บทที่ 1074 ออมแรงไว้สู้
“นายท่าน ตอนนี้มีครึ่งเทพลงไปใต้ดินเป็นระยะทางเก้าหมื่นลี้แล้ว!”
ในวันนี้ ปี้ชิงเยวี่ยส่งข่าวมาแจ้งแก่จ้าวเฟิง
‘ไวขนาดนี้เชียว?’ จ้าวเฟิงตื่นตระหนก
มีเพียงเขาที่รู้เรื่องร่างเทพซึ่งซ่อนอยู่แสนลี้ใต้ดิน แต่ตอนนี้จู่ๆ ก็มีครึ่งเทพแห่ลงไปใต้ดินเป็นระยะทางห้าหมื่นลี้แล้ว
ดูไปแล้วพลังเทพที่ร่างเทพสาดซัดออกมา ยิ่งผ่านไปก็ยิ่งอ่อนแรงเร็วขึ้น
“หากเป็นเช่นนี้ต่อไปอาจจะไม่ทัน!”
จ้าวเฟิงเอ่ยอย่างเคร่งขรึม
หลายวันมานี้ เขาเอาแต่ใช้ผลึกเซียนระดับล่างฝึกตน
ตอนนี้ห่างจากขอบเขตเทวาเร้นลับชั้นต้นเพียงแค่ก้าวเดียวเท่านั้น
แต่ความเร็วในการสลายไปของแสงเทพตรงสนามรบอาจจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ถ้าหากจ้าวเฟิงยืดยาด เท่ากับว่าจะพลาดโอกาสสำคัญไป
“ไม่ได้ ต้องรีบไปก่อน!”
จ้าวเฟิงตัดสินใจแล้ว
ต่อจากนั้น จ้าวเฟิงจึงติดต่อกับปี้ชิงเยวี่ยเพื่อทำความเข้าใจข่าวคราวในสนามรบ
“ส่วนเรื่องร่างเทพ คนระดับสูงของราชวงศ์ทั้งสองเหมือนจะเคยเจอหน้ากันมาก่อน จนสุดท้ายตกลงกันให้หยุดสงครามก่อนเป็นการชั่วคราว แล้วร่วมมือกันค้นหาสมบัติ…”
ปี้ชิงเยวี่ยเล่าสถานการณ์คร่าวๆ ให้จ้าวเฟิงฟัง
ราชวงศ์ทั้งสองพูดเพียงร่วมกันสำรวจสมบัติที่ซ่อนไว้ใต้ดินชั่วคราว ทั้งสองฝ่ายไม่ได้ตกลงเรื่องอื่น พูดได้ว่าถ้าหากสมาชิกของราชวงศ์ทั้งสองพบกันในที่เก็บสมบัติ จะต้องลงมือทำร้ายกันแน่นอน
สนามรบบนดินย้ายไปที่การค้นหาสมบัติใต้ดินแล้ว
นอกจากนั้น จากอาณาเขตของพลังเทพในสนามรบ ก็สามารถมองออกว่าคลังสมบัติใต้ดินจะต้องมีจำนวนมหาศาลอย่างมาก
ด้วยเหตุนี้ ราชวงศ์ทั้งสองจึงไม่มีข้อจำกัดอื่นใดอีก ซึ่งก็คือไม่ว่าใครก็ลงไปค้นหาสบัติด้านล่างได้
“กลายเป็นแบบนี้จริงๆ ด้วย!”
จ้าวเฟิงเดาได้นานแล้ว
เพราะว่าคลังสมบัติใต้ดินไม่ใช่มิติเอกเทศหรือมิติลี้ลับอะไร แต่เป็นร่างเทพยิ่งใหญ่เกินจะเปรียบ
พอถึงเวลานั้น ผู้แข็งแกร่งที่สุดของราชวงศ์ทั้งสองจะเข้าไปภายในนั้นแทบทุกคน จึงไม่มีหนทางจะจำกัดจำนวนคนและรายชื่อได้เลย
ถึงแม้จะพูดว่าไม่มีการจำกัดจำนวนคนและรายชื่อ แต่เซียนทั่วไปเกรงว่าจะไม่กล้าเข้าไปภายใน
เพราะราชาเซียนและครึ่งเทพของราชวงศ์ทั้งสองต่างก็เข้าไปในคลังสมบัติใต้ดิน เช่นนั้นเซียนที่มีพลังทั่วไป ถ้าหากเจอกับราชาเซียนหรือ ครึ่งเทพของราชวงศ์ก็คงต้องตายสถานเดียว
ขั้นเทพ สำหรับเซียนขอบเขตเทวาเร้นลับชั้นแรกเริ่มหรือชั้นต้นแล้วยังห่างไกลอย่างมาก เซียนในขอบเขตเทวาเร้นลับชั้นแรกเริ่มจำนวนมากจึงอาจไม่ลองเสี่ยงดู
หลังจากเข้าใจทั้งหมดแล้ว จ้าวเฟิงจึงมาถึงเรือนพักอาศัยของหมอเทวดาอวี้หลิง
ครั้งนี้จ้าวเฟิงหยิบเลือดและเลือดเนื้อที่ล้ำค่ายิ่งกว่าออกมา ทรัพยากรล้ำค่าบรรพกาลที่เขาพอจะรู้จักส่วนน้อย ทำให้หมอเทวดาอวี้หลิงหลอมโอสถวิเศษระดับสูงได้มากขึ้น
เจ็ดวันต่อมา จ้าวเฟิงเก็บโอสถเหล่านี้ไป พร้อมกับเรียกเซียนราตรีทมิฬให้เข้าพบ
“เซียนราตรีทมิฬ จงรีบประกาศภารกิจลอบสังหารคนระดับสูงในวังเก้านิรย!”
จ้าวเฟิงเอ่ยบัญชา
จำนวนภารกิจลอบสังหารครั้งนี้มากมายนัก อีกทั้งความยากและระดับของภารกิจก็สูงส่งยิ่ง
หนึ่งในนั้น จ้าวเฟิงได้ชี้เฉพาะคนผู้หนึ่งด้วย คนผู้นั้นก็คือผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักวิญญาณทมิฬ
ในวันนี้ พลังเทพในสนามรบกำลังค่อยๆ สลายไป กำลังรบของคนระดับสูงจากวังเก้านิรยและครึ่งเทพ ไม่มีทางออกจากสนามรบมาได้ ดังนั้นนี่จึงเป็นโอกาสดีที่สุดที่ตำหนักราชันจะทำให้พลังอำนาจของวังเก้านิรยลดน้อยถอยลงไป
จ้าวเฟิงกระจ่างแจ้งอย่างยิ่ง ถึงเขาจะไม่ลงมือกับวังเก้านิรยก่อน แต่หากรอหลังจากการขุดสมบัติในร่างเทพจบลง คนระดับสูงของวังเก้านิรยรวมไปถึงครึ่งเทพต้องลงมือจัดการตำหนักราชันอย่างแน่นอน
ในวันหนึ่ง หอสังหารเดียวดายประกาศภารกิจลอบสังหารที่มีรางวัลมหาศาล ส่วนคนที่ต้องไปสังหารล้วนเป็นสมาชิกคนสำคัญในระดับสูงของวังเก้านิรยและขั้วอำนาจในสังกัด
บรรดามือสังหารจะต้องคอยดูโอกาสด้วย ในเวลานี้ ความสนใจส่วนมากของวังเก้านิรยถูกดึงดูดจากคลังสมบัติใต้สนามรบ ด้วยเหตุนี้มือสังหารจำนวนมากจึงรับภารกิจ เสี่ยงอันตรายลองดูสักครั้ง
หลังจากสั่งการทั้งหมดนี้จนเสร็จสรรพ ก็เป็นเวลาที่จ้าวเฟิงจะจากไปแล้ว
พรึ่บ!
จ้าวเฟิงโบกเกราะแขนในมือ ร่างของเขาอยู่ภายในเงาทับซ้อนสีเงินเข้ม พลันอ่อนจางลงก่อนจะหายไป
จ้าวเฟิงใช้มนตราอากาศเดินทางมาถึงสนามรบมณฑลหลานอย่างรวดเร็ว
ระหว่างทาง จ้าวเฟิงพลันหยุดชะงัก เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายการอำพรางกายจากสำนักศาสตร์มารอย่างสำนักวิญญาณทมิฬ
จ้าวเฟิงที่เพิ่งจะทะลวงขอบเขตพลังเทวาเร้นลับชั้นต้น เข้าไปปะปนอยู่กับสำนักวิญญาณทมิฬโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
สำนักวิญญาณทมิฬเป็นสำนักที่จ้าวหวางสังกัดอยู่ ผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักวิญญาณทมิฬเป็นผู้เฒ่าผมขาวที่ร่วมมือกับเซียนเกราะดำ กางค่ายกลวิญญาณทมิฬล้อมสังหารจ้าวเฟิงในอดีต แต่สุดท้ายก็หนีหัวซุกหัวซุนไป
“ได้เวลาเอาชีวิตเจ้าแล้ว!”
จ้าวเฟิงหัวเราะเสียงเหี้ยม
บนร่างของผู้เฒ่าผมขาวมีดวงตาเทพจับเป้าหมายของจ้าวเฟิงประทับอยู่นานแล้ว จ้าวเฟิงจึงสามารถระบุตำแหน่งของเขาได้อย่างชัดเจน
ในช่วงเวลาหนึ่ง จ้าวเฟิงและจ้าวหวางเดินสวนกันในสำนักวิญญาณทมิฬ คนทั้งสองลอบยิ้มให้กัน
จ้าวหวางทำตามแผนการของจ้าวเฟิงในตอนนั้น ออกท่องยุทธภพไปช่วงหนึ่ง หลังจากกลับมาถึงสำนักแล้ว จึงป่าวประกาศไปว่าตนเองได้รับโอกาสยิ่งใหญ่มา จึงพัฒนาขอบเขตพลังได้แบบก้าวกระโดด
ในตอนนี้เขาอยู่ในขั้นราชันระดับสุดยอด แต่พลังวิญญาณของจ้าวหวางกลับไปถึงขั้นปฐมเซียน
จ้าวหวางครอบครองเนตรมรณะ ถึงแม้เขาไม่ได้สำแดงอะไรออกมา แต่เนตรมรณะทำให้การฝึกปราณมรณะในศาสตร์ซากศพของเขาราบรื่นเกินจะเปรียบ ในตอนนี้ ผู้อาวุโสที่มีพลังขั้นจักรพรรดิชั้นยอดส่วนหนึ่งของสำนักวิญญาณทมิฬอาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของจ้าวหวางด้วยซ้ำไป
จ้าวเฟิงเดินทางมาถึงหุบเขาที่อบอวลไปด้วยไอภูติผีแห่งหนึ่งอย่างรวดเร็ว
พรึ่บ แซ่ด แซ่ด!
จ้าวเฟิงโคจรกายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ทันที ทั่วร่างเปล่งประกายแสงทองสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ ลายอัสนีสีเหลืองเข้มปรากฏขึ้นบนร่าง แรงกดดันแก่นพลังที่ไร้รูปร่างปกคลุมไปทั่วฟ้า
ตุบ โครม!
หมัดหนึ่งของจ้าวเฟิงปะทะทำลายขอบเขตค่ายกลด้านหน้าหุบเขา พุ่งทะลวงเข้าไปทันที
“ใครกัน?”
ผู้เฒ่าผมขาวที่ปิดด่านฝึกตนอยู่ในหุบเขาตื่นขึ้นทันที
“เพลิงดวงตาอัสนีเทวะ!”
จ้าวเฟิงไม่พูดมากความ ปลดปล่อยท่าไม้ตายทันควัน
โครม แซ่ด!
เห็นเพียงตราอัสนีเทวะที่บิดเบี้ยวกลุ่มหนึ่ง ราวกับลูกไฟที่เผาไหม้บิดโค้ง หอบเอากลิ่นอายวิญญาณที่น่ากลัวปะทะไปบนวิญญาณของผู้เฒ่าผมขาวทันที
“อ๊าก เป็นเจ้า…”
ผู้เฒ่าผมขาวร้องโหยหวนขึ้นทันใด
ฟิ้ว!
ไม่นานนัก วิญญาณของผู้เฒ่าผมขาวสลายไปจนสิ้นจากการระเบิดรุนแรงของพลังอัสนีเทวะ
จะต้องรู้ว่า พลังวิญญาณในวันนี้ของจ้าวเฟิงถึงขอบเขตเทวาเร้นลับชั้นสูง แม้กระทั่งราชาเซียนอวี่หลิงยังเคยพ่ายแพ้ให้กับ ‘เพลิงดวงตาอัสนีเทวะ’ เซียนขอบเขตเทวาเร้นลับชั้นแรกเริ่มจะต้านทานวิชาดวงตาวิญญาณอัสนีเทวะของจ้าวเฟิงได้อย่างไร
ผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักวิญญาณทมิฬเกิดเรื่องขึ้น จึงทำให้ทั้งสำนักสั่นสะเทือน
“ใครกัน กล้าทะลวงเข้ามาในพื้นที่ต้องห้ามของสำนักวิญญาณทมิฬ?”
“ใจกล้าเสียจริง ไม่รู้หรือว่าสำนักวิญญาณทมิฬเป็นหนึ่งในขั้วอำนาจที่ใหญ่ที่สุดภายใต้วังเก้านิรย?”
จักรพรรดิส่วนหนึ่งในสำนักวิญญาณทมิฬตะโกนก่นด่า ใช้ประสาทสัมผัสวิญญาณกวาดผ่านทันที
แต่หลังจากที่จ้าวเฟิงสังหารผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักวิญญาณทมิฬ เขาก็ใช้มนตราอากาศหนีไป
ด้านนอกตำหนักจิตวิญญาณหลักแห่งหนึ่งในดินแดนทวีป เงาร่างของจ้าวเฟิงค่อยๆ ปรากฏขึ้น
“จากนี้ไปคงต้องยกให้เจ้าจัดการแล้ว!”
จ้าวเฟิงระบายยิ้ม
ทั้งหมดที่จ้าวเฟิงทำไปก็เพื่อปูทางให้จ้าวหวาง
ทันทีที่ผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักวิญญาณทมิฬตาย ผู้นำระดับสูงของวังเก้านิรยรวมตัวกันอยู่ที่สนามรบ จึงไม่มีเวลาว่างมาจัดการ ดังนั้นภายในสำนักวิญญาณทมิฬจะต้องเลือกผู้อาวุโสสูงสุดคนหนึ่ง และยังต้องเปลี่ยนกลุ่มผู้อาวุโสเป็นอีกกลุ่มหนึ่งด้วย
หลังจากมอบหมายเรื่องทั้งหมดให้จ้าวหวางแล้ว จ้าวเฟิงจึงใช้มนตราอากาศเดินทางไปที่สนามรบมณฑลหลานอย่างรวดเร็ว
หลายวันต่อมา!
พรึ่บ!
ร่างของจ้าวเฟิงปรากฏขึ้นในบริเวณใกล้เคียงเมืองแห่งหนึ่งแถวสนามรบมณฑลหลาน
แต่ขณะนี้เมืองรกร้างเป็นอย่างมาก เหตุเพราะผู้แข็งแกร่งที่อาศัยอยู่ที่นี่มากกว่าครึ่งลงไปใต้ดินของสนามรบ
โครม!
เงาปีศาจโลหิตม่วงกลุ่มหนึ่ง จู่ๆ ก็ทะยานออกมาจากมุมใดมุมหนึ่งของในเมือง พลังชั่วร้ายบ้าคลั่งทำให้ผู้แข็งแกร่งจำนวนมากในเมืองตื่นตระหนกและหวาดกลัว
“ข้าคิดว่าเจ้าจะไม่มาแล้วเสียอีก?”
หนานกงเซิ่งมองประเมินจ้าวเฟิงอย่างสนใจ
ถึงแม้เขาจะรู้ว่าจ้าวเฟิงครอบครองมนตราอากาศ จะเดินทางตามมาก็ง่ายดาย แต่คลังสมบัติใต้สนามรบก็อันตรายอย่างมาก เซียนขอบเขตเทวาเร้นลับชั้นแรกเริ่มและชั้นต้นทั่วไปยังไม่คิดจะเข้าไปภายใน
แต่จ้าวเฟิงมีความแค้นกับวังเก้านิรย ถ้าหากเจอกับราชาเซียนหรือครึ่งเทพของวังเก้านิรย จะต้องตายโดยไม่ต้องสงสัย
“พลังของเจ้า…”
หนานกงเซิ่งขมวดคิ้วน้อยๆ ขอบเขตพลังของจ้าวเฟิงเหมือนว่าไม่ได้พัฒนาอะไรชัดเจนนัก
“พี่เฟิง พาข้าไปด้วย!”
ในเวลานี้เอง จู่ๆ เสียงของจ้าวหยูเฟยก็ดังขึ้น
ไอสวรรค์ในฟ้าดินจู่ๆ ก็สั่นสะเทือนขึ้นทันที เห็นเงาสุกสว่างส่องประกายไปยังข้างกายของจ้าวเฟิง พลังสายเลือดที่รุนแรงพลันแตกกระจายออกไปทันที
จ้าวหยูเฟยในตอนนี้อยู่ขอบเขตเทวาเร้นลับชั้นต้น ผิวกายทั่วร่างของนางเปล่งแสงสุกสกาวสีม่วงเรืองรอง ละม้ายเทพธิดาน้ำแข็งที่สูงส่งเลอค่าเกินจะเปรียบ
ขนาดหนานกงเซิ่งที่แข็งแกร่งยังรู้สึกถึงพลังศักดิ์สิทธิ์และสายเลือดที่สั่นสะท้านอย่างหวาดกลัวในร่างตนเอง
“พลังของหยูเฟย…”
จ้าวเฟิงตกใจอย่างมาก
คิดไม่ถึงว่าทรัพยากรจำนวนน้อยนิดที่เขามอบให้จ้าวหยูเฟยในตอนนั้น จะส่งผลให้พลังของนางจนเกิดการเปลี่ยนแปลงมากมายเช่นนี้
“ไม่เสียทีที่มีสายเลือดเผ่าพันธุ์วิญญาณ!”
หนานกงเซิ่งย่อมรู้ดีว่าจ้าวหยูเฟยมีสายเลือดของเผ่าพันธุ์วิญญาณอยู่
แต่ในตอนนี้ สายเลือดเผ่าพันธุ์วิญญาณของจ้าวหยูเฟยกลับสร้างความหวาดกลัวให้เขาได้มากถึงเพียงเท่านี้ เห็นได้ว่าความเข้มข้นสายเลือดเผ่าพันธุ์วิญญาณของจ้าวหยูเฟยมีการพัฒนามากขึ้นไปอีกแล้ว
“ถ้าหากบวกพวกเจ้าสองคนเข้าไปก็น่าจะพอได้แล้ว!”
หนานกงเซิ่งเอ่ยอย่างเป็นกันเอง
พลังของจ้าวเฟิงไม่ได้เกิดการเปลี่ยนแปลง นี่ทำให้เขาผิดหวังอยู่บ้าง แต่สายเลือดเผ่าพันธุ์วิญญาณของจ้าวหยูเฟยน่าสนใจอย่างยิ่ง
“เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ!”
จ้าวเฟิงก็ไม่ได้พูดอะไรมากมายนัก
พรึ่บ! คนทั้งสามโบยบินไปไกล
ในฟ้าดินที่ไกลออกไปค่อยๆ ปรากฏหุบเหวลึกขนาดใหญ่ขึ้น หุบเหวลึกกว้างเกือบหมื่นลี้ยืดยาวไปถึงบนสนามรบ ในละแวกของหุบเหวนั้น เต็มไปด้วยผู้แข็งแกร่งจำนวนนับไม่ถ้วนที่รายล้อมดูอยู่ มีราชัน จักรพรรดิเป็นหลัก และก็มีเซียนในขอบเขตเทวาเร้นลับชั้นแรกเริ่มจำนวนไม่น้อย
ส่วนคนที่รายล้อมดูตรงข้ามหุบเหวทั้งหมดเป็นต่างเผ่าพันธุ์
“นั่นมันจ้าวหยูเฟย หนานกงเซิ่ง แล้วยังมีจ้าวเฟิง!”
“คนที่เคยร่วมมือกับมารคู่หูผมม่วงนี่?”
“จ้าวเฟิงผู้นี้ไม่รู้อะไรเสียแล้ว มีพลังเพียงขอบเขตเทวาเร้นลับชั้นแรกเริ่ม แต่กลับคิดจะช่วงชิงคลังสมบัติใต้ดิน!”
ผู้แข็งแกร่งจำนวนมากแถวๆหุบเหวลึกบ้างตื่นตระหนกบ้างเอ่ยอย่างเยาะๆ
ในที่ใดที่หนึ่ง ชายเกราะดำผู้หนึ่งมองเห็นจ้าวเฟิงปรากฏตัวขึ้น ก็รีบส่งข่าวสารผ่านทางยันต์ส่งข่าว “ราชาเซียนอวี่หลิง จ้าวเฟิงมาแล้ว!”
แล้วยังมีผู้เฒ่าในชุดดำคนหนึ่ง ไอมารทั่วร่างปั่นป่วน จู่ๆ ก็ปรากฏแผ่นหยกในมือของเขา หลอมรวมเข้าไปในอากาศ ก่อนพลันสลายไป
เปรี๊ยะ!
จ้าวเฟิง จ้าวหยูเฟยยังมีหนานกงเซิ่ง ทะลวงเข้าไปในหุบเหวลึก มุดลงไปใต้ดิน
วิ้ง! ดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงปกคลุมไปด้วยระลอกสีทองอ่อนชั้นหนึ่ง
“พลังเทพยังไม่หายไป ผู้แข็งแกร่งในราชวงศ์ทั้งสองยังรออยู่ใต้ดิน!”
ดวงตาของจ้าวเฟิงมองทะลุทุกสิ่ง
ในละแวกใกล้เคียงร่างเทพมีผู้แข็งแกร่งจำนวนมากของราชวงศ์ทั้งสอง
ผู้แข็งแกร่งเหล่านี้ส่วนมากจะอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม โดยมีขั้วอำนาจหนึ่งเป็นผู้นำ
ส่วนขั้วอำนาจที่พอจะอยู่ใต้ดินได้ แทบจะเป็นขั้วอำนาจที่มีพลังแกร่งกล้าอย่างยิ่ง และมีอิทธิพลมากมายในดินแดนทวีป