเคลื่อนย้ายผ่านช่องมิติเวิ้งว้างไปด้วยกัน เฉินมู่อิ๋งเห็นอากาศรอบๆ ตัวหมุนวนราวกับกระแสน้ำวนจึงมองอย่างสนอกสนใจ จนกระทั่งอากาศรอบๆ ตัวหยุดหมุนแล้ว เขาจึงพบว่าตัวเองไม่ได้อยู่ที่เดิม ทิวทัศน์รอบด้านเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เมื่อมองไปก็เห็นถางห้าวหมิงยืนอยู่ไม่ไกลนัก ตี้โฮ่วมองถางห้าวหมิงแล้วสั่งว่า “ไม่มีอะไรแล้ว เจ้าไปเถอะ”
“ขอรับ” ถางห้าวหมิงรับคำแล้วเดินจากไปทันที ตี้โฮ่วจูงมือเฉินมู่อิ๋ง “ตามมาซิ”
“ไปไหน?” เฉินมู่อิ๋งถาม ตี้โฮ่วตอบ “ไปเข้าเฝ้าตี้จวินก่อน”
“เข้าเฝ้าตี้จวิน!?” เฉินมู่อิ๋งเบิกตาโต ตี้โฮ่วจูงเฉินมู่อิ๋งเดินไปทางศาลาที่สามีกับลูกนั่งกันอยู่ เฉินมู่อิ๋งเดินตามไปอย่างอึ้งๆ งงๆ ปนตื่นเต้น ตี้จวินที่ใครๆ ก็อยากมีโอกาสสักครั้งได้เจอ แต่ก็ยากเย็นยิ่งกว่าปีนสวรรค์เสียอีก บัดนี้เขากำลังจะได้เข้าเฝ้าตี้จวิน!
นี่ต้องเรียกว่าเป็นวาสนาแบบไหนกันนะ!
เมื่อไปถึงศาลา 8 เหลี่ยมหลังหนึ่ง เขาก็เห็นบุรุษคนหนึ่งหน้าตาหล่อเหลายิ่งนักนั่งอยู่กับเด็กชายคนหนึ่งที่หน้าตาหล่อเหลามาก ดูเด็กชายคนนั้นก็รู้ว่าเป็นลูกของบุรุษคนนั้น แต่เค้าหน้า 6 ส่วนกลับละม้ายคล้ายคลึงกับสตรีข้างๆ เขา
“คารวะตี้จวินซิ” ตี้โฮ่วบอก เฉินมู่อิ๋งตั้งสติ กุมมือคารวะตี้จวินอย่างตื่นเต้น “ตี้จวิน ถวาย…”
“ไม่ต้องพูดให้มันยืดยาว” ตี้จวินเอ่ยออกมา แล้วมองฮูหยินพลางถามว่า “เด็กคนนี้น่ะหรือที่เจ้าบอกว่าจะรับเป็นศิษย์?”
“ใช่ ต้นกล้าที่ดีใช่ไหมล่ะ” ตี้โฮ่วยิ้มจนตาหยี ตี้จวินมองแล้วพยักหน้า “อืม”
“งั้นข้าพานางไปคุยกันก่อนนะ” ตี้โฮ่วบอกแล้วจูงมือเฉินมู่อิ๋งเดินจากไป ตี้จวินร้องบอก “เซียนเซียน อย่าคุยเพลินจนลืมมากินข้าวล่ะ”
“อืมๆ ไม่ลืมๆ” ตี้โฮ่วหันหน้าไปบอกแล้วเดินไป เฉินมู่อิ๋งที่สงสัยอยู่ในใจตะหงิดๆ ตั้งแต่เมื่อกี้จึงถาม “เขาเป็นสามีของท่านหรือ?”
“อื้ม” ตี้โฮ่วพยักหน้ารับ เฉินมู่อิ๋งเบิกตาโต “ท่านคือตี้โฮ่ว!”
“อื้ม” ตี้โฮ่วพยักหน้ารับอีก เฉินมู่อิ๋งตกตะลึงเสียจนสมองคล้ายถูกแช่แข็งไปแล้ว จู่ๆ ก็ได้เข้าเฝ้าตี้จวินกับตี้โฮ่วแล้วก็องค์รัชทายาทแห่งตำหนักไป๋หยุน! นี่มันช่างเหนือความคาดหมายจริงๆ!!!
ตี้โฮ่วพาเฉินมู่อิ๋งไปที่ตำหนักหลังหนึ่ง เธอปล่อยมือเฉินมู่อิ๋งแล้วบอกว่า “เลือดมังกรนั่นถ้าเจ้าหลอมรวมได้จะดีมาก เอาล่ะเจ้าลองหลอมรวมดูซิ”
เฉินมู่อิ๋งที่ยังคงตกตะลึงอยู่สติสตังยังไม่กลับคืนมา นั่งลงอย่างมึนงง ตี้โฮ่วบอกอย่างปรานีว่า “นั่งขัดสมาธิซิ”
เฉินมู่อิ๋งทำตาม เขายังคงมึนงงไม่หาย ตี้โฮ่วยื่นมือไปวางอยู่บนศีรษะของเฉินมู่อิ๋ง เฉินมู่อิ๋งรู้สึกว่ามีพลังที่เหมือนกับมือทารกของเขาแล่นเข้ามาในร่าง
“หายใจเข้า หายใจออก” ตี้โฮ่วบอก เฉินมู่อิ๋งก็ทำตามเขารู้สึกว่าพลังในร่างของเขาถูกเหนี่ยวนำให้หมุนวนรอบๆ เลือดมังกรหยดนั้น
“อย่าฝืน ปล่อยตัวปล่อยจิตตามการชักนำของข้า” ตี้โฮ่วบอก เฉินมู่อิ๋งทำตามอย่างเชื่อฟัง แน่นอนว่าได้ผู้มีพลังแข็งแกร่งระดับตี้โฮ่วชี้แนะย่อมเป็นโอกาสที่หาไม่ได้อีกแล้ว เขาเห็นเลือดมังกรหยดนั้นค่อยๆ ละลายรวมกับพลังของเขาทีละนิด…ทีละนิด
เวลาผ่านไปราวๆ 3 ชั่วโมง เลือดมังกรหยดนั้นก็ละลายหลอมรวมกับร่างของเฉินมู่อิ๋งจนหมดสิ้น ตี้โฮ่วก็ดึงมือกลับ เฉินมู่อิ๋งรู้สึกว่าร่างกายเปลี่ยนแปลงไปมากทีเดียวคล้ายกับว่าแข็งแกร่งขึ้นมากกว่าเมื่อก่อน เขาจึงกุมมือคารวะ “ขอบพระทัยตี้โฮ่วพะย่ะค่ะ”
“เรียกข้าว่าพี่ใหญ่เถอะ” ตี้โฮ่วบอก เฉินมู่อิ๋งเรียกตาม “พี่ใหญ่”
“ดีๆ” ตี้โฮ่วพยักหน้า “ไหนเจ้าแกะหน้ากากออกให้ข้าดูหน้าจริงๆ หน่อยซิ”
เฉินมู่อิ๋งจึงแกะหน้ากากออกอย่างไม่ลังเลเลย ใบหน้าแท้จริงเผยโฉมออกมา ตี้โฮ่วมองแล้วเอ่ยว่า “มิน่า เจ้าถึงต้องปลอมตัว สวยมากจริงๆ ว่าแต่วิชานี้เจ้าเรียนมาจากใครรึ?”
“เอ่อ อาจารย์เฟยขอรับ นี่เรียกว่าวิชาร้อยหน้าขอรับ” เฉินมู่อิ๋งบอก ตี้โฮ่วพยักหน้า “อ่อ งั้นรึ ข้าก็หลงคิดว่าเจ้าอาจจะมาจากโลกเดียวกันกับข้าเสียอีก”
เธอยื่นมือไปจับหน้ากากผืนนั้นที่คล้ายกับหน้ากากที่เธอทำมาก เพียงแต่ว่าวัสดุที่ใช้ทำหน้ากากนี้ยังไม่นุ่มเท่ากับของเธอ แต่โดยรวมแล้วฝีมือการทำก็จัดว่าเข้าขั้นมืออาชีพทีเดียว เธอมองเฉินมู่อิ๋งแล้วบอกว่า “ตอนอยู่ที่นี่เจ้าไม่ต้องปลอมตัวก็ได้ คนที่นี่ล้วนไว้ใจได้”
“เอ่อ…ขอรับ” เฉินมู่อิ๋งรับคำ ตี้โฮ่วจึงบอกอีกว่า “มายาลวงตาก็ไม่ต้องใช้หรอก ถึงอย่างไรก็ปิดบังหลายๆ คนที่นี่ไม่ได้หรอก”
เธอพูดแล้วก็ยื่นหน้ากากคืนให้ เฉินมู่อิ๋งรับมาถือเอาไว้ แล้วบอกว่า “เอ่อ…คือข้าชินแบบนี้แล้วน่ะขอรับ”
ใช่ เขาชินกับการปลอมตัวเป็นบุรุษมาตลอด ตี้โฮ่วก็ไม่พูดอะไรมาก “งั้นก็ตามใจเจ้าล่ะกัน”
“เอ่อ…พี่ใหญ่” เฉินมู่อิ๋งเรียกแล้วถามว่า “เหตุใดท่านจึงปกปิดฐานะเอาไว้ล่ะขอรับ?”
“ง่ายๆ เลยนะ เจ้าลองคิดดูหากคนอื่นรู้ว่าตี้โฮ่วหลอมโอสถระดับสวรรค์ได้ คนส่วนใหญ่คงจะพุ่งมาหาข้าไม่หยุดไม่หย่อนนะซิ มาขอให้ข้าหลอมโอสถให้ ถึงจะเก็บตามราคาของสำนักโอสถก็จริง แต่คงมีคนอีกมากที่เดียวที่อยากเอาไปคุยอวดชาวบ้านว่าเขามีโอสถที่ตี้โฮ่วหลอม เรื่องนี้แค่คิดก็น่าจะมีคนเกินครึ่งแดนเทพแล้วกระมังที่อยากได้โอสถที่ข้าหลอมออกมาน่ะ เรื่องอะไรข้าต้องทำเรื่องที่เหนื่อยตายพรรค์นั้นด้วยล่ะ” ตี้โฮ่วบอก เฉินมู่อิ่งคิดๆ ตามแล้วเห็นภาพขึ้นมาเลย ก็จริงอย่างที่นางพูดนั่นแหละ
“เอาล่ะ นี่ก็ใกล้จะได้เวลากินข้าวแล้ว เจ้าก็ไปกินข้าวด้วยกันกับข้าเถอะ จะได้รู้จักคนอื่นๆ ด้วย” ตี้โฮ่วบอก เฉินมู่อิ๋งพยักหน้ารับ “ขอรับ”
ตี้โฮ่วเดินนำออกไป เฉินมู่อิ๋งรีบลุกตามไป เขาเก็บหน้ากากใส่แหวนคุนเฉียนเอาไว้
ตี้โฮ่วเดินนำไปที่ห้องกินข้าว ซึ่งอยู่ข้างห้องครัว แน่นอนว่าห้องครัวของที่นี่ย่อมใหญ่โตสมกับที่อยู่กันหลายคน ห้องกินข้าวก็ใหญ่โตไม่แพ้กัน โต๊ะสี่เหลี่ยมผืนผ้าตัวใหญ่ยาวตั้งอยู่กลางห้อง มีเก้าอี้วางเรียงสองข้างด้านละ 20 ตัว รวมหัวโต๊ะกับท้ายโต๊ะก็เป็น 42 ตัว บนโต๊ะมีอาหารมากมายวางเรียงตั้งแต่หัวโต๊ะยันท้ายโต๊ะ มีคนหลายคนกำลังเดินขวักไขว่ไปมา พวกเขาหันไปมองตี้โฮ่วแวบหนึ่งแล้วก็มองเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่เดินอยู่ข้างหลังตี้โฮ่วอย่างสนอกสนใจ
“ทุกคน นี่คือศิษย์ของข้า” ตี้โฮ่วบอก องค์รัชทายาทหลงจิ่งเทียนมองใบหน้าที่หล่อเหลาออกไปทางหวาดหยดอย่างตะลึงงัน ถึงใบหน้าจะไม่เหมือนกับที่เห็นในวันนั้นแต่กลิ่นอายเช่นนี้ไม่ผิดแน่ เป็นเด็กสาวคนนั้นที่เขาเจอในวันนั้นนั่นเอง
เฉินมู่อิ๋งมองทุกคนที่อยู่ที่นั่นอย่างละลานตา แต่ละคนล้วนงดงามและหล่อเหลามาก ขนาดคนที่หล่อน้อยที่สุดก็ยังหล่อกว่าคนทั่วไปมากนัก ทำให้เขาอดสงสัยไม่ได้ว่าตำหนักไป๋หยุนเป็นที่รวมของคนงามงั้นหรือ!?
“อะแฮ่มๆ” องค์รัชทายาทเสี่ยวเฟิ่งตบๆ ไหล่สหายรักทีหนึ่ง ที่ดูเหมือนสหายของเขาจะมัวแต่ตะลึงในความงามของเด็กหนุ่ม เอ้ย เด็กสาวคนนั้น หลงจิ่งเทียนตั้งสติ วางจานกับข้าวลงบนโต๊ะ
“นั่นหลงจิ่งเทียน เจ้าเคยเจอเขาแล้ว” ตี้โฮ่วแนะนำตัว “ส่วนนั่นเสี่ยวเฟิ่ง(晓凤) แล้วนั่นก็จินเย่(金叶) ส่วนนกนั่นคือจ้าวซีหง(赵西红) นางเป็นลูกของเฟิ่งรั่วเฟย(凤若飞) กับอาจารย์จ้าวมู่(赵牧) ส่วนนี่ท่านพ่อกับท่านแม่ของข้า นั่นท่านย่าข้า นั่นอาจารย์เฉินรุ่ยฟาง(陈瑞芳) นั่นจางจงเหนียน(张宗年) ถางห้าวหมิง(唐浩铭) ถางเส้าเจ๋อ(唐少泽) ถางเชาหราน(唐超然) ถางลี่เฟิง(唐立锋) ส่วนคนนั้นคืออาจารย์เหลียงถิงเวย(梁庭威) เป็นสามีของจินเย่ ส่วนนั่นหานหมิงห้าว(韩明昊) หานห้าวเฟิง(韩昊锋) หานเสียนห้าว(韩贤浩) หานห้าวตง(韩浩冬) หานรั่วเฟย(韩若飞) แล้วนั่นเหอเทียนเหิง(何天恒) สามีของอาจารย์เฉิน”
เฉินมู่อิ๋งกุมมือคารวะทุกคน พยายามจดจำชื่อแต่ละคนเอาไว้ แต่ก็จำได้บ้างไม่ได้บ้าง เพราะคนเยอะเกินไป
“นอกจากสามีกับลูกชายข้า คนอื่นๆ ที่เห็นพวกนั้นเป็นสาวใช้หุ่นเชิด พวกนางมีสติปัญญานิดหน่อยแต่ก็ไม่มากนัก ทำตามคำสั่งเพียงอย่างเดียว” ตี้โฮ่วชี้นิ้วไปทางสาวใช้ทั้งหลาย
“ท่านแม่” เสียงเรียกดังขึ้น ตี้โฮ่วหันไปมองเห็นลูกชายเดินมากับสามี องค์รัชทายาทหานปิงเซียนรีบพุ่งไปกอดท่านแม่ทันที
Chapter 6
หือ? เผ่าวิญญาณ?
“ปิงเซียนอ่านตำราพันอักษรได้ถูกต้องทุกตัวแล้วนะขอรับ” องค์รัชทายาทหานปิงเซียนอวดอย่างภูมิใจ
“ดีๆ” ตี้โฮ่วพยักหน้ายิ้มให้ลูกชายพลางกอดเขาแน่นๆ สองสามที ภาพนั้นทำให้เฉินมู่อิ๋งคิดถึงท่านแม่ขึ้นมาจับใจจนน้ำตาซึม ตี้โฮ่วมองไปเห็นพอดีจึงถาม “เป็นอะไรรึ?”
“ข้าคิดถึงท่านแม่ข้าน่ะ” เฉินมู่อิ๋งบอกพลางรีบซับๆ น้ำตาในดวงตา หลินจือหยี(林姿妤) จึงเดินเข้าไปปลอบ เธอตบๆ ไหล่เด็กสาวในคราบเด็กหนุ่มพลางยิ้มให้อย่างอ่อนโยน เฉินมู่อิ๋งรู้สึกถึงความอบอุ่นที่แผ่มาจากสตรีคนนั้น เขายิ้มให้นางอย่างรู้สึกดี
“กินข้าวเถอะ” ตี้จวินบอก เขาเดินไปนั่งที่หัวโต๊ะ ตี้โฮ่วจึงจูงลูกชายไปนั่งขนาบซ้ายขวา คนอื่นๆ ก็นั่งประจำที่ใครที่มัน อวิ๋นอวี้(韵欲) ย่าของตี้โฮ่วก็ตวาดจางจงเหนียนอีกเช่นเคย “เจ้าไปนั่งห่างๆ ข้าเชียว”
จางจงเหนียนมองตาละห้อย อวิ๋นอวี้จับตะเกียบทำท่าจะทิ่มทั้งถลึงตาใส่ จางจงเหนียนจึงจำต้องถอยห่างจากนาง 1 เก้าอี้ ทำให้ที่นั่งข้างๆ อวิ๋นอวี้ว่างอยู่ คนอื่นๆ ก็ไม่สนท่าทางของอวิ๋นอวี้กับจางจงเหนียนคล้ายกับว่าเห็นเช่นนี้จนชินเสียแล้ว เฉินมู่อิ๋งยังคงยืนเฉยอยู่ตรงนั้น ตี้โฮ่วมองไปเห็นเฉินมู่อิ๋งยังยืนอยู่จึงชี้มือบอก “เจ้ามานั่งข้างท่านย่าก็ได้”
“มาๆ เจ้าหนูรูปหล่อ มานั่งข้างพี่สาวเร็ว” อวิ๋นอวี้กวักมือเรียก ยิ้มแย้มให้เด็กหนุ่มรูปหล่อ แน่นอนว่าเด็กๆ ย่อมน่ามองกว่าตาแก่อย่างจางจงเหนียนอยู่แล้ว
“มาซิ” ตี้โฮ่วบอกอีกที เฉินมู่อิ๋งจึงเดินไปนั่งข้างท่านย่าคนนั้น จางจงเหนียนถลึงตาใส่เด็กหนุ่ม แต่พอได้กลิ่นจากกายเด็กหนุ่มคนนั้นเขาก็เลิกถลึงตาใส่ ซ้ำยังยื่นจมูกไปดมใกล้ๆ ฟุดฟิดๆ
เฉินมู่อิ๋งเอนตัวออกห่างจางจงเหนียนจนเกือบติดอวิ๋นอวี้ อวิ๋นอวี้จึงยื่นมือไปผลักหน้าจางจงเหนียนออกไป “นี่ๆ เจ้าน่ะถอยไปให้ห่างๆ เชียว”
“สตรี เจ้าเป็นสตรี” จางจงเหนียนพูดออกมา เฉินมู่อิ๋งมองอย่างฉงนใจ ตั้งแต่มาแดนเทพก็เจอคน 3 คนแล้วที่มองออกว่าเขาเป็นสตรีไม่ใช่บุรุษ
“รู้ว่านางเป็นสตรีเจ้าก็ถอยไปห่างๆ หน่อยซิ เข้าใกล้นางเช่นนี้นางจะพาลกินข้าวไม่ลงก็เพราะเจ้านี่แหละ” อวิ๋นอวี้บอกน้ำเสียงแข็งกร้าว แล้วพูดกับเฉินมู่อิ๋งว่า “นี่ๆ นังหนูกินเยอะๆ นะ”
นางคีบกับให้เฉินมู่อิ๋ง เฉินมู่อิ๋งมองกับข้าวที่ถูกคีบมาใส่ชามข้าวตรงหน้าเสียจนพูนเป็นภูเขา ทำให้เขารีบพูดอย่างเกรงใจว่า “พอแล้วขอรับ ขอบคุณมากขอรับ”
“เด็กๆ นี่ช่างน่ารักเสียจริง เห็นแล้วกระชุ่มกระชวยดีจริงๆ ว่าแต่พวกเจ้าเมื่อไหร่จะมีหลานกันอีกล่ะ? รีบๆ มีซิ ข้าอยากอุ้มหลาน” อวิ๋นอวี้มองคนอื่นๆ ทำให้ทุกคนที่แต่งงานแล้วล้วนเขินๆ กันถ้วนหน้า หลินยี่จื่อ(林裕梓) จึงกระแอมไอ “อะแฮ่มๆ คุณแม่ก็พูดอะไรไม่รู้ อายเด็กๆ เขานะครับ”
“อายอะไรล่ะ แม่พูดเรื่องจริงนี่” อวิ๋นอวี้บอก จางจงเหนียนก็พูดแทรกว่า “จะอยากอุ้มหลานไปทำไม รออุ้มลูกของเรามิดีกว่าหรือ”
“เฮอะ น้ำหน้าอย่างเจ้าไม่ได้เห็นขาอ่อนข้าหรอก” อวิ๋นอวี้แค่นเสียงบอก จางจงเหนียนอยากจะพูดยิ่งนักว่า ‘ก็เคยเห็นแล้ว’
ใช่ เขาเห็นตอนนางใส่อาภรณ์รัดรูปชิ้นน้อยๆ(ชุดว่ายน้ำวันพีช) นั่นลงเล่นน้ำอย่างไรล่ะ แต่หากเขาพูดออกไปเช่นนั้นเกรงว่าแม่นางอวิ๋นคงเอาตะเกียบแทงตาเขาแน่แท้ นางงดงามเสียจนเขาหลงรักตั้งแต่แรกเจอ ดังนั้นเขาจึงได้ตามเกี้ยวนางมานานแสนนาน ไม่ว่านางจะด่าว่าอย่างไรเขาก็เมินเฉยไปเสีย ก็อย่างที่เคยได้ยินนังหนูตี้โฮ่วพูดนั่นแหละว่า ‘ตื้อเท่านั้นที่ครองโลก’
เขารักนางก็ต้องหมั่นเกี้ยวซิ ต้องมีสักวันแหละที่นางจะใจอ่อนยอมตกแต่งกับเขา ฮี่ๆๆๆ…
“ในเมื่อท่านย่าพูดเช่นนี้ พวกเราก็รีบกินข้าวเถอะ กินอิ่มแล้วจะได้รีบไปทำหลานให้ท่านย่า” ตี้จวินพูดหน้าตาเฉย คนอื่นๆ ตกตะลึงปากอ้าตาค้าง “อ่า…”
โดยเฉพาะ 5 หานลูกน้องของตี้จวินที่ทำหน้าไม่ถูกกันเลยทีเดียว
โห! ท่านช่างกล้าพูดออกมาได้ไม่อายปากบ้างเลยนะขอรับ
ตี้จวินขอรับ หน้าท่านช่างหนายิ่ง! ข้าน้อยขอคารวะ 3 ครั้ง
ฯลฯ พวกเขาล้วนคารวะในความหน้าหนาของเจ้านายอยู่ในใจ
“แค่กๆ” คนอื่นๆ แทบจะสำลักข้าวกันหมด อวิ๋นอวี้ยิ้มถูกใจ “แหมๆ หลานเขยพูดถูกใจย่านัก งั้นพวกเจ้าก็ให้ปิงเซียนอยู่กับย่านี่แหละ แล้วพวกเจ้าจะไปทำหลานก็ไปเถอะ”
“แค่กๆ” คนอื่นๆ สำลักอีกหน ตี้โฮ่วหน้าแดงๆ อย่างอดไม่อยู่ “คุณย่า”
“ตกลงว่าคืนนี้ให้ปิงเซียนนอนกับย่าล่ะกัน” อวิ๋นอวี้บอกพลางพูดกับหลานว่า “ปิงเซียนคืนนี้ไปนอนเรือนย่านะ”
“ขอรับท่านย่า” องค์รัชทายาทหานปิงเซียนรับคำแล้วกินข้าวต่อ คนอื่นๆ ก็กินข้าวกันต่อ เฉินมู่อิ๋งก็กินข้าวอย่างเงียบๆ คอยสังเกตคนนั้นคนนี้อย่างอยากรู้อยากเห็น
หลังจากกินข้าวอิ่มแล้ว คนก็แยกย้ายกันไป ตี้โฮ่วก็พาเฉินมู่อิ๋งไปคุยกันต่อ แน่นอนว่าเธอต้องอยากรู้ระดับความสามารถของศิษย์ตัวเองก่อนซิ จะได้รู้ว่าควรจะสอนอย่างไร ก็เป็นครั้งแรกเลยที่เห็นเด็กคนนี้แล้วถูกชะตาอย่างแรง ถูกชะตาซะจนต้องชวนมาเป็นศิษย์
เฉินมู่อิ๋งตามตี้โฮ่วไปที่ตำหนักหลังเดิม ตี้โฮ่วนั่งลงแล้วชี้ที่เก้าอี้ข้างๆ “นั่งซิ”
เฉินมู่อิ๋งเดินไปนั่ง ตี้โฮ่วก็บอกว่า “ข้าเรียกเจ้าว่ามู่อิ๋งละกัน”
“ขอรับ” เฉินมู่อิ๋งพยักหน้า ตี้โฮ่วก็ถามว่า “นอกจากความสามารถในการหลอมโอสถแล้วเจ้าทำอะไรเป็นอีก?”
“ก็หลอมอาวุธเซียนได้ขอรับ ส่วนเรื่องงานบ้านงานครัวไม่ค่อยถนัดขอรับ” เฉินมู่อิ๋งตอบ ตี้โฮ่วยิ้มถูกใจ “โอ หลอมอาวุธได้ด้วยรึ? หลอมแบบไหน? ใช้เตาหลอม เทใส่พิมพ์รึ?”
“แบบนั้นก็หลอมได้ขอรับ แต่ข้าหลอมแบบไม่ใช้เตาหลอมได้ขอรับ” เฉินมู่อิ๋งบอก ตี้โฮ่วจึงบอก “งั้นลองหลอมอาวุธแบบไม่ใช้เตาหลอมให้ดูหน่อยซิ หากว่าเจ้ามีพรสวรรค์ด้านนี้ข้าจะได้สอนเจ้าหลอมศาสตราเทพ”
“จริงรึขอรับ?” เฉินมู่อิ๋งเบิกตาโต ตี้โฮ่วพยักหน้า เฉินมู่อิ๋งจึงรีบเอาแร่เหล็กดิบๆ ออกมาจากแหวนคุนเฉียน แล้วลงมือหลอมอาวุธแบบไม่ใช้เตาหลอม โอกาสที่จะได้รับคำแนะนำจากตี้โฮ่วเขาจะยอมพลาดโอกาสไปได้อย่างไร ฮี่ๆๆๆ…
เขาเริ่มหลอมอาวุธเซียน ใช้พลังเทพหลอมแร่เหล็กดิบๆ ให้กลายเป็นโลหะเหลว พลางใช้มือทารกเล็กๆ คู่นั้นโอบล้อมโลหะเหลวเอาไว้ แล้วก็ใช้มือทารกเล็กๆ คู่นั้นตบๆ โลหะเหลวขึ้นรูป แน่นอนว่าระยะเวลาตั้งแต่ที่เริ่มหลอมอาวุธจนกระทั่งหลอมเสร็จรวมแล้วเป็นเวลาราวๆ 5 ชั่วโมง กระบี่เทพเล่มหนึ่งก็หลอมเสร็จ เฉินมู่อิ่งปาดเหงื่อมองกระบี่เล่มนั้นแล้วจับกระบี่ส่งให้ตี้โฮ่วที่นั่งมองอยู่ตลอดไม่ละสายตาไปเลย “เป็นอย่างไรขอรับ?”
“อืม มีพรสวรรค์” ตี้โฮ่วชมแล้วบอกว่า “เอาล่ะ เจ้าดูวิธีการหลอมของข้าล่ะกัน”
เธอพูดแล้วก็เอาแร่เหล็กออกมาจากโลกใบเล็ก จากนั้นก็หลอมศาสตราเทพแบบง่ายๆ ให้ดูเป็นตัวอย่าง
เฉินมู่อิ๋งมองจ้องตาไม่กะพริบเลยทีเดียว เขาดูวิธีการหลอมศาสตราเทพเป็นครั้งแรก อีกทั้งไม่ใช่แบบสามัญเสียด้วย แต่เป็นวิธีการหลอมที่ไม่ใช้เตาหลอม เขาเห็นตี้โฮ่วใช้พลังไร้รูปนั้นที่นางเรียกว่า ‘พลังจิต’ แปรเปลี่ยนเป็นเพลิงหลอมโลหะ ทำให้โลหะหลอมเหลวอยู่ในพลังไร้รูปนั้น จากนั้นก็ขึ้นรูปเป็นกระบี่เล่มหนึ่ง ภาพต่างๆ ดูเหมือนช้า แต่ความจริงแล้วแค่ 5 ลมหายใจเท่านั้น ตี้โฮ่วก็หลอมกระบี่เล่มนั้นเสร็จแล้ว ความเร็วเช่นนี้ทำให้เขาตกตะลึงเสียจนหายใจเข้าลึกเลยทีเดียว ซู๊ด!
ตี้โฮ่วหยิบกระบี่ยื่นส่งให้ “เป็นอย่างไร จำได้ไหม?”
เฉินมู่อิ๋งพยักหน้าหงึกๆ เขารู้สึกทั้งตื่นเต้น ตื่นตะลึง ตกใจ เรียกว่ามันผสมปนเปกันไปหมดเลย ความสามารถของตี้โฮ่วช่างยอดเยี่ยมยิ่ง! เขากุมมือคารวะนาง “ขอบคุณท่านมากขอรับ”
“ไม่สอนเจ้าฟรีๆ หรอก เอาเป็นว่าวันไหนเจ้าหลอมราชันศาสตราได้ก็มอบให้ข้า 1 ชิ้นล่ะกัน” ตี้โฮ่วบอก เฉินมูอิ๋งทวนคำอย่างไม่เข้าใจ “ฟีๆ?”
“อ่อ ฟรีก็หมายถึงให้เปล่าน่ะ ข้าไม่สอนเจ้าเปล่าๆ หรอก เข้าใจใช่ไหม?” ตี้โฮ่วอธิบาย เฉินมู่อิ๋งพยักหน้าหงึกๆ “ขอรับ”
แล้วเขาก็ถามว่า “ว่าแต่เกล็ดมังกรเอามาหลอมอาวุธได้ไหมขอรับ?”
“ได้ซิ เกล็ดมังกรเป็นวัตถุดิบชั้นเยี่ยมในการหลอมศาสตราเลยล่ะ เกล็ดมังกร 1 เกล็ดราคาแพงมากทีเดียว ยิ่งหากได้อาจารย์หลอมศาสตราที่มีความสามารถด้วยแล้วจะยิ่งทำให้หลอมเกล็ดมังกรกลายเป็นศาสตราระดับสูงได้เลย บางทีหากอาจารย์หลอมศาสตรามีความสามารถสูงก็อาจจะหลอมได้ถึงขึ้นราชันศาสตราเลยทีเดียว” ตี้โฮ่วบอก เฉินมู่อิ๋งฟังแล้วตาเป็นประกาย แน่นอนว่าเขาอยากหลอมเกล็ดของพี่สาวมังกรเป็นอาวุธด้วยตัวเอง
“ว่าแต่เลือดมังกรของพระชายาเฮยหลงนั่นเจ้าไปได้มายังไงรึ? หรือว่าจะฟลุ๊คได้มาเหมือนเทียนโฮ่ว?” ตี้โฮ่วถาม เฉินมู่อิ๋งทวนคำอย่างไม่เข้าใจ “ฟุก?”
“อ่อ ฟลุ๊คก็หมายถึงบังเอิญน่ะ” ตี้โฮ่วอธิบาย เฉินมู่อิ๋งจึงส่ายหน้า “เป็นพี่สาวมังกรมอบให้ข้าน่ะขอรับ”
“โอ้ เจ้ารู้จักนางด้วยรึ?” ตี้โฮ่วเลิกคิ้วขึ้น เฉินมู่อิ๋งพยักหน้า “ขอรับ พี่สาวมังกรให้เลือดหยดนั้นกับข้าขอรับ เอ่อ…จริงซิ หากข้าอยากเจอนาง ข้าจะพบนางได้อย่างไรขอรับ?”
“นางอยู่ที่ตำหนักเทพหมิงเทียนน่ะ แต่ส่วนใหญ่แล้วนางก็ไม่ค่อยอยู่นักหรอก หากอยากพบนางจริงๆ ต้องให้คนส่งจดหมายไปนัดเอาไว้ก่อนน่ะ เห็นว่านางชอบไปที่โลกเบื้องล่างบ่อยๆ ไม่ค่อยอยู่แดนเทพหรอก บางทีก็อาจจะอยู่ที่ถ้ำของนางในแดนมังกรดำกระมัง นางหาตัวยากหน่อยเพราะไม่ค่อยอยู่เป็นที่เป็นทาง” ตี้โฮ่วบอก เฉินมู่อิ๋งพยักหน้ารับรู้ “อ่อ ขอบคุณขอรับ ว่าแต่ตำหนักเทพหมิงเทียนอยู่ที่ไหนหรือขอรับ?”
“อยู่ในตำหนักเก้าชั้นฟ้า” ตี้โฮ่วบอก แล้วก็มองเวลา จากนั้นก็บอกว่า “เจ้ามีความสามารถทั้งหลอมโอสถทั้งหลอมศาสตรา อนาคตคงเป็นใหญ่แน่ๆ เอาล่ะ นี่ก็ใกล้จะได้เวลากินมื้อเย็นแล้ว ไปๆ พวกเราไปกินข้าวกันก่อน หลังกินข้าวแล้วก็ไปลองฝีมือกับพวกจินเย่ก็ได้”
เธอบอกแล้วก็ลุกขึ้นเดินนำไป เฉินมู่อิ๋งเดินตามไป เขาคิดว่าค่าตอบแทนที่ตี้โฮ่วเรียกก็ไม่ถือว่ามากเกินไปเลย วันหน้าถ้าเขาหลอมราชันศาสตราได้ก็มอบให้นาง 1 ชิ้นเป็นค่าตอบแทนที่นางสอนสั่ง ก็ถือว่าไม่น้อยเกินไป ไม่มากเกินไป ทำให้เขานับถือนางเป็นอาจารย์อย่างหมดใจเลยทีเดียว เขาเดินตามนางไปจนถึงห้องกินข้าวห้องเดิม เห็นทุกคนมารวมตัวกันอีกครั้ง นั่งกินข้าวด้วยกันราวกับเป็นครอบครัว ความรู้สึกอบอุ่นนี้ทำให้เขารู้สึกดียิ่งนัก
หลังจากกินข้าวอิ่มแล้ว ตี้โฮ่วก็พาเฉินมู่อิ๋งไปที่ลานแห่งหนึ่ง จินเย่ องค์รัชทายาทหลงจิ่งเทียน องค์รัชทายาทเสี่ยวเฟิ่งก็ตามไปด้วย ตี้โฮ่วพยักเพยิดกับจินเย่ “จินเย่ เจ้าจับคู่กับมู่อิ๋งล่ะกัน”
“เจ้าค่ะพี่ใหญ่” จินเย่รับคำ ยืนอยู่กลางลานพลางกวักมือ “มาๆ น้องชาย เอ้ย น้องสาว มาให้พี่สาวดูหน่อยว่าเจ้ามีฝีมือขนาดไหน”
เฉินมู่อิ๋งจึงเดินไปประจันหน้ากับจินเย่ เห็นนางยังกวักมือคล้ายกับจะให้เขาเป็นคนเริ่มก่อน เขาจึงพุ่งเข้าใส่นาง กำหมัดต่อยออกไป เมื่อนางหลบมาทางซ้ายของเขา เขาก็ต่อยดักทางทันที จินเย่ไวยิ่งนัก นางเอี้ยวหลบหมัดไปอย่างเฉียดฉิว ยกขาวาดเตะสวนอย่างว่องไวยิ่ง
เฉินมู่อิ๋งหลบแทบไม่ทันเลยทีเดียว ความไวของจินเย่ทำให้เขาระวังตัวมากขึ้น ดวงตาเป็นประกายอย่างตื่นเต้นที่ได้เจอคู่ต่อสู้ที่มีฝีมือ นานแล้วนะที่เขาไม่ได้เจอคนที่มีฝีมือเช่นนี้! ทำให้เลือดในกายคล้ายเดือดระอุขึ้นมา “พี่สาวฝีมือเยี่ยมจริงๆ”
“น้องสาวก็ไวดีนี่” จินเย่ชมตอบ จากนั้นทั้งสองคนก็รุกรับใส่กันอย่างไม่มีใครยอมใคร ชนิดว่าฝีมือมีเท่าไหร่ก็งัดออกมาใช้จนหมดสิ้นเลยทีเดียว ตี้โฮ่วยืนชมดูอย่างพอใจ เด็กเฉินมู่อิ๋งคนนี้มีฝีมือไม่น้อยเลย แต่ว่าท่าต่อสู้ของนางดูคุ้นๆ ตาอยู่นะ อืม…ท่าทางเช่นนี้เคยเห็นที่ไหนนะ?
เธอคิดๆ พลางมองดูท่าต่อสู้ของเฉินมู่อิ๋งอย่างสนใจ หลงจิ่งเทียนที่มองอยู่ก็พูดขึ้นมาว่า “วรยุทธ์ของนางคล้ายกับเทพสงครามยิ่งนัก”
แน่นอนว่าเขาเคยเห็นเทพสงครามมาบ้าง ตอนออกศึกสู้กับพวกมาร ตอนนั้นเขายังเด็กมากๆ ยังอยู่ในเผ่ามังกร ประจวบกับตอนนั้นเทียนจวินนำทัพสู้กับพวกมารใกล้ๆ กับเกาะเผ่ามังกรของเขา เขาจึงยืนดูการต่อสู้นั้นอย่างตื่นเต้นปนหวาดกลัว
“อืม ใช่แล้ว คล้ายจริงๆ นั่นแหละ” ตี้โฮ่วนึกขึ้นได้ เธอเคยเห็นเทพสงครามคนนั้นมาบ้าง เขาเป็นคนที่โดดเด่นในตำหนักเก้าชั้นฟ้า เธอจึงจำเขาได้ เสี่ยวเฟิ่งก็มองดูสตรีน้อยนางนั้นอย่างสนอกสนใจ เขาก็อยากรู้ว่าคนที่เจ้ใหญ่สนใจจะมีฝีมือขนาดไหน
จินเย่กับเฉินมู่อิ๋งสู้กันอย่างดุเดือดยิ่ง ผลัดกันรุกผลัดกันรับอย่างไม่มีใครยอมใครเลยทีเดียว เสียงผั๊วะเผี๊ยะๆ ดังต่อเนื่องไม่หยุดไม่พัก
เวลาผ่านไปราวๆ 2 ชั่วโมง จินเย่ก็ถอยออกไป “ฮู้! น้องสาว เจ้าเก่งจริงๆ”
“พี่สาวก็เก่งมาก” เฉินมู่อิ๋งชมจากใจ เขาไม่ได้สู้สุดแรงเช่นนี้มานานแล้ว สู้เสียจนเหงื่อออกท่วมตัวเลยทีเดียว เขาหันไปมองบุรุษอีก 2 คนที่ยืนดูอยู่แล้วถามตี้โฮ่วว่า “ฝีมือพวกเขาเป็นอย่างไรหรือขอรับ?”
“ก็พอๆ กับจินเย่นั่นแหละ” ตี้โฮ่วตอบ เฉินมู่อิ๋งพยักหน้ารับรู้ ตี้โฮ่วหันไปกวักมือ “มาๆ พวกเจ้าสองคนก็มาฝึกฝีมือเสียหน่อย”
“อื้ม” เสี่ยวเฟิ่งกับหลงจิ่งเทียนรับคำพร้อมกันแล้วพุ่งเข้าหาเจ้ใหญ่อย่างเร็วยิ่ง เฉินมู่อิ๋งมองดูตี้โฮ่วที่รับมือกับบุรุษทั้งสองอย่างง่ายดาย ความแข็งแกร่งของนางน่าจะพอๆ กับอาจารย์เฟยเทียนกระมัง
จินเย่เห็นเช่นนั้นก็พุ่งเข้าใส่เจ้ใหญ่อีกคน ทั้งยังหันไปชวนเฉินมู่อิ๋งว่า “มาซิน้องสาว มาช่วยกันรุมพี่ใหญ่ ถ้าพวกเราชนะจะได้กินเค้กด้วยนะ”
เฉินมู่อิ๋งไม่รู้ว่า ‘เค้ก’ คืออะไร แต่น่าจะเป็นของดีกระมัง เขาจึงพุ่งเข้าไปร่วมสู้อีกแรง กลายเป็น 4 รุม 1 แต่ตี้โฮ่วก็รับมือเด็ก 4 คนได้อย่างสบายยิ่ง ซ้ำยังเยาะเย้ยว่า “เสี่ยวเฟิ่งเอ้ย ฝีมือเจ้าไม่ค่อยพัฒนาเลยนะ”
“ฮึ่ม เจ้ใหญ่ วันนี้ข้าจะทำให้ท่านต้องเสียเค้กก้อนใหญ่ให้ได้!” เสี่ยวเฟิ่งพูดอย่างมุ่งมั่นมาก เขาพุ่งเข้าไปทุ่มสุดตัวเลยทีเดียว
“เฮอะ! เจ้าไก่อ้วน” ตี้โฮ่วล้อยิ้มๆ เสี่ยวเฟิ่งเถียงทันที “ข้าไม่อ้วนแล้วนะ!”
ถูกยุแหย่ปมในอดีตทำให้เขายิ่งสู้สุดใจเลยทีเดียว เขาจึงกลายร่างเป็นเฟิ่งหวงตัวใหญ่โต พุ่งเข้าสู้กับเจ้ใหญ่อย่างเอาเป็นเอาตาย เฉินมู่อิ๋งถึงกับผงะตกใจ “หือ!?”
“เจ้าไม่ต้องตกใจไป เจ้าไก่อ้วนนั่นคือเฟิ่งหวง ส่วนหลงจิ่งเทียนเป็นมังกร” จินเย่บอก เฉินมู่อิ๋งมองเฟิ่งหวงตัวเป็นๆ ตรงหน้าอย่างตะลึงงัน เขายังไม่ทันหายตกใจก็เห็นหลงจิ่งเทียนกลายเป็นมังกรพุ่งเข้าใส่ตี้โฮ่ว หนึ่งเฟิ่งหวงหนึ่งมังกรพุ่งเข้าใส่เจ้ใหญ่ของพวกเขาอย่างไม่ยอมแพ้ ตี้โฮ่วก็สู้กับเด็กทั้งสองอย่างไม่ครณามือ จินเย่ก็พุ่งเข้าไปช่วยรุมอีกแรง เจ้ใหญ่ของนางเก่งเกินไป
นางกับเสี่ยงเฟิ่งและหลงจิ่งเทียนสู้กับเจ้ใหญ่นับครั้งไม่ถ้วน แต่ก็ยังไม่เคยเอาชนะเจ้ใหญ่ได้เลยสักครั้ง ไม่ใช่ว่าพวกเขาฝีมือไม่สูง แต่เป็นเจ้ใหญ่ของพวกเขาที่นับวันก็ยิ่งฝีมือสูงส่งขึ้นไปเรื่อยๆ ความเร็วของเจ้ใหญ่พวกเขามองไม่เห็นแม้แต่เงาเลยทีเดียว จินเย่หันไปเรียก “เจ้าก็มาช่วยด้วยซิ”
เฉินมู่อิ๋งเห็นตี้โฮ่วรับมือได้สบายๆ เขาจึงเข้าไปช่วยรุมอีกแรงอย่างไม่เกรงใจ การได้ฝึกฝีมือกับยอดฝีมือย่อมทำให้ฝีมือพัฒนาไปเร็วยิ่งขึ้น ดังนั้นเขาย่อมไม่ยอมพลาดโอกาสแน่นอน ฮี่ๆๆๆ…
4 รุม 1 ไม่ทำให้ตี้โฮ่วลำบากเลยสักนิด เธอซัดหมัดใส่เสี่ยวเฟิ่งไปทีหนึ่ง ผั๊วะ!
“โอ๊ย!” เสี่ยวเฟิ่งถูกต่อยจนเซไป ตี้โฮ่วเตะหลงจิ่งเทียนไปทีหนึ่ง ผั๊วะ!
“โอ้ย!” หลงจิ่งเทียนถลาไป ตี้โฮ่วผลักจินเย่จนกระเด็นออกไป จินเย่ร้องคำหนึ่ง “อ้า!”
ตี้โฮ่วใช้ขาอีกข้างถีบเฉินมู่อิ๋ง วืดดดด…
เฉินมู่อิ๋งหลบได้อย่างเฉียดฉิวยิ่ง เขาต่อยสวนออกไป ตี้โฮ่วโก่งตัวหลบหมัด เฉินมู่อิ๋งก็ตีเข่าเสย ตี้โฮ่วเอียงหลบด้วยองศาที่ประหลาดยิ่งในสายตาของเฉินมู่อิ๋ง เขารู้สึกว่าร่างกายตี้โฮ่วราวกับงูที่เคลื่อนไหวไร้กระดูกอย่างไรอย่างนั้น หลบหลีกได้ว่องไวในมุมที่เขาคาดไม่ถึงจริงๆ เขาว่าเขาตัวอ่อนแล้วนะ เห็นท่าทางของตี้โฮ่วแล้วนางตัวอ่อนยิ่งกว่าเขาเสียอีก ร่างกายนางราวกับไร้กระดูกจริงๆ!!!
“โอ้ ฝีมือใช้ได้นี่น้องสาว” ตี้โฮ่วชมขณะที่ทรงตัวตรงถอยห่างไป 1 ก้าวแล้วเตะกวาดตัดขา เฉินมู่อิ๋งกระโดดหลบ กลับถูกนางถีบเข้ากลางตัว พลั่ก!
“อุบ!” เฉินมู่อิ๋งจุกกระเด็นจนตกพื้นดังพลั่ก!
“อุก!” เขาจุกซ้ำอีกรอบ ตี้โฮ่วมองยิ้มๆ “ยังต้องฝึกอีกเยอะทีเดียว”
เธอมองเด็กทั้ง 4 คนแล้วกวักมือ “มาๆ”
เสี่ยวเฟิ่งตั้งท่าพ่นสายฟ้าใส่ หลงจิ่งเทียนก็พ่นไฟใส่ ทั้งสองรุมหน้าหลัง จินเย่พุ่งเข้าใส่ทางด้านซ้าย นางใช้เถาวัลย์ธาตุไม้โจมตีออกไป เฉินมู่อิ๋งกลับดูดกลืนพลังสายฟ้า เปลวเพลิงและธาตุไม้เข้าไป วู้มมมม—
ธาตุ 3 ธาตุถูกดูดหายไปสิ้น ทำให้เสี่ยวเฟิ่ง หลงจิ่งเทียน จินเย่ชะงักกึก มองอย่างตะลึงงัน! “อา…!!!”
“หือ?” ตี้โฮ่วก็มองเช่นกัน “ดูดซับ 3 ธาตุเชียวรึ?”
เธอเห็นแสงสีน้ำเงินเปล่งออกมาจากร่างของเฉินมู่อิ๋ง กลิ่นอายนั้นต่างจากเทพโดยสิ้นเชิง ตี้จวินที่เดินมาตามฮูหยินพอดีเห็นแสงสีน้ำเงินนั้นก็ชะงักงันไป “เผ่าวิญญาณ”
“หือ? เผ่าวิญญาณ?” ตี้โฮ่วหันไปมองสามี ตี้จวินเดินไปหาฮูหยิน มองเฉินมู่อิ๋งที่แสงสีน้ำเงินเพิ่งจะจางหายไป พลางพูดว่า “เจ้ามีสายเลือดเผ่าวิญญาณ”
“ปิงเกอ เผ่าวิญญาณคือเผ่าไหนรึ?” ตี้โฮ่วถาม ตี้จวินอธิบายว่า “เผ่าวิญญาณมีดินแดนอยู่ไกลจากแดนเทพพอสมควร พวกเขาเป็นเผ่าพันธุ์ลึกลับที่มีมาตั้งแต่บรรพกาล เชี่ยวชาญการควบคุมวิญญาณ กลืนวิญญาณ หลอมวิญญาณ ตัดวิญญาณ หนึ่งในของวิเศษที่เลื่องชื่อของเผ่านี้ก็คือไพลินวิญญาณ แสงเมื่อกี้นี้ก็คือไพลินวิญญาณ”
“อ่อ” ตี้โฮ่วฟังอย่างไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่ เธอไม่รู้เรื่องเผ่าวิญญาณเลย ตี้จวินยื่นมือไป ปล่อยพลังกวาดผ่านร่างเฉินมู่อิ๋ง เฉินมู่อิ๋งก็ใช้มือทารกเล็กๆ ไร้รูปคู่นั้นต้านพลังเอาไว้ ตี้จวินเลิกคิ้วขึ้น “หือ? นางเป็นชิงเฉินด้วยรึ?”
Chapter 7
ร่วมงานเลี้ยงของเทียนจวิน
“ใช่” ตี้โฮ่วพยักหน้า ตี้จวินจึงบอกเฉินมู่อิ๋ง “เจ้าอย่าใช้พลังต้านข้า ข้าเพียงแค่จะดูเจ้าสักหน่อยเท่านั้น”
เฉินมู่อิ๋งจึงเก็บมือทารกเล็กๆ คู่นั้นไป ตี้จวินใช้พลังกวาดผ่านร่างเฉินมู่อิ๋ง 1 รอบ แล้วดึงพลังกลับมา “ข้าได้กลิ่นอายของผู้เฝ้ามองบนตัวนาง”
“หือ? ผู้เฝ้ามอง?” ตี้โฮ่วขมวดคิ้ว “ใช่ ผู้เฝ้ามองที่ตามผู้อาวุโสจางอี้ปินไหม?”
“น่าจะใช่ กลิ่นอายเหมือนกัน” ตี้จวินพยักหน้า
“หือ?” เฉินมู่อิ๋งฟังแล้วไม่พูดอะไร เขานึกขึ้นได้ว่า จริงซิ! ตอนนั้นอาจารย์ผู้เฝ้ามองบอกว่าจะไปตามหาชิงชิงอะไรนี่แหละ แล้วก็หายไปเลย หรือว่าเขาจะอยู่ที่ดินแดนแห่งนี้!? หากว่าอาจารย์ผู้เฝ้ามองอยู่ที่นี่จริงๆ เขาก็อยากจะเจออาจารย์สักครั้ง อาจารย์นับว่ามีบุญคุณกับเขาเหลือล้น ที่เขาฉลาดเฉลียวเช่นทุกวันนี้ก็ล้วนเป็นเพราะอาจารย์ผู้เฝ้ามองให้เขาเฝ้ามองชีวิตของผู้คนมากมาย ทำให้เขาได้ประสบการณ์จากชีวิตของคนเหล่านั้น ได้กราบอาจารย์เฟยเทียน กราบอาจารย์กู่เสียนฟาง และรู้จักพี่สาวมังกรก็เพราะเหตุเนื่องมาจากการเฝ้ามองในอดีตเช่นเดียวกัน หลอมกระบี่เทพมารได้ก็เพราะการเฝ้ามองชีวิตของฮองเฮาหลิวอีกเช่นกัน
แต่เขาก็ไม่พูดอะไรออกไป เพราะไม่รู้ว่าตี้จวินมีความคิดเห็นกับอาจารย์ผู้เฝ้ามองอย่างไร เป็นมิตร? หรือว่าเป็นศัตรู? แต่ฟังจากน้ำเสียงแล้วดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยชอบอาจารย์ผู้เฝ้ามองของเขาสักเท่าไหร่ เช่นนั้นก็ควรจะเงียบไว้ก่อนดีกว่า
“เจ้าเกี่ยวข้องอะไรกับผู้เฝ้ามองคนนั้น?” ตี้จวินถาม มองเฉินมู่อิ๋งอย่างจับสังเกต เฉินมู่อิ๋งก็ทำหน้าตาไม่รู้เรื่องรู้ราว แต่ตี้จวินเป็นใคร เขาเป็นถึงผู้แข็งแกร่งของแดนเทพเชียวนะ อีกทั้งอยู่มานานมาก พบเจอคนมาทุกรูปแบบ ทั้งความเจ้าเล่ห์ของฮูหยินของเขา เขาก็พบเจอมาเสียจนคุ้นชินยิ่ง ดังนั้นลูกไม้เล็กๆ ของเด็กเฉินมู่อิ๋งเขาย่อมมองออก เพียงแต่ไม่พูดอะไรเท่านั้นเอง
ตี้โฮ่วก็มองเฉินมู่อิ๋งออกเช่นกัน เธอเห็นแววตาวูบไหวในดวงตาเด็กสาวคนนั้นหลังจากได้ยินคำว่า ‘ผู้เฝ้ามอง’ หากไม่รู้จักดวงตาจะวูบไหวได้อย่างไร เพียงแต่เธอก็ไม่ซักถามอะไรอีก คนทุกคนล้วนมีความลับที่ไม่อยากให้คนอื่นล่วงรู้ ผู้เฝ้ามองคนนั้นก็ไม่ได้ทำตัวมีพิษภัยอะไรกับแดนเทพ สองคนนี้จะรู้จักกันหรือไม่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เธอจะสนใจนัก รู้แค่ว่าสองคนนี้มีความเกี่ยวพันกันบางอย่างก็พอแล้ว
“ช่างเถอะ” ตี้จวินเอ่ยแล้วหันไปชวนฮูหยิน “กลับเรือนกันเถอะ”
“อืม” ตี้โฮ่วพยักหน้ารับ แล้วหันไปสั่งจินเย่ว่า “เจ้าพานางไปพักที่ตำหนักที นางถูกใจตำหนักรับรองหลังไหนก็ให้นางเลือกเอาเองเถอะ ข้าไปล่ะ”
“เจ้าค่ะพี่ใหญ่” จินเย่รับคำแล้วชวนเฉินมู่อิ๋งว่า “มาซิน้องสาว”
“อืม” เฉินมู่อิ๋งรับคำแล้วเดินตามจินเย่ไป หลงจิ่งเทียนกับเสี่ยวเฟิ่งก็มองตามเฉินมู่อิ๋งไป เสี่ยวเฟิ่งยกศอกวางบนบ่าหลงจิ่งเทียนแล้วเย้าว่า “ดูเจ้าสนใจนางเสียจริง”
“ย่อมต้องสนใจ คนที่เข้าตาเจ้ใหญ่ ต้องมีดีแน่นอน หรือว่าเจ้าไม่สนใจล่ะ?” หลงจิ่งเทียนย้อนถาม เสี่ยวเฟิ่งตอบ “ก็สนใจอยู่ แต่คงไม่มากเท่าเจ้ากระมัง รักแรกพบหรือไร?”
“หึ! รักแรกพบอะไรกัน เจ้าก็พูดไปเรื่อย” หลงจิ่งเทียนสะบัดไหล่ออกแล้วเดินกลับตำหนักของเขาไป เสี่ยวเฟิ่งเดินตามไป พวกเขาสองคนพักอยู่ตำหนักเดียวกัน เพียงแค่อยู่คนละห้องเท่านั้นเอง
จินเย่พาเฉินมู่อิ่งไปถึงหมู่ตำหนักรับรอง แล้วชี้บอก “เจ้าชอบหลังไหนก็เลือกเถอะ”
“อ่อ ขอบคุณมาก” เฉินมู่อิ๋งยิ้มให้จินเย่ มองตำหนักหลังใหญ่โตโอ่อ่าเหล่านั้น แล้วเลือกตำหนักหลังหนึ่งเป็นที่พัก
จินเย่ส่งเฉินมู่อิ๋งเข้าตำหนักไปแล้วก็กลับไป เฉินมู่อิ๋งเดินเข้าเรือนไป สำรวจที่พักใหม่ที่หรูหราโอ่อ่าสมกับเป็นตำหนักหนึ่งของตำหนักไป๋หยุน
เขาก็คิดไม่ถึงว่าจะได้เป็นศิษย์ของตี้โฮ่ว การตัดสินใจของเขานับว่าเป็นวาสนาที่หายากยิ่ง ก็เหมือนกับวาสนาที่ได้เจออาจารย์ผู้เฝ้ามอง อาจารย์เฟยเทียน อาจารย์กู่เสียนฟาง พี่สาวมังกร ฯลฯ
เขาอาบน้ำแล้วเข้านอน ไม่นานนักก็หลับสนิทไป
ณ ยมโลก เหยียนหลัวหวางตามลูกน้องไปยังอเวจีนรก ยมทูตที่สืบเรื่องราวชี้บอก “นายท่าน ท่านดูรอยเท้านี่ซิขอรับ”
บนพื้นทรายสีเทามีรอยเท้าจางๆ หลงเหลืออยู่หลายรอยทีเดียว ตรงส่วนนี้เป็นพื้นหินมีทรายปกคลุมจึงมีรอยเท้าหลงเหลือให้เห็น
“เป็นรอยเท้ามนุษย์ขอรับ” ยมทูตบอกแล้วกางมือวัดขนาดรอยเท้า “เล็กกว่าข้า น่าจะตัวเล็กกว่าข้าสัก 1 ช่วงศีรษะขอรับ”
เหยียนหลัวหวางมองรอยเท้าพวกนั้นที่น่าจะเป็นคนๆ เดียวกัน ไม่มีรอยเท้าอื่นที่ผิดแผกไปจากนี้ปะปนอยู่ เดาได้ว่ามีคนเข้ามาและทำให้อเวจีนรกกลายเป็นเช่นนี้ “เป็นใครกัน?”
“คนที่คิดช่วยวิญญาณชั่วช้าหรือ?” เขาคิดๆ แล้วก็ส่ายหน้า “ไม่น่าจะใช่”
“หรือว่าเป็นพวกมาร?” เขาคิดอีกแล้วก็ส่ายหน้า “ก็ไม่น่าใช่ หากว่ามีมารเข้ามาย่อมหลงเหลือไอมารซิ”
“ยิ่งเป็นเซียนจากโลกแห่งนั้น พวกมันก็พลังต่ำต้อยนัก ทันทีที่หลงเข้ามาก็คงถูกเพลิงโลกันตร์เผาจนไม่เหลือขี้เถ้า” เขาคิดแล้วคิดอีก คิดอีกคิดแล้ว คิดจนหัวแทบแตกก็ยังคิดไม่ออก “วะ! เป็นใครกันแน่นะ!? ฮึ่ม!”
เขาหันไปมองลูกน้องแล้วสั่งว่า “สืบหาตัวคนอย่างลับๆ ไม่ว่ามันจะเป็นใครก็ต้องจับมันมาให้มันชดใช้ความผิดของมันให้ได้”
“ขอรับ” ยมทูตรับคำ ในใจหนักอึ้งยิ่งนัก เขาจะตามหา ‘คน’ คนนี้ได้อย่างไร? ไม่มีเบาะแสอะไรเลยนอกจากรอยเท้าจางๆ ไม่กี่รอย นี่มันยากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทรเสียอีก! โว๊ย! ข้าล่ะอยากเอาหัวโขกเต้าหู้ตาย!
เหยียนหลัวหวางมองๆ แล้วก็จากไป งานเขารัดตัวยิ่งนัก
เช้าวันใหม่ เฉินมู่อิ๋งตื่นขึ้นมา เขาอาบน้ำแล้วเดินออกจากตำหนักที่พัก เดินดูไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเข้าไปใกล้ตำหนักหลังหนึ่ง ก็ได้ยินเสียงครางรัญจวนดังแว่วมาจากตำหนักนั้น ทำให้เขาหน้าแดงๆ ขึ้นมา รีบสาวเท้าเดินห่างจากตำหนักนั้นไปทันที คิดในใจว่า ‘ใครกัน ล้างหน้าไก่* แต่เช้าเชียว?’
(ล้างหน้าไก่ หมายถึง มีเพศสัมพันธ์ตอนเช้า)
เขาเดินเรื่อยไปจนกระทั่งเข้าใกล้ตำหนักอีกหลังก็ได้ยินเสียงครางรัญจวนอีกแล้ว เสียงครางไม่ได้ดังมาก ต้องโทษหูเขาที่ดีเกินไปต่างหาก เขารีบสาวเท้าเดินให้ห่างจากตำหนักหลังนั้นทันที เขาเดินไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเข้าใกล้ตำหนักอีกหลัง คราวนี้ได้ยินเสียงดังแว่วมา “อ้า! ตาเฒ่า! พอแล้ว!”
“อีกหนเถอะเย่เอ๋อร์” เสียงบุรุษดังแว่วมา จากนั้นก็ได้ยินเสียงครางรัญจวนดังแผ่วๆ เฉินมู่อิ๋งหน้าเห่อร้อนอีกหน เขารีบสาวเท้าเดินไปอย่างเร่งรีบยิ่ง ทั้งยังก่นด่าตัวเอง ไม่น่าเดินมาทางนี้เลย!
เขาเร่งรีบเดินไปจนไม่ทันดูดีๆ เมื่อเลี้ยวหัวมุมพุ่มไม้ก็ชนกับคนๆ หนึ่ง พลั่ก!
“อ่ะ!”
“โอ๊ะ!” หลงจิ่งเทียนเซไป
เฉินมู่อิ๋งก็เซถอยหลังไป เขามองไปเห็นว่าเป็นองค์รัชทายาทหลงจิ่งเทียนคนนั้นจึงรีบขอโทษ “ขอโทษด้วยๆ ข้าไม่ได้ตั้งใจ”
“ช่างเถอะ” หลงจิ่งเทียนมองเฉินมู่อิ๋งแล้วถามว่า “เจ้าเดินหนีใครรึ?”
“อ่า…” เฉินมู่อิ๋งอึกอักไป จะบอกว่าเดินหนีเสียงที่ไม่ควรได้ยินก็พูดไม่ออก หลงจิ่งเทียนเห็นท่าทีอึกอักของอีกฝ่ายจึงไม่ถามอีก เขาชวนว่า “ไปที่ห้องกินข้าวเถอะ ข้าจะไปช่วยท่านน้ารั่วเฟยทำกับข้าว”
“อ่ะ อือ” เฉินมู่อิ๋งพยักหน้ารับ หลงจิ่งเทียนจึงเดินนำไป เฉินมู่อิ๋งมองหลงจิ่งเทียนที่เดินไปทางที่เขาเพิ่งผ่านมา แล้วชี้มือถาม “ทางนี้ไปไหนหรือ?”
“สุดทางนี้เป็นตำหนักข้า” หลงจิ่งเทียนบอก เฉินมู่อิ๋งจึงหมุนตัวกลับเดินตามหลงจิ่งเทียนไป เดินไปอีกนิดเขาจึงพบว่ามีทางแยกอีกทางหนึ่ง เป็นเมื่อกี้เขาไม่ทันมองให้ดีๆ จึงไม่เห็น หลงจิ่งเทียนเดินไปตามทางแยกนั้น เฉินมู่อิ๋งเดินตามไปพลางมองไปรอบๆ ตัว ตำหนักไป๋หยุนช่างกว้างใหญ่จริงๆ แต่คนอยู่น้อยนิดยิ่งหากเทียบกับสถานที่กว้างใหญ่แห่งนี้ ตำหนักแต่ละหลังเหล่านั้นก็อยู่ห่างกันมาก หากว่าไม่เดินไปใกล้ตำหนักก็คงไม่ได้ยินเสียงพวกนั้นหรอก เป็นเขาที่เดินไม่ดูตาม้าตาเรือเองถึงได้โชคไม่ค่อยดีนัก ดันไปได้ยินเสียงที่ไม่ควรได้ยินเข้าพอดี
เมื่อไปถึงโรงครัว หลงจิ่งเทียนก็ไปช่วยอาจารย์จ้าวมู่กับท่านน้ารั่วเฟยทำกับข้าว จ้าวมู่เห็นหลงจิ่งเทียนก็ทัก “มาแล้วรึ?”
“ขอรับ” หลงจิ่งเทียนตอบแล้วก้าวไปช่วยหยิบจับอย่างคุ้นเคย เฟิ่งรั่วเฟยยิ้มเอ็นดู “เสี่ยวเฟิ่งยังไม่ตื่นล่ะซิ”
“ขอรับ” หลงจิ่งเทียนตอบ เฟิ่งรั่วเฟยบ่น “เด็กคนนี้ตื่นสายจนติดเป็นนิสัยเสียแล้ว เห็นทีข้าคงต้องเข้มงวดกับเขาบ้างแล้วล่ะ”
เฉินมู่อิ๋งก้าวไปถาม “ให้ข้าช่วยอะไรขอรับ?”
“อ่อ” เฟิ่งรั่วเฟยกับจ้าวมู่มองเฉินมู่อิ๋ง ยิ้มให้แล้วบอกว่า “เจ้ามาช่วยหั่นผักเถอะ”
“ขอรับ” เฉินมู่อิ๋งจึงหยิบมีดมาแล้วลงมือหั่นผัก หลงจิ่งเทียนเหลือบมองเฉินมู่อิ๋งแวบหนึ่งแล้วรีบเก็บสายตาไปเมื่อเห็นนางมองตอบกลับมา เฉินมู่อิ๋งก็หั่นผักต่อ เฟิ่งรั่วเฟยสังเกตเห็นว่าหลงจิ่งเทียนมองเฉินมู่อิ๋งบ่อยครั้งยิ่ง นางจึงแอบส่งสายตากับสามี ‘ท่านดูจิ่งเทียนซิ’
‘อืม’ จ้าวมู่ส่งสายตาตอบ
‘ดูเหมือนจิ่งเทียนจะสนใจดอกท้อแรกแย้มเสียแล้ว’
‘หึๆๆๆ เขาก็โตแล้วนี่ เริ่มสนใจสตรีก็ไม่แปลกหรอก’
‘นั่นซินะ เด็กๆ ก็โตถึงเพียงนี้แล้ว’
สองคนสามีภรรยาส่งสายตาคุยกันไปคุยกันมาอย่างลับๆ ลอบมองหลงจิ่งเทียนกับเด็กเฉินมู่อิ๋งอย่างเงียบๆ เฉินมู่อิ๋งรู้ตัวว่าถูกจับตาก็ไม่ได้พูดอะไร การเป็นคนใหม่ย่อมถูกจับตาเป็นธรรมดา จนกระทั่งทำกับข้าวเสร็จแล้ว เฉินมู่อิ๋งก็ช่วยยกไปวางที่โต๊ะ คนอื่นๆ ก็ทยอยกันมา แต่ละคนสีหน้าแช่มชื่นเบิกบาน พวกเขานั่งลงตรงที่ประจำของใครของมัน เฉินมู่อิ๋งก็นั่งข้างๆ ท่านย่าอวิ๋นอวี้ เขาแอบแปลกใจที่ท่านย่าคนนี้ยังดูสาวยิ่งนัก หรือว่านางจะมีวิธีคงรูปลักษณ์ไม่ให้แก่ เช่น ใช้โอสถที่คล้ายๆ กับโอสถโฉมงามของท่านอาจารย์เฟยเทียน?
จนกินข้าวอิ่มแล้ว ตี้โฮ่วก็พาเฉินมู่อิ๋งไปสอนฝึกหลอมโอสถ หลอมศาสตรา และก็ฝึกพลังจิต ตกเย็นหลังกินข้าวมื้อเย็นแล้วก็ฝึกวรยุทธ์กับพวกจินเย่
วันคืนผ่านไปอย่างสงบ เฉินมู่อิ๋งอยู่ที่ตำหนักไป๋หยุนมา 2 เดือนแล้ว ฝีมือของเขา ไม่ว่าจะเป็นด้านการหลอมโอสถ หลอมศาสตรา พลังจิต หรือวรยุทธ์ล้วนก้าวหน้าไปมากนัก ด้านการหลอมโอสถเขาสามารถหลอมโอสถได้ถึงระดับ ‘นภา’ แล้ว เขารู้สึกว่าหากฝึกฝนต่อไปเรื่อยๆ เช่นนี้อีกสัก 2 เดือนคงหลอมโอสถได้ถึงระดับ ‘สวรรค์’ กระมัง ส่วนการหลอมศาสตราก็หลอมได้ถึงระดับ ‘นภา’ เช่นกัน ด้านพลังจิตจากมือทารกเล็กๆ คู่หนึ่งก็ก่อร่างมีแขนขึ้นมาแล้ว ทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นยิ่งนัก อีกทั้งเขายังฝึกแผ่พลังจิตออกไปสำรวจรอบๆ ตัวด้วย
การแผ่พลังจิตออกไปสำรวจเช่นนี้ทำให้เขารับรู้สภาพรอบกายได้ดีกว่าการแผ่ประสาทสัมผัสเสียอีก การแผ่ประสาทสัมผัสใช้การฟังเสียงเป็นตัวชี้นำ แต่การแผ่พลังจิตออกไปทำให้เขารับรู้สภาพรอบกายได้ดีกว่าการฟังเสียงมากนัก อีกทั้งยังแม่นยำยิ่งกว่าการใช้หูฟังเสียงเสียอีก เสมือนเขามองเห็นโลกรอบๆ ตัวราวกับตาเห็นอย่างไรอย่างนั้น ความสามารถเช่นนี้ทำให้เขาพัฒนาฝีมือด้านวรยุทธ์มากขึ้นอีก ใช้พลังจิตจับการเคลื่อนไหวของคู่ต่อสู้ทำให้รับมือได้ไวยิ่งกว่าเดิม ซ้ำยังโจมตีได้เร็วกว่าเดิม แต่วิธีนี้ก็สิ้นเปลืองพลังจิตมากเช่นกัน
เขาฝึกฝนจนถึงขั้นพลังจิตหมดสิ้นกลายเป็นไร้พลังจิตไปก็มี ตอนแรกเขาตกใจเสียจนทำอะไรไม่ถูกเมื่อตกอยู่ในสภาวะไร้พลังจิตครั้งแรก ทำให้ถูกจินเย่เตะเสียจนเซไปหลายก้าวทีเดียว ตี้โฮ่วจึงเตือนให้เขาใช้ประสาทสัมผัสในการรับมือ ‘ศัตรู’ ทำให้เขากลับมาสู้กับจินเย่ได้อย่างสูสีอีกครั้ง
วันเวลาผ่านไป ตี้โฮ่วกับตี้จวินต้องไปร่วมงานเลี้ยงฉลองวันเกิดของเทียนจวิน ตี้โฮ่วจึงชวนเฉินมู่อิ๋งไปด้วย เฉินมู่อิ๋งก็ตามไปพร้อมกับคนอื่นๆ ตี้จวินฉีกช่องว่าง ทุกคนก็เหินลอยเข้าไปในช่องว่างนั้น เฉินมู่อิ๋งก็ตามไป เขาผ่านช่องทางดำมืดจนกระทั่งเห็นแสงที่ปลายทาง ก็ตามคนอื่นๆ ออกไป เมื่อออกมาจากช่องว่างแล้วตี้จวินก็นำคนของเขาเข้าไปในตำหนักเก้าชั้นฟ้า แน่นอนว่าเทียนจวินย่อมมาต้อนรับด้วยตัวเอง เทียนจวินเชื้อเชิญคณะของตี้จวินไปนั่งที่โต๊ะอย่างนอบน้อมยิ่ง
ตี้โฮ่วก็คุยกับเทียนโฮ่วอย่างสนิทสนม องค์รัชทายาทหานปิงเซียนก็จับคู่กับองค์รัชทายาทจางอี๋เป่า(张饴保) อย่างสนิทสนมกันตามประสาเด็กๆ เทียนจวินลอบมองเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่ไม่คุ้นหน้าในคณะของตี้จวินอย่างสงสัยใคร่รู้ เมื่อเชิญคณะของตี้จวินนั่งลงเรียบร้อยแล้วเทียนจวินก็ถอยไปต้อนรับแขกต่อ
เฉินมู่อิ๋งมองไปรอบๆ อย่างอยากรู้อยากเห็น แน่นอนว่างานวันเกิดของเทียนจวินย่อมไม่ใช่งานเลี้ยงเล็กๆ มีผู้มีอำนาจของทั้งแดนเทพมาร่วมงาน จินเย่ก็กระซิบบอกให้เฉินมู่อิ๋งได้รับรู้ว่าใครเป็นใครบ้าง เฉินมู่อิ๋งที่นั่งข้างๆ จินเย่จึงลอบมองคนนั้นทีคนนี้ทีไปเรื่อยๆ ส่วนเหลียงถิงเวยก็นั่งอยู่ข้างๆ จ้าวมู่คุยกันไปตามประสาสหายสนิท เฟิ่งรั่วเฟยก็นั่งอยู่ข้างสามีอีกด้าน แน่นอนว่าข่าวที่นางแต่งงานใหม่แพร่กระจายจนรู้กันทั่วแดนเทพนานแล้ว ซ้ำนางยังไม่สนใจเสียงซุบซิบนินทาของผู้คนด้วย ความสุขของนางไม่ได้ขึ้นอยู่กับ ‘ขี้ปาก’ คน
ราชาเฟิ่งมาถึง พอเห็นลูกชายก็ไม่ไปนั่งที่โต๊ะซึ่งเทียนจวินจัดไว้ให้ เขาเลือกนั่งอยู่ข้างๆ ลูกชายอย่างคิดถึงยิ่ง เสี่ยวเฟิ่งก็คารวะท่านพ่อแล้วคุยกันตามประสาพ่อลูกไป ราชาเฟิ่งมองอดีตฮูหยินที่นั่งอยู่ข้างๆ สามีใหม่ของนางอย่างปวดใจ ถึงจะผ่านมานานหลายปีแล้ว แต่เขาก็ยังรู้สึกปวดใจทุกครั้งที่เห็นนางอยู่กับสามีใหม่ของนาง หากว่าคนๆ นั้นไม่ได้แข็งแกร่งถึงขนาดนั้น อีกทั้งยังมีนังหนูตี้โฮ่วคอยสนับสนุน เขาจะยอมทนเห็นสามีใหม่ของนางได้รึ แน่นอนว่าเขาคงฆ่ามันตกตายไปนานแล้ว แต่เพราะความสามารถของตัวเองมีไม่พอจึงได้แต่ทนปวดใจเช่นนี้ทุกครั้งไป เฮ้อ…เฮ้ออ…เฮ้อออ…
ราชามังกรมาถึง พอเห็นลูกชายเขาก็ไม่ไปนั่งที่โต๊ะที่เทียนจวินจัดให้ กลับไปนั่งเบียดอยู่ข้างๆ ลูกชาย พยายามที่จะสานสัมพันธ์กับลูกชายอย่างยิ่ง หลงจิ่งเทียนก็คุยกับท่านพ่อแบบถามคำตอบคำ ตำแหน่งองค์รัชทายาทที่เขาครองอยู่นั้นก็เป็นเพราะเขาเป็นถึงผู้อาวุโสของสำนักโอสถอย่างไรล่ะ อีกทั้งยังเป็นน้องชายบุณธรรมของตี้โฮ่ว หากไม่ใช่เพราะ 2 อย่างนี้ท่านพ่อที่คิดถึงแต่ผลประโยชน์จะยอมมอบตำแหน่งนี้ให้เขาหรือ หึ!
ราชามังกรแม้จะเคืองใจเจ้าลูกชายคนนี้ขนาดไหนเขาก็จำต้องอดทนเอาไว้ เพื่อผลประโยชน์ของเผ่ามังกรในอนาคตอย่างไรล่ะ
จินเย่ก็กระซิบเล่าเรื่องราวของราชาเฟิ่งกับราชามังกรให้เฉินมู่อิ๋งรับรู้คร่าวๆ เฉินมู่อิ๋งฟังเงียบๆ พอสบโอกาสก็แอบถามว่า “พระชายาเฮยหลงจะมางานนี้ด้วยไหมพี่จินเย่?”
“ไม่รู้ซิ นางอาจจะมาหรืออาจจะไม่มาก็ได้” จินเย่ตอบ เฉินมู่อิ๋งจึงได้แต่คาดหวังว่าพี่สาวมังกรจะมางานนี้ด้วย เขาอยากเจอนางจริงๆ จะได้ฝากนางไปบอกอาจารย์ทั้งสองว่าเขาอยู่สุขสบายดี
ราชามังกรเห็นลูกชายมองเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างๆ จินเย่บ่อยครั้ง เขาจึงมองเด็กหนุ่มคนนั้นมากหน่อย
เพราะสายตาที่เจ้าลูกชายมองเด็กหนุ่มคนนั้นคล้ายกับบุรุษที่มองสตรีที่ตัวเองแอบชอบอย่างไรอย่างนั้น ทำให้ราชามังกรแอบตกใจอยู่ในใจ หรือว่ามันจะเป็นต้วนซิ่ว! ไม่นะๆ องค์รัชทายาทเผ่าข้าจะเป็นต้วนซิ่วไม่ได้นะ!
“นั่นใครรึ?” ราชามังกรกระซิบถามลูก หลงจิ่งเทียนตอบ “เฉินมู่อิ๋ง”
“เขาเป็นใครรึ?” ราชามังกรถามอีก หลงจิ่งเทียนตอบ “เป็นเทพ”
วะ! ตอบเช่นนี้น่าตบกบาลจริงๆ! ราชามังกรสบถอยู่ในใจ ข่มความรู้สึกอยากตบกบาลลูกชายเอาไว้ ราชาเฟิ่งมองเด็กหนุ่มข้างจินเย่แล้วกระซิบถาม “ใครรึ?”
“อ่อ เขาชื่อเฉินมู่อิ๋งเป็นศิษย์ของเจ้ใหญ่น่ะ” เสี่ยวเฟิ่งตอบ ราชาเฟิ่งพยักหน้ารับรู้ “อ่อ”
ราชามังกรที่ได้ยินองค์รัชทายาทเฟิ่งหวงตอบเช่นนั้นก็สนใจเด็กหนุ่มคนนั้นขึ้นมา เป็นศิษย์ของตี้โฮ่วงั้นรึ? อืม…หือ?
เขาทำจมูกสูดกลิ่น ฟุดฟิดๆ เพราะได้กลิ่นอายสตรีจากเด็กหนุ่มคนนั้น เขาสูดๆ กลิ่นอีก จนแน่ใจว่ากลิ่นอายเป็นสตรีจริงๆ ก็รู้สึกโล่งอกขึ้นมา ที่แท้ลูกข้าก็ไม่ได้เป็นต้วนซิ่ว เฮ้อ…
เขาลอบมองเด็กสาวในคราบเด็กหนุ่มมากหน่อย เฉินมู่อิ๋งรู้สึกว่าถูกมองจึงหันไปมอง เห็นราชามังกรมองมาเขาจึงค้อมศีรษะให้นิดหนึ่งแทนการคารวะ ราชามังกรหน้าตึงขึ้นมา ถึงอย่างไรเขาก็เป็นราชามังกรที่ผู้คนเคารพนบนอบและเกรงกลัวไปทั่วทิศเชียวนะ แต่ดูเจ้าเด็กนั่นทำซิ กริยาช่างเย่อหยิ่งจองหองยิ่งนัก มันก็เย่อหยิ่งเหมือนตี้โฮ่วนั่นแหละที่ไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา หึ!
หยางเจียงหยุนที่ปลอมตัวเป็นทหารยาม ยืนอยู่ในท้องพระโรงที่จัดงานเลี้ยง เขาลอบมองผู้คนที่มาร่วมงานอย่างพินิจพิจารณา การที่เขาเสี่ยงปลอมตัวมาเช่นนี้ก็เพราะโอกาสแบบนี้ไม่ได้มีบ่อยๆ นัก เขาอยากเห็นผู้แข็งแกร่งของแดนเทพที่มารวมตัวกันในงานนี้ เขาลอบมองราชาแดนเทพทั้ง 4 แดนที่มาถึงก่อนคนอื่นๆ เขามองคนติดตามของราชาเทพเหล่านั้นอย่างต้องการจดจำเอาไว้ แน่นอนว่าคนที่ติดตามราชาเทพทั้ง 4 ดินแดนได้ย่อมไม่ใช่คนระดับล่างแน่นอน
เขาเห็นคนทยอยมาเรื่อยๆ เขาจับตาดูไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเห็นตี้จวินผู้แข็งแกร่งที่สุดของแดนเทพ เขายิ่งเก็บซ่อนกลิ่นอายเสียจนมิดชิดยิ่ง เขามองผู้ติดตามของตี้จวินแล้วก็ได้เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยอีกครั้ง ใบหน้านั้นทำให้เขาตกใจ ตกตะลึงเสียจนอึ้งงันไป เป็นเจ้าเด็กมนุษย์เฉินมู่อิ๋งคนนั้น!
กว่าเขาจะหายตกตะลึงก็ผ่านไปพักใหญ่ทีเดียว เขาลอบมองมัน เห็นไอเทพจางๆ รอบๆ ตัวมันจึงรู้ว่ามันเป็นเทพคนหนึ่ง ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาๆ อีกทั้งมนุษย์ธรรมดาหรือจะอยู่ที่นี่ได้ พลังกดดันของที่นี่หากว่าไม่ใช่เทพหรือมีพลังเทียบเท่ากับเทพ ร่างได้แหลกละเอียดเป็นผุยผงแน่! เขาลอบมองมันแทบจะไม่ละสายตาเลยทีเดียว เห็นมันนั่งอยู่ข้างๆ สตรีนางหนึ่งที่มีความงดงามไม่น้อยทีเดียว ทั้งสองคุยกันดูท่าทางสนิทสนมกันยิ่ง! เขาอยากรู้เกี่ยวกับมันยิ่งนัก แต่เขาก็ไม่อาจถามคนอื่นได้ เพราะเขาในตอนนี้เป็นทหารยาม หากทำอะไรที่มีพิรุธขึ้นมา เกรงว่าคงถูกจับได้แน่นอน เขาได้แต่ฟังคนอื่นคุยกัน
“เอ๋? เด็กหนุ่มข้างผู้อาวุโสจินเย่นั่นใครรึ?” มีคนหนึ่งในงานแอบถามสหายอย่างสงสัยใคร่รู้ สหายใกล้ๆ ก็ส่ายหน้า “ไม่รู้เหมือนกัน ไม่เคยเห็นหน้าเลย ช่างหล่อเหลายิ่งนัก”
“นั่นซิ เจ้าดูพวกนางกำนัลซิ พวกนางมองเจ้าหนุ่มนั้นตาปรอยทีเดียว”
“หรือว่าจะเป็นศิษย์น้องร่วมสำนักของผู้อาวุโส?”
“อาจจะใช่กระมัง”
ฯลฯ ผู้คนแอบกระซิบคุยกัน หยางเจียงหยุนก็ฟังอย่างอยากรู้ยิ่ง!
Chapter 8
งานประลองหลอมโอสถ
แต่จนแล้วจนรอดหยางเจียงหยุนก็ยังไม่ได้ข้อมูลอะไรเกี่ยวกับเทพคนนั้นที่หน้าตาเหมือนเด็กมนุษย์เฉินมู่อิ๋งเลย จนกระทั่งเขาเห็นมันลุกขึ้นแล้วเดินออกไปจากท้องพระโรงอย่างเงียบๆ เขาจึงรีบฉวยโอกาสบอกทหารยามข้างๆ ว่า “ข้าจะไปปลดทุกข์สักครู่”
“อืมๆ” ทหารข้างๆ พยักหน้าหงึกๆ “รีบไปรีบมา”
“อืม” หยางเจียงหยุนพยักหน้ารับแล้วเดินออกไปจากท้องพระโรง เขาลอบตามเด็กหนุ่มคนนั้นไป
“เฮ้อ…” เฉินมู่อิ๋งถอนหายใจทีหนึ่งหลังจากเดินออกมาจากท้องพระโรงใหญ่โตแล้ว เขาถูกคนในงานเลี้ยงจับตามองเสียจนเขารู้สึกอึดอัดเลยทีเดียว ขณะที่เดินผ่านพวกนางกำนัลทั้งหลายพวกนางก็ชม้ายชายตาให้เขา เขาได้แต่ยิ้มแห้งๆ ให้พวกนาง เขาเดินไปจนถึงสวนดอกไม้ร่มรื่นงดงามจึงยืนมองสวนแห่งนั้นอย่างรู้สึกสบายใจ
เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ จนกระทั่งเขารู้สึกว่ามีคนมายืนมองเขาอยู่ เขาจึงหันไปมองเห็นทหารคนหนึ่งสวมหมวกเกราะปิดหน้าเห็นแต่ลูกตา เขาจึงมองทหารคนนั้น หยางเจียงหยุนก็มองเด็กหนุ่มที่หน้าตาเหมือนเด็กมนุษย์เฉินมู่อิ๋งคนนั้นอย่างไม่ละสายตา เหมือนมาก! เหมือนมากจริงๆ! ใบหน้านั้นมองอย่างไรก็เหมือนเจ้าเด็กคนนั้นไม่มีผิด!
ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา หรือว่าเจ้าเด็กคนนั้นจะเป็นร่างเคราะห์ของเทพคนนี้?
ใช่ แดนเทพมีวิธีการเลี่ยงเคราะห์กรรมด้วยการส่งร่างแยกไปกำเนิดในโลกมนุษย์ ให้ร่างแยกนั้นเผชิญเคราะห์กรรมแทนร่างจริง เขาคิดถึงข้อนี้แล้วก็รู้สึกว่าเป็นไปได้มากทีเดียว
“เฉินมู่อิ๋ง” เขาลองเรียกชื่อ เฉินมู่อิ๋งเลิกคิ้วขึ้นคล้ายกับจะถามว่า ‘มีอะไร?’
หยางเจียงหยุนใจเต้นตึกๆ ขึ้นมา ท่าทางเช่นนั้นเหมือนเจ้าเด็กมนุษย์เฉินมู่อิ๋งไม่มีผิดเพี้ยน! ท่าทางอหังการราวกับว่า ‘ข้าเหนือกว่าคนอื่น’ นั่นเขาจำได้ดีทีเดียว ตอนที่เขาเป็นองค์รัชทายาทอยู่ในโลกมนุษย์มันก็ทำท่าทางเช่นนี้ใส่เขาตลอด ทำให้เขาเกลียดมันยิ่งนัก อีกทั้งเสด็จพ่อก็แสนจะเอ็นดูมันราวกับมันเป็นลูกแท้ๆ ยิ่งทำให้เขาเกลียดมันเข้ากระดูกดำ เกลียดจนเกิดเป็นวิญญาณอาฆาตขึ้นมา แล้วน้องเก้าก็เอาหยกอันหนึ่งมาให้เขาห้อยติดตัวเอาไว้ เขาก็ห้อยติดตัวตลอดไม่เคยห่าง โดยที่ไม่รู้ว่าหยกชิ้นนั้นก็คือ ‘หยกกักปราณอาฆาต’
เขาห้อยหยกกักปราณอาฆาตติดตัวเอาไว้ ทำให้วิญญาณอาฆาตที่เกิดจากเขาถูกหยกกักปราณอาฆาตดูดกลืนเข้าไปกักขังเอาไว้ เขาไม่รู้เรื่องนี้จนกระทั่งร่างแยกตกตายไป จิตวิญญาณรวมถึงจิตบรรพกาลกลับคืนสู่ร่างหลักพร้อมกับหยกกักปราณอาฆาตชิ้นนั้น หยกชิ้นนั้นไม่เพียงแต่ดูดกลืนวิญญาณอาฆาตเข้าไปเท่านั้น กลับยังดูดกลืนวิญญาณเขาและจิตบรรพกาลไปด้วยเล็กน้อย ทำให้ตอนที่เขาส่งจิตวิญญาณไปฝึก ‘วิถีไร้รัก’ อีกครั้ง เขาจำต้องส่งหยกกักปราณอาฆาตชิ้นนั้นไปด้วย เพราะหยกดูดกลืนวิญญาณของเขากับจิตบรรพกาลเข้าไป ต่อให้เขาฝึกวิถีไร้รักสำเร็จแต่หากไม่สามารถแยกจิตบรรพกาลกับจิตของเขาในหยกชิ้นนั้นได้ การฝึกฝนวิถีไร้รักก็ไม่เกิดผลเพราะจิตบรรพกาลในหยกยังคงอยู่
เฉินมู่อิ๋งเห็นทหารคนนั้นไม่พูดอะไรเอาแต่จ้องมองเขา เขาจึงเดินไปทางอื่นเสีย หยางเจียงหยุนก้าวตามไป เฉินมู่อิ๋งหันไปมองเห็นทหารคนนั้นเดินตามเขามา เขาจึงหยุดเท้าแล้วหันไปเผชิญหน้ากับทหารคนนั้น “นี่ๆ เจ้ามีอะไรก็พูดมา เอาแต่ตามข้าเช่นนี้ทำไม?”
“แคว้นซินหยาง” หยางเจียงหยุนเอ่ยออกมา เฉินมู่อิ๋งดวงตาวูบไหวนิดหนึ่งแล้วเลิกคิ้วขึ้น “มีอะไรก็พูดๆ มา หากไม่มีอะไรจะพูดก็อย่ามารบกวนเวลาของข้า”
“เป็นเจ้าจริงๆ” หยางเจียงหยุนเอ่ยออกมาอย่างดีใจปนแค้นเคือง เฉินมู่อิ๋งจ้องมองดวงตาทหารคนนั้นแล้วถาม “เจ้ารู้จักข้าด้วยรึ? แต่ข้าไม่รู้จักเจ้า เช่นนั้นเจ้าก็เปิดหน้าให้ดูหน่อยซิ เจ้าเป็นใคร?”
“มู่ตี้! มู่ตี้! ในที่สุดข้าก็เจอเจ้าแล้ว! หึๆๆๆ…” หยางเจียงหยุนเอ่ยอย่างแค้นใจปนดีใจที่ได้เจอเจ้าเด็กมนุษย์เฉินมู่อิ๋งที่เขาตามหาแล้ว!
ความรู้สึกทั้งรัก ทั้งโกรธ ทั้งแค้น ผสมปนเปกันไปหมด มันผสมกันเสียจนเขาแทบควบคุมตัวเองไม่อยู่ เขาจึงพุ่งเข้าไปหมายคว้าลำคอเล็กๆ นั่นบีบให้แหลกคามือ! วูบ!
เฉินมู่อิ๋งก็ไวพอตัว เห็นทหารคนนั้นพุ่งมา เขาก็รีบถอยหนีทันที ทำให้มือข้างนั้นพลาดจากลำคอเขาไป
“โอ๋! ไวดีนี่” หยางเจียงหยุนเข่นเขี้ยวดวงตาวาวโรจน์ เขาพุ่งเข้าใส่อีก เฉินมู่อิ๋งก็หลบถอยห่างออกไปอย่างงงๆ เขาไม่เคยมาตำหนักเก้าชั้นฟ้า ดังนั้นจึงแน่ใจว่าไม่เคยมีเรื่องกับทหารคนนี้มาก่อน แล้วทำไมทหารคนนี้ต้องคิดร้ายกับเขาด้วยล่ะ? อีกทั้งเขามาถึงแดนเทพได้ไม่นาน ก็ยังไม่เคยมีเรื่องมีราวกับใคร ทำให้เขาคิดไม่ออกจริงๆ ว่าเคยไปมีเรื่องกับทหารคนนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่? “เจ้าเป็นใคร? ข้าแน่ใจว่าข้าไม่รู้จักเจ้า แล้วไยเจ้าต้องคิดทำร้ายข้าด้วยล่ะ?”
“หึ! เจ้าจำหยางจ้าวฉวน(杨照泉) ไม่ได้แล้วซินะ” หยางเจียงหยุนแค่นเสียงเย็นชา เฉินมู่อิ๋งเบิกตากว้างขึ้นเมื่อได้ยินชื่อที่เกือบลืมไปแล้ว “หยางจ้าวฉวน? เจ้าคือหยางจ้าวฉวนคนนั้นน่ะรึ?”
“จำได้แล้วซินะ” หยางเจียงหยุนพูดอย่างเย็นชายิ่ง ไอสังหารแผ่ออกมาจากตัวอย่างควบคุมไม่อยู่ ใช่ เขาอยากฆ่ามันยิ่งนัก ฆ่ามันแล้วบดขยี้วิญญาณมันให้แหลกเป็นจุณ!
เฉินมู่อิ๋งนึกถึงภาพสุดท้ายที่ถูกฮ่องเต้หยางจ้าวฉวนจูบแล้วบอกรัก ภาพนั้นราวกับเพิ่งเกิดขึ้นอย่างไรอย่างนั้น ทำให้เขาหน้าแดงกระอักกระอ่วนขึ้นมาเมื่อคิดว่าถูกต้วนซิ่วจูบ “เจ้าจูบข้า ซ้ำยังบอกว่ารักข้าอีกด้วย”
หยางเจียงหยุนได้ยินแล้วยิ่งโมโหจนโทสะท่วมฟ้า แน่นอนว่าเขาย่อมไม่อยากคิดถึงความรักบ้าบอนั่นอีก เขาชี้นิ้วไป “เจ้าทำให้บุรุษแท้ๆ อย่างข้าหลงรักเจ้า เจ้าสมควรตาย!”
เขาพูดแล้วก็พุ่งเข้าใส่ทันที นิ้วกางออกราวกรงเล็บหยี่ยว เฉินมู่อิ๋งก้าวหลบอย่างไวยิ่ง ด่าสวนว่า “เจ้าซิสมควรตาย ไอ้ต้วนซิ่วบัดซบที่บังอาจจูบข้า!”
เฉินมู่อิ๋งคว้าจับอย่างที่ตี้โฮ่วสอน เขาจับมือมันที่พุ่งมาแล้วจับบิดไพล่หลังทันที หยางเจียงหยุนก็แก้ด้วยกันหมุนออกแล้วคว้าจับมือข้างนั้นบิดหมุน เฉินมู่อิ๋งก็หมุนตามแก้ท่าให้หลุดจากการจับกุม ทำให้แขนเสื้อขาดดังแคว๊กกกก…
แขนเสื้อตัวนอกขาดติดมือหยางเจียงหยุนไป เฉินมู่อิ๋งก็ถอยห่างไป มองแขนเสื้อตัวเองที่ขาดออก หยางเจียงหยุนมองแขนเสื้อนั้นอย่างสะใจคล้ายกับว่าได้ฉีกแขนมันออกอย่างไรอย่างนั้น เขาเก็บแขนเสื้อข้างนั้นใส่อกเสื้อแล้วชี้นิ้วพูดว่า “ยอมตายเสียดีๆ เถอะเจ้าหนู”
“หึ! คิดเอาชีวิตข้า ไม่ง่ายนักหรอก” เฉินมู่อิ๋งแค่นเสียงเย็นชาสวนกลับ หยางเจียงหยุนพุ่งเข้าใส่อีกครั้ง เฉินมู่อิ๋งยกเท้าเตะ หยางเจียงหยุนจึงคว้าจับข้อเท้าข้างนั้นเอาไว้แล้วดึงกระชากเข้าหาตัว เฉินมู่อิ๋งจึงตั้งเข่าอีกข้างสวนไป หยางเจียงหยุนใช้แขนต้านเข่าข้างนั้น ผั๊วะ!
แล้วคว้าขาอีกข้างกระชากเข้ามาทำให้เฉินมู่อิ๋งที่ถูกจับทั้งสองขาถูกดึงไปกระแทกกับตัวของ ‘หยางจ้าวฉวน’ คนนั้น หยางเจียงหยุนดึงเฉินมู่อิ๋งเข้ามาแล้วก็ใช้สองมือโอบเอวอีกฝ่ายเอาไว้ทันที ทำให้ตัวของเฉินมู่อิ๋งคล้ายถูกอุ้มเข้ากะเอวอย่างไรอย่างนั้น เฉินมู่อิ๋งจับบ่า‘หยางจ้าวฉวน’ คนนั้นเป็นที่ยึดแล้วเอาศีรษะโขกหน้าผากอีกฝ่ายจนเสียงดัง โป๊ก!
“โอ๊ย!”
“โอ๊ย!” หยางเจียงหยุนร้องคำหนึ่ง เขาไม่ได้เจ็บมากนักเพราะมีหมวกเกราะสวมอยู่ แต่เฉินมู่อิ๋งเจ็บมากจริงๆ หน้าผากเขาบวมปูดขึ้นมาทันตา เอาศีรษะโขกหมวกเกราะไม่ใช่ความคิดที่ดีเลยจริงๆ เพียงแต่มันกะทันหันจนเขาคิดไม่ทัน เขาเจ็บเสียจนมึนไปครู่หนึ่ง หยางเจียงหยุนโอบเอวรัดเอาไว้ ตามองหน้าเฉินมู่อิ๋งที่เหยเกเพราะความเจ็บ เขาสะใจยิ่งนักที่เห็นมันเจ็บตัวเช่นนั้น แต่อีกใจก็แสนจะสงสารเสียจนรู้สึกเจ็บแทน เขายื่นมือไปจับหน้าผากที่บวมปูดนั้นคลึงเบาๆ พลางด่า “โง่จริงๆ”
เฉินมู่อิ๋งหน้างอง้ำ ปัดมือออก “เพราะใครล่ะ!”
“หึ!” หยางเจียงหยุนแค่นเสียงเย็นชา มองใบหน้างอง้ำตรงหน้าแล้วรู้สึกอารมณ์ดียิ่ง เฉินมู่อิ๋งรู้สึกถึงความคุ้นเคยกับอีกฝ่ายและมีความแปลกหน้าปนอยู่ด้วย เป็นความรู้สึก 2 สายที่ทำให้เขาไม่อาจวางใจคนตรงหน้าได้อย่างสนิทใจ คล้ายกับว่า ‘หยางจ้าวฉวน’ คนนี้ไม่ใช่ ‘หยางจ้าวฉวน’ คนนั้นที่เขารู้จักในอดีต เขาดิ้นออก “ปล่อยข้า!”
“หึ! ปล่อยเจ้ารึ ข้าไม่ปล่อยเจ้าไปหรอกเจ้าหนู” หยางเจียงหยุนแค่นเสียงเย็นชา ดวงตาสีม่วงเข้มมองจ้องดวงตาดำคู่สวยนั่น เฉินมู่อิ๋งมองดวงตาสีม่วงเข้มคู่นั้นแล้วคล้ายกับตกลงไปในโลกที่มีแต่สีม่วงเข้มอย่างไรอย่างนั้น อึดใจต่อมาเขาก็ใช้มือทารกเล็กๆ คู่นั้นต้านพลังบางอย่างที่แผ่ออกมาจากดวงตาสีม่วงคู่นั้น ทำให้เขาคล้ายกับตะเกียกตะกายหลุดออกมาจากโลกสีม่วงเข้มอย่างไรอย่างนั้น เขายันอก ‘หยางจ้าวฉวน’ คนนั้น แล้วผลักตัวเองออกพลางดีดตัวจนหลุดจากอ้อมแขนของอีกฝ่าย จากนั้นเขาก็รีบวิ่งกลับไปทางท้องพระโรงทันที
หยางเจียงหยุนเห็นเฉินมู่อิ๋งหลุดจากอำนาจสะกดของเขา ทำให้เขาแปลกใจยิ่งนัก “เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?”
เขาจะตามไปก็ชะงักเท้าแล้วรีบเดินหนีไปทันที เพราะหากตี้จวินรู้เรื่อง ตี้จวินย่อมไม่ปล่อยเขาไปแน่นอน ดังนั้นเขาควรหลบไปก่อนแล้วค่อยหาทางฆ่าเจ้าเด็กเฉินมู่อิ๋งในโอกาสหน้าเถอะ เขาพลาดโอกาสไปเสียแล้ว ตอนที่จับมันได้เขาก็ดีใจเสียจนลืมลงมือฆ่ามันไปเสียนี่! อีกทั้งกลิ่นกายมันก็กระตุ้นเขาเสียจนมังกรใหญ่กลางกายแข็งขึงขึ้นมา ตอนที่มันดิ้นเมื่อกี้ตัวมันก็เบียดกับมังกรเขานิดหน่อย ทำให้เขาตกตะลึงจนลืมลงมือไปเสียได้! ต้องฆ่ามันให้ได้! ไม่เช่นนั้นร่างกายเขาไม่มีทางกลับไปเป็นบุรุษแท้ๆ ได้แน่! เจ้าเด็กบัดซบนั่นช่างมีพลังในการล่อลวงเขามากล้นยิ่ง! เจ้าเด็กสมควรตาย!
เฉินมู่อิ๋งรีบกลับเข้าไปในท้องพระโรง ทำให้ผู้คนหันไปมองท่าทางที่รีบเดินเข้ามาเหมือนหนีใครอย่างนั้นแหละ ราชามังกรจึงเอ่ยปากถาม “เจ้าหนีใครมาอย่างนั้นรึ?”
“รึว่าหนีพวกนางกำนัลที่จ้องเจ้าตาเป็นมัน?” ราชาเฟิ่งถามกระเซ้าเย้าแหย่ คนอื่นๆ ก็มองเฉินมู่อิ๋งเป็นตาเดียว เฉินมู่อิ๋งจึงตอบว่า “หนีคนบ้าน่ะ”
“หือ? คนบ้า?” จินเย่งงๆ เฉินมู่อิ๋งจึงโบกๆ มือ “ไม่มีอะไรหรอกพี่จินเย่ ก็แค่คนบ้าคนหนึ่งเท่านั้นเอง”
“คงไม่ใช่ว่าเจ้าไปเจอนางกำนัลคิดมิดีมิร้ายกับเจ้าอย่างที่ราชาเฟิ่งเย้ากระมัง” จินเย่กระซิบเย้าแหย่ นางเพิ่งสังเกตเห็นหน้าผากที่บวมปูดของเฉินมู่อิ๋งจึงยกมือแตะๆ “แล้วนี่เจ้าไปโดนอะไรมา?”
“ตอนสู้กันเมื่อครู่ข้าโขกหัวมันไปทีนึงน่ะ เจ็บยิ่งนัก” เฉินมู่อิ๋งพูดพลางเอาโอสถออกมากินลงไป 1 เม็ด หน้าผากที่บวมปูดก็ค่อยๆ ยุบลงไปนิดหนึ่ง
“ถึงกับสู้กันเชียวรึ?” ตี้โฮ่วถาม เฉินมู่อิ๋งพยักหน้า “ขอรับ”
ตี้จวินกวาดตามองเฉินมู่อิ๋งทีหนึ่ง เขารู้สึกถึงกลิ่นอายวิญญาณที่แตกต่างจากกลิ่นอายของเฉินมู่อิ๋งจึงเอ่ยเสียงเบากับตี้โฮ่ว “ข้ารู้สึกถึงเผ่าวิญญาณคนอื่น เดี๋ยวข้าไปดูสักหน่อย เจ้าก็อยู่รับหน้าเทียนจวินไปล่ะกัน”
“อืม” ตี้โฮ่วรับคำ ตี้จวินจึงลุกออกไป ผู้คนมองตี้จวินเป็นตาเดียว เห็นท่านผู้ยิ่งใหญ่เสด็จออกไปพวกเขาก็ไม่กล้าถาม เห็นตี้โฮ่วยังนั่งอยู่ตรงนั้นพวกเขาจึงคิดว่าตี้จวินอาจจะออกไปเดินเล่นสักหน่อยกระมัง
ตี้จวินเดินออกไป ตามกลิ่นอายของเฉินมู่อิ๋งไปจนกระทั่งถึงจุดที่สัมผัสกลิ่นอายได้เป็นจุดสุดท้ายซึ่งก็คือในสวนดอกไม้ด้านนอกท้องพระโรง เขาแผ่ประสาทสัมผัสออกไปครู่หนึ่งแล้วก็เก็บประสาทสัมผัสกลับมา เขาเดินไปทางพุ่มไม้แห่งหนึ่งแล้วก็เจอชุดเกราะชุดหนึ่งซ่อนอยู่ตรงนั้น กลิ่นอายสิ้นสุดแค่ตรงนี้ เขาไม่พบกลิ่นอายอีก เขาใช้พลังกวาดผ่านชุดเกราะชุดนั้นพบกลิ่นอายเผ่าวิญญาณที่เข้มข้นกว่าเฉินมู่อิ๋งหลายเท่าตัว กลิ่นอายนี้เจือไอสังหารจางๆ ทำให้เขานึกแปลกใจ เด็กเฉินมู่อิ๋งถูกหมายหัวหรือนี่!?
จากคำพูดของเด็กคนนั้นที่บอกว่าเป็น ‘คนบ้า’ น่าจะเป็นคนรู้จัก เช่นนั้นก็อาจจะเป็นศัตรูของเด็กคนนั้นกระมัง
เขาคิดแล้วก็เก็บชุดเกราะชุดนั้นไป แล้วเดินกลับไปที่ท้องพระโรง แน่นอนว่าเขาไม่อยากอยู่ห่างจากฮูหยินของเขานักหรอก ไม่เช่นนั้นนางคงถูกบุรุษอื่นชวนคุยแน่นอน แต่เมื่อเขากลับไปถึงท้องพระโรงก็เห็นเพียงนางคุยกับเทียนโฮ่วอย่างออกรสตามประสาคนบ้านเดียวกัน เขาจึงกลับไปนั่งข้างๆ นาง ตี้โฮ่วเหลือบมองสามีแวบหนึ่งแล้วคุยกับเทียนโฮ่วต่อ
หยางเจียงหยุนที่ซ่อนตัวอยู่ในมุมหนึ่ง มองตี้จวินที่เก็บชุดเกราะชุดนั้นไป เขาคิดถูกจริงๆ ที่ไม่ตามเจ้าเด็กนั่นไป ไม่เช่นนั้นคงถูกตี้จวินพบตัวแน่! ตี้จวินก็ยังคงเป็นยอดฝีมือผู้แข็งแกร่งอยู่ดี อีกทั้งความรู้สึกยังไวยิ่งนัก แค่เขาตีกับคนในปกครองของตี้จวินหน่อยเดียวตี้จวินก็ตามมาดูแล้ว ซ้ำยังตามรอยได้แม่นยำยิ่ง ทำให้เขายิ่งแน่ใจว่าเจ้าเด็กเฉินมู่อิ๋งคนนั้นในโลกมนุษย์คือร่างเคราะห์ของเด็กเฉินมู่อิ๋งคนนี้แน่นอน!
เป็นเพราะมันคนเดียวถึงทำให้แผนการของเขาที่วางเอาไว้ล้มเหลว เขาจะต้องฆ่ามันให้ได้! ฮึ่ม!
งานเลี้ยงดำเนินไปเรื่อยๆ หลังออกจากงานเลี้ยงแล้ว ตี้จวินก็ฉีกช่องว่างพาทุกคนกลับตำหนักไป๋หยุน ผู้คนก็จดจำเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนนั้นเพิ่มเข้าไปในรายชื่อบุคคลที่ไม่ควรล่วงเกินของแดนเทพ แน่นอนว่าพวกเขาย่อมไม่อยากล่วงเกินคนของตี้จวินแน่
เวลาผ่านไปอีก 1 เดือน สำนักโอสถก็จัดงานประลองหลอมโอสถประจำปี ตี้โฮ่วจึงต้องปลอมตัวเป็นผู้อาวุโสสิบแปดอีกครั้งแล้วพาคนของเธอไปสำนักโอสถเพื่อดูการประลองหลอมโอสถ แน่นอนว่าเธอย่อมอยากให้เฉินมู่อิ๋งเข้าร่วมงานประลองในครั้งนี้ด้วย ราชาเฟิ่งที่ตามลูกชายมาก็นั่งอยู่ข้างๆ ลูกชายอย่างไม่ยอมห่าง ส่วนราชามังกรก็ยังคงพยายามสานสัมพันธ์กับเจ้าลูกชังของเขาอย่างสุดความสามารถ หากเขารู้ว่ามันจะมีความสามารถถึงเพียงนี้ ในอดีตเขาคงไม่ปล่อยปละละเลยมันหรอก คงจะประคบประหงมจนแทบจะอมไว้ในปากกระมัง หลงจิ่งเทียนก็ยังคงคุยกับท่านพ่อแบบถามคำตอบคำเหมือนเช่นเคย จะให้เขาลืมอดีตที่ขมขื่นไปง่ายๆ ได้อย่างไร หึ!
ตี้จวินไม่ได้มาด้วย เพราะเขาขี้เกียจปลอมตัวเป็นสตรีรร่างสูงฮูหยินของผู้อาวุโสสิบแปด อีกทั้งสำนักโอสถก็แทบจะกลายเป็นสถานที่ที่ฮูหยินของเขาแทบจะกุมอำนาจแบบเบ็ดเสร็จแล้วเพราะผู้อาวุโสทั้งหลายเกือบครึ่งล้วนเป็นคนของนาง อีกทั้งเจ้าสำนักโอสถหรือจะกล้าสร้างความลำบากใจให้ตี้โฮ่ว แน่นอนว่าเจ้าสำนักโอสถย่อมมิกล้า
เฉินมู่อิ๋งที่สวมคราบใบหน้าปลอมแปลงเอาไว้ก็เข้าร่วมการประลองในฐานะศิษย์ขั้นต้น เขาไม่ได้บอกใครเรื่องที่เขาเป็นศิษย์ผู้อาวุโสสิบแปด อีกทั้งเขาก็ยังไม่รู้จักใครมากนัก ดังนั้นการที่เขาหายไปหลายเดือนจึงไม่มีใครสนใจ ตี้โฮ่วหลินจื่อเซียนในคราบผู้อาวุโสสิบแปดก็นั่งอยู่ที่เก้าอี้รวมกับพวกพ้องของตัวเอง เจ้าสำนักโอสถเห็นตี้โฮ่วในคราบผู้อาวุโสสิบแปดก็รีบเข้าไปนั่งใกล้ๆ ทันที “เจ้าหายไปเสียนานเชียว”
“ท่านเจ้าสำนัก” ตี้โฮ่วทักทายพลางยิ้มให้ เจ้าสำนักโอสถก็ชวนคุยไปเรื่อย ตี้โฮ่วก็คุยกับเจ้าสำนักอย่างเป็นกันเอง
อู๋เจียงสง (吴江雄) เดินไปยืนบนลานพลางประกาศว่า “เอาล่ะ การประลองเริ่มได้”
สิ้นเสียงประกาศ ผู้เข้าประลองก็ลงมือหลอมโอสถทันที หลายๆ คนมีสีหน้ากระเหี้ยนกระหือรือยิ่ง เพราะหวังจะเป็นผู้ชนะในการประลอง เฉินมู่อิ๋งสีหน้าเฉยชา เขาเอาสมุนไพรออกมาวางแล้วลงมือหลอมโอสถ ผู้คนที่ชมดูก็กวาดตามองเหล่าศิษย์ที่กำลังหลอมโอสถ
“หือ?” เจ้าสำนักโอสถมองเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังหลอมโอสถโดยไม่มีหม้อหลอม เขาพึมพำกับตัวเอง “เด็กคนนั้น”
ตี้โฮ่วเห็นเจ้าสำนักมองเฉินมู่อิ๋งก็ไม่พูดอะไร เพียงยิ้มน้อยๆ มองดูเฉินมู่อิ๋งหลอมโอสถ
อาจารย์ในสำนักหลายๆ คนก็มองเด็กเฉินมู่อิ๋งที่หลอมโอสถโดยไม่ใช้หม้อหลอม ความสามารถเช่นนี้นับว่ามีพรสวรรค์ยิ่ง ทำให้พวกเขาเกิดความคิดอยากจะรับเจ้าหนูนี่เป็นศิษย์ขึ้นมา ตอนเปิดรับศิษย์เข้าสำนักในตอนนั้นพวกเขาเห็นเด็กนั่นคุยกับผู้อาวุโสสิบแปดทำให้พวกเขาลืมเรื่องที่จะรับเด็กคนนี้เป็นศิษย์ไปชั่วคราว อีกทั้งช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาก็ไม่เจอเด็กคนนี้เลย ทำให้พวกเขาลืมเด็กคนนี้ไปแล้ว
จิงจ้านที่สืบข่าวเด็กเซียนเฉินมู่อิ๋ง เขาอยู่ในหมู่ผู้คนนอกสำนักที่มาดูการประลองหลอมโอสถ เขามองไปเห็นเด็กหนุ่มที่หน้าตาเหมือนกับเด็กเฉินมู่อิ๋งที่เขาตามหาตัวอยู่ก็ตกตะลึงในใจ “เป็นมัน!”
เขาจ้องมองเด็กคนนั้นเขม็ง มองอย่างไรก็ใช่เด็กเซียนเฉินมู่อิ๋งจริงๆ เขาตามหาตัวมันมาตั้งนาน บทจะเจอก็เจอง่ายๆ อย่างนี้เลยรึ!
ส่วนองค์ราชาของเขานั้นได้ข่าวว่าเจอเด็กมนุษย์เฉินมู่อิ๋งคนนั้นแล้ว องค์ราชาจึงได้เฝ้าอยู่แถวตำหนักไป๋หยุนเพื่อหาทางฆ่าเจ้าเด็กนั่นให้ได้ เท่าที่องค์ราชาบอก ดูเหมือนว่าเจ้าเด็กมนุษย์นั่นจะเป็นร่างเคราะห์ของเทพบริวารคนหนึ่งของตี้จวิน ในเมื่อมันเป็นเทพบริวารของตี้จวินเช่นนั้นการจะฆ่ามันก็คงไม่ง่ายนัก จะฆ่าตรงๆ ทำแบบเปิดเผยไม่ได้ ทำได้เพียงลอบฆ่าอย่างลับๆ ไม่ให้ตี้จวินรู้ เพราะหากตี้จวินรู้เข้าตี้จวินคงแก้แค้นให้ลูกน้องของเขาแน่นอน เจ้าเด็กเฉินมู่อิ๋งนั่นช่างเป็น ‘ผีเล็กผีน้อย*’ ที่มีนายคุ้มหัวจริงๆ!!!
(ผีเล็กผีน้อย หมายถึงคนที่มีเจ้านายผู้ยิ่งใหญ่คุ้มหัว ทำให้คนอื่นไม่กล้าทำร้ายเพราะกลัวว่าเจ้านายของคนๆ นั้นจะตามมาล้างแค้นให้ลูกน้องตัวเอง)
ส่วนเจ้าเด็กเฉินมู่อิ๋งคนนี้ แน่นอนว่าเขาต้องหาทางจับมันไปให้องค์ราชาให้ได้!
เฉินมู่อิ๋งที่กำลังจดจ่อกับการหลอมโอสถจึงไม่รู้สึกถึงความอาฆาตมาดร้ายที่พุ่งมาที่เขา อีกทั้งจิงจ้านก็รีบซ่อนความรู้สึกอาฆาตมาดร้ายเอาไว้ได้ทัน เขาอยู่ท่ามกลางเหล่าเทพ ไม่อาจประมาทได้เลย เขามองมันซ่อนความอาฆาตมาดร้ายเอาไว้ มองดูมันอย่างหาโอกาสจับตัวมัน!
การหลอมโอสถ สำหรับคนนอกแล้วดูเหมือนน่าเบื่อ แต่สำหรับคนในสำนักแล้ว พวกเขาเฝ้ามองอย่างตื่นเต้นเพราะคนที่เข้าร่วมประลองล้วนเป็นคนมีฝีมือของสำนักทั้งนั้น อาจจะมีศิษย์บางคนที่ฝีมือไม่ถึงแต่อยากลองเข้าร่วมประลองด้วยทางสำนักก็ไม่มีกฎห้าม ดังนั้นบนลานประลองจึงมีศิษย์บางคนที่หลอมโอสถล้มเหลวตั้งแต่เริ่มต้น กลิ่นสมุนไพรไหม้โชยชายออกมา ตามด้วยเสียงร้อง “ไอหยา! โอสถข้า!”
ผู้คนมองดูศิษย์ที่หลอมโอสถล้มเหลวแล้วก็ละสายตาไปทันทีอย่างไม่ให้ค่าอะไร ศิษย์ที่หลอมโอสถล้มเหลวก็เก็บข้าวของแล้วเดินออกไปอย่างคอตก เมื่อมีคนหนึ่งล้มเหลวก็มีคนต่อๆ ไปล้มเหลวมากขึ้นเรื่อยๆ บางคนถึงกับทำหม้อหลอมระเบิดก็มี ตู้ม!
“ไอหยา!” ศิษย์คนนั้นถอยหลบได้ทันจึงไม่ได้รับบาดเจ็บมากนัก เพียงแต่ถูกควันรมเสียจนหน้าเปื้อนเขม่าดำไปทั้งหน้า หลังจากเหตุการณ์สงบดีแล้วเขาก็เก็บของออกไปจากลานประลองอย่างคอตกยิ่ง
เวลาผ่านไป 4 ชั่วโมง หลายๆ คนหลอมโอสถเสร็จแล้วก็ออกจากลานไป ทิ้งโอสถไว้ในจานรอการตรวจสอบจากผู้อาวุโสทั้งหลาย
เฉินมู่อิ๋งซึ่งกำลังหลอมโอสถอยู่ก็ไม่วอกแวกเลยแม้แต่น้อย เขากำลังเข้าสู่การตระหนักรู้ชนิดหนึ่ง สมุนไพรทั้งหมดกำลังบีบอัดเป็นเม็ดกลมๆ เปล่งประกายสีทองสว่างจ้าออกมา แสงสีทองนี้ทำให้อาจารย์หลายๆ คนมองไปถึงกับตกตะลึง “นั่น!”
พวกศิษย์เห็นอาจารย์ตกตะลึงก็มองตาม “หือ?”
“โอ ดูท่าจะมีอัจฉริยะอีกคนแล้วกระมัง” เจ้าสำนักโอสถพูดขึ้นมา มองเด็กหนุ่มคนนั้นอย่างชื่นชม ตี้โฮ่วยิ้มบางๆ หากว่าเฉินมู่อิ๋งหลอมโอสถเม็ดนี้สำเร็จก็จะบรรลุระดับโอสถสวรรค์แล้ว เด็กคนนี้หัวไวดีจริงๆ เธอสอนแค่ไม่เท่าไหร่ก็บรรลุระดับจากโอสถเซียนเข้าสู่ระดับปฐพีใน 1 เดือน เดือนถัดมาก็บรรลุจากระดับปฐพีเข้าสู่ระดับนภาแล้ว นี่ผ่านไปไม่เท่าไหร่ก็จะบรรลุเข้าสู่ระดับสวรรค์แล้วรึ! เก่งจริงๆ ดีๆๆ
เม็ดโอสถรวมตัวอัดแน่นเป็นเม็ดกลมๆ เปล่งแสงสีทองสว่างเรืองรอง เฉินมู่อิ๋งก็สะบัดมือทีหนึ่ง เม็ดโอสถก็ลอยลงไปในจาน พวกอาจารย์มองโอสถเม็ดนั้นอย่างตกตะลึงกันถ้วนหน้า “เป็นโอสถระดับสวรรค์!”
“หา!” พวกศิษย์ตกตะลึงจนปากอ้าตาค้าง มองโอสถเม็ดนั้นที่เปล่งแสงสีทองอย่างไม่อยากจะเชื่อ ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่เคยเห็นโอสถระดับสวรรค์ แต่ที่ไม่อยากเชื่อก็คือเด็กคนนั้นเพิ่งจะเข้าสำนักมาไม่นานไม่ใช่หรือ? ไม่ทันไรก็หลอมโอสถระดับสวรรค์ได้แล้วรึ!? ความสามารถเช่นนี้ช่างทำให้พวกศิษย์หน้าเก่าทั้งหลายรู้สึกละอายใจยิ่ง พวกเขาอยู่มานานแล้วบางคนจากโอสถระดับมนุษย์ก็ยังไม่มีความคืบหน้าอะไรเลย บางคนจากโอสถระดับปฐพีก็ยังไม่อาจเลื่อนขั้นเป็นระดับนภาได้เลย
“โอ เด็กคนนี้มีพรสวรรค์ดียิ่ง ข้าอยากรับเขาเป็นศิษย์” ผู้อาวุโสท่านหนึ่งเอ่ยออกมา ตี้โฮ่วหันไปมองผู้อาวุโสท่านนั้นแล้วบอกว่า “เขาเป็นศิษย์ข้า”
“หา!” ผู้อาวุโสท่านนั้นตกตะลึงจนปากอ้าตาค้าง คนอื่นๆ ก็ตกตะลึงเช่นกัน พวกเขาคิดในใจว่า ผู้อาวุโสสิบแปดรับเด็กคนนั้นเป็นศิษย์ตั้งแต่ตอนไหน? แล้วพวกเขาก็ย้อนคิดไปถึงตอนที่เปิดรับศิษย์เมื่อหลายเดือนก่อน จำได้ว่าผู้อาวุโสสิบแปดคุยกับเด็กคนนั้นครู่หนึ่งนี่นา!
Chapter 9
ราชันศาสตรา
หรือว่าจะเป็นตั้งแต่ตอนนั้น!?
ไอหยา! เจ้าหนูหลินนี่ไวจริงๆ! เก็บศิษย์อัจฉริยะไปก่อนพวกเขาเสียแล้ว!
บรรดาผู้อาวุโสทั้งหลายล้วนรู้สึกเสียดายกันถ้วนหน้า ที่ถูกเจ้าหนูหลินผู้อาวุโสสิบแปดรับศิษย์อัจฉริยะไปก่อนพวกเขา มิน่าล่ะพวกเจ้าหนูหลินถึงได้พากันมาดูงานประลอง ที่แท้ก็มาให้กำลังใจเจ้าศิษย์คนนั้นนี่เอง
“เจ้าหนู มานี่มา” เจ้าสำนักโอสถกวักมือเรียก เฉินมู่อิ๋งเห็นเจ้าสำนักกวักมือเรียกตัวเองจึงเดินไปหา เขากุมมือคารวะเจ้าสำนัก “ท่านเจ้าสำนัก”
“เอ้า” เจ้าสำนักยื่นป้ายหยกสีน้ำเงิน* กับสีเหลือง** ให้ เฉินมู่อิ๋งรับมา “ขอบคุณขอรับ”
(สีป้ายหยกศิษย์สำนักโอสถ
สีดำ=ศิษย์เข้าใหม่
สีน้ำตาล=ศิษย์ปฐพี หลอมโอสถระดับปฐพีได้
สีฟ้าคราม=ศิษย์นภา หลอมโอสถระดับนภาได้
สีน้ำเงินเข้ม=ศิษย์สวรรค์ หลอมโอสถระดับสวรรค์ได้
สีเหลือง=ผู้อาวุโส หลอมโอสถระดับสวรรค์ได้
สีทอง=เจ้าสำนัก)
“ตั้งแต่นี้ไป เจ้าคือผู้อาวุโสคนที่ยี่สิบสี่ของสำนักโอสถ” เจ้าสำนักบอกคล้ายกับจะประกาศกลายๆ แล้วบอกผู้อาวุโสยี่สิบสี่ที่ได้รับตำแหน่งหมาดๆ ว่า “เจ้าหยดเลือดเจ้าลงบนป้ายหยกทั้งสองซิ”
“ขอรับ” เฉินมู่อิ๋งรับคำแล้วหยิบเข็มออกมาจิ้มปลายนิ้วตัวเองให้เลือดไหล เขาหยดเลือดลงบนป้ายหยกทั้งสองอัน ป้ายหยกก็เปล่งแสงสีน้ำเงินกับสีเหลืองออกมาแวบหนึ่ง บนป้ายสีน้ำเงินก็ปรากฎชื่อขึ้นมา ‘เฉินมู่อิ๋ง’ กับ ‘ศิษย์ระดับสวรรค์’ ส่วนป้ายสีเหลืองก็ปรากฎชื่อเช่นกัน ‘เฉินมู่อิ๋ง’ กับ ‘ผู้อาวุโสยี่สิบสี่’
“ป้ายสองอันนี้ เจ้าเลือกใช้ตามสะดวกเถอะ” เจ้าสำนักบอก เฉินมู่อิ๋งยิ้มแล้วพูดขอบคุณ “ขอบคุณขอรับ”
“ไปนั่งพักก่อนเถอะ” ตี้โฮ่วในคราบผู้อาวุโสสิบแปดบอก เฉินมู่อิ๋งยิ้มให้ตี้โฮ่วแล้วเดินไปนั่งข้างๆ พี่จินเย่ จินเย่ก็ถาม “เป็นอย่างไร? เหนื่อยมากไหม?”
“พอทนได้” เฉินมู่อิ๋งตอบแล้วเอาน้ำออกมาดื่ม จากนั้นก็นั่งดูศิษย์คนอื่นๆ ที่ยังหลอมโอสถไม่เสร็จ เขาก็ไม่คิดว่าตัวเองจะสามารถหลอมโอสถระดับสวรรค์ออกมาได้
“ยินดีด้วยๆ” เสี่ยงเฟิ่งบอกพลางยิ้มแย้มให้ หลงจิ่งเทียนก็เอ่ยเช่นกัน “ยินดีด้วย”
“ขอบคุณ” เฉินมู่อิ๋งยิ้มให้องค์รัชทายาททั้งสอง หลงจิ่งเทียนรู้สึกใจเต้นตึกๆ จนต้องเบนสายตาไปมองทางอื่น ใช่! เขาชอบนางตั้งแต่แรกเห็นใบหน้าแท้จริงของนางแล้ว ความชอบนี้นับวันก็เพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เขาพยายามหาโอกาสใกล้ชิดนางมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว เสี่ยวเฟิ่งก็ดูออกว่าสหายชอบแม่นางเฉิน เมื่ออยู่กันตามลำพังทีไรเขาก็มักจะเย้าแหย่เจ้ามังกรหน้าตายนี่เสมอ เขายกแขนวางบนบ่าหลงจิ่งเทียน ยักคิ้วล้อ หลงจิ่งเทียนก็มองสหายทีหนึ่งแล้วทำหน้าเฉย
เวลาผ่านไป ในที่สุดศิษย์บนลานประลองก็หลอมโอสถเสร็จสิ้น ยังไม่มีใครหลอมโอสถระดับสวรรค์ได้เหมือนเช่นผู้อาวุโสยี่สิบสี่ ทำให้อันดับหนึ่งในการประลองครั้งนี้ตกเป็นของผู้อาวุโสยี่สิบสี่ไปโดยปริยาย พวกศิษย์ทั้งหลายที่พ่ายแพ้ไปล้วนทำหน้าตามุ่งมั่นยิ่งนัก
แน่นอนว่าพวกเขาย่อมคิดจะกลับไปฝึกฝนให้หนักๆ จะต้องทะลวงระดับให้ได้! จะยอมน้อยหน้าศิษย์ขั้นต้นที่เลื่อนระดับไปจนกลายเป็นผู้อาวุโสของสำนักอีกคนได้อย่างไร! ไม่ยอม! คอยดูเถอะข้าจะต้องหลอมโอสถระดับสวรรค์ออกมาให้ได้!
รางวัลผู้ชนะในการประลองครั้งนี้จึงตกเป็นของผู้อาวุโสยี่สิบสี่กับอันดับ 2 และ 3 ตามลำดับ ส่วนเรือนพักของผู้อาวุโสยี่สิบสี่ก็ค่อยสร้างให้ในวันอื่น ซึ่งเรื่องนี้ต้องถามความเห็นของผู้อาวุโสยี่สิบสี่ก่อนว่าอยากจะสร้างเรือนตรงไหน อีกทั้งรูปแบบของเรือนชอบแบบไหน เรียกว่าปลูกเรือนตามใจผู้อยู่จริงๆ
เมื่อการประลองจบลง ผู้คนก็แยกย้ายกันไป จิงจ้านที่อยู่ในหมู่คนนอกสำนักก็เดินตามผู้คนออกจากสำนักไปเช่นกัน เขาย่อมไม่ลงมือผลีผลามใจร้อนเด็ดขาด ในเมื่อเจอตัวคนแล้ว เขาก็แค่คอยเฝ้าอยู่นอกสำนัก จับตาดูว่าเจ้าเด็กนั่นออกจากสำนักเมื่อไหร่เขาก็จะหาโอกาสจับมันไปให้องค์ราชาให้จงได้!
“เอาล่ะ พวกเราก็กลับกันเถอะ” ตี้โฮ่วบอก คนอื่นๆ ก็พยักหน้า ตี้โฮ่วเดินนำไป คนอื่นๆ ก็เดินตามไป เจ้าสำนักโอสถมองส่งตี้โฮ่วไปจนกระทั่งคนกลุ่มนั้นลับตาไปแล้วเขาจึงได้ดึงสายตากลับมามองผู้อาวุโสคนอื่นๆ ที่เหลืออยู่แล้วพูดว่า “ข้าสงสัยจริงๆ ว่าตี้…เอ่อ เจ้าหนูหลินสอนเด็กพวกนั้นอย่างไรถึงได้ทะลวงระดับกันเร็วยิ่งนัก?”
“นั่นซิ ศิษย์ข้าสอนสั่งมาตั้งนานยังไม่ทะลวงระดับเสียที เห็นทีข้าคงต้องขอเคล็ดลับจากผู้อาวุโสสิบหกกับสิบเจ็ดเสียแล้ว” ผู้อาวุโสรองพูดขึ้นมา ใช่ นับตั้งแต่ผู้อาวุโสสิบหกหลินยี่จื่อเป็นต้นไป คนเหล่านั้นล้วนเป็นพวกเดียวกันกับผู้อาวุโสสิบหกทั้งหมด ผู้อาวุโสสิบเจ็ดหลินจือหยีก็เป็นฮูหยินของผู้อาวุโสสิบหก ผู้อาวุโสสิบแปดหลินเฮ่อ(หลินจื่อเซียน)ก็เป็นลูกชายของผู้อาวุโสสิบหก ผู้อาวุโสสิบเก้ามู่เจา(จ้าวมู่)คนนั้นก็เป็นอาจารย์ของผู้อาวุโสสิบแปด ผู้อาวุโสยี่สิบฟางเฉียน(เฉินรุ่ยฟาง)ก็เป็นสหายของผู้อาวุโสสิบแปด องค์รัชทายาทเผ่าเฟิ่งกับองค์รัชทายาทเผ่ามังกรก็เป็นน้องบุญธรรมของผู้อาวุโสสิบแปด ซ้ำพวกเขายังครองตำแหน่งผู้อาวุโสยี่สิบสองกับยี่สิบสาม ส่วนผู้อาวุโสยี่สิบเอ็ดจินเย่คนนั้นก็เป็นน้องบุญธรรมของผู้อาวุโสสิบแปดอีก
“ข้าว่าเชิญผู้อาวุโสสิบหกมาสอนศิษย์ไม่ดีกว่าหรือ?” ผู้อาวุโสสามเสนอขึ้นมา ผู้อาวุโสคนอื่นๆ คิดๆ แล้วผู้อาวุโสรองก็พูดขึ้นว่า “ความคิดท่านเข้าท่า”
“อืมๆ” ผู้อาวุโสคนอื่นๆ ก็เห็นด้วย เจ้าสำนักมองผู้อาวุโสท่านอื่นๆ แล้วบอกว่า “เช่นนั้นเรื่องนี้ข้าจะลองไปคุยกับผู้อาวุโสสิบหกก่อน หากว่าเขารับก็ดี”
“เสนอหยกให้เขามากๆ หน่อย ข้าว่าเขาต้องรับแน่นอน” ผู้อาวุโสรองพูดขึ้นมา เจ้าสำนักฟังแล้วไม่พูดอะไรอีก คนอื่นๆ ไม่รู้ฐานะแท้จริงของผู้อาวุโสสิบแปด จึงคิดว่าเสนอผลประโยชน์ให้มากๆ หน่อยคนเหล่านั้นย่อมตาโตเห็นแก่ผลประโยชน์ที่จะได้รับ คงยอมรับปากมาสอนง่ายๆ แต่แท้จริงแล้วผู้อาวุโสสิบแปดก็คือตี้โฮ่ว ดังนั้นผลประโยชน์ต่างๆ ของทั้งสำนักยังไม่พอที่จะจูงใจตี้โฮ่วด้วยซ้ำ เรียกว่าต่อให้ยกสำนักให้นางไปเลย นางก็ยังไม่เห็นสำนักอยู่ในสายตาด้วยซ้ำ เจ้าสำนักคิดแล้วจึงบอกผู้อาวุโสคนอื่นๆ ว่า “เรื่องนี้ข้าจะไปคุยเอง”
“ขอรับ” ผู้อาวุโสคนอื่นๆ รับคำ เจ้าสำนักจึงเดินจากไป แน่นอนว่าเรื่องนี้เขาต้องไปคุยกับตี้โฮ่วด้วยตัวเอง เขาไม่ไว้ใจให้คนอื่นไปคุยเด็ดขาด คนอื่นไม่รู้เรื่องเดี๋ยวจะไปพูดอะไรผิดหูตี้โฮ่วเข้า นางได้โยนคนออกมาน่ะซิ ไม่ใช่ว่าตี้โฮ่วจะเอาแต่ใจจนไม่ฟังเหตุผล เพียงแต่พวกผู้อาวุโสไม่รู้ว่าเจ้าหนูหลินก็คือตี้โฮ่ว ให้พวกเขาไปคุย พวกเขาก็คิดเสนอผลประโยชน์อย่างเดียว เสนอมากๆ เท่าที่พวกเขาคิดว่ามากที่สุดแล้ว หากว่าผู้อาวุโสสิบหกไม่สนใจก็ย่อมปฏิเสธอย่างไม่แยแส จะพาลให้พวกผู้อาวุโสเกิดโมโหขึ้นมา อาจจะพูดจาอะไรผิดหูกันขึ้นมาก็ได้
ส่วนเขาไม่ได้คิดไปคุยกับผู้อาวุโสสิบหก เพราะเขามุ่งเป้าไปที่ตี้โฮ่ว คุยกับตี้โฮ่วคนเดียว ตี้โฮ่วว่าอย่างไร ผู้อาวุโสสิบหกก็ย่อมเห็นดีเห็นงามตามลูกสาวอยู่แล้ว ขนาดตี้จวินยังตามใจตี้โฮ่ว เหอๆๆๆ… เข้าทางตี้โฮ่ว เรื่องจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จก็อยู่ที่การตัดสินใจของตี้โฮ่วคนเดียว ตี้โฮ่วว่าดี คนอื่นๆ จะไม่ว่าดีตามได้อย่างไร หึๆๆๆ…
เพียงแต่เรื่องนี้ยังไม่ต้องรีบร้อน รอไว้สักสองสามวันก็ได้เดี๋ยวเขาค่อยพาช่างสร้างเรือนไปคุยกับผู้อาวุโสยี่สิบสี่
แล้วก็ถือโอกาสคุยกับตี้โฮ่วด้วยเลย หึๆๆๆ…
ตี้โฮ่วออกมาจากสำนักแล้วก็ฉีกช่องว่างพาทุกคนกลับตำหนักไป๋หยุน จิงจ้านที่คอยจับตาดูอยู่ เห็นเจ้าเด็กเฉินมู่อิ๋งคนนั้นตามคนกลุ่มหนึ่งไปเขาคิดจะแอบตามไป แต่เมื่อเห็นคนกลุ่มนั้นเข้าไปในช่องว่างที่ฉีกออกเขาจึงไม่อาจตามไปได้ เขาได้แต่เจ็บใจที่คลาดกับเจ้าเด็กนั่นเสียแล้ว! ฮึ่ม!
เทพที่ฉีกช่องว่างได้ย่อมไม่ใช่เทพระดับต่ำ คนๆ นั้นเป็นเทพระดับสูง เขาย่อมไม่อาจตามเข้าไปในช่องว่างนั้นด้วยได้ เพราะจะทำให้เทพคนนั้นรู้ตัว ในเมื่อคลาดกับเจ้าเด็กนั่นแล้วเขาจึงคิดจะไปหาองค์ราชาก่อน รายงานเรื่องที่พบเจ้าเด็กเซียนให้องค์ราชารับรู้ ถึงแม้ว่าจะคลาดกันไปแต่เขาแน่ใจว่ายังมีโอกาสที่จะตามหาตัวมันพบแน่ เพราะเขาจะกลับมาคอยเฝ้าอยู่นอกสำนักโอสถอีกครั้ง มันกลับมาเมื่อไหร่เขาก็จะเฝ้าจับตาดูมัน เขาคิดๆ แล้วก็ทิ้งร่างแยกเอาไว้ 1 ร่าง ซึ่งร่างแยกนี้ขั้นพลังอ่อนกว่าร่างจริงมาก แต่ก็เพียงพอแล้วสำหรับการจับตาดูอยู่ที่นี่ เมื่อทิ้งร่างแยกเอาไว้แล้วเขาก็เอาหยกอาคมเคลื่อนย้ายออกมาแล้วเดินไปหาที่ลับตาผู้คนบีบหยกให้แตก พลัน! ใต้เท้าเขาก็ปรากฎอาคมเคลื่อนย้ายสีม่วงขึ้นมา แสงสีม่วงสว่างวาบแล้วหายไป เมื่อแสงหายไปแล้วจิงจ้านก็ไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว ส่วนร่างแยกก็ไปเฝ้าอยู่แถวๆ ประตูสำนักโอสถ คอยเฝ้าจับตาดูเจ้าเด็กคนนั้นว่าจะกลับมาเมื่อไหร่
จิงจ้านปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าองค์ราชา หยางเจียงหยุนมองจิงจ้านสายตาเย็นชา จิงจ้านกุมมือคารวะ “องค์ราชา”
“อืม” หยางเจียงหยุนส่งเสียงคำหนึ่ง จิงจ้านจึงรายงานว่า “ข้าพบเจ้าเด็กเซียนคนนั้นแล้วขอรับ เสียดายที่คลาดกับมันตรงนอกสำนักโอสถขอรับ”
“ข้าเห็นมันแล้ว” หยางเจียงหยุนบอก จิงจ้านเลิกคิ้วขึ้นอย่างงงๆ หยางเจียงหยุนจึงบอกว่า “ก่อนเจ้ามา ข้าเห็นมันกลับมาพร้อมกับคนกลุ่มหนึ่ง แล้วก็เข้าไปในตำหนักของตี้จวินแล้ว”
ใช่ เขาเห็นตั้งแต่ที่คนกลุ่มหนึ่งออกมาจากตำหนักของตี้จวิน เห็นเทพคนหนึ่งฉีกช่องว่างแล้วคนกลุ่มนั้นก็พากันเข้าไปในช่องว่างนั้น เขาเห็นเจ้าเด็กเซียนคนนั้นอยู่ในกลุ่มคนเหล่านั้นจึงมองอย่างตะลึง แต่เขาก็ไม่อาจตามมันไปได้ เพราะจะทำให้คนเหล่านั้นรู้ตัว อีกทั้งเป้าหมายหลักของเขาก็คือเจ้าเด็กเฉินมู่อิ๋งหน้าตาหล่อเหลาคนนั้น ซึ่งมันน่าจะยังอยู่ในตำหนักไป๋หยุน เขาจึงเฝ้ารออย่างใจเย็นต่อไป จนกระทั่งเห็นเทพกลุ่มนั้นฉีกช่องว่างกลับมา เห็นเจ้าเด็กเซียนคนนั้นกลับมาด้วยเช่นกัน เห็นพวกนั้นเข้าไปในตำหนักไป๋หยุน แล้วจิงจ้านก็ใช้อาคมเคลื่อนย้ายมาพอดี
“หมายความว่าทั้งเจ้าเด็กมนุษย์ทั้งเจ้าเด็กเซียนนั่นล้วนเป็นคนของตี้จวินงั้นรึพะย่ะค่ะ?” จิงจ้านเอ่ยออกมา หยางเจียงหยุนพยักหน้า “น่าจะเป็นเช่นนั้น”
เขามองประตูตำหนักไป๋หยุนที่ปิดสนิท มองผนึกอาคมที่แข็งแกร่งยิ่งรอบๆ ตำหนักไป๋หยุน เขาสามารถทำให้ผนึกอาคมเกิดช่องโหว่พอที่จะลอบเข้าไปได้ แต่ทันทีที่ผนึกอาคมเกิดช่องโหว่ขึ้น แน่นอนว่าตี้จวินย่อมรู้ตัวทันทีเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงไม่เสี่ยงเข้าไป รอคอยให้เจ้าเด็กเฉินมู่อิ๋งออกมาจากตำหนักไป๋หยุนเอง
“เอ่อ…องค์ราชาพะย่ะค่ะ” จิงจ้านเรียกแล้วรายงานว่า “ตอนที่ข้าน้อยลอบเข้าไปในตำหนักของเทพดวงชะตา ข้าน้อยพบบันทึกของเฉินจงกุ้ยกับเฉินม่านอิ๋งสองคนนั้นด้วยพะย่ะค่ะ พวกเขาสองคนเกิดใหม่แล้วพะย่ะค่ะ”
“เกิดใหม่ที่ใด?” หยางเจียงหยุนถาม จิงจ้านตอบ “โลกพันเล็กลำดับที่ 2,900 แคว้นซินหยางพะย่ะค่ะ”
หยางเจียงหยุนคิดๆ เจ้าเด็กเฉินมู่อิ๋งคนนั้น ตอนที่มันเป็นลูกของสองคนนี้มันรักทั้งสองคนมาก ถ้าหากว่าใช้สองคนนี้มาล่อมันเพื่อฆ่ามันทิ้งคงล่อมันออกมาได้ง่ายดายแน่นอน คิดแล้วเขาจึงสั่งจิงจ้านว่า “เจ้านำเรือเยว่กวงไป จับตัวมนุษย์สองคนนี่กลับมาเป็นๆ”
สั่งแล้วเขาก็ส่งเรือเยว่กวงที่ลดขนาดลงจนเท่ากำมือให้จิงจ้าน จิงจ้านรับมาพลางขานรับคำสั่ง “พะย่ะค่ะ”
จิงจ้านเก็บเรือเยว่กวงไปแล้วกุมมือคารวะทีหนึ่ง จากนั้นก็รีบมุ่งหน้าออกจากแดนเทพไปทันที เขาจะต้องเร่งเดินทางไปโลกแห่งนั้นให้ไวที่สุดแล้วก็จับมนุษย์ทั้งสองคนนั้นกลับมาให้องค์ราชา จับมนุษย์สองคนนั้นง่ายยิ่งกว่าจับมดตัวหนึ่งเสียอีก แต่ที่จะทำให้เสียเวลาก็คือระยะทางระหว่างแดนเทพกับโลกแห่งนั้นไม่ใกล้กันเลย กว่าจะเดินทางไปและกลับคงใช้เวลานานทีเดียว ต่อให้เร่งเดินทางสุดกำลังก็ยังใช้เวลาหลายเดือน แต่ไม่ว่าจะอย่างไรเขาก็จะต้องเร่งเดินทางไปจับคนมาให้องค์ราชาให้เร็วที่สุด จะปล่อยให้องค์ราชารอนานไม่ได้!
หยางเจียงหยุนมองจิงจ้านที่ลับตาไปแล้ว เขาดึงสายตากลับมามองประตูตำหนักไป๋หยุนอย่างเงียบๆ จุดที่เขาอยู่ไม่เป็นที่สะดุดตา ยากที่คนอื่นจะมองเห็นได้ง่าย อีกทั้งเขาก็ไม่ได้เคลื่อนไหวอะไรมากนัก เขาซุ่มแอบดูอยู่ตรงนี้มาเนิ่นนานแล้วคนในตำหนักก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะรู้ตัวว่ามีคนมาแอบซุ่มอยู่ตรงนี้ หากว่าคนพวกนั้นรู้ตัวก็คงมาล้อมจับเขาแล้ว เขานั่งลงขัดสมาธิแล้วมองประตูตำหนักไปเรื่อยๆ ขณะเดียวกันก็ฝึกฝนพลังไปด้วย
เฉินมู่อิ๋งกลับถึงตำหนักก็นอนพัก วันถัดมาเขาตื่นขึ้นมาก็ทำกิจวัตรประจำวันเหมือนเช่นเคย ไปช่วยทำกับข้าวในโรงครัว กินข้าวอิ่มแล้วก็ฝึกหลอมโอสถ ฝึกหลอมศาสตราไป
3 วันต่อมา เจ้าสำนักโอสถก็ไปขอเข้าเฝ้าตี้โฮ่ว เขาร้องเรียกอยู่หน้าประตูตำหนักไป๋หยุน “ข้า เจ้าสำนักโอสถมาเข้าเฝ้าตี้โฮ่วพะย่ะค่ะ”
หยางเจียงหยุนมองเจ้าสำนักโอสถ จนกระทั่งเห็นประตูตำหนักเปิดออก คนข้างในเดินออกมา เจ้าสำนักโอสถรีบกุมมือคารวะ “ท่านหานห้าวตง ข้ามาเข้าเฝ้าตี้โฮ่ว”
“อ่อ” หานห้าวตงพยักหน้ารับรู้ กุมมือคารวะตอบแล้วผายมือเชิญ “เชิญท่านเจ้าสำนักรอที่ตำหนักรับรองก่อน ข้าจะไปรายงานให้”
“ขอบคุณมากๆ” เจ้าสำนักเดินตามไปแล้วไปรอที่ตำหนักรับรอง หานห้าวตงก็เดินไปรายงานตี้โฮ่ว
ประตูตำหนักไป๋หยุนปิดลง หยางเจียงหยุนจึงดึงสายตากลับมา
ภายในตำหนัก หลังจากที่ตี้โฮ่วได้รับรายงานจากหานห้าวตงแล้วเธอก็ไปพบเจ้าสำนักโอสถทันที เจ้าสำนักโอสถเห็นตี้โฮ่วเสด็จมาก็รีบลุกขึ้นกุมมือคารวะ “ตี้โฮ่ว”
“เชิญท่านเจ้าสำนักนั่งเถอะ ที่นี่ไม่มีคนนอก ท่านไม่ต้องพิธีรีตองนักหรอก” ตี้โฮ่วบอก เจ้าสำนักโอสถนั่งลงวางท่าทางสบายๆ ขึ้นแล้วพูดว่า “ที่ข้ามาวันนี้ก็เพราะจะมาคุยกับเจ้าสักหน่อย คือว่าข้าอยากขอให้ท่านพ่อเจ้าไปช่วยสอนศิษย์คนอื่นๆ ในสำนักสักหน่อย เพื่อที่สำนักเราจะได้มีศิษย์มากความสามารถเพิ่มขึ้น”
“เรื่องนี้ หากจะจัดระบบการเรียนการสอนของสำนักใหม่ ข้าก็เห็นว่าดี นับตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบันนี้สำนักโอสถก็ปล่อยให้ศิษย์ศึกษาเองตามอัธยาศัย เรื่องนี้ก็ดีอยู่หรอก เพียงแต่ว่าเวลาที่ศิษย์บางคนมีปัญหาขึ้นมาอยากจะสอบถามอาจารย์แต่ละท่านก็เข้าถึงยากเย็นนัก ข้อนี้ไม่ดีเลย ทำให้ศิษย์หลายๆ คนคร้านจะรอ ถ้าจัดระบบการเรียนการสอนเสียใหม่ มีตารางเรียนชัดเจน มีอาจารย์มาสอนตามเวลา ข้าคิดว่าคงจะทำให้ศิษย์ในสำนักพัฒนาไปมากแน่นอน” ตี้โฮ่วเอ่ยออกมา
“นี่?” เจ้าสำนักงุนงง ตี้โฮ่วเห็นเจ้าสำนักงงๆ จึงอธิบายว่า “จัดระบบการเรียนการสอนเสียใหม่ก็คือ เช่นว่าวันที่ 1 ของทุกเดือนท่านก็สอนศิษย์ในสำนักเสียเอง 1 วันเป็นอย่างไร ศิษย์คนไหนอยากจะฟังท่านสอนก็ให้มารวมกัน วันที่ 2 ก็ให้ผู้อาวุโสรองเป็นคนสอน วันที่ 3 ก็ให้ผู้อาวุโส 3 เป็นคนสอน ตอนนี้มีผู้อาวุโสทั้งหมด 24 คนแล้ว รวมท่านด้วยก็เป็น 25 คน สอนศิษย์ในสำนักหมุนเวียนกันไปก็ 25 วันพอดี ส่วนวันที่เหลือก็หยุดสอนเพื่อให้ศิษย์ทั้งหลายได้พักสมองบ้างอย่างไรล่ะ ท่านเห็นว่าเป็นอย่างไร?”
เจ้าสำนักคิดๆ ตาม แล้วเบิกตาโต “วิธีนี้ดีๆๆ”
“เช่นนั้นท่านก็ไปคุยกับผู้อาวุโสท่านอื่นเถอะว่าพวกเขาคิดเห็นอย่างไร แน่นอนว่าอาจารย์แต่ละท่านไม่ได้สอนเปล่าๆ หรอกนะ ต้องเรียกเก็บค่าเข้าเรียนจากศิษย์ด้วย เพียงแต่อย่าให้แพงเกินไปจนพวกศิษย์จ่ายไม่ไหวล่ะ” ตี้โฮ่วบอก เจ้าสำนักพยักหน้า “ได้ๆ ข้าจะรีบไปเดี๋ยวนี้”
เขาพูดแล้วก็ลุกไปทันที ตี้โฮ่วยิ้มแล้วเดินจากไป แนวคิดนี้เธออยากจะเสนอกับเจ้าสำนักมานานแล้วเพียงแต่ว่าช่วงก่อนๆ ก็ยุ่งมากทีเดียวเลยทำให้ไม่ได้เสนอแนวคิดนี้ออกไปสักที หากว่าทำตามแนวคิดนี้แล้วล่ะก็สำนักโอสถย่อมพัฒนาไปมากยิ่งกว่านี้แน่นอน ดูอย่างสำนักที่หนึ่งซิ เทียนโฮ่วก่อตั้งสำนักได้ไม่เท่าไหร่ก็ขยายสำนักไปเสียจนแทบจะทั่วทุกแห่งของแดนเทพแล้ว ที่ขยายสำนักสาขาไปได้มากขนาดนั้นก็เพราะเทียนโฮ่วนำการเรียนการสอนทำอาหารจากโลกบ้านเกิดมาสอนคนในสำนัก แล้วก็ให้คนในสำนักที่เรียนจบหลักสูตรไปเปิดสาขาในที่ต่างๆ ผลประโยชน์ก็แบ่งปันกันอย่างยุติธรรมมาก สำนักที่หนึ่งจึงได้ขยายไปเสียจนแทบจะทั่วแดนเทพแล้ว!
หากว่าสำนักโอสถมีการเรียนการสอนเหมือนอย่างมหาวิทยาลัยในโลกบ้านเกิดของเธอ รับรองว่าสำนักโอสถคงพัฒนาไปไกลยิ่งกว่าที่เป็นอยู่แน่นอน! ส่วนค่าเล่าเรียนก็ค่อยคิดอีกทีว่าควรจะเก็บเท่าไหร่ เพราะต้องดูศิษย์ที่ยากจนที่สุดในสำนักเป็นพื้นฐาน ไม่เช่นนั้นหากเรียกเก็บแพงเกินไปศิษย์ที่ยากจนที่สุดก็ไม่มีหยกมาจ่ายค่าเล่าเรียนน่ะซิ
หยางเจียงหยุนที่เฝ้าจับตาดูอยู่ เห็นเจ้าสำนักโอสถออกมาจากตำหนักไป๋หยุนแล้วก็ฉีกช่องว่างกลับไป เขาก็ละสายตาจากช่องว่างที่ปิดลงแล้วเฝ้ามองประตูตำหนักไป๋หยุนต่อไป
วันเวลาผ่านไป 6 เดือน จู่ๆ ก็เกิดเมฆครึ้มเหนือตำหนักไป๋หยุน แล้วก็มีสายฟ้าผ่าลงมาหลายสายทีเดียว สายฟ้าผ่าลงมาแล้วเมฆครึ้มก็สลายหายไป ภายในตำหนัก ตี้โฮ่วมองราชันศาสตราที่เฉินมู่อิ๋งเพิ่งหลอมเสร็จหมาดๆ อย่างยินดี เฉินมู่อิ๋งมองศาสตราเทพที่เขาเพิ่งจะหลอมเสร็จอย่างตื่นเต้นดีใจ เขาจับราชันศาสตราชิ้นนั้นแล้วเดินไปยื่นให้ตี้โฮ่ว “ข้าหลอมราชันศาสตราได้แล้ว”
“ดี เยี่ยมมาก” ตี้โฮ่วชม พลางรับค่าสอนของเธอมา เฉินมู่อิ๋งกุมมือคารวะ “ขอบคุณเจ้ใหญ่ที่ช่วยสั่งสอนข้าขอรับ”
“เจ้าก้าวหน้าข้าก็ดีใจ” ตี้โฮ่วบอกอย่างยินดีปลื้มปริ่ม เธอดีใจยินดีจริงๆ นะ ศิษย์มีความก้าวหน้าเธอจะไม่ดีใจได้อย่างไร โอ๊ย ปลื้มใจเสียจนน้ำตาจะไหลแล้ว!
“เจ้าใหญ่ ข้าไปนอนก่อนล่ะ” เฉินมู่อิ๋งบอกแล้วเดินกลับตำหนักไปทันที ตี้โฮ่วมองตามแล้วมองราชันศาสตราชิ้นนั้นแล้วเก็บไป
วันต่อมา เฉินมู่อิ๋งก็หลอมศาสตราอีก คราวนี้เขาตั้งใจเอาเกล็ดมังกรของพี่สาวมังกรออกมาหลอม แต่เกล็ดมังกรหลอมยากยิ่งกว่าโลหะอื่นเสียอีก ดังนั้นกว่าจะหลอมเหลวก็ใช้เวลาไปถึง 1 วัน 1 คืนเลยทีเดียว เฉินมู่อิ๋งจึงเข้าใจคำว่าหลอมจนหมดพลังที่พี่จินเย่พูดถึงแล้ว เขารู้สึกเลยว่าพลังใกล้จะหมดเต็มที ตี้โฮ่วที่เดินมาดูเห็นเฉินมู่อิ๋งกำลังหลอมศาสตราพลังเทพใกล้จะหมดก็รีบเข้าไปรับช่วงต่อ เธอจุดเพลิงขึ้นมาแล้วบอกเฉินมู่อิ๋งว่า “ข้าจะรับช่วงต่อ เจ้าค่อยๆ ลดเปลวเพลิงลง”
“ขอรับ” เฉินมู่อิ๋งรับคำ พลางค่อยๆ ลดเปลวเพลิงลง เขาเคยเห็นเสี่ยวเฟิ่งกับหลงจิ่งเทียนส่งต่อการหลอมมาแล้ว จึงรู้ว่าการหลอมก็สามารถรับช่วงต่อกันได้ด้วย เพียงแต่ว่าต้องควบคุมเปลวเพลิงให้ดีทั้งคนส่งและคนรับจะผิดพลาดไม่ได้เลย แต่เมื่อเปลวเพลิงของตี้โฮ่วค่อยๆ เข้าไปรับช่วงต่อกลับถูกพลังจากโลหะในเปลวเพลิงต่อต้าน ราวกับว่ามันไม่ยอมให้คนอื่นหลอมมันอย่างนั้นแหละ เธอจึงเลิกคิ้วขึ้น “หือ?”
“เอ๋?” เฉินมู่อิ๋งก็เลิกคิ้วขึ้นเช่นกัน เขารู้สึกว่ามีพลังต่อต้านพุ่งออกมาจากเกล็ดของพี่สาวมังกร ไม่ยอมให้เปลวเพลิงของตี้โฮ่วเข้าใกล้ ตี้โฮ่วส่งเปลวเพลิงเข้าไปใกล้อีกครั้งก็รู้สึกถึงพลังต่อต้านออกมาเช่นเดิม เธอจึงเก็บเปลวเพลิงไปแล้วก้าวไปนั่งด้านหลังเฉินมู่อิ๋ง วางมือตรงแผ่นหลังช่วงเอวแล้วปล่อยพลังเข้าไปในจุดตันเถียนของเฉินมู่อิ๋งแทน เฉินมู่อิ๋งรู้สึกถึงพลังที่เปี่ยมล้นขึ้นมาเขาจึงหลอมศาสตราต่อ ตี้โฮ่วก็ส่งพลังเข้าไปเรื่อยๆ ในเมื่อวัตถุนั้นไม่ยอมให้เธอหลอม เช่นนั้นก็ใช้วิธีส่งพลังให้เฉินมู่อิ๋งแบบนี้แทนก็ได้ หึๆๆๆ…
เวลาผ่านไป 2 วัน 2 คืน ท้องฟ้าเหนือตำหนักไป๋หยุนก็เกิดเมฆครึ้มอีกครา สายฟ้าผ่าลงมา เปรี้ยง!
สายฟ้าผ่าใส่ศาสตราที่กำลังหลอมยังไม่เสร็จ ราวกับอยากจะทำลายศาสตราร้ายกาจที่กำลังจะถือกำเนิดขึ้นมา สายฟ้าผ่าลงมานับไม่ถ้วนทีเดียว เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!…
เฉินมู่อิ๋งก็ดูดสายฟ้าเข้าไปหลอมรวมด้วยเหมือนอย่างที่เจ้ใหญ่สอน วูบ!
Chapter 10
ท้อปีศาจกับเหนียน
หลอมรวมทัณฑ์สวรรค์ไปด้วยจะทำให้ศาสตราชิ้นนี้ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น สายฟ้าก็ผ่าลงมาอย่างไม่ยอมแพ้ เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!…
จนในที่สุดเฉินมู่อิ๋งก็ดูดมวลเมฆทัณฑ์สวรรค์เข้าไปด้วยจนหมดสิ้น มวลเมฆทัณฑ์สวรรค์กลุ่มนั้นถูกหลอมรวมกับศาสตราชิ้นนั้น ตี้โฮ่วมองอย่างดีใจแทน ศิษย์เธอคนนี้มีพรสวรรค์จริงๆ สอนไม่เท่าไหร่ก็หลอมราชันศาสตราได้แล้ว เก่งมาก!
เฉินมู่อิ๋งหลอมต่อไป ตี้โฮ่วก็ส่งพลังเข้าไปในร่างเฉินมู่อิ๋งอย่างไม่หยุดไม่พัก แน่นอนว่าพลังของเธอมีไม่จำกัด ดังนั้นแค่ส่งต่อพลังให้แค่นี้จึงเป็นเรื่องจิ๊บๆ
จนกระทั่งเฉินมู่อิ๋งหลอมเสร็จ ราชันศาสตราชิ้นนั้นก็บินไปหาเฉินมู่อิ๋งทันที มันเปลี่ยนรูปร่างกลายเป็นสร้อยรูปมังกรคล้องอยู่ที่คอของเขา สร้อยสีดำสนิทรูปมังกรดำดูแล้วไม่โดดเด่นสะดุดตาเลย เพียงแต่ว่าพอตัดกับผิวที่ขาวผ่องของเฉินมู่อิ๋งจึงทำให้สร้อยเส้นนั้นดูสะดุดตาขึ้นมาทันที เฉินมู่อิ๋งก้มลงมองราชันศาสตราที่คออย่างอึ้งๆ ตี้โฮ่วดึงมือออกแล้วลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจ “เอาล่ะ หลอมเสร็จแล้วข้าก็ไปนอนล่ะ”
“ขอบคุณเจ้ใหญ่ขอรับ” เฉินมู่อิ๋งรีบกุมมือคารวะ เขาซาบซึ้งใจมาก หากว่าไม่ได้เจ้ใหญ่ช่วย เขาคงหลอมราชันศาสตราชิ้นนี้ไม่ได้แน่นอน ตี้โฮ่วหันไปบอกยิ้มๆ “เปลี่ยนจากคำขอบคุณเป็นท้อสวรรค์สักจานก็พอ”
“ขอรับ” เฉินมู่อิ๋งรับคำสีหน้ายินดียิ่ง เขาคิดว่าหลังจากนอนเต็มอิ่มแล้วค่อยไปเก็บท้อสวรรค์ในสวนให้เจ้ใหญ่ล่ะกัน ตอนนี้เขารู้สึกเหนื่อยมากจริงๆ เขาจึงรีบกลับไปนอนพักทันที
วันต่อมา เฉินมู่อิ๋งตื่นแล้วก็รีบไปเก็บท้อสวรรค์ให้เจ้ใหญ่ ขณะที่เดินเก็บลูกท้อสวรรค์อยู่นั้น เขาก็เห็นต้นท้อต้นหนึ่งมีผนึกอาคมครอบคลุมต้นท้อต้นนั้นเอาไว้ เขาจึงมองดูต้นท้อนั้นที่มีลูกท้อเต็มต้น เขาเห็นมีท้อลูกหนึ่งน่าจะสุกแล้ว เพราะมันแทบจะหลุดจากขั้วลงมาแล้ว เขาจึงยื่นมือไปเด็ดมาใส่ตะกร้า กลิ่นหอมของท้อลูกนี้หอมแรงกว่าท้อชนิดอื่นมาก หอมจนเขายกขึ้นมาดมกลิ่นใกล้ๆ เลยทีเดียว
ขณะที่เขาดมกลิ่นลูกท้ออยู่นั้น จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงดังแว่วมา “ท้อปีศาจ—”
เขาหันไปมองตามเสียงก็เห็นสัตว์ตัวใหญ่โตตัวหนึ่งวิ่งมาทำให้อาคาร ต้นไม้ใบหญ้าที่อยู่ในเส้นทางที่มันวิ่งมานั้นพังระเนระนาดไปหมด มันร้องว่า “ท้อปีศาจ—”ๆๆๆๆ
มันร้องซ้ำๆ อยู่อย่างนั้น พุ่งตรงมายังเฉินมู่อิ๋งที่ยืนตกตะลึงอยู่ เฉินมู่อิ๋งตั้งสติได้ใน 2 อึดใจต่อมา เขารีบวิ่งหนีสัตว์ตัวใหญ่ยักษ์ตัวนั้นทันที “ตัวอะไรเนี่ย!?”
เขาวิ่งไปทางไหน มันก็วิ่งตามเขาไป ซ้ำยังร้องว่า “ท้อปีศาจ—”ๆๆๆๆ ไม่หยุด ทำให้เขามองลูกท้อที่สีแปลกกว่าท้อต้นอื่นๆ นั้น อีกทั้งท้อต้นนี้ยังมีผนึกอาคมปกป้องเอาไว้ เช่นนั้นท้อลูกนี้น่าจะเป็นท้อปีศาจที่สัตว์ยักษ์ตัวนั้นร้องเรียกแน่ๆ เขาจึงโยนท้อลูกนั้นทิ้งไปทันที ลูกท้อตกลงพื้น แล้วกลิ้งตุบๆ ไปอีกนิดหนึ่งก็หยุดลง เขายังวิ่งหนีไปข้างหน้า หันกลับไปมองก็เห็นสัตว์ยักษ์ตัวนั้นหยุดอยู่ตรงท้อลูกนั้น มันตวัดลิ้นกินท้อลูกนั้นเข้าไปทันที เฉินมู่อิ๋งหยุดวิ่ง เขามองมันที่กินท้อเข้าไปแล้ว มันหยุดนิ่งอยู่ตรงนั้นทำสีหน้าเหมือนกับดื่มเหล้าเลิศรสเข้าไปอย่างไรอย่างนั้น สักพักสีหน้ามันก็เปลี่ยนไปเป็นเคลิบเคลิ้ม แล้วมันก็ร้องออกมา “อวิ๋นอวี้—”
มันหันตัวกลับไปแล้ววิ่งไปทางด้านหนึ่ง เฉินมู่อิ๋งวิ่งตามมันไปอย่างอยากรู้ เขาอยากรู้ว่ามันจะวิ่งไปไหน สัตว์ยักษ์ตัวนั้นพุ่งไปพลางร้องว่า “อวิ๋นอวี้” ไปตลอดทาง เฉินมู่อิ๋งวิ่งตามมันไปจนกระทั่งเห็นมันพุ่งไปทางตำหนักที่ท่านย่าอวิ๋นอวี้อาศัยอยู่ เขาเบิกตาโต “หรือว่ามันหมายถึงท่านย่าอวิ๋น!?”
อวิ๋นอวี้ได้ยินเสียงดังโครมครามมาแต่ไกลจึงลุกขึ้นยืนดู เห็นเหนียน* พุ่งมา นางจึงตกใจ “อ้า! เจ้า!”
(เหนียน คือเทพปีศาจบรรพกาล)
เหนียนพุ่งไปหาอวิ๋นอวี้อย่างไวยิ่ง อวิ๋นอวี้วิ่งหลบไม่ทันจึงถูกมันคว้าจับตัวเอาไว้ นางตวาดใส่มันเสียงดังลั่น “อ้า! เจ้าบ้า! ปล่อยข้านะ!”
เหนียนยกอวิ๋นอวี้ขึ้นไป แลบลิ้นเลียนางอย่างหลงใหล แผล๊บ!
อวิ๋นอวี้โมโหจนโทสะท่วมฟ้าแล้ว นางถูกมันเลียทีเดียวเนื้อตัวนางก็เปียกชุ่มไปด้วยน้ำลายเต็มไปหมด เหนียนร้องว่า “อวิ๋นอวี้” แล้วเลียนางอีก แผล๊บ!
เฉินมู่อิ๋งที่วิ่งตามมาตกตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก กลัวว่าท่านย่าอวิ๋นจะถูกสัตว์ยักษ์ตัวนั้นกินลงท้องไป คนอื่นๆ ได้ยินเสียงดังโครมครามก็รีบมาดู พวกเขาเห็นเหนียนก็ตกตะลึงไป “เหนียน!”
หลงจิ่งเทียนที่เคยเห็นท่าทางของเหนียนเช่นนี้ถึง 2 ครั้งมาแล้วจึงตกตะลึงจนหน้าเปลี่ยนสี “มันกินท้อปีศาจเข้าไป!”
“อ่า!” คนอื่นๆ ก็ตกตะลึงงันกันไปหมด ตี้โฮ่วมาถึงเห็นเหนียนเป็นเช่นนั้นก็รีบเอาโอสถนิทราระดับมหาเทพออกมาแล้วใช้พลังจิตยัดโอสถใส่ปากเหนียนทันที เหนียนกลืนโอสถนิทราลงไป มันแลบลิ้นเลียอวิ๋นอวี้อีกที แผล๊บ!
จากนั้นมันก็ล้มลงหมอบกับพื้น หลับสนิทไปทันที อวิ๋นอวี้ถูกมันกำเอาไว้จึงล้มลงไปด้วย ศีรษะนางฟาดกับอกมันจนนางเจ็บมึนเลยทีเดียว เมื่อเหนียนหลับไปแล้วตี้โฮ่วจึงใช้พลังจิตแงะกรงเล็บเหนียนพาท่านย่าออกมา อวิ๋นอวี้โกรธจัดจนหน้าแดงหน้าเขียว เมื่อนางยืนบนพื้นนางจึงพุ่งเข้าไปเตะเหนียนหลายที ผั๊วะ!ๆๆๆๆ…
“ไอ้เหนียนบ้านี่! ตายซะเถอะ!”
ผั๊วะ!ๆๆๆๆ… นางเตะมันอีกหลายทีจนเหนื่อยหอบถึงได้สะบัดตัวเดินจากไป ตี้โฮ่วหันไปมองคนอื่นๆ แล้วถามว่า “เหนียนกินท้อปีศาจได้ไง?”
เฉินมู่อิ๋งเดาสาเหตุได้จึงก้าวไปบอกว่า “เอ่อ เจ้ใหญ่ เป็นข้าเด็ดท้อที่อยู่ในผนึกอาคมเองขอรับ ข้าไม่รู้ว่านั่นคือท้อปีศาจขอรับ”
“อ่อ” ตี้โฮ่วพยักหน้ารับรู้ เฉินมู่อิ๋งก็ถาม “สัตว์ตัวนี้คือสัตว์อะไรขอรับ?”
“เหนียนยังไงล่ะ” ตี้โฮ่วบอก “นี่คือร่างแท้จริงของจางจงเหนียนอย่างไรล่ะ เขาเป็นเทพปีศาจบรรพกาลน่ะ”
“เหนียนกินท้อปีศาจเข้าไปทีไรก็จะเป็นเช่นนี้แหละ เจ้ใหญ่ถึงได้ผนึกกลิ่นของท้อปีศาจเอาไว้” หลงจิ่งเทียนบอก เสี่ยวเฟิ่งก็เสริมว่า “เขากินเข้าไปทีไรก็จะบ้ากามขึ้นมาทุกที”
เฉินมู่อิ๋งฟังแล้วอึ้งไป ทำหน้าไม่ค่อยถูกเลย ตี้โฮ่วมองความเสียหายที่เหนียนก่อแล้วส่ายๆ หน้า “คอยดูเถอะ เขาตื่นขึ้นมาเมื่อไหร่ข้าจะให้เขาชดใช้ค่าเสียหายให้กระอักเลือดทีเดียว ฮึ่ม!”
“เจ้ใหญ่ขอรับ ข้าขอโทษ” เฉินมู่อิ๋งบอกอย่างรู้สึกผิด หากว่าเขาไม่เก็บท้อปีศาจก็คงไม่เกิดเรื่องเช่นนี้แน่นอน ตี้โฮ่วส่ายหน้า “ผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด ช่างเถอะ คราวหน้าเจ้าก็อย่าเก็บท้อปีศาจโดยไม่ได้ผนึกกลิ่นของมันก่อนเก็บอีกละกัน”
“ขอรับ” เฉินมู่อิ๋งรับคำอย่างรู้สึกผิด จินเย่เดินเข้าไปปลอบใจ “ไม่เป็นไรๆ เจ้าไม่รู้นี่นา ไปๆ เอาท้อไปปอกหั่นใส่จานกันดีกว่า”
นางดึงเฉินมู่อิ๋งไป เฉินมู่อิ๋งเดินตามไปอย่างคอตก เทพบริวาร 5 หานก็เร่งจัดการความเสียหายที่เหนียนก่อเอาไว้ พวกพยัคฆ์คำราม 4 ถางก็ช่วยเช่นกัน พวกเขาก็เพิ่งจะเคยเห็นร่างแท้จริงของเหนียนคราวนี้เอง ช่างเป็นเทพปีศาจที่น่ากลัวยิ่ง!
คนอื่นๆ ก็ช่วยกันจัดการความเสียหายที่เกิดขึ้น ตี้โฮ่วก็กลับไปดูแลลูกชายต่อ ส่วนตี้จวินก็กำลังสอนลูกฝึกฝนพลังอยู่จึงไม่อาจไปดูเรื่องราวด้วยตัวเองได้ แต่จากเสียงที่ดังแว่วๆ มานั้น ไม่น่าจะใช่เรื่องใหญ่อะไร ดังนั้นฮูหยินของเขาย่อมจัดการเรื่องราวได้อยู่แล้ว เพราะหากมีเรื่องใหญ่โตอะไรเกินกว่าที่นางจะจัดการได้เดี๋ยวนางก็ใช้หยกส่งเสียงมาหาเขาเอง
เหนียนก็หลับอยู่ตรงนั้นไปอีกนานทีเดียว อวิ๋นอวี้เดินออกมาจากตำหนักทีไรนางก็เดินเข้าไปเตะมันทุกทีอย่างโมโหไม่หาย แต่แรงของนางต่อให้เตะสุดกำลังก็ยังไม่อาจสะกิดขนหนาๆ กับหนังหนาๆ ของมันได้เลย ถึงจะเป็นอย่างนั้นนางก็ยังเตะมันอยู่ดี ถ้าไม่เตะมันระบายอารมณ์นางคงอกแตกตายกระมัง ชิ! ไอ้เหนียนบ้า!
วันคืนผ่านไปอย่างสงบสุข จนกระทั่งจิงจ้านกลับมาถึงแดนเทพ เขาก็รีบไปหาองค์ราชาทันที เมื่ออยู่ต่อหน้าองค์ราชาเขาก็กุมมือคารวะ “องค์ราชาพะย่ะค่ะ”
“อืม” หยางเจียงหยุนมองจิงจ้านที่ดูเหน็ดเหนื่อยไม่น้อยทีเดียว จิงจ้านนำเรือเยว่กวงออกมามอบคืนให้ หยางเจียงหยุนก็เก็บเรือไป จิงจ้านเอาน้ำเต้าออกมามอบให้ “สองคนนั้นอยู่ในนี้พะย่ะค่ะ”
หยางเจียงหยุนรับน้ำเต้ามาแล้วเปิดจุกมองดูภายในน้ำเต้า เห็นคนคู่หนึ่งนอนสลบไสลอยู่ก้นน้ำเต้า หน้าตาของทั้งสองคือเฉินจงกุ้ยกับเฉินม่านอิ๋งไม่มีผิด เพียงแต่ว่าสองคนนี้ดูหนุ่มสาวกว่าในความทรงจำของเขา เขาปิดจุกน้ำเต้าแล้วเก็บไป สั่งจิงจ้านว่า “เจ้าไปพักก่อน”
“พะย่ะค่ะ” จิงจ้านรับคำสั่งแล้วถอยไปหาที่นอนทางด้านหนึ่ง เขาเลือกที่เหมาะๆ ได้แล้วก็ล้มตัวลงนอนหลับไปทันที เขาเร่งเดินทางเหน็ดเหนื่อยยิ่งนัก ใช้พลังจนเรียกว่าแทบจะเหือดแห้งเลยทีเดียว
เฉินมู่อิ๋งอยู่ในตำหนักไป๋หยุน เขารู้ว่าเจ้ใหญ่มีโลกใบเล็ก ซึ่งเป็นโลกแยกคล้ายๆ กับดินแดนส่วนตัว ทำให้เขาอยากจะมีบ้าง เขาจึงขอให้เจ้ใหญ่สอนสร้างโลกใบเล็ก ตี้โฮ่วก็สอนให้อย่างเต็มอกเต็มใจ เฉินมู่อิ๋งจึงไม่ได้ฝึกหลอมโอสถหรือหลอมศาสตรา เพราะกำลังหมกมุ่นกับการสร้างโลกใบเล็ก
“เจ้าต้องคิดเริ่มจากเล็กๆ ก่อน เอาแค่ห้อง 1 ห้องก่อนเพราะพลังจิตของเจ้ายังไม่มากพอที่จะสร้างโลกใบเล็ก วันหน้าเจ้ามีพลังมากกว่านี้เมื่อไหร่ค่อยสร้างออกมาเป็นโลกใบเล็กก็ได้” ตี้โฮ่วบอกอยู่ตรงหน้า เฉินมู่อิ๋งฟังแล้วคิดตาม “ห้อง 1 ห้อง”
เขานึกภาพห้อง 1 ห้องในหัว แต่ภาพก็เลือนรางยิ่งนัก ตี้โฮ่วก็ลุกจากไปปล่อยให้เฉินมู่อิ๋งคิดสร้างโลกใบเล็กไปเรื่อยๆ การสร้างโลกใบเล็กไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ต่อให้เฉินมู่อิ๋งจะพยายามมากขนาดไหนโอกาสที่จะสร้างได้ก็ยังมีอยู่น้อยมากจริงๆ แต่เมื่อเริ่มอยากสร้างแล้ว สักวันต้องสำเร็จแน่นอน
“ห้อง 1 ห้อง…ห้อง 1 ห้อง…ห้อง 1 ห้อง…” เฉินมู่อิ๋งคิดภาพอยู่ในหัว ปากก็ท่องคำว่า ‘ห้อง 1 ห้อง’ ไปเรื่อยๆ
หยางเจียงหยุนเฝ้ามาอีกเดือนหนึ่งแล้วก็ยังไม่เห็นทั้งเจ้าเด็กเฉินมู่อิ๋งหน้าตาหล่อเหลาและเจ้าเด็กเฉินมู่อิ๋งหน้าตาสามัญคนนั้นเลย อีกทั้งยังไม่เห็นใครออกจากตำหนักไป๋หยุนด้วย เห็นแต่เจ้าสำนักโอสถที่เทียวมาเทียวไป กับราชาเฟิ่งที่เดี๋ยวก็มาเดี๋ยวก็ไป และราชามังกรที่มาๆ ไปๆ จิงจ้านก็เฝ้าอยู่ข้างกายองค์ราชาไม่ไปไหน องค์ราชาไม่มีคำสั่งอื่นเขาก็คอยรับใช้อยู่ข้างกายอย่างเงียบๆ
เวลาผ่านไป 1 เดือนแล้ว เฉินมู่อิ๋งที่คิดสร้างโลกใบเล็กมาตลอด 1 เดือน ในที่สุดก็เกิดภาพในหัวเป็นห้อง 1 ห้องชัดเจนขึ้นมา ห้องนั้นคือห้องนอนของเขาในเรือนของเขาเอง พลัน! เขาก็รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงดัง เปรี้ยง!
เสียงนี้ดังมากจนเขาสะดุ้งยกมือปิดหู แต่เขาก็ยังคงได้ยินเสียงดังชัดอยู่ดี เขาเห็นแสงสว่างวาบขึ้นมา สว่างเสียจนเขาต้องหลับตาลง หูยังคงได้ยินเสียงดังเปรี้ยงลากยาวราวกับไม่มีท่าทีว่าจะลดลงเลย เขาเผยอตาแต่แสงสว่างก็สว่างจ้าเสียจนเขามองอะไรไม่เห็นเลยนอกจากแสงจ้านั้น เขาหลับตาลง จนกระทั่งเสียงดังเปรี้ยงเหมือนเสียงฟ้าผ่านั้นหายไป เขาลืมตาดู พบว่าแสงจ้าก็หายไปแล้วเช่นกัน เขามองไปแล้วตกตะลึงอึ้งงันไปเมื่อพบว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในตำหนักหรูหรา แต่อยู่ในห้องๆ หนึ่ง ห้องที่เหมือนกับห้องนอนของเขาในเรือนของเขาไม่มีผิด “นี่!”
เขายกมือขยี้ตาตัวเอง เมื่อมองไปอีกครั้งก็ยังคงเห็นห้องนอนตัวเอง เขายื่นมือไปลูบโต๊ะไม้ที่อยู่ใกล้ๆ สัมผัสนี้คุ้นเคยยิ่ง เป็นโต๊ะไม้ตัวที่เขาใช้งานมานานปี แม้กระทั่งรอยบิ่นเล็กๆ ที่เกิดจากคมกระบี่ก็มีอยู่ เป็นโต๊ะไม้ตัวนั้นจริงๆ! เขาดึงมือกลับมาหยิกแขนตัวเอง “โอ๊ย!”
เขารู้สึกเจ็บจริงๆ ไม่ใช่ความฝัน เขายื่นมือไปลูบโต๊ะตัวนั้นอีกครั้ง ลูบอย่างไรก็คุ้นมือยิ่ง เขาเดินไปเปิดหน้าต่าง
“อ่า!” เขาตกตะลึงจนปากอ้าตาค้าง เมื่อพบว่าด้านนอกหน้าต่างมีแต่ความมืดมิด ไม่ใช่มืดเพราะว่าเป็นตอนกลางคืน แต่ข้างนอกนั่นคือความเวิ้งว้างมืดมิดไม่มีอะไรเลย เขาเดินไปเปิดหน้าต่างอีกบานก็พบแต่ความเวิ้งว้างมืดมิดเช่นเดิม เขาเดินไปเปิดประตูห้อง ก็พบแต่ความเวิ้งว้างมืดมิดอีกเช่นกัน เขาดูจนทั่วห้อง พบว่ามีเพียงห้องนี้ห้องเดียว คล้ายกับว่าห้องนี้ลอยอยู่กลางอากาศที่เวิ้งว้างมืดมิดอย่างไรอย่างนั้น
เขานึกถึงห้องในตำหนัก พลัน! เขารู้สึกเหมือนร่างกายถูกดูดวูบ! พริบตาต่อมาเขาก็อยู่ในห้องในตำหนักเหมือนก่อนหน้าที่จะได้ยินเสียงเหมือนฟ้าผ่าสายนั้นแล้ว เขาลุกขึ้นยืนรู้สึกว่าขาเป็นเหน็บชาจึงเดินไปนั่งบนเก้าอี้ เขานึกถึงห้องนอนตัวเองอีกครั้ง เขาพลันรู้สึกเหมือนร่างกายถูกดูดวูบ! พริบตาต่อมาเขาก็ยืนอยู่กลางห้องนอนที่คุ้นเคยอีกครั้ง “นี่!”
เขาหยิบถ้วยชาบนโต๊ะมาถือไว้ แล้วคิดถึงห้องในตำหนัก วูบ! พริบตาต่อมาเขาก็นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเดิม เพียงแต่ในมือเขามีถ้วยชาใบหนึ่ง ถ้วยชานี้เขาใช้มานานมากเขามองถ้วยชาในมืออย่างอึ้งๆ เขาวางถ้วยชาลงบนโต๊ะแล้วหยิบถ้วยชาหยกขาวบนโต๊ะมาถือไว้ จากนั้นก็คิดถึงห้องนอนห้องนั้นอีกครั้ง วูบ!
เขาอยู่กลางห้องนอนที่คุ้นเคยอีกครั้ง เขาก้มลงมองมือตัวเองที่ถือถ้วยชาหยกขาว เขาวางถ้วยชาไว้บนโต๊ะแล้วเพ่งมองถ้วยชาหยกขาวใบนั้น ถ้วยชาของตำหนักที่เขาอยู่ หากว่าเขาเพียงแค่ฝันไปเช่นนั้นถ้วยนี้จะมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร อีกทั้งถ้วยชาในห้องก็ขาดไปใบหนึ่ง เขากะพริบตามองถ้วยชาใบนั้น “หรือว่าที่นี่คือโลกใบเล็กของข้า!?”
เขาไม่แน่ใจนักเขาจึงคิดถึงห้องในตำหนักอีกครั้ง แล้วรีบลุกไปหาตี้โฮ่วทันที เมื่อเจอตี้โฮ่วเขาก็กุมมือคารวะ “เจ้ใหญ่”
“อ้าว มีอะไรรึ?” ตี้โฮ่วถาม เฉินมู่อิ๋งจึงบอกว่า “ข้าไม่แน่ใจว่าข้าสร้างโลกใบเล็กได้หรือยัง จึงอยากให้เจ้ใหญ่ช่วยดูหน่อยขอรับ”
“งั้นลองพาข้าไปซิ” ตี้โฮ่วบอก เฉินมู่อิ๋งจึงยื่นมือไปจับมือตี้โฮ่วแล้วคิดถึงห้องนอนห้องนั้น เขารู้สึกเหมือนถูกดูดวูบอีกครา ตี้โฮ่วที่เข้าออกโลกใบเล็กจนคุ้นชินแล้วจึงไม่แปลกใจอะไรเมื่อพบว่าตัวเองอยู่กลางห้องๆ หนึ่ง เฉินมู่อิ๋งมองตี้โฮ่วที่อยู่ในห้องนอนของเขา “นี่ใช่โลกใบเล็กไหมขอรับ?”
ตี้โฮ่วเดินไปเปิดหน้าต่าง มองออกไปเห็นแต่ความเวิ้งว้างมืดมิดจึงหันไปบอกว่า “นี่แหละโลกใบเล็ก เก่งจริงๆ”
เธอชมพลางยิ้มดีใจ เฉินมู่อิ๋งได้ยินคำยืนยันจากตี้โฮ่วก็รู้สึกดีใจมาก ดีใจยิ่งกว่าตอนหลอมโอสถสวรรค์ได้ ดีใจยิ่งกว่าตอนหลอมราชันศาสตราได้ เรียกว่าดีใจยิ่งกว่าครั้งไหนๆ เลยจริงๆ “ข้าสร้างโลกใบเล็กได้แล้ว! ข้าทำได้แล้ว!”
“ใช่ เจ้าทำได้แล้ว เก่งมาก” ตี้โฮ่วชมแล้วเดินไปตบๆ บ่า เฉินมู่อิ๋งดีใจจนน้ำตาคลอ โผกอดเจ้ใหญ่หมับ “ขอบคุณท่านมาก ขอบคุณจริงๆ ขอบคุณขอรับ”
“อื้มๆ” ตี้โฮ่วกอดตอบตบๆ หลังพลางบอกว่า “แต่ถ้าอยู่ต่อหน้าสามีข้าเจ้าใช้มายาลวงตาอยู่จะกอดข้าเช่นนี้ไม่ได้นะ เขาน่ะขี้หึงมาก”
“อ่า!” เฉินมู่อิ๋งทำหน้าไม่ค่อยถูกเลย ก็ใช่ เขาใช้มายาลวงตาอยู่ทำให้คนอื่นเห็นเป็นบุรุษ ตี้จวินเห็นบุรุษอื่นกอดฮูหยินของเขาก็ย่อมหึงหวงน่ะซิ เขาผละออก “ข้าจะระวังขอรับ”
“หึๆๆๆ…” ตี้โฮ่วหัวเราะเบาๆ แล้วชวนว่า “ออกไปกันเถอะ”
เฉินมู่อิ๋งจึงพาตี้โฮ่วออกจากโลกใบเล็ก เมื่อปรากฏตัวอีกครั้งเขาเห็นตี้จวินอยู่ตรงหน้าพอดี “ตี้จวิน!”
เขาผงะรีบปล่อยมือจากตี้โฮ่วทันที ตี้จวินมองเฉินมู่อิ๋งกับฮูหยินแล้วถามว่า “ไปไหนกันมา?”
“มู่อิ๋งสร้างโลกใบเล็กได้แล้วจึงชวนข้าไปดูน่ะ” ตี้โฮ่วบอก ตี้จวินส่งเสียงคำหนึ่ง “อ่อ”
“อย่างนี้ต้องฉลอง”ตี้โฮ่วพูดขึ้นมาแล้วก้าวไปจับมือสามีพลางชวนเฉินมู่อิ๋งว่า “ไปๆ พวกเราไปฉลองกันหน่อย”
“ขอรับ” เฉินมู่อิ๋งรับคำ ตี้โฮ่วก็จูงสามีเดินนำหน้าไป เฉินมู่อิ๋งลอบถอนหายใจทีหนึ่ง “เฮ้อ…”
เมื่อกี้เขารู้สึกเหมือนหายใจหายคอไม่ค่อยออกเลยทีเดียว สายตาตี้จวินดุยิ่งนัก อีกทั้งแรงกดดันก็น่ากลัวยิ่ง ขนาดอยู่ที่นี่มาหลายเดือนแล้วเขายังไม่ชินกับกลิ่นอายกดดันของตี้จวินเลย แค่เข้าใกล้ก็เหมือนถูกภูเขาไท่ซานทับอย่างไรอย่างนั้น ขนาดเสี่ยวเฟิ่งกับหลงจิ่งเทียนยังแอบบอกเขาเลยว่าพวกเขาก็ไม่ชินกับกลิ่นอายกดดันของตี้จวินสักที เรียกว่าถ้าตี้จวินอยู่ตรงไหน คนอื่นๆ มักจะเว้นระยะห่างไปโดยปริยายนั่นเอง!
มีแค่ตี้โฮ่ว ท่านน้ายี่จื่อ ท่านน้าจือหยี ท่านน้าจ้าวมู่ ท่านย่าอวิ๋นอวี้เท่านั้นที่กล้าอยู่ใกล้ตี้จวินในระยะประชิด ส่วนคนอื่นล้วนถอยห่างหมด ไม่มีใครกล้าอยู่ใกล้จริงๆ วันนั้นทุกคนล้วนดื่มกินฉลองความสำเร็จของเฉินมู่อิ๋งอย่างดีใจด้วย ขาดก็แต่เหนียนที่ยังหลับไม่ตื่น เสี่ยวเฟิ่งอยากจะเข้าไปดูโลกใบเล็กของเฉินมู่อิ๋งจึงออกปาก แต่พอตี้โฮ่วได้ยินจึงขัดขึ้นว่า “มู่อิ๋งยังสร้างได้แค่ห้องนอนห้องเดียว เจ้าเป็นผู้ชายจะเข้าไปในห้องนอนผู้หญิงได้อย่างไร”
“อ่า…” เสี่ยวเฟิ่งเงียบไปเลย ไม่ขอเข้าไปดูโลกใบเล็กของเฉินมู่อิ๋งอีก จินเย่ยิ้มเยาะ “หึ! เจ้าไก่อ้วน”
เสี่ยวเฟิงถลึงตาใส่จินเย่ทีหนึ่ง จินเย่ก็แลบลิ้นปลิ้นตาใส่ หลงจิ่งเทียนทนไม่ไหวจึงพูดว่า “พวกเจ้าสองคนก็โตๆ กันแล้วยังจะทะเลาะกันเหมือนเด็กๆ อีก น่าขายหน้าจริงๆ”
“ยุ่งน่า” ทั้งจินเย่ทั้งเสี่ยวเฟิ่งหันไปพูดใส่หลงจิ่งเทียน หลงจิ่งเทียนกลอกตามองบนแล้วไม่สนใจสองคนนั้นอีก เขาเบนสายตาไปมองแม่นางเฉินพลางยิ้มให้นาง เฉินมู่อิ๋งยิ้มตอบ เขารู้ดีว่าหลงจิ่งเทียนชอบตัวเองแต่เขากลับไม่รู้สึกรักใคร่ตอบจึงทำเหมือนหลงจิ่งเทียนเป็นสหายบุรุษคนหนึ่งเท่านั้น เฉกเช่นเดียวกับเสี่ยวเฟิ่งนั่นแหละ เขาเห็นทั้งสองเป็นสหายเท่านั้น ไม่เคยคิดในแง่ชู้สาวกับทั้งสองคนเลย
เมื่อฉลองกันเต็มที่แล้วต่างคนต่างก็แยกย้ายกันกลับตำหนักใครตำหนักมัน สภาพแต่ละคนเมาไม่น้อยทีเดียว มีเพียงตี้จวินที่ดูอย่างไรก็ไม่เมาเลย ทั้งๆ ที่ดื่มไปไม่น้อยเลยแท้ๆ ตี้จวินอุ้มตี้โฮ่วขึ้นมาพลางบอกลูกชาย “ไป กลับตำหนักกัน”
“ขอรับ” หานปิงเซียนรับคำแล้วเดินตามท่านพ่อไป ตี้โฮ่วก็ซบอกสามีอย่างมีความสุขยิ่ง หลินยี่จื่อก็อุ้มภรรยาของเขากลับตำหนักไปเช่นกัน เหอเทียนเหิงก็อุ้มฮูหยินของเขากลับตำหนักไป เหลียงถิงเวยก็อุ้มฮูหยินของเขากลับตำหนัก แน่นอนว่าจ้าวมู่จะยอมน้อยหน้าได้อย่างไร เขาก็อุ้มฮูหยินของเขากลับตำหนักไปเช่นเดียวกัน เพียงแต่ว่าบนคอของเขามีลูกสาวขี่บ่าอยู่ จ้าวซีหงนั่งอยู่บนบ่าท่านพ่อส่งเสียง “จิ๊บๆ” ไปตลอดทาง เสี่ยวเฟิ่งกับหลงจิ่งเทียนก็กอดคอกันเดินกลับตำหนักไปด้วยกัน 5 หานก็กอดคอกันกลับตำหนักไปพลางคุยกันไปส่งเสียงล้งเล้งไปตลอดทาง ส่วน 4 ถางก็กอดคอกันกลับตำหนักพวกเขาไป อวิ๋นอวี้ก็ถือไหเหล้าเดินกลับตำหนักไป เฉินมู่อิ๋งก็กลับตำหนักไปเช่นกัน ส่วนงานเก็บล้างต่างๆ ก็เป็นหน้าที่ของสาวใช้ทั้งหลาย
อวิ๋นอวี้กลับถึงตำหนักก็มองเหนียนอย่างโมโห นางเดินไปเตะมันทีหนึ่ง ผั๊วะ!
“ไอ้เหนียนบ้า!” นางด่ามันแล้วก็นั่งลงพิงขามันยกไหเหล้าขึ้นดื่มต่อ ดื่มไปดื่มมานางก็ฟุบหลับอยู่ตรงนั้น ตัวจมลงไปบนขนหนาๆ ราวกับผ้าห่มขนสัตว์ทำให้นางไม่รู้สึกหนาวเลยสักนิด ส่วนเฉินมู่อิ๋งกลับถึงตำหนักก็หลับเป็นตายเลยทีเดียว
ตอนสาย เฉินมู่อิ๋งตื่นขึ้นมา เขาอาบน้ำแต่งตัวแล้วจึงลุกไปที่ห้องครัว ภายในห้องครัวเงียบมาก ไม่มีใครเลยสักคน แสดงว่าคนอื่นๆ คงยังไม่ตื่นกระมัง เขาจึงไปเดินเล่น เดินไปเดินมา เขาเดินไปถึงประตูตำหนักไป๋หยุนเลยทีเดียว เขามองประตูบานใหญ่นั้นแล้วเปิดประตูออกไปยืนมองทิวทัศน์หน้าประตู เขามองลงไปเบื้องล่าง เพิ่งจะมีโอกาสมายืนมองชัดๆ ก็คราวนี้แหละ เขาจึงมองไปรอบๆ อย่างละเอียดลออ
จะมีสักกี่คนกันที่มีโอกาสมาอยู่ตรงนี้ เรียกว่านับคนได้เลยกระมัง ตำหนักไป๋หยุนไม่ใช่สถานที่ที่ใครจะมาก็มาได้ คนที่มาที่นี่ล้วนสูงศักดิ์กันทั้งนั้น แม้แต่ราชาแดนเทพทั้ง 4 แดนก็ยังไม่มีโอกาสมาเข้าเฝ้าตี้จวินถึงที่นี่เลย ส่วนราชาเฟิ่งกับราชามังกรที่มีโอกาสมาที่นี่ก็เป็นเพราะลูกชายของพวกเขานั่นเอง เขาคิดไปคิดมาก็คิดถึงพี่สาวมังกรขึ้นมา เขาจึงคิดว่าจะไปหาพี่สาวมังกรสักหน่อย เขาจึงหยิบหยกฝากเสียงขึ้นมาแล้วพูดใส่หยกก้อนนั้นว่า “เจ้ใหญ่ขอรับ ข้าจะไปหาพี่สาวมังกรที่ตำหนักเก้าชั้นฟ้าสักพักนะขอรับ”
เขาพูดจบแล้วก็ปล่อยหยกก้อนนั้นไป หยกก็บินไปที่ตำหนักเจ้ใหญ่ทันที เขามองตามหยกแล้วเหินตัวขึ้นมุ่งหน้าไปตำหนักเก้าชั้นฟ้า
หยางเจียงหยุนเห็นเจ้าเฉินมู่อิ๋งหน้าตาหล่อเหลาออกมาจากตำหนักไป๋หยุนก็ตาวาวโรจน์ทันที ในที่สุดมันก็โผล่หัวออกมาแล้ว!