Skip to content

I shall seal the heaven Chapter 1479

ตอนที่ 1479

เหยียบย่างชางหมางไถทุกสำนัก

เมิ่งฮ่าวยืนอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ

เมื่อได้เห็นวิญญาณของฉู่อวี้เยียน เขาก็ตัดสินใจที่จะชดใช้หนี้ให้กับนาง ด้วยความสัมพันธ์ในฐานะอาจารย์และศิษย์ แต่ตอนนี้ก็ไม่แน่ใจว่าจะเป็นความคิดที่ถูกต้องหรือไม่

เขาไม่อาจจะเสแสร้งทำเป็นมีความรู้สึกใดๆ ในจิตใจ นอกจากความกระหายที่จะได้ล้างแค้นให้กับอาณาจักรขุนเขาทะเล เขาต้องการกลับไปยังผีเสื้อขุนเขาทะเล และต้องการที่จะค้นพบความลับที่ถูกฝังอยู่ภายในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวแห่งความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขต

สิ่งเดียวเท่านั้นที่เขามีให้กับฉู่อวี้เยียนก็คือความต้องการปกป้องดูแลนาง และมอบสิ่งที่…ดีที่สุดสำหรับนาง

เขาไม่ต้องการเห็นนางเจ็บปวดใจ ต้องการให้นางมีแต่ความสุขเท่านั้น

ดังนั้นเขาจึงยืนอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ จนทำให้เยียนเอ๋อร์เริ่มวิตกขึ้นมา ขบริมฝีปากตนเองด้วยความสงสัยว่าได้พูดหรือทำอะไรผิดไป ไม่แน่ใจว่าต้องทำอะไรดี ดังนั้นจึงยืนอยู่ที่นั่นด้วยเช่นกัน จ้องมองไปยังเมิ่งฮ่าวที่เป็นเสียวเหล่าโถว (ตาเฒ่าน้อย) ผู้นี้…

เมิ่งฮ่าวตกอยู่ในห้วงความงุนงงเล็กน้อย เวลาผ่านไปในที่สุดก็ถึงยามรุ่งอรุณ ไม่กี่วันก่อนศิษย์บางคนได้ไปทดสอบยังชางหมางไถ แต่ก็ไม่มีใครสามารถเข้าไปอยู่ในอันดับสิบคนแรกได้ ผู้ถูกเลือกแห่งตี้จิ่วจงที่อยู่ในอันดับที่สิบสามและสิบเจ็ดถูกแทนที่ ทำให้เกิดเป็นความขัดแย้งขึ้นมาระหว่างศิษย์ตี้จิ่วจงและศิษย์จากสำนักอื่นๆ ผลลัพธ์ก็คือมีกลุ่มศิษย์จากตี้จิ่วจงมายังภูเขาของเมิ่งฮ่าวมากขึ้นกว่าเดิม เพื่อขอให้เขาไปกระทำเรื่องราวบางอย่าง

“พี่ใหญ่ โปรดออกมาจากภูเขา!!”

“พี่ใหญ่ ออกมาเถอะ…”

“พี่ใหญ่…โปรดออกมา!!” เสียงร้องตะโกนเช่นนี้ดังอยู่ในอากาศมากขึ้นเรื่อยๆ มีศิษย์มารวมตัวกันอยู่รอบๆ ภูเขาเมิ่งฮ่าวนับหมื่นคน ด้วยความหวังว่าจะสามารถมองเห็นเงาร่างอันเจิดจ้าจากเมื่อสิบปีก่อน พวกมันมายังที่แห่งนี้ด้วยเจตนาดี เต็มไปด้วยความกระตือรือร้นและความคาดหวัง

เมื่อเร็วๆ นี้ ข่าวลือที่ใส่ร้ายป้ายสีฟางมู่เริ่มมีจำนวนมากขึ้นและถูกเผยแพร่กระจายออกไปเป็นวงกว้าง จนกระทั่งคนทั้งหมดในชางหมางพ่ายกำลังพูดถึงเรื่องเหล่านี้ แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น ศิษย์ตี้จิ่วจงก็ไม่เคยลังเลที่จะจงรักภักดีต่อเขา พวกมันรู้สึกถูกสบประมาทและมีโทสะ จึงได้แต่หวังว่าพี่ใหญ่ของตนเอง…จะตอบโต้กลับไปอย่างดุร้าย

ขณะที่เสียงของพวกมันดังก้องขึ้นมาเรื่อยๆ เยียนเอ๋อร์ก็ก้มศีรษะลง มีท่าทางอารมณ์เสียมากขึ้นกว่าเดิม แต่จากนั้นท่าทางเหม่อลอยของเมิ่งฮ่าวก็จางหายไป และมองไปยังนางด้วยสายตาที่อ่อนโยน ยื่นมือออกไป เช่นเดียวกับตอนที่นางยังเป็นเด็กน้อย ขยี้ไปที่ศีรษะนาง

“ตกลง” เมิ่งฮ่าวกล่าวขึ้นพร้อมกับยิ้มออกมา

ดวงตาเยียนเอ๋อร์เบิกกว้างขึ้น ขณะที่แหงนหน้ามองขึ้นมา จากนั้นก็เห็นรอยยิ้มของเขา คล้ายกับว่านางกำลังมองไปยังท้องฟ้าที่เจิดจ้า ดวงตานางเริ่มสาดประกายขึ้นมา และเริ่มกระโดดขึ้นลงด้วยความตื่นเต้น

“ซือจุน ซือจุน! ข้าคิดได้แล้ว ทำไมท่านถึงไม่ไปยังชางหมางไถ เรียกสวรรค์ชั้นที่สิบลงมาอีกครั้ง?” นางคิดว่าการกระทำเช่นนั้น น่าจะเป็นการโจมตีไปยังกลุ่มผู้ฝึกตนจากสำนักอื่นๆ ได้อย่างทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง

“ทำเช่นนั้นไม่เห็นจะมีความหมายแต่อย่างใด” เมิ่งฮ่าวกล่าวขึ้นพร้อมกับส่ายหน้าไปมา จากนั้นก็โบกสะบัดชายแขนเสื้อ และเริ่มเดินลงมาจากยอดเขา

เยียนเอ๋อร์รีบไล่ตามไปโดยไม่ลังเลในทันที พร้อมกับถามว่า “ซือจุนคิดจะทำอะไร?”

หลายปีมานี้เยียนเอ๋อร์เติบโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น สำหรับบุคคลภายนอกแล้ว นางดูเป็นผู้ใหญ่ที่มีความรับผิดชอบสูง แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเมิ่งฮ่าวแล้ว นางดูเหมือนกับเป็นเด็กหญิงตัวน้อยเช่นเคย

เมิ่งฮ่าวไม่ตอบคำถามนาง หลังจากที่เดินออกไปจากเขตภูเขา กลุ่มศิษย์นับหมื่นที่อยู่ด้านนอกก็มองเห็นเขา และระเบิดขึ้นมาด้วยความตื่นเต้นในทันที เสียงร้องตะโกนด้วยความดีใจดังก้องออกมาอีกครั้ง

สำหรับผู้ฝึกตนจากสำนักอื่นๆ เดิมทีพวกมันคิดว่าวันนี้ก็น่าจะเหมือนกับวันอื่นๆ ทั่วไป โดยที่ฟางมู่ยังคงหลบซ่อนตัวอยู่ด้านใน แต่เมื่อพวกมันมองเห็นว่าคนที่เพิ่งจะโผล่ออกมาเป็นใคร จิตใจก็เริ่มสั่นสะท้าน

ถึงแม้ว่าจะผ่านมานานถึงสิบปี แต่ชื่อเสียงของเมิ่งฮ่าวก็ยังคงน่าประทับใจเหมือนเช่นเคย ศิษย์จากสำนักอื่นๆ รู้สึกว่าจิตใจกำลังหมุนคว้าง และพวกมันก็เริ่มหอบหายใจออกมา โดยไม่ลังเลแม้แต่น้อยพวกมันหยิบเอาแผ่นหยกออกมา เพื่อใช้ส่งข่าวให้กับผู้ถูกเลือกอื่นๆ จากสำนักต่างๆ ถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นนี้

เพียงชั่วขณะข่าวคราวที่เมิ่งฮ่าวลงมาจากยอดเขา ก็แพร่กระจายออกไปราวกับเป็นสายลมที่พัดผ่านไปทั่วทั้งตี้จิ่วจง ศิษย์นับไม่ถ้วนจากตี้จิ่วจง หลังจากที่อดกลั้นต่อแรงกดดันมานานถึงสิบปี ต่างก็ตกอยู่ในความตื่นเต้น สิบปีที่ผ่านมามีอยู่หลายคนที่เริ่มแอบบ่นเมิ่งฮ่าวอยู่ภายในใจ แต่ตอนนี้ความรู้สึกนั้นได้หายไปแล้ว คนทั้งหมดต่างก็ละทิ้งสิ่งที่กำลังทำอยู่ และบินออกมาเพื่อดูเขา

“พี่ใหญ่ ลงจากภูเขามาแล้ว?”

“พี่ใหญ่ ลงจากเขาแล้ว!!”

“ฮา ฮา ฮา! ในที่สุดวันนี้ก็มาถึงจนได้! พี่ใหญ่ลงจากเขามาแล้ว และตอนนี้กำลังจะไปบดขยี้พวกมันทั้งหมด!”

ผู้คนเริ่มพุ่งตรงไปมาจากทั่วทุกทิศทางมากขึ้นเรื่อยๆ กลุ่มฝูงชนเริ่มเพิ่มจำนวนจากหลายหมื่นเป็นหลายแสนคน จากนั้นก็หนึ่งล้าน จนในที่สุดก็หลายล้าน…

ลำแสงที่พุ่งตรงมายังภูเขาของเมิ่งฮ่าวดูเหมือนว่าจะไร้จุดสิ้นสุด

ผู้ถูกเลือกจากสำนักอื่นๆ ที่ไม่ได้อยู่ในบริเวณนั้น ต่างก็ได้รับข่าวสารผ่านทางแผ่นหยกด้วยเช่นกัน และเริ่มหอบหายใจออกมา ดวงตาพวกมันสาดประกายเจิดจ้าขึ้น เป็นเวลาสิบปีแล้วที่พวกมันมาท้าทายตี้จิ่วจง เป็นเวลาสิบปีแล้วที่พวกมันพยายาม…บีบบังคับให้เมิ่งฮ่าวกระทำอะไรสักอย่าง ซึ่งจะเป็นโอกาสเดียวที่พวกมันจะสามารถทำลายตำนานที่เขาสร้างขึ้นมาได้

“ในที่สุดฟางมู่ก็ออกมาจากภูเขาแล้ว!” ตรงสถานที่แห่งหนึ่งในตี้จิ่วจง (สำนักที่เก้า) ซึ่งถูกครอบครองโดยตี้อีจง (สำนักแรก) มองเห็นบุรุษหนุ่มผมสีดอกเลาผู้หนึ่ง กำลังสูดหายใจเข้าลึกๆ และดวงตาก็เริ่มสาดประกายขึ้นมาด้วยแสงอันเจิดจ้า ผู้คนเริ่มปรากฏตัวออกมามากขึ้นเรื่อยๆ ห้อมล้อมมันขณะที่บินขึ้นไปในท้องฟ้า

ตรงตำแหน่งที่ตี้เอ้อร์จง (สำนักที่สอง) ตั้งค่ายพักแรมอยู่ มองเห็นหญิงสาวผู้หนึ่ง กำลังลุกขึ้นมายืน ด้วยท่าทางที่ต้องการจะต่อสู้ พุ่งขึ้นไปในอากาศพร้อมกับโลหิตที่กำลังเดือดพล่าน “หลังจากที่เฝ้ารอมาสิบปี ฟางมู่ เจ้าอย่าทำให้ข้าต้องผิดหวัง!”

ผู้ถูกเลือกทั้งหมดจากสำนักอื่นๆ ต่างก็แผดร้องคำรามออกมา พวกมันต้องการไปท้าทายเมิ่งฮ่าวเพื่อต่อสู้ด้วยในทันที

“สิบปีก่อนเจ้าสร้างเป็นตำนานขึ้นมา ตอนนี้ข้ากำลังจะทำลายตำนานนั้น!”

“ข้ามุ่งมั่นทุ่มเทมานานถึงสิบปี และตอนนี้ก็พร้อมแล้ว ข้าจะต้องก้าวข้ามเจ้าไปให้จงได้ ฟางมู่!”

“คนทั้งหมดบอกว่าฟางมู่ได้รับบาดเจ็บ ครั้งนี้คือโอกาสที่ข้าจะได้สร้างชื่อขึ้นมาแล้ว!”

ตี้จิ่วจงกำลังเดือดพล่านไปทั่ว ผู้ฝึกตนนับไม่ถ้วนมารวมตัวกันอยู่รอบๆ ภูเขาของเมิ่งฮ่าว เขายืนอยู่ที่นั่น มองออกไปยังกลุ่มฝูงชนพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ ในที่สุดก็ประสานมือและโค้งตัวลงต่ำให้กับคนทั้งหมด

ก่อนที่จะทันได้พูดอะไร กลุ่มคนก็ร้องตะโกนออกมา “พี่ใหญ่!”

เสียงของพวกมันคล้ายกับเป็นระลอกคลื่น ที่ทำให้สวรรค์ต้องสั่นสะเทือน

เยียนเอ๋อร์ยืนอยู่ข้างกายเมิ่งฮ่าว รู้สึกตื่นเต้นมากขึ้น

เมิ่งฮ่าวมองไปรอบๆ ยังกลุ่มฝูงชน และผู้ถูกเลือกจากสำนักอื่นๆ ที่ยืนห่างไกลออกไปเล็กน้อย ยิ้มขึ้นมาและกล่าวว่า “เยียนเอ๋อร์ เจ้าเพิ่งจะถามข้าว่ากำลังจะทำอะไร…? ข้าจะพาเจ้าไปเที่ยวชมสถานที่ต่างๆ!”

เมื่อเยียนเอ๋อร์ได้ยินเช่นนั้น ก็มีท่าทางประหลาดใจ แต่ก่อนที่นางจะทันได้กล่าวตอบ เมิ่งฮ่าวก็โบกสะบัดชายแขนเสื้อ และบินขึ้นไปในอากาศ ทันใดนั้นเสียงของเขาก็ดังก้องออกไปจนคนทั้งหมดได้ยินกันทั่ว

“สหายเต๋าทั้งหลาย โปรดมากับข้าเพื่อไปยังตี้ปาจง (สำนักที่แปด), ตี้ชีจง (สำนักที่เจ็ด), ตี้ลิ่วจง (สำนักที่หก)…อันที่จริงพวกเราจะไปจนถึงตี้อีจง (สำนักแรก) ข้าอยากเห็นว่าชางหมางไถของพวกมันมีรูปร่างหน้าตาอย่างไร” เมิ่งฮ่าวกล่าวขึ้นพร้อมกับดวงตาที่สาดประกาย นี่คือของขวัญที่เขาจะมอบให้กับเยียนเอ๋อร์ และเป็นความก้าวหน้าที่เขาต้องทำด้วยเช่นกัน หลังจากที่ทำให้ตะเกียงวิญญาณของตนเองเข้าไปสู่จุดสูงสุด

เพื่อตอบรับคำพุดของเขา ศิษย์ตี้จิ่วจงเงียบกริบ แต่จากนั้นก็ส่งเสียงดังกระหึ่มขึ้นมา จนสวรรค์ต้องสะท้านปฐพีต้องสะเทือนไปทั่ว

คนทั้งหมดกำลังแผดร้องตะโกนออกมาด้วยความตื่นเต้น แม้แต่ผู้ยิ่งใหญ่เจ็ดแก่นแท้แห่งตี้จิ่วจงก็ยังต้องหัวเราะหึๆ ออกมา ขณะที่มองลงมาจากยอดเขาของตนเอง

“เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะขอช่วยสักเล็กน้อย เด็กเหล่านี้อดกลั้นมานานนับสิบปีแล้ว” ผู้ยิ่งใหญ่นั้นพึมพำ ส่ายหน้าไปมา โบกสะบัดมือออกไปพร้อมรอยยิ้ม ทันใดนั้นเสียงกระหึ่มกึกก้องก็ได้ยินมา เมื่อค่ายกลเวทขนาดใหญ่ปรากฏขึ้น

พลังการเคลื่อนย้ายทางไกลเริ่มกระจายออกมา และเมิ่งฮ่าวก็ขยับตัวเคลื่อนไหว พุ่งตรงไปยังประตูเคลื่อนย้ายทางไกล เยียนเอ๋อร์ติดตามไปอย่างใกล้ชิด จากพลังของเมิ่งฮ่าวที่ช่วยเกื้อหนุนนาง

เวลาเดียวกันนั้น ศิษย์ที่กำลังตื่นเต้นของตี้จิ่วจงก็บินตรงไปยังประตูเคลื่อนย้ายทางไกลด้วยเช่นกัน ศิษย์จากสำนักอื่นๆ จ้องมองไปด้วยความตกตะลึงอยู่ชั่วขณะ ใบหน้าพวกมันซีดขาวเล็กน้อย หลังจากที่คำพูดของเมิ่งฮ่าวดังก้องออกมา แต่ก็บินตรงไปยังประตูเคลื่อนย้ายทางไกลด้วยเช่นกัน

เสียงกระหึ่มดังก้องออกมา เมื่อพลังการเคลื่อนย้ายทางไกลถูกกระตุ้นให้ทำงานขึ้นมา ทุกสิ่งทุกอย่างสั่นสะเทือน และกลุ่มคนทั้งหมดก็หายตัวไป เมื่อปรากฏขึ้นอีกครั้ง ก็ไปอยู่ในทวีปที่แปด เหนือตี้ปาจง

การมาถึงอย่างกะทันหันของผู้คนมากมาย ทำให้ตี้ปาจงสั่นสะเทือนไปทั้งสำนัก ศิษย์ตี้ปาจงมองขึ้นไปด้วยความประหลาดใจ ขณะที่เมิ่งฮ่าวพูดขึ้นมา

“ข้าคือฟางมู่แห่งตี้จิ่วจง วันนี้ข้าจะมาทดสอบชางหมางไถแห่งตี้ปาจง!”

แม้ในขณะที่เสียงของเมิ่งฮ่าวดังก้องไปมาอย่างต่อเนื่อง และก่อนที่ศิษย์แห่งตี้ปาจงจะทันได้มีปฏิกิริยาใดๆ เมิ่งฮ่าวและเยียนเอ๋อร์ก็พุ่งตรงไปยังชางหมางไถ ตี้ปาจงไม่มีความคิดหรือวิธีที่จะหยุดคนทั้งสองไว้ได้

นอกจากนี้ผู้ถูกเลือกจากสำนักอื่นๆ ทั้งหมด ต่างก็ไปทดสอบบนชางหมางไถของตี้จิ่วตงหลายครั้งนับไม่ถ้วนตลอดทั้งสิบปีที่ผ่านมา

เยียนเอ๋อร์ติดตามเมิ่งฮ่าวไปด้วยความตื่นเต้น พุ่งผ่านกลุ่มฝูงชนที่เป็นศิษย์ของตี้ปาจงนับไม่ถ้วน มุ่งตรงไปยังชางหมางไถของพวกมัน ในที่สุดคนทั้งสองก็ไปยืนอยู่ที่เชิงเขา

เมิ่งฮ่าวมองตรงไปยังเยียนเอ๋อร์และกล่าวว่า “เยียนเอ๋อร์ เจ้าต้องการไปกับเหวยซือหรือไม่?”

เหยียนเอ๋อร์อ้าปากค้าง และจิตใจก็เริ่มเต้นรัวอย่างรุนแรง จนรู้สึกว่าหายใจแทบจะไม่ทัน ยืนอยู่ที่นั่นด้วยความงุนงง นางแค่บอกว่าต้องการเห็นอาจารย์ยืนอยู่บนยอดเขาเท่านั้น ไม่เคยคาดคิดว่าเขาจะนำนางมายังที่แห่งนี้ แต่จากนั้นก็นึกขึ้นได้ว่าเขาเพิ่งจะบอกว่าจะนำนางมาเที่ยวชมยังสถานที่ต่างๆ

“ข้า…ข้า…” เยียนเอ๋อร์ตะกุกตะกัก

“ไม่ไป?”

“ไป!!” เยียนเอ๋อร์ร้องตะโกนขึ้น ด้วยความวิตกว่าเมิ่งฮ่าวจะไม่พาตนเองไปด้วย

เมิ่งฮ่าวหัวเราะเป็นเสียงดัง จากนั้นก็หมุนตัวเริ่มเดินตรงไปยังชางหมางไถ เยียนเอ๋อร์ติดตามไป ด้วยการปกป้องจากเมิ่งฮ่าว ต่อให้เป็นสถานที่ ที่อันตรายเช่นวังมังกรหรือถ้ำพยัคฆ์ ก็จะปลอดภัยสำหรับนาง!

ขณะที่เมิ่งฮ่าวนำเยียนเอ๋อร์ขึ้นไปยังชางหมางไถแห่งตี้ปาจง ศิษย์หนึ่งร้อยล้านกว่าคนจากตี้จิ่วจงก็เริ่มส่งเสียงร้องตะโกนขึ้นมาด้วยความดีใจ สำหรับศิษย์ตี้ปาจง พวกมันดูไม่ค่อยยินดีเท่าใดนัก ในที่สุดเสียงระฆังก็ดังก้องออกมา ครั้งที่หนึ่ง, สอง, สาม, สี่…ก็ยังไม่หยุดลง!

ขณะที่เสียงระฆังดังก้องกังวาน เมิ่งฮ่าวก็นำเยียนเอ๋อร์ขึ้นไปบนภูเขา หนึ่งหมื่นก้าว, สามหมื่นก้าว, เจ็ดหมื่นก้าว, เก้าหมื่นก้าว…ไปจนถึงหนึ่งแสนเก้า!

ชางหมางไถส่งเสียงดังกระหึ่ม ขณะที่สวรรค์ชั้นแรกถูกเรียกลงมา จากนั้นก็เป็นสวรรค์ชั้นที่สอง และชั้นที่สาม…เหมือนกับภาพเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นเมื่อสิบปีก่อน แต่ก็มีบางสิ่งที่น่าเหลือเชื่อจนยากที่จะพูดออกมาได้ คนทั้งหมดตกตะลึงไปโดยสิ้นเชิง ช่วงเวลาธูปไหม้หมดไปหนึ่งดอกเท่านั้น…สวรรค์ทั้งสิบชั้นก็ถูกเรียกลงมา!

เสียงระฆังดังก้องกังวานไปทั่วทั้งสำนัก โลกแห่งนี้กำลังสั่นสะเทือน เมิ่งฮ่าวยืนอยู่ตรงด้านบนของสวรรค์ชั้นสิบพร้อมกับเยียนเอ๋อร์ สายลมแห่งภูเขาพัดเส้นผมของคนทั้งสองพลิ้วไปมา ขณะที่มองออกไปยังกลุ่มเมฆ สำหรับการชำระล้างของเสียงระฆัง ทำให้เยียนเอ๋อร์ได้รับประโยชน์อย่างสุดที่จะบรรยาย

แต่นางก็ไม่ได้สนใจมากนักกับโชควาสนาเช่นนี้ ใบหน้านางแดงเรื่อขณะที่ยืนอยู่ข้างกายอาจารย์ มองออกไปยังแผ่นฟ้าและผืนดิน ด้วยความเบิกบานใจเป็นอย่างยิ่ง

“เยียนเอ๋อร์ มองไปยังกลุ่มเมฆ ภูเขา ท้องฟ้า และผืนดิน จดจำภาพเหล่านี้ไว้ วิสัยทัศน์ของคนผู้หนึ่งกว้างใหญ่มากเพียงใด ก็จะมีอนาคตที่กว้างไกลมากถึงเพียงนั้น และจิตใจของคนผู้นั้น…ก็จะยิ่งใหญ่ด้วยเช่นกัน”

“สิ่งที่ผู้ฝึกตนฝึกฝน ไม่ใช่ร่างกาย แต่เป็นจิตใจ!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version