Skip to content

King of Gods 1035

King Of Gods

บทที่ 1035 ค่ายกลวิญญาณทมิฬ

คนหลายสิบบนนกประหลาดปีกมังกรสัมผัสได้ถึงไอเพลิงทมิฬศาสตร์ซากศพที่น่ากลัวรอบบริเวณ ในใจเย็นวาบ รีบโคจรปราณที่แท้จริงเพื่อป้องกันตัวเองทันที

ในนั้นมีผู้สูงศักดิ์และครึ่งก้าวสู่ราชันจำนวนมากต้านทานการกัดกร่อนของไอเพลิงทมิฬอย่างสุดกำลัง แต่ในวินาทีต่อมา ทั่วร่างของพวกเขาซีดขาว กายเนื้อค่อยๆ สลายหายไป เหลือเพียงโครงกระดูกปลิดปลิวไป

“เซียน…ท่านเซียนได้โปรดไว้ชีวิตด้วย!”

ชายวัยกลางคนที่เป็นผู้นำทรุดลงคุกเข่ากลางอากาศ ทั่วร่างสั่นสะท้าน

“ท่านเซียน ไม่รู้ว่าเราล่วงเกินพวกท่านเมื่อใดกัน…”

จักรพรรดิและราชันที่เหลือก็ศิโรราบลงกับพื้น ร้องอ้อนวอนไม่หยุด

คนสองสามคนลอบติดต่อสื่อสารกัน เมื่อวิเคราะห์จนถึงที่สุดแล้วก็พบว่าเป็นเรื่องชั่วร้ายเรื่องนั้นที่พวกเขาทำ จนเซียนในขอบเขตเทวาเร้นลับลงมือทำร้ายพวกเขาด้วยตนเอง

นกประหลาดปีกมังกรใต้ฝ่าเท้าของทุกคนส่งเสียงร้อง พลังชีวิตจำนวนมหาศาลในร่างเริ่มสลายไป

“ค่ายกลวิญญาณทมิฬได้ตั้งขึ้นแล้ว ถึงเจ้าจะติดปีกก็หนีไปไหนไม่รอด!”

เซียนศาสตร์ซากศพในชุดเกราะสีดำเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม

หลายสิบคนบนนกประหลาดปีกมังกรพลันอึ้งไป เซียนศาสตร์ซากศพผู้นี้ใช้คำว่า ‘เจ้า’ ทุกคนจึงพลันหันกลับไปมองเด็กหนุ่มผมทองด้านหลังอย่างพร้อมเพรียง

“ท่านเซียน พวกเราก็จะสู้กับเขาเช่นกัน!”

หัวหน้าผมเขียวเอ่ยในทันที

“ท่านเซียน ปล่อยพวกเราไป ให้พวกเราช่วยท่านต่อสู้กับเจ้าเด็กนี่!”

คนอื่นที่เหลือรีบเออออด้วย

สี่ทิศของค่ายกลวิญญาณทมิฬ ปฐมเซียนหนึ่งคนและเซียนอีกสามคนมองข้ามคนจำนวนหลายสิบไป เอาแต่จ้องจ้าวเฟิงเขม็ง

“วังเก้านิรยส่งพวกเจ้ามารึ?”

จ้าวเฟิงเก็บพาหนะเพลิงวายุ ลอยอยู่ในใจกลางค่ายกล สีหน้าเรียบเฉย

เขาเพิ่งได้รับจดหมายจากหนานเฟิงอ๋อง เดินทางออกจากเมืองเหมิงก็ต้องมาเจอกับการไล่ล่า เห็นได้ชัดว่าทั้งหมดนี้ต้องถูกวางแผนเอาไว้ก่อนล่วงหน้าแล้ว

“วังเก้านิรย!”

เมื่อได้ยินชื่อนี้ คนที่เหลืออยู่ข้างกายจ้าวเฟิงรู้สึกเย็นวาบจากฝ่าเท้าไล่ขึ้นมา ราวตกลงไปในหลุมน้ำแข็ง

ธรรมเนียมการลงมือของวังเก้านิรย ไม่มีใครในราชวงศ์ต้าเฉียนไม่รู้

พวกเขาคิดภาพไม่ออกเลยว่าเจ้าเด็กนี่ทำอะไรกันแน่ วังเก้านิรยถึงส่งเซียนสามคนมาล้อมสังหารเช่นนี้

“คนจะตาย รู้มากไปก็ไร้ประโยชน์!”

คนชราที่ร่างกายปกคลุมด้วยไอเย็นเยือกสีหน้าซีดขาวราวกระดูก โหดเหี้ยมผิดปกติ

ค่ายกลวิญญาณทมิฬเป็นค่ายกลสังหารศาสตร์ซากศพที่คนระดับสูงของวังเก้านิรยสร้างขึ้น ถ้าหากจักรพรรดิไร้เทียมทานสี่คนตั้งค่ายกลดังกล่าว จะมีกำลังรบเทียบเท่ากับเซียนเลยทีเดียว

ในตอนนี้ พวกเขามีเซียนสามคนและปฐมเซียนหนึ่งคนจัดการค่ายกล จะสังหารเซียนขอบเขตเทวาเร้นลับชั้นต้นก็ง่ายดายเหลือเกิน

“กระตุ้นค่ายกลสังหาร!”

เซียนเกราะดำกดเสียงต่ำ

เซียนสามคนและปฐมเซียนหนึ่งคนต่างก็โคจรวิชาพิเศษขึ้น ก่อนฟาดฝ่ามือลงไปบนธงค่ายกลที่มีเพลิงดำลุกโชน

พรึ่บ พรึ่บ พรึ่บ!

ในมิตินรกโลหิตดำพลันปรากฏภูติผีชั่วร้ายจำนวนนับไม่ถ้วน ใบหน้าอำมหิต สองกรงเล็บที่น่ากลัวตรงดิ่งไปหาสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในค่ายกล

คนผู้หนึ่งบนนกประหลาดปีกมังกรถูกภูติผีชั่วร้ายจู่โจม ร่างมอดไหม้กลายเป็นกองกระดูกสีขาวด้วยความเร็วที่เห็นได้ด้วยตาเปล่า

ในเวลาเดียวกัน วิญญาณของเขาหลุดลอยออกจากร่าง กลายเป็นวิญญาณดุร้ายที่อ่อนแอดวงหนึ่งภายใต้ผลกระทบของค่ายกลวิญญาณทมิฬ

“เจ้าสี่!” จักรพรรดิผมเขียวที่เป็นแกนนำตะโกนเสียงดัง

ขนาดยอดฝีมือในขั้นจักรพรรดิยังไม่อาจต้านทานการโจมตีของภูติผีตนเดียวในค่ายกลสังหารแห่งนี้

ภูติผีชั่วร้ายแบบนี้มีราวหกเจ็ดร้อยตนในค่ายกล ยากจะจินตนาการได้ว่าค่ายกลนี้สังหารจักรพรรดิและปฐมเซียนมามากเพียงใด

วิ้ง แซ่ด! จ้าวเฟิงไม่พูดพร่ำทำเพลง รีบโคจรกายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ ต้านทานวิญญาณร้ายในค่ายกล

“แข็งแกร่งเหลือเกิน เด็กหนุ่มผู้นี้!”

จักรพรรดิผมเขียวสัมผัสได้ถึงแรงกดดันของแก่นแท้พลังที่ไร้ขอบเขต สายเลือดและปราณที่แท้จริงใกล้จะค้างแข็ง

ในตอนนี้เขาถึงเพิ่งจะเข้าใจ ผู้ที่พวกเขาจะปล้นชิงแข็งแกร่งมากเพียงใด

ถึงคนจากวังเก้านิรยไม่มา พวกเขาก็คงจะถูกเด็กหนุ่มผู้นี้กำจัด โดยรวมแล้วก็คือพวกเขาจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย

จ้าวเฟิงกวาดสายตาผ่าน เพ่งไปยังตำแหน่งของปฐมเซียนคนขวา

ในดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงทะลักเจตจำนงดวงตาที่น่ากลัวออกมา

พลังวิญญาณจำนวนมหาศาลในกายวิญญาณอัสนีไหลหลั่งเข้าไปในดวงตาซ้าย

“เพลิงอัสนีวายุเนตรเทพเจ้า!”

ดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงปรากฏเพลิงพลังดวงตาที่น่าสะพรึงขวัญ แสงสุกสกาวสีม่วงหมุนวน ลวดลายอัสนีเทวะสีมืดลอยเอ่อขึ้นหลายเส้น

ตูม——

ลูกเพลิงอัสนีทมิฬที่โปร่งแสงหอบกลิ่นอายอัสนีเทวะทำลายล้างโจมตีไปบนศีรษะของปฐมเซียนผู้นั้น

“อ๊าก…” ปฐมเซียนพลันร้องลั่น

เวลาเดียวกัน ครอบมวยผมสีดำเหนือศีรษะเขาเปล่งแสงสว่างสีดำออกมา ต้านทานการโจมตีทางวิญญาณของจ้าวเฟิงเอาไว้

สุดท้ายแล้ว หลังจากที่ปฐมเซียนผู้นี้ดิ้นรนอยู่พักหนึ่งจึงกลับคืนสู่สภาพเดิม

“นี่เป็นไปได้อย่างไรกัน…”

จ้าวเฟิงเพ่งสมาธิมอง

ถึงปฐมเซียนผู้นี้จะมีสมบัติลี้ลับป้องกันวิญญาณ แต่ก็ไม่สามารถต้านทานเพลิงอัสนีวายุเนตรเทพเจ้าของเขาได้อย่างแน่นอน

“ฮ่าๆ เจ้าอย่าคิดให้เปลืองสมองเลย ค่ายกลวิญญาณทมิฬชุดนี้เตรียมไว้ให้เจ้าโดยเฉพาะ!”

เซียนผมขาวอีกคนหัวเราะเจ้าเล่ห์ สาดซัดระลอกพลังมิติที่หนาวเหน็บออกมา

“เป็นแบบนี้นี่เอง…”

จ้าวเฟิงมองไปยังทุกแห่งที่ปฐมเซียนอยู่ เหมือนจะเข้าใจอะไรขึ้นมา

ปฐมเซียนผู้นี้กำธงค่ายกล แสงเพลิงดำแดงหมุนวนรอบบริเวณ เชื่อมต่อทั้งค่ายกลเอาไว้

ในขณะที่วิชาดวงตาวิญญาณของจ้าวเฟิงปะทะร่างของปฐมเซียนผู้นี้ ค่ายกลชุดนี้จะช่วยแบกรับอาการบาดเจ็บส่วนหนึ่งของเขาเอาไว้ บวกกับมีสมบัติป้องกันวิญญาณ จึงมีชีวิตรอดปลอดภัยได้

อีกทั้งค่ายกลวิญญาณทมิฬชุดนี้ยังแฝงไปด้วยเสวียนอ้าวมิติ พูดได้ว่าพลังข้ามผ่านมิติจากมนตราอากาศของจ้าวเฟิงก็ไม่สามารถใช้ได้

ไม่ผิดคาด วังเก้านิรยส่งเซียนสามคนนี้มา สร้างลานสังหารแห่งหนึ่ง เตรียมตัวพร้อมสรรพ พวกเขาเตรียมการป้องกันทุกกระบวนท่าของจ้าวเฟิง

“ตายซะเถอะ จ้าวเฟิง!”

รอบทิศทางของค่ายกลวิญญาณทมิฬ ยอดฝีมือสี่คนที่ตรึงค่ายกลกระตุ้นธงค่ายกลขึ้นทันที จากนั้นควบคุมหมอกภูติผีใจกลางค่ายกล ทุ่มสุดพลังโจมตีไปหาจ้าวเฟิง

“ถ้าหากเจ้าเก็บศรสังหารเทพเอาไว้ บางทีอาจมีชีวิตต่อไปได้อีกช่วงหนึ่ง ช่างโง่งมนัก!”

ชายเกราะดำหัวเราะเสียงเย็น

จากข่าวสารมากมายของสนามรบ ขั้วอำนาจจำนวนมากเบื้องหลังองค์ชายสิบสามมั่นใจอย่างยิ่งว่าจ้าวเฟิงจะต้องใช้ศรสังหารเทพไปแล้ว ถึงสามารถเอาชนะเซียนหมื่นปรากฏการณ์ได้

จะต้องรู้ว่า จ้าวเฟิงสามารถมีชีวิตรอดมาจนถึงตอนนี้ ส่วนใหญ่ก็เป็นเพราะความน่ากลัวของศรสังหารเทพ

“หืม?” จ้าวเฟิงคล้ายครุ่นคิดอยู่

ตั้งแต่ที่จ้าวเฟิงสังหารเจ้าลัทธิมารเก้านิรยไปแล้ว วังเก้านิรยก็ไม่เคยส่งกำลังรบขั้นเซียนมาประมือกับเขา แต่ในวันนี้จู่ๆ กลับมีเซียนสามคน ปฐมเซียนอีกคนหนึ่งปรากฏกายขึ้น

อันที่จริง พวกเขาต่างคิดว่าศรสังหารเทพที่จ้าวเฟิงสร้างเลียนแบบขึ้นเป็นศรสังหารเทพที่แท้จริง

จ้าวเฟิงอดหัวเราะไม่ได้ ถึงแม้ว่าเขายังมีศรสังหารเทพเลียนแบบสองชิ้น แต่จะใช้รับมือกับคนเหล่านี้ก็ออกจะสิ้นเปลืองไม่น้อย

“อ๊าก…”

ค่ายกลวิญญาณทมิฬกระตุ้นพลังทั้งหมดออกมา ราชันและจักรพรรดิหลายคนที่อยู่ไม่ไกลจากจ้าวเฟิงดิ้นรนได้ไม่นานก็กลายเป็นอาหารหล่อเลี้ยงค่ายกลแห่งนี้

“ขอบเขตแก่นแท้อัสนี!”

ในกายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ของจ้าวเฟิง สาดซัดสายฟ้าแก่นแท้พลังที่น่ากลัวออกมา ทำให้รัศมีหลายสิบลี้ตกอยู่ภายใต้การโจมตีจากสายฟ้าและการกดดันที่ไร้รูปร่าง

ข้างในกายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ของจ้าวเฟิงหลอมรวมพลังสายฟ้าบรรพกาลไว้ไม่น้อย จึงสามารถข่มภูติผีชั่วร้ายในค่ายกลวิญญาณทมิฬได้ในระดับหนึ่ง

พรึ่บ โครม!

จ้าวเฟิงแผ่ขอบเขตแก่นแท้อัสนี ป้องกันตัวของเขาเองในทันที เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ในการป้องกันที่ดีที่สุด

อย่างไรเสีย จ้าวเฟิงก็ยังไม่ได้ฝึกฝน ‘ขอบเขตแก่นแท้อัสนี’ จนสำเร็จ พลานุภาพจึงมิได้แข็งแกร่งมากนัก

ดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงจ้องเขม็งไปบนร่างของปฐมเซียนผู้นั้นอีกครั้ง

“วิชาดวงตาวิญญาณของเจ้าใช้กับข้าไม่ได้หรอก!”

ปฐมเซียนเอ่ยขึ้นทันที

ถึงแม้จะพูดเช่นนี้ แต่เขาก็ยังทุ่มเทพลังทั้งหมดโคจรพลังดวงวิญญาณเพื่อป้องกัน

“เหอะๆ ใครบอกล่ะว่าข้าจะใช้วิชาดวงตาวิญญาณ!”

มุมปากของจ้าวเฟิงยกขึ้นเป็นยิ้มเย็น

ระลอกพลังดวงตาที่แปลกประหลาดปกคลุมทั่วบริเวณที่ปฐมเซียนผู้นี้อยู่

โครม! คมมีดกึ่งโปร่งแสงยาวสองจั้งเล่มหนึ่ง พื้นผิวมีกลิ่นอายอัสนีเทวะทำลายล้างผุดขึ้น ทะลวงออกจากภายในร่างของปฐมเซียนผู้นี้

ในวินาทีนั้น เลือดสาดกระเซ็นไปทั่วฟ้า!

ร่างปฐมเซียนถูกตัดจนขาดออกเป็นสองท่อน

จากนั้นวิญญาณดั้งเดิมสีดำลอยออกจากในร่างกายที่ถูกตัดเป็นสองท่อน

แต่ว่าวิญญาณดั้งเดิมสีดำกลับถูกดูดเข้าไปในธงค่ายกล หลอมรวมเข้าไปในค่ายกลวิญญาณทมิฬทันที

“เนตรพิฆาตผ่านอากาศ!”

ระลอกพลังเนตรในดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงกลับสู่สภาพเดิม

หลังจากที่จ้าวเฟิงถือกำเนิดใหม่ น้อยครั้งนักที่จะใช้เนตรพิฆาตผ่านอากาศ วังเก้านิรยจึงย่อมไม่ล่วงรู้กระบวนท่านี้ของจ้าวเฟิง

ด้วยความสามารถในตอนนี้ของจ้าวเฟิง แค่กระตุ้นเนตรพิฆาตผ่านอากาศ คนในขั้นต่ำกว่าเซียนลงไปก็แทบจะถูกสังหารทันที

แต่จะรับมือเซียนกลับไม่มีประโยชน์แม้แต่น้อย กายศักดิ์สิทธิ์ของเซียนเหมือนจะเป็นคู่พิฆาตของเนตรพิฆาตผ่านอากาศ ด้วยเหตุนี้จ้าวเฟิงในตอนนี้จึงจะใช้กระบวนท่านี้น้อยครั้ง

“นี่มัน…” เซียนที่คุมค่ายกลอีกสามคนมีสีหน้าตื่นตะลึง ร่างกายสั่นสะท้าน

“เหตุใดเขาถึงเป็นวิชาดวงตาชั้นกายเนื้อในแขนงมิติด้วย?”

เซียนผมขาวผู้นั้นตื่นตะลึงอย่างมาก

คนที่ตรึงค่ายกลวิญญาณทมิฬสีด้านตายไปหนึ่งคน พลานุภาพค่ายกลลดลงไปอย่างรวดเร็ว และเริ่มมีแนวโน้มจะไม่เสถียรด้วย

“ไป!”

จู่ๆ ก็ปรากฏชายผู้มีกลิ่นอายเซียนขึ้นข้างกายเซียนเกราะดำ หน้าตาละม้ายคล้ายเซียนเกราะดำส่วนหนึ่ง

“เคล็ดวิชาแบ่งกาย!”

สีหน้าของผู้เฒ่าผมขาวยินดีอย่างยิ่ง

คิดไม่ถึงว่าศักยภาพของเซียนเกราะดำแห่งวังเก้านิรยจะแข็งแกร่งเช่นนี้ เห็นๆ อยู่ว่าเป็นเพียงแค่ขอบเขตเทวาเร้นลับชั้นแรกเริ่มเท่านั้น แต่กลับฝึกฝนเคล็ดวิชาแบ่งกาย

ขอแค่ร่างแยกร่างนี้ของเซียนเกราะดำมาแทนที่ตำแหน่งของปฐมเซียนผู้นั้นได้ก็พอ อีกทั้งร่างแยกของเซียนไม่จำเป็นต้องหวาดกลัววิชาดวงตาแขนงมิติของจ้าวเฟิงด้วย

ทั้งสี่คนมีเพียงเซียนเกราะดำที่มาจากวังเก้านิรย พวกเขาสามคนมาจากแต่ละขั้วอำนาจเบื้องหลังองค์ชายสิบสาม

จ้าวเฟิงสีหน้าชะงักไป ดวงตาซ้ายเล็งเป้าหมายไปยังตำแหน่งที่ขาดธงค่ายกล

วิ้ง พรึ่บ! ใต้ธงค่ายกลปรากฏลายสายน้ำมิติเส้นหนึ่งทันที

เปรี๊ยะ! แสงสีเงินเข้มเส้นหนึ่งสว่างวาบ ร่างของเจ้าแมวขโมยน้อยปรากฏขึ้น กรงเล็บของมันคว้าธงค่ายกลแล้วระบายยิ้มชั่วร้ายออกมา

“อะไรกัน สัตว์วิเศษของจ้าวเฟิง…”

ผู้เฒ่าผมขาวตื่นตะลึงในทันใด

“อย่า!” เซียนอีกคนหนึ่งก็มีสีหน้าหวาดกลัว

พรึ่บ! ระลอกแสงสีเงินเข้มหลอมรวมเข้าไปในธงค่ายกล

ทันใดนั้นเอง ทั่วทั้งค่ายกลเกิดเสียงดังสนั่นโครมคราม พลังชั่วร้ายในนั้นสาดซัดออกมาทั่วทิศทาง

ในวินาทีต่อมา เจ้าแมวขโมยน้อยโบกธงค่ายกล แล้วมายังบนไหล่ของจ้าวเฟิง

“บัดซบ เจ้าแมวตัวนี้ทำลายค่ายกลไปแล้ว!”

ผู้เฒ่าผมขาวขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน

เปรี๊ยะ โครม!

ในขณะที่เจ้าแมวขโมยใช้ธงค่ายกลทำลายค่ายกล จ้าวเฟิงก็เริ่มลงมือ โบยบินไปยังร่างแก่ชราที่มีไอหนาวเหน็บปกคลุมร่างอยู่

โครม แซ่ด!

ขอบเขตแก่นแท้อัสนีรอบตัวจ้าวเฟิงกระจายออกในทันที กักขังร่างคนชรานั้นไว้ภายใน

“ลงมือพร้อมกัน!” เซียนเกราะดำส่งเสียงบอกผู้เฒ่าผมขาว

ถึงแม้ในสนามรบ ความสามารถของจ้าวเฟิงจะน่ากลัวอย่างมาก มีพลังสังหารขอบเขตเทวาเร้นลับชั้นแรกเริ่มได้

แต่ในตอนนี้เซียนสามคนบวกกับร่างแยกของเซียนอีกหนึ่งร่วมมือกัน ย่อมเอาชนะจ้าวเฟิงได้แน่

“ตกลง!” ผู้เฒ่าผมขาวตกปากรับคำทันที

“เหอะ!”

จ้าวเฟิงสีหน้าเย็นชา โคจรขอบเขตแก่นแท้อัสนีกดข่มผู้เฒ่าเหมันต์เอาไว้ และฟาดฝ่ามือลงไปพร้อมกัน

ผู้เฒ่าโคจรพลังศักดิ์สิทธิ์เหมันต์ กลายเป็นดอกบัวน้ำแข็งสายหนึ่งรับฝ่ามือทันที

ตุบ! เงาฝ่ามือทองแดงของจ้าวเฟิงซัดดอกบัวน้ำแข็งจนแหลกละเอียด ก่อนตบไปบนร่างชราของผู้เฒ่าเหมันต์

อ๊าก! ร่างกายของผู้เฒ่าเหมันต์ลอยออกไปหลายสิบจั้ง กระอักเลือดสดออกมา มองไปที่จ้าวเฟิงอย่างไม่อยากเชื่อ

“แข็งแกร่งนัก!”

เซียนอีกสองคนมองเห็นภาพเหตุการณ์นี้ก็เบิกตาค้าง เกิดลังเลขึ้นมา

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!