บทที่ 1039 แข็งแกร่งทรงพลัง
เห็นเพียงท้องฟ้าทั่วบริเวณกว่าพันลี้ ค่อยๆ จมลงสู่โลกอันมืดมิดที่มีดวงไฟปีศาจสีเขียวเข้มลอยไปมา
ในตำหนัก ทุกสรรพสิ่งเงียบงัน ลูกศิษย์และสมาชิกจำนวนนับไม่ถ้วนรู้สึกถึงความกดดัน ขาดอากาศหายใจ สายเลือดและปราณที่แท้จริงตกสู่ภาวะแข็งตัว พูดอะไรไม่ออกทั้งสิ้น
“เซียนอั้นกุ่ยลงมือเลยงั้นรึ!”
ในตำหนัก ผู้อาวุโสชุดเขียวผู้นั้นสั่นเทาไปทั้งตัว สีหน้าตกอกตกใจ
จากการกระทำของเซียนอั้นกุ่ย ผู้อาวุโสชุดเขียวรู้สึกถึงลางไม่ดี
ตามหลักแล้ว หอควันสมุทรในตอนนี้เป็นขั้วอำนาจเบื้องหลังองค์ชายเก้า ยิ่งไปกว่านั้น จ้าวเฟิงที่เป็นผู้อาวุโสสูงสุดของที่นี่ยังเป็นบุคคลที่องค์รัชทายาทเชื่อถือ
เซียนอั้นกุ่ยลงมือซึ่งหน้าเช่นนี้ หรือว่าไม่กลัวการไต่ถามเอาความจากจ้าวเฟิงหรือองค์รัชทายาท?
ต่อให้เป็นวังเก้านิรย ก็ต้องไว้หน้าราชวงศ์อยู่บ้าง
“ผู้อาวุโส สมาชิกบางคนใกล้จะต้านทานพลังเซียนนี้ไม่ไหวแล้ว!”
ชายวัยกลางคนชุดดำพูดขึ้น
ถึงแม้ว่าเซียนอั้นกุ่ยจะทำเพียงแค่สำแดงพลังเซียนบางส่วน แต่สมาชิกตำหนักย่อยของหอควันสมุทร ส่วนมากเป็นขอบเขตวิญญาณที่แท้จริงและผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำ
“เซียนอั้นกุ่ย เจ้ากล้าลงมือกับสมาชิกหอควันสมุทรงั้นรึ!”
ผู้อาวุโสชุดเขียวตะโกนขึ้นทันใด
กลางอากาศ ผู้นำระดับสูงของสำนักฟ้าทมิฬนับสิบหัวเราะกันยกใหญ่
“ฮ่าๆ หอควันสมุทรทำร้ายลูกศิษย์คนสำคัญของสำนักฟ้าทมิฬได้ ไยข้าจะทำร้ายสมาชิกหอควันสมุทรไม่ได้?”
เซียนอั้นกุ่ยมีสีหน้านึกสนุก
ตูม! จู่ๆ พลังเซียนที่ห้อมล้อมตำหนักกลุ่มนั้นก็แข็งแกร่งขึ้น
“ใครกัน?”
เซียนอั้นกุ่ยคล้ายกับว่าจะสัมผัสได้ หันหลังกลับทันใด
ฟู่ ครืน ครืน!
เห็นเพียงเส้นโค้งวายุอัสนีสีชาดพุ่งมายังเขา ในยามที่เข้าใกล้ แก่นแท้พลังสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์อันน่ากลัวทำให้ผู้นำระดับสูงของสำนักฟ้าทมิฬกระอักเลือด กระเด็นถอยหลังกันเป็นแถว
“ไฟปีศาจบุปผาทมิฬ!”
เซียนอั้นกุ่ยสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายแข็งแกร่งของฝ่ายตรงข้าม รีบลงมือทันใด
ดวงไฟปีศาจสีเขียวเข้มนับไม่ถ้วนรอบด้านรวมตัวกัน ก่อร่างขึ้นเป็นดอกไม้ปีศาจสีเขียวเข้มดอกใหญ่ที่เย็นเยือกน่าขนลุก ก่อนลอยไปข้างหน้าพร้อมด้วยพลังศาสตร์ซากศพชั่วร้ายที่น่าสะพรึง
“ไสหัวไปซะ!”
ความเร็วของจ้าวเฟิงไม่ลดงลง เขาโคจรปราณที่แท้จริงวายุอัสนีและแก่นแท้กายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ รวบรวมไว้ที่ฝ่ามือ ซัดเงาฝ่ามือลายอัสนีสีทองแดงใหญ่ยักษ์ออกไปทันที
ครืน ฟู่!
ภายใต้แก่นแท้พลังสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์และพลังอัสนีอันแข็งแกร่ง ดอกไม้ปีศาจเขียวเข้มที่แฝงด้วยพลังปีศาจร้ายถูกทำลายลงในชั่วพริบตา
ครืน บึ้ม!
อานุภาพฝ่ามือที่หลงเหลือของจ้าวเฟิงซัดเซียนอั้นกุ่ยลอยไปไกลหลายลี้
ในตำหนักเบื้องล่าง สมาชิกหอควันสมุทรสัมผัสถึงสถานการณ์ที่โลกภายนอกได้อย่างชัดเจน
“นั่นมัน…ผู้อาวุโสสูงสุด!”
ผู้อาวุโสชุดเขียวผู้นั้นพึมพำอยู่ชั่วขณะ ก่อนจะเผยสีหน้าตื่นเต้นยินดี
ตามที่เขารู้มา จ้าวเฟิงควรจะมุ่งหน้าไปยังสนามรบ ตามองค์ชายเก้าไปทำศึกกับพวกต่างเผ่าพันธุ์ ต่อให้รู้ว่าที่นี่เกิดเหตุกระทบกระทั่งกับสำนักฟ้าทมิฬ ก็ไม่น่าจะกลับมาได้ไวถึงเพียงนี้
“เจ้าคือ…จ้าวเฟิง!”
เซียนอั้นกุ่ยกระอักเลือดสดออกมา สีหน้าหวาดหวั่นยามจ้องจ้าวเฟิงเขม็ง
เป็นไปได้ยังไงกัน? จ้าวเฟิงมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ได้อย่างไร? เซียนอั้นกุ่ยมีคลื่นยักษ์โหมกระหน่ำในใจ
“หึ!” จ้าวเฟิงแค่นเสียงเย็น แก่นแท้พลังอันแข็งแกร่งแผ่กระจายโดยพลัน
สมาชิกสำนักฟ้าทมิฬรอบกายจ้าวเฟิงรู้สึกกดดันจนขาดอากาศหายใจในทันที บนร่างราวกับถูกภูเขาลูกใหญ่ทับ หายใจลำบากและขยับไม่ได้
“ตกใจมากงั้นรึที่เห็นข้า?”
จ้าวเฟิงยิ้มเย็น
“ไม่ใช่ เพียงแต่ได้ยินว่าเจ้าทำศึกอยู่ที่สนามรบสามมณฑล ไม่คิดว่าจะกลับมาแล้ว!”
เซียนอั้นกุ่ยเกือบจะพลั้งปากออกไป ในใจหมือนกินปูนร้อนท้อง
แต่ว่า ต่อให้จ้าวเฟิงรู้เรื่องที่นี่ จะกลับมาเร็วถึงเพียงนี้ได้อย่างไรกัน?
อีกทั้งการไล่สังหารที่ขั้วอำนาจเบื้องหลังองค์ชายสิบสามวางแผนไว้ หรือว่าจะล้มเหลวไปแล้ว?
จากที่เขารู้มา การไล่สังหารนั่นใช้กำลังรบอันน่ากลัวของเซียนทั้งสามเชียว!
ข้อสงสัยต่างๆ ปรากฏขึ้นในใจของเซียนอั้นกุ่ย กายและใจของเขาอดสั่นเทาขึ้นมาไม่ได้
“ในวันนี้ สำนักฟ้าทมิฬทำร้ายศิษย์หอควันสมุทรของข้า หากไม่ให้เหตุผลอะไรก็ไม่ต้องกลับไป!”
แก่นแท้และพลานุภาพของจ้าวเฟิงกดอัดสมาชิกนับสิบของสำนักฟ้าทมิฬ แววตาเย็นเยียบมองมายังเซียนอั้นกุ่ย
“จ้าวเฟิง เรื่องเป็นเช่นนี้ ก่อนหน้านี้สมาชิกหน่วยข่าวกรองหอควันสมุทรเกิดข้อขัดแย้งกับสมาชิกสำนักฟ้าทมิฬของข้า อีกทั้งสังหารลูกศิษย์คนสำคัญของสำนักฟ้าทมิฬ…”
เซียนอั้นกุ่ยอธิบายช้าๆ ด้วยน้ำเสียงเจรจา
แน่นอน สมาชิกหอควันสมุทรที่สังหารลูกศิษย์หลักของสำนักฟ้าทมิฬถูกฝ่ายตรงข้ามสังหารไปนานแล้ว ดังนั้นจึงไร้ซึ่งหลักฐานยืนยัน
“จ้าวเฟิง ในเมื่อเจ้ากลับมาแล้ว ข้าเชื่อว่าเจ้าจะต้องคืนความยุติธรรมให้กับสำนักฟ้าทมิฬของข้า!”
น้ำเสียงเซียนอั้นกุ่ยราวกับใจกว้าง ทำทีว่าเชื่อมั่นในตัวจ้าวเฟิงเป็นที่สุด
กำลังรบที่จ้าวเฟิงแสดงออกมา ทำให้เซียนอั้นกุ่ยหวาดหวั่นอย่างมาก
ปะทะกับจ้าวเฟิงที่นี่ไม่เป็นผลดี รอให้อีกฝ่ายกลับไปแล้วค่อยรีบแจ้งเรื่องนี้กับวังเก้านิรย เขาเชื่อว่าวังเก้านิรยจะต้องไม่ปล่อยจ้าวเฟิงไปแน่
“ผู้อาวุโสสูงสุด เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำนักฟ้าทมิฬปั้นแต่งขึ้น ไม่มีเรื่องนี้สักนิด!”
ตำหนักเบื้องล่างในยามนี้ ผู้อาวุโสชุดเขียวรีบบินมาทันใด พูดขึ้นอย่างนอบน้อม
“ข้าก็ฟังผู้อาวุโสในสำนักมาเช่นกัน เหตุการณ์ที่แท้จริงอาจจะคลาดเคลื่อนกับที่ข้าพูดเมื่อครู่ก็เป็นได้!”
ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีมูลเหตุหลักฐานเช่นนี้ เซียนอั้นกุ่ยปั้นเรื่องต่อไป
“ในเมื่อคลาดเคลื่อน เจ้ายังไม่ได้สืบให้แน่ชัดก็มาที่นี่แล้วลงมือกับสมาชิกหอควันสมุทร?”
สีหน้าของจ้าวเฟิงเกรี้ยวกราด ไต่ถามขึ้นทันใด
“จ้าวเฟิง เช่นนั้นเจ้าจะเอายังไง?”
เซียนอั้นกุ่ยทำสีหน้าจริงจัง ถามออกไปตรงๆ
เขาคิดไม่ถึงเลยว่าท่าทีจ้าวเฟิงจะแข็งกร้าวถึงเพียงนี้ หรือจ้าวเฟิงจะไม่รู้ว่าสำนักฟ้าทมิฬเป็นขั้วอำนาจในสังกัดของวังเก้านิรย?
“หึ!” จ้าวเฟิงโคจรกายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์เต็มกำลัง แก่นแท้พลังที่ดึกดำบรรพ์พลันแผ่ซ่านออก
สมาชิกสำนักฟ้าทมิฬนับสิบคนที่อยู่ภายใต้การบีบอัดจากอานุภาพร่างกาย มุมปากมีเลือดสดไหลริน ภายในกายมีเสียงกระดูกแตกหักดังออกมา
“เจ้ากล้ารึ?”
เซียนอั้นกุ่ยคำรามทันที
เขาก้มหัวให้กับจ้าวเฟิงก่อน ไม่คิดว่าจ้าวเฟิงจะไม่ไว้หน้ากันถึงเพียงนี้ กล้าเอาสมาชิกพวกนี้มาขู่เขา
คนสิบกว่าคนพวกนี้ล้วนเป็นผู้นำระดับกลางและสูงของสำนักฟ้าทมิฬ หากตายเสียทั้งหมด การสูญเสียในครั้งนี้ก็เพียงพอจะทำให้สำนักฟ้าทมิฬตกต่ำนานถึงพันปี
“เจ้านี่มันไม่เข็ดเลยจริงๆ!”
ใบหน้าจ้าวเฟิงคร่ำเคร่ง โคจรวายุอัสนีธาตุไฟ รวบรวมไว้ที่กลางฝ่ามือ
ฟู่ ครืน!
เห็นเพียงลำแสงฝ่ามือลายอัสนีสีทองแดงที่ใหญ่ดั่งตำหนักซัดออกไปด้านหน้า
ใบหน้าของเซียนอั้นกุ่ยเปลี่ยนสีทันใด ฝ่ามือของจ้าวเฟิงในยามนี้ทรงพลังยิ่งกว่าเมื่อครู่
ฟุ่บ! ในมือของเซียนอั้นกุ่ยมีโล่สีดำที่สลักใบหน้าภูติผีปีศาจอยู่เต็มไปหมดปรากฏขึ้น
วิ้ง!
บนโล่สีดำ พลันทะลักประกายแสงสีดำอันน่าหวาดหวั่น ใบหน้าเหี้ยมเกรียมขนาดใหญ่ก่อตัวออกมา
โครม บึ้ม! ใบหน้าปีศาจสีดำกับเงาฝ่ามือทองแดงของจ้าวเฟิงปะทะกันทันที
“เป็นพลังที่แข็งแกร่งนัก…”
เซียนอั้นกุ่ยสัมผัสได้ถึงพลังที่น่ากลัวกลุ่มหนึ่ง มือทั้งสองสั่นเล็กน้อย หน้าปีศาจเหี้ยมเกรียมบนโล่ดำนั่นก็ค่อยๆหม่นแสงลง
ครืน แกรก!
หน้าปีศาจเหี้ยมเกรียมพลันแตกทลายลง เซียนอั้นกุ่ยถูกซัดจนลอยออกไปหลายสิบลี้อีกครั้ง ทั่วทั้งร่างไหม้เกรียม
“จ้าวเฟิง เจ้าวางอำนาจบาตรใหญ่เช่นนี้ จะไม่พูดจาด้วยเหตุผลงั้นรึ?”
เซียนอั้นกุ่ยรีบลุกขึ้นมา สีหน้าแววตาอำมหิต
“แล้วเจ้าพูดจาด้วยเหตุด้วยผลหรือ?”
ร่างกายของจ้าวเฟิงพลันพุ่งออกไป แรงกดดันจากแก่นแท้พลังอันน่าหวาดหวั่นและพลังวายุอัสนีโคจรขึ้น
เซียนอั้นกุ่ยที่อยู่เบื้องล่างกดดันทั้งตัว มองมายังจ้าวเฟิงที่องอาจทรงพลัง ในใจเกิดความหวาดกลัว หลังประมือสองครั้งในช่วงเวลาสั้นๆ เซียนอั้นกุ่ยก็รู้ว่าตนเองไม่ใช่คู่มือของจ้าวเฟิงโดยเด็ดขาด
“จ้าวเฟิง เรื่องนี้ผิดที่สำนักฟ้าทมิฬ สำนักฟ้าทมิฬยินดีจะชดใช้ค่าเสียหายของหอควันสมุทรทั้งหมด!”
เซียนอั้นกุ่ยรีบพูดขึ้นทันที
เผชิญหน้ากับจ้าวเฟิงที่แข็งแกร่งเช่นนี้ เซียนอั้นกุ่ยทำได้เพียงใช้แผนที่ไม่ได้เรื่องเช่นนี้
แต่รอให้เขากลับสำนักไปแล้ว จะต้องรายงานเรื่องนี้กับวังเก้านิรยแน่นอน
“หึ แล้วเจ้าจะต้องเสียใจ จ้าวเฟิง!” เซียนอั้นกุ่ยกัดฟันกรอดในใจ
“ส่วนที่เสียหายก็ใช้ทรัพยากรผลึกเริ่มต้นชดเชยแล้วกัน นอกจากนั้น เจ้าใส่ความว่าสมาชิกหอควันสมุทรขโมยรายงานข่าวของสำนักฟ้าทมิฬ เช่นนั้นก็ให้ผู้อาวุโสหอควันสมุทรคนนี้ไปเยี่ยมชมหน่วยข่าวกรองของสำนักฟ้าทมิฬดูสักหน่อยแล้วกัน!”
น้ำเสียงของจ้าวเฟิงแข็งกร้าว พูดถึงเนื้อหาที่ต้องชดใช้ออกมาตรงๆ ไม่ยอมให้เซียนอั้นกุ่ยโต้แย้ง
“ได้….” เซียนอั้นกุ่ยน้ำท่วมปากทันใด หลังจากนั้นอีกนานถึงจะกัดฟันรับปาก
“ขอบคุณผู้อาวุโสสูงสุด!”
ผู้อาวุโสชุดเขียวประสานมือเอ่ยขอบคุณ
ให้เขาที่เป็นหน่วยข่าวกรองมืออาชีพเช่นนี้เข้าไปยังหน่วยข่าวกรองของสำนักฟ้าทมิฬ จะต้องได้รับรายงานข่าวลับมากมายจากในนั้นแน่นอน
หลังจากนั้น ผู้อาวุโสชุดเขียวก็มุ่งหน้าไปยังสำนักฟ้าทมิฬ
ส่วนจ้าวเฟิงรั้งอยู่ที่ตำหนักย่อยหอควันสมุทรของมณฑลเหลียนชั่วคราว เพราะเขารู้ว่าวังเก้านิรยจะต้องเคลื่อนไหวอย่างแน่นอน
ภายในมนตราอากาศ ในมือของจ้าวเฟิงปรากฏวัตถุดิบยาล้ำค่าหลายชนิด พลังธาตุไฟ วายุ และอัสนีสามชนิดเอ่อล้นออกมาจากวัตถุดิบยาเหล่านี้ ก่อนถูกจ้าวเฟิงหลอมรวมเข้าไปในมิติแก่นผลึก
ปฐมเซียนคนใดก็แล้วแต่ล้วนเตรียมพลังเพื่อทะลวงขั้นเซียน มิติปราณที่แท้จริงของจ้าวเฟิงและระดับขั้นชีวิต ทั้งหมดล้วนเตรียมเงื่อนไขในการทะลวงขั้นเซียนไว้แล้ว แต่มีเพียงขอบเขตสำนึกรู้เท่านั้นที่ยังขาดอยู่เพียงนิดเดียว แต่ทว่า หากความสำเร็จทั้งสองด้านของจ้าวเฟิงถึงขั้นที่สูงมาก จ้าวเฟิงก็ไม่ต้องสนใจขอบเขตสำนึกรู้ ดื่มวารีศักดิ์สิทธิ์ไป่หยวนทะลวงขั้นเซียนได้เลย
ในขณะเดียวกันกับที่ฝึกฝน ‘วิชาวายุอัสนีห้าสาย’ จ้าวเฟิงก็ยังคงศึกษาวิชาดวงตา ทฤษฏีวิญญาณ ดูดซับพลังอัสนีเทวะที่บรรลุ
“พลังอัสนีเทวะในกะโหลกครึ่งเซียนก็แทบจะเหลือไม่ถึงหนึ่งส่วนแล้ว!”
จ้าวเฟิงถอนใจเบาๆ
พลังอัสนีเทวะเป็นไพ่ตายของจ้าวเฟิง ช่วยให้เขาผ่านพ้นอันตรายมานับครั้งไม่ถ้วนตลอดมา
หลังจากนั้นหลายวัน ผู้อาวุโสชุดเขียวก็กลับมาด้วยสีหน้ายินดี
“ได้อะไรมาบ้าง?”
หลังออกจากปิดด่านฝึกตนมาแล้ว จ้าวเฟิงกระตือรือร้นถามขึ้น
สำนักฟ้าทมิฬเป็นหน่วยข่าวกรองในความดูแลของวังเก้านิรย ต่อให้สมาชิกข้างในตั้งใจปกปิดอำพรางข้อมูลข่าวลับบางอย่าง แต่เพราะเวลากระชั้นชิดมากเกินไป ผู้อาวุโสชุดเขียวน่าจะได้ข้อมูลที่สำคัญมาเยอะ
“สำหรับสถานการณ์การแบ่งขั้วอำนาจของวังเก้านิรย ฐานที่ตั้งลับมากมาย และการเคลื่อนไหวบางอย่างในตอนนี้ ข้าได้รับข่าวที่เกี่ยวข้องมาค่อนข้างน้อย….”
ผู้อาวุโสชุดเขียวไม่ทำให้จ้าวเฟิงต้องผิดหวัง ข้อมูลข่าวที่ไปขโมยมาสมบูรณ์ครบถ้วนเป็นอย่างมาก
“นอกจากนั้น เมื่อหนึ่งปีก่อนหน้านี้ วังเก้านิรยเหมือนจะส่งเซียนเทวาเร้นลับชั้นต้นสองคนไปยังแถบชางไห่!”
ผู้อาวุโสชุดเขียวรายงานต่อ
ต้องรู้ว่า แผนสังหารจ้าวเฟิงที่องค์ชายสิบสามอยู่เบื้องหลัง ก็ส่งมาเพียงเทวาเร้นลับชั้นต้นสามคนเท่านั้น
แต่วังเก้านิรยส่งเซียนอีกสองคนมาเพื่ออะไร เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน
“ชางไห่….” จ้าวเฟิงครุ่นคิดเล็กน้อย
“น่าจะสืบที่มาที่ไปของหนานกงเซิ่งได้แล้ว วังเก้านิรยอยากจะได้พลังเทพปีศาจมาครอบครองเหนือสิ่งอื่นใด…”
ในยามนี้ เสียงของเซียนเกราะดำในมนตราอากาศดังมา
“แย่แล้ว ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่….” จ้าวเฟิงหน้าเปลี่ยนสี
…….
ชางไห่ กลุ่มดินแดนเจินอู่!
เงาดำเย็นเยือกสองเงาลอยตัวอยู่ในทะเลหมอกความว่างเปล่า
“นี่ก็คือกลุ่มดินแดนเจินอู่!”
ชายชุดดำผมแดงผู้หนึ่งแววตาเย็นชา แผ่กระจายประสาทสัมผัสวิญญาณออกไป
“คิดไม่ถึงเลยว่าดินแดนทะเลชั้นล่างเช่นนี้จะมีอัจฉริยะเช่นหนานกงเซิ่งปรากฏขึ้น!”
สตรีงดงามเย็นชาในชุดชาววังสีดำเอ่ยขึ้นอย่างเรียบเฉย
“หากไม่ใช่เพราะเจ้าเด็กจ้าวเฟิงนั่นฮุบหอควันสมุทร ครอบครองทั้งแทบทะเล ขั้วอำนาจของวังเก้านิรยก็คงจะแผ่ขยายมาถึงที่นี่ได้….”