ตอนที่ 643
ปล้น
ปรมาจารย์เอกะเทวะลังเลอยู่ชั่วครู่ ถ้าเมิ่งฮ่าวไม่ได้เน้นย้ำความตั้งใจของตนเอง มันก็ไม่มีทางจะปล่อยให้เขาเข้าเมืองไป อย่างไรก็ตามปรมาจารย์เอกะเทวะก็ไม่อาจจะทำอะไรได้ นอกจากมองไปยังทะเล และจากนั้นก็มองกลับเข้าไปในเมือง
ในที่สุด มันก็กัดฟันแน่นอย่างรุนแรง
“นี่คือครั้งสุดท้าย” มันตัดสินใจกล่าวขึ้น ถ้าเมิ่งฮ่าวพยายามจะใช้เล่ห์เหลี่ยมหลังจากนี้ มันก็จะเปิดเผยตัว และหลบหนีจากไปพร้อมกับดินแดนที่อยู่บนหลังของมัน
เมิ่งฮ่าวมุ่งหน้าตรงไปยังเมืองนั้นอย่างรวดเร็ว ภายในเมือง ร้านค้าทั้งหมดปิดประตูลง ทำให้ผู้ฝึกตนค่อนข้างจะสับสน ในที่สุด เสียงพูดคุยอย่างวุ่นวายก็ได้ยินมา
การมาถึงของเมิ่งฮ่าวไม่ได้ดึงดูดความสนใจของผู้คนมากเท่าใดนัก เขาเลือกพื้นที่ค่อนข้างเปิด ไปนั่งลงขัดสมาธิ โบกสะบัดชายแขนเสื้อ ทำให้อาวุธเวทจำนวนมากมาย ปรากฏขึ้นที่เบื้องหน้าในทันที พวกมันลอยออกมาอยู่รอบๆ บริเวณนั้น ทำให้แสงเจิดจ้ากระจายออกไปทั่วทุกทิศทาง
เมื่ออาวุธเวทนับพันจู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นทั้งหมดในครั้งเดียว ก็เกิดเป็นแสงอันแวววาวสาดประกายออกมา ทำให้คนที่ยืนดูอยู่ในบริเวณนั้นเกิดความสนใจขึ้นมาในทันที เมื่อพวกมันมองเห็นอาวุธเวท เสียงหอบหายใจก็ได้ยินมา
ในที่สุดเสียงพูดคุยก็ดังเต็มอยู่ในอากาศ
“ช่างมีอาวุธเวทมากมายนัก!”
“คนผู้นี้มีอาวุธเวทมากมายเช่นนี้ได้อย่างไรกัน!? มันเป็นสิ่งของจากขั้นรวบรวมลมปราณ ไปจนถึงขั้นวิญญาณแรกก่อตั้ง! มันมีทุกสิ่งทุกอย่าง!”
“อย่าบอกข้านะว่า มันไปปล้นร้านค้าที่ไหนสักแห่งมา?! อาวุธเวททั้งหมดเหล่านี้เห็นได้ชัดว่ายังใหม่อยู่! ไม่มีใครเคยใช้มาก่อน!”
ในที่สุด ผู้คนก็เริ่มเข้ามาใกล้ เพื่อสำรวจดูอาวุธเวท ที่ลอยอยู่ในอากาศ รอบๆ ตัวเมิ่งฮ่าว
สีหน้าเมิ่งฮ่าวสงบนิ่งเหมือนเช่นเคย ขณะที่เขียนราคาสำหรับของแต่ละชิ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งขึ้นกับราคาเริ่มต้นที่เขาได้ซื้อพวกมันมา เพิ่มขึ้นไปหลายเท่าตัว จากนั้นก็หลับตาลง นั่งอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ
กลุ่มฝูงชนมาห้อมล้อมอยู่รอบๆ มากขึ้นไปเรื่อยๆ ดวงตาพวกมันสาดประกาย ขณะที่มองไปยังเมิ่งฮ่าวเป็นระยะ บางคนต้องการจะซื้อ แต่เห็นว่าราคาแพงมากเกินไป ยังมีอาวุธเวทบางอย่าง มีราคาสูงกว่าปกติหลายเท่า เนื่องจากเช่นนี้ จึงมีอยู่หลายคนเริ่มก่นด่าอยู่ในใจ
เวลาผ่านไป ในที่สุดก็มีฝูงชนมารวมตัวกัน ตอนนี้ทุกร้านในเมืองปิดอยู่ ดังนั้นการแสดงออกอย่างเปิดเผยของเมิ่งฮ่าว ก็ไปดึงดูดความสนใจของผู้ฝึกตนมากมายในเมืองนี้อย่างรวดเร็ว
แต่โชคร้าย ถึงแม้จะมีผู้คนมากมาย แต่ก็มีน้อยคนนักที่จะยินดีซื้อด้วยราคาที่แพงลิ่วตามที่เมิ่งฮ่าวเขียนเอาไว้
เมิ่งฮ่าวไม่ได้รู้สึกกังวลใจมากเท่าใดนัก อันที่จริง เขาต้องการจะยืดเวลาออกไปให้นานมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ในทางกลับกัน ปรมาจารย์เอกะเทวะ กำลังกังวลใจเป็นอย่างยิ่ง อยู่ภายในราชวังของมัน ขณะที่มองไปยังภาพที่เผยให้เห็นนี้ ในที่สุด ยามสนธยาก็มาถึง ด้วยอาวุธเวทนับพันที่เมิ่งฮ่าวต้องการจะขาย เขากำจัดมันออกไปได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ตอนนี้ปรมาจารย์เอกะเทวะรู้สึกกังวลใจอย่างน่าเหลือเชื่อ
“นี่ก็คือครั้งสุดท้าย!” ปรมาจารย์เอกะเทวะกล่าว กระทืบเท้าลงไป ส่งสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เข้าไปในร่างของใครหลายคนที่อยู่ในเมืองนั้น
ไม่นานนัก ผู้ฝึกตนเจ็ดถึงแปดคน ก็เข้ามาใกล้กับแผงค้าขายของเมิ่งฮ่าว พวกมันเคลื่อนที่มาอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดเป็นความโกลาหลอยู่เล็กน้อย ขณะที่พวกมันมาถึงยังเบื้องหน้าเมิ่งฮ่าว
“ข้าต้องการอาวุธเวทเหล่านี้ห้าร้อยชิ้น!” หนึ่งในนั้นที่เป็นชายชรากล่าว มันโยนถุงสมบัติออกมา ดวงตาเมิ่งฮ่าวลืมขึ้นมาในทันที มองไปยังชายชราผู้นั้น จากนั้นก็ค่อยๆ เปิดถุงสมบัติออก เอาหินลมปราณจากด้านในทั้งหมดออกมา และเริ่มนับทีละก้อน หลังจากที่ตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว เขาก็โบกสะบัดมือ ทำให้อาวุธเวทห้าร้อยชิ้นลอยตรงไปยังชายชรา
ใบหน้าชายชราบิดเบี้ยว ขณะที่มันรวบรวมสิ่งของทั้งหมด จากนั้นก็หันหลังเดินจากไป หลังจากที่มันหายลับไป คนอื่นก็เข้ามาใกล้ และกระทำเช่นเดียวกับชายชราก่อนหน้านี้ เริ่มทำการซื้ออาวุธเวท
“นั่นก็คือเจ้าของรุ่ยเสียงเก๋อ (ศาลาฤกษ์มงคล) มันมีฐานะทางสังคมเป็นอย่างมาก และมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสำนักเซียวเหยา…ทำไมมันถึงมาซื้ออาวุธเวทจากคนผู้นี้?”
“ข้าเคยเห็นคนผู้นั้นมาก่อน นั่นก็คือเจ้าของร้านเฉินโหลว! (หอโบราณ) มันก็มายังที่นี่ด้วย…”
กลุ่มคนที่อยู่รอบๆ มองไปด้วยความประหลาดใจ ขณะที่ผู้ฝึกตนเจ็ดถึงแปดคน ใช้เวลาเกือบหนึ่งชั่วยามเลือกซื้อของวิเศษต่างๆ ในที่สุด อาวุธเวททั้งหมดของเมิ่งฮ่าวก็ถูกขายไปจนหมดเกลี้ยง
แน่นอนว่า เหตุผลที่ต้องใช้เวลานาน ก็เป็นเพราะว่าเมิ่งฮ่าวได้นับหินลมปราณทุกก้อนด้วยความพิถีพิถัน มิเช่นนั้น เขาก็คงขายของทั้งหมดนี้ในช่วงเวลาไม่กี่อึดใจเท่านั้น
เมื่อเห็นว่าเรื่องนี้จบลงโดยการที่เมิ่งฮ่าวมีหินลมปราณจำนวนมากมาย จึงไม่ต้องประหลาดใจที่มีกลุ่มคนมองไปที่เขาด้วยความละโมบ ราวกับเป็นสุนัขป่าที่หิวโหย
เมิ่งฮ่าวเก็บหินลมปราณทั้งหมดไว้ในถุงสมบัติอย่างใจเย็น เขามีอยู่ทั้งหมดหลายแสนก้อน ทำให้การเดินทางมายังเกาะศักดิ์สิทธิ์ของเขา ค่อนข้างจะได้กำไรดีไม่น้อย
ในที่สุด เขาก็ค่อยๆ ลุกขึ้นมายืนและถอนหายใจออกมา ย้อนกลับไปในราชวัง ความอดทนของปรมาจารย์เอกะเทวะไม่อาจจะยืดขยายออกไปได้นานกว่านี้อีกแล้ว ขณะที่เมิ่งฮ่าวกลายเป็นลำแสงพุ่งออกไปในอากาศ
ทันทีที่เกิดขึ้นเช่นนั้น ผู้ฝึกตนที่อยู่ด้านล่างในเมืองสี่ถึงห้าคน ก็หยิบเอาแผ่นหยกออกมา จากนั้นพวกมันก็ใช้แผ่นหยกส่งสัญญาณเสียงออกไป
ไม่นานต่อมา ผู้ฝึกตนขั้นสร้างแกนลมปราณสามคน ก็บินออกมาจากสถานที่ลับๆ บางแห่ง ในเวลาเดียวกันนั้น ชายชราในชุดสีแดงซึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่บนเรือ ใกล้กับชายฝั่ง ทันใดนั้นก็ลืมตาขึ้นมา และเริ่มสาดประกายเจิดจ้า ระลอกคลื่นของพื้นฐานฝึกตนขั้นต้นวิญญาณแรกก่อตั้งกระจายออกมาจากร่างมัน
มันเป็นบุคคลที่สามารถสร้างความคุกคามได้ โดยไม่ต้องแสดงความกราดเกรี้ยวใดๆ ออกมา ทันทีที่มันลืมตาขึ้น ก็หยิบเอาแผ่นหยกที่ส่องแสงเจิดจ้าออกมา เมื่อมันส่งสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เข้าไปในแผ่นหยก ดวงตาก็หดเล็กลง
“ผู้ฝึกตนที่กำลังบินอยู่ในบริเวณนี้มีหินลมปราณหลายแสนก้อน?” มันกล่าวเสียงราบเรียบ ลุกขึ้นมายืน
“บนเกาะศักดิ์สิทธิ์ มีแต่ผู้ฝึกตนสร้างแกนลมปราณเท่านั้นที่ถูกยินยอมให้บินได้…”
“มันขายของวิเศษไปมากมาย ซึ่งส่วนใหญ่ก็เหมาะสำหรับขั้นรวบรวมลมปราณ และพื้นฐานลมปราณ ซึ่งก็เห็นได้ชัดว่าพื้นฐานฝึกตนของมันต้องไม่ใช่วิญญาณแรกก่อตั้ง มันต้องเป็นผู้ฝึกตนสร้างแกนลมปราณ”
“เป็นไปได้อย่างมากว่า มันจะอยู่ในขั้นวงจรอันยิ่งใหญ่สร้างแกนลมปราณ ในเงื้อมมือของข้า บุคคลเช่นนี้ก็เป็นแค่แมลงตัวเล็กๆ เท่านั้น” รอยยิ้มจางๆ ปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของบุรุษผู้นั้น
“ถ้าข้ายื่นมือไปยังหินลมปราณนับแสนนั้น การเดินทางในครั้งนี้ของข้าก็คงไม่สูญเปล่า” บุรุษผู้นั้นใช้การเคลื่อนย้ายทางไกลย่อย หายตัวไปในทันที เมื่อมันปรากฏกายขึ้นใหม่ ก็ไปอยู่ในท่ามกลางอากาศเหนือเกาะศักดิ์สิทธิ์ หลังจากที่ยืนยันตำแหน่งที่แน่นอนของเมิ่งฮ่าว มันก็เริ่มบินตรงไปยังทิศทางนั้น
เมิ่งฮ่าวขมวดคิ้ว ขณะที่บินอยู่ในกลางอากาศ เขาไม่อาจจะคิดหาเหตุผลเพื่อจะอยู่ต่อไปได้อีก จนแทบจะทำให้รู้สึกว่ากำลังถูกเนรเทศ ซึ่งทำให้เขารู้สึกไม่ค่อยพอใจนัก
นอกจากนี้ บุคคลที่ทำการเนรเทศเขาก็คือ คนที่ควรจะเป็นผู้พิทักษ์เต๋าของเขา
“ถ้าข้ารู้ว่ากำลังจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ข้าก็ควรจะทุบตีเจ้าเต่าน้อยนั้นให้มากกว่าเดิม ตอนที่อยู่ในเจดีย์เซียนอสูร!” เมิ่งฮ่าวพึมพำอย่างมีโทสะ เขามุ่งหน้าต่อไป มองไปยังชายหาดที่ใกล้เข้าไปเรื่อยๆ
ตอนนี้ ปรมาจารย์เอกะเทวะกำลังตื่นเต้นขึ้นอย่างน่าเหลือเชื่อ ความมุ่งหวังเต็มอยู่ในดวงตา ขณะที่มองเมิ่งฮ่าวอยู่ห่างไกลออกไป ไกลออกไปเรื่อยๆ
“มันกำลังไปแล้ว! ในที่สุดเจ้าสารเลวน้อยก็จากไป! ฮา ฮา ฮา! ช่างเป็นความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมอะไรเช่นนี้!” ยิ่งปรมาจารย์เอกะเทวะคิดเรื่องนี้มากเท่าใด มันก็ยิ่งรู้สึกมีความสุขมากขึ้นเท่านั้น มันยังได้เริ่มครวญเพลงอยู่ในลำคอเล็กน้อยอีกด้วย
ถ้าเมิ่งฮ่าวอยู่ที่นั่น เขาก็คงต้องจดจำเสียงเพลงนี้ได้ในทันที มันเป็นเพลงเดียวกับที่ปรมาจารย์เอกะเทวะได้ร้องออกมา ตอนที่อยู่ในสำนักเอกะเทวะ
ตอนนี้ ใบหน้าเมิ่งฮ่าวดูน่าเกลียดเป็นอย่างยิ่ง เริ่มมองเห็นทะเลได้ชัดเจนในที่ห่างไกลออกไป แต่เขาก็ยังคงคิดหาเหตุผลที่จะอยู่ต่อไปอีกไม่ได้ ขณะที่กำลังเริ่มลังเล เสียงแหลมเล็กแหวกฝ่าอากาศก็ได้ยินมาจากทางด้านหลัง
เมื่อเมิ่งฮ่าวได้ยินเสียงนี้ ก็มีทั้งความประหลาดใจและความยินดีมากขึ้นในทันที รีบมองไปทางด้านหลัง เมื่อเห็นสามลำแสงพุ่งตรงมา สีหน้ามีความสุขก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า
ในเวลาเดียวกับที่เมิ่งฮ่าวหันหลังมองกลับไป เสียงอันเย็นชาก็ได้ยินมาจากหนึ่งในสามผู้ที่ไล่ติดตามมา “สหายเต๋า, โปรดช้าลงชั่วครู่!”
ผู้ที่ไล่ตามมาทั้งสามคนเป็นบุรุษวัยกลางคน หนึ่งในนั้นอยู่ในขั้นกลางสร้างแกนลมปราณ อีกสองคนอยู่ในขั้นต้นสร้างแกนลมปราณ พวกมันบินฝ่าอากาศมาด้วยความรวดเร็ว และมาถึงในชั่วพริบตา
ย้อนกลับไปในราชวัง ปรมาจารย์เอกะเทวะมองดูด้วยความตกตะลึง
“พวกท่านกำลังทำอะไร!?” เมิ่งฮ่าวตะโกน หดตัวไปด้านหลัง
ดวงตาของบุรุษทั้งสามสาดประกายด้วยรังสีสังหาร ผู้ฝึกตนขั้นกลางสร้างแกนลมปราณ มองดูเมิ่งฮ่าวโดยละเอียด ก่อนหน้านี้มันค่อนข้างจะลังเล เนื่องจากไม่อาจจะมองเห็นพื้นฐานฝึกตนของเมิ่งฮ่าวได้ชัดเจนนัก ตอนนี้มันเห็นได้ชัดว่าเขาอยู่ในขั้นต้นสร้างแกนลมปราณ
ยิ่งไปกว่านั้น คำพูดและสีหน้าของเมิ่งฮ่าว ก็ดูเหมือนว่าจะเต็มไปด้วยความระแวง ทำให้มันรู้สึกสงบใจได้มากขึ้น
“พวกเราทั้งสามอยากจะขอยืมของบางสิ่งจากท่าน, สหายเต๋า” บุรุษที่มีรอยยิ้มจอมปลอมกล่าว “หวังว่าท่านจะสามารถช่วยเหลือพวกเราได้” ด้วยเช่นนั้น อีกสองคนก็เคลื่อนที่มาล้อมเมิ่งฮ่าวไว้
ดวงตาของคนทั้งสามสาดประกายด้วยความมุ่งร้าย ขณะที่พวกมันจ้องมายังเมิ่งฮ่าวอย่างเย็นชา ความโลภในแววตาพวกมันไม่อาจจะมองเห็นได้เด่นชัดมากไปกว่านี้อีกแล้ว
“พวกท่าน…พวกท่านต้องการยืมอะไร?” เมิ่งฮ่าวรีบกล่าวตอบ
“เพียงแค่หินลมปราณ, ก็แค่นั้น” บุรุษผู้นั้นกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “สหายเต๋า, ท่านมีหินลมปราณนับแสนก้อนอยู่ในถุงสมบัติ ขอให้พวกเรายืมได้หรือไม่?” ตอนที่มันกล่าว รังสีสังหารสาดประกายอยู่ในแววตา และขณะที่มันกำลังจะลงมือโจมตี…
“ดี! ข้าตกลง!” เมิ่งฮ่าวกล่าว ตบไปที่ถุงสมบัติ และทันใดนั้นก็ทำให้หินลมปราณนับแสนลอยออกมา ภาพของหินลมปราณมากมายนี้ ทำให้สามผู้ฝึกตนจ้องมองไปด้วยจิตใจที่เต้นรัวในทันที
ในช่วงเวลาธูปไหม้หมดไปครึ่งดอก เสียงที่แทบจะคล้ายกับเสียงน้ำไหลก็ได้ยินมา ขณะที่หินลมปราณตกลงไปบนพื้น ในที่สุดพวกมันก็รวมตัวเข้าด้วยกันจนเป็นบางสิ่งที่คล้ายกับภูเขาลูกน้อยๆ
ถึงแม้ว่าจะเป็นยามสนธยา หินลมปราณก็ยังส่งประกายวาววับ ทำให้ดวงตาของบุรุษทั้งสามสาดแสงเจิดจ้า
แต่ขณะที่เมิ่งฮ่าวถอยไปด้านหลัง ส่วนปลายของหนึ่งในอาวุธเวทจากสำนักเซียนอสูรทันใดนั้นก็ปรากฏขึ้น สีหน้าเมิ่งฮ่าวสลดลง รีบปกปิดมันไว้อย่างรวดเร็ว
“ฮา ฮา ฮา!” บุรุษวัยกลางคนหัวเราะออกมา ดวงตาแวบขึ้น มันกล่าวไปยิ้มไป พยายามอย่างหนักที่จะบังคับไม่ให้ตนเองรู้สึกตื่นเต้น “สหายเต๋า, ดูเหมือนท่านจะมีอารมณ์ดี ดังนั้นข้าจึงรู้สึกไม่ค่อยดีนักที่จะบอกท่านว่านอกจากหินลมปราณแล้ว ข้ายังต้องการอาวุธเวทอีกด้วย ข้าเพิ่งจะสังเกตเห็นเมื่อครู่นี้ว่าท่านยังมีอยู่บ้างในถุงสมบัติ ส่งมอบมาให้ข้าดูในตอนนี้เลย”
บุรุษอีกสองคนกำลังเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น ที่จะได้กลายเป็นคนรวยแล้ว
เวลาเดียวกันนั้น ย้อนกลับไปในราชวัง ปรมาจารย์เอกะเทวะกำลังหอบหายใจ ดวงตาเต็มไปด้วยโทสะ ขณะที่กำหมัดจนแน่น มันไม่ต้องการอะไรนอกจากให้เมิ่งฮ่าวจากไปอย่างรวดเร็วมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่โชคร้ายที่เจ้าคนโง่ซึ่งมีตาแต่ไร้แววเหล่านี้ กลับกล้าที่จะเข้ามาขัดขวางจนทำให้เมิ่งฮ่าวต้องล่าช้าออกไปอีก นี่จึงเป็นเหตุผลเพียงพอที่จะทำให้ปรมาจารย์เอกะเทวะระเบิดโทสะออกมาราวกับสายฟ้า
“พวกเจ้ากำลังรนหาที่ตาย?!” ปรมาจารย์เอกะเทวะแผดร้องออกมา โบกสะบัดมือออกไป ในเวลาเดียวกันนั้น คนทั้งสามที่อยู่รอบๆ ตัวเมิ่งฮ่าว กำลังตกอยู่ในท่ามกลางความตื่นเต้นอย่างถึงที่สุด ทันใดนั้นก็เริ่มสั่นสะท้าน ได้ยินเสียงแผดร้องของใครบางคน ระเบิดออกมาอยู่ในจิตใจ
จากนั้น เพียงชั่วพริบตา ดวงตาพวกมันก็เริ่มเบิกกว้าง ร่างพวกมันระเบิดออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย กลุ่มหมอกของโลหิตและชิ้นเนื้อเต็มอยู่ในอากาศ จากนั้นก็หายไปอย่างรวดเร็วเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น
เมิ่งฮ่าวยิ้มอย่างขมขื่นออกมา จากนั้นก็บินลงไปเก็บหินลมปราณที่อยู่บนพื้น แต่ในตอนนี้เองที่ทันใดนั้น ก็ต้องยิ้มด้วยความตื่นเต้นออกมาอีกครั้ง ที่ห่างไกลออกไป ลำแสงกำลังใกล้เข้ามาที่เขาอย่างรวดเร็ว จากทิศทางของทะเล
มันก็คือชายชราขั้นต้นวิญญาณแรกก่อตั้ง
“นำหินลมปราณของเจ้าออกมาและ…หือ?” ขณะที่เสียงอันเย็นชาของชายชราดังก้องออกมา ทันใดนั้นมันก็อ้าปากค้าง มันเพิ่งจะมองเห็นภูเขาหินลมปราณลูกน้อยๆ กำลังกองอยู่บนพื้น