บทที่ 1096 ประโยชน์ของผลึกเทพโลหิต
ในขณะนี้ จ้าวเฟิงมีผลไม้จากเถาวัลย์ถึงสามลูก แบ่งออกเป็นสีเหลือง สีฟ้า และสีทอง
พลังสำนึกรู้ในผลไม้บนเถาวัลย์เหล่านั้นส่งผลดึงดูดใจอย่างมากต่อครึ่งเทพ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงจ้าวเฟิงที่อยู่เพียงเทวาเร้นลับชั้นต้นเท่านั้น อีกทั้งในผลไม้ลูกนี้ยังมีพลังเทพที่บริสุทธิ์ พลังเทพเหล่านี้อยู่เหนือกว่าพลังเทพที่ครึ่งเทพครอบครองอย่างมาก
จากการต่อสู้ที่ดุเดือดของครึ่งเทพกูซีและครึ่งเทพเมี่ยฝ่าในตอนนั้น ก็พอจะมองความล้ำค่าของผลไม้บนเถาวัลย์ออก และเป็นเพราะเหตุนี้ เกรงว่าจ้าวเฟิงจึงยังไม่อาจจะดูดซึมผลไม้บนเถาวัลย์ได้ในตอนนี้
ย้อนคิดไปถึงตอนแรก เซียนทั่วไปเมื่อสัมผัสถึงพลังสำนึกรู้ในบริเวณใกล้ๆ เถาวัลย์ ทันทีที่ไม่ระวังจะสูญเสียสติและวิญญาณไป ถ้าหากจ้าวเฟิงรีบร้อนใช้ผลเถาวัลย์ลูกใดลูกหนึ่งขึ้นมา ก็ไม่ต่างอะไรกับการฆ่าตัวตาย
สุดท้ายแล้ว จ้าวเฟิงจึงมอบผลไม้สามลูกให้เจ้าแมวขโมยตัวน้อย ให้มันขุดหลุมเล็กบนชั้นผลึกตรงเปลือกผลไม้สามลูก
ขวับ! ในมือของจ้าวเฟิงปรากฏมุกผลึกสีเลือดเม็ดหนึ่ง ซึ่งก็คือผลึกเทพโลหิต
ถ้าหากไม่ใช่เพราะในผลึกเทพโลหิตเม็ดนี้มีพลังเทพที่แข็งกล้า จ้าวเฟิงคงไม่สามารถต้านทานการโจมตีของครึ่งเทพจวี้เหมิ่งได้ แต่ความเป็นจริงแล้ว ในโลกมิติส่วนตัวเมืองมายาของจ้าวเฟิงยังมีผลึกเซียนชิ้นหนึ่ง
ทว่าจ้าวเฟิงใช้สายเลือดพลังเทพที่มีเฉพาะในผลึกเทพโลหิตกระตุ้นโล่ทองคำ ก็ยังไม่อาจต้านทานการโจมตีของครึ่งเทพจวี้เหมิ่งได้ทั้งหมด พลังเทพในผลึกทั่วไปยิ่งไม่ต้องพูดถึง
ถึงแม้ว่าจะเป็นผลึกจากพลังของเทพแท้จริง แต่ภายในยังผสมด้วยปราณฟ้าดินมหาศาล ไม่ได้มีเพียงพลังเทพเพียงอย่างเดียว
หนำซ้ำจ้าวเฟิงเองก็แค่จัดการย้ายพลังเทพภายในออกมา ไม่สามารถรวบรวมพลังเทพขึ้นได้ จึงยิ่งไม่อาจสำแดงพลานุภาพที่แท้จริงของพลังเทพออกมาได้
หนานกงเซิ่งสามารถใช้พลังเทพ เป็นเพราะการชี้แนะและความร่วมมือของจิตเทพปีศาจ ส่วนคุนอวิ๋นย่อมเป็นเพราะในร่างยังมีพลังครึ่งเทพอยู่ บวกกับมรดกความทรงจำจากช่วงชีวิตก่อนก็น่าจะตื่นขึ้นทั้งหมดแล้ว
“เฮ้อ!” จ้าวเฟิงถอนหายใจ
ตอนแรกจ้าวเฟิงยังเตรียมจะดูดซึมพลังเทพในผลึกเทพโลหิต เก็บกักเอาไว้ใช้ แต่ตอนนี้ดูไปแล้ว อยากจะใช้พลังเทพไม่ได้ง่ายดายอย่างนั้น
อีกอย่าง สิ่งที่แฝงอยู่ในผลึกเทพโลหิตเม็ดนี้กลับเป็นพลังเลือดจำนวนมากพอควร ความล้ำค่าของพลังสายเลือดนี้ไม่ด้อยไปกว่าพลังเทพในนั้นเลย!
“บางทีน่าจะใช้ผลึกเทพโลหิตได้แบบนี้…”
นัยน์ตาของจ้าวเฟิงเปล่งประกายในทันที เห็นได้ชัดว่าคิดวิธีที่ไม่เลวอย่างหนึ่งได้
“ข้าสามารถใช้พลังสายเลือดในผลึกเทพโลหิตสร้างร่างแยกร่างที่สอง!”
จ้าวเฟิงเอ่ยด้วยสีหน้าตื่นเต้นยินดี
กายของร่างแยกวิญญาณร่างแรกของจ้าวเฟิง สร้างขึ้นจากรากบัวหิมะหลอมกายา ระดับพลังค่อนข้างต่ำ ด้วยเหตุนี้จ้าวหวางจึงต้องใช้เวลาในการฝึกตนมาก
ด้วยโลกทัศน์ของจ้าวเฟิงในตอนนี้ รากบัวหิมะหลอมกายาไม่ได้มีมูลค่าเหมือนดังวันวาน
ยามนี้ ‘วิชาแยกวิญญาณ’ ของจ้าวเฟิงบรรลุผ่านขั้นที่สอง สามารถพูดได้ว่าจ้าวเฟิงประสบความสำเร็จในการช่วงชิงเนตรหมื่นปรากฏการณ์มาได้ เช่นนั้นแล้วเขาจึงต้องครุ่นคิดถึงร่างแยกวิญญาณร่างที่สองได้แล้ว
จ้าวเฟิงสะบัดมือ ภายในมนตราอากาศปรากฏของเหลวสีเลือดลอยมายังเบื้องหน้าเขา ภายในของเหลวสีเลือดจำนวนมหาศาลมีปีศาจผลึกเลือดที่ยังไม่เติบโตสมบูรณ์ร่างหนึ่ง
ตามความรู้สึกของจ้าวเฟิง ปีศาจผลึกเลือดตัวนี้มีพลังของขั้นราชันอยู่
“ถ้าหากใช้ปีศาจผลึกเลือดที่ยังไม่เป็นรูปร่าง หลอมรวมเข้ากับของเหลวสีเลือดเหล่านี้ แล้วใช้ผลึกเทพโลหิตมาเป็นแหล่งกำเนิดพลัง บางทีอาจจะสร้างร่างกายที่ทั้งแปลกประหลาดและใหญ่โตได้ร่างหนึ่ง…”
จ้าวเฟิงตื่นตะลึง ตื่นเต้นเกินจะเปรียบ
อีกทั้งของเหลวโลหิตและปีศาจผลึกเลือด รวมไปถึงผลึกเทพโลหิต ต่างก็แฝงไปด้วยพลังเลือดของร่างเทพ
ถ้าหากเพาะเลี้ยงเอาไว้ดีๆ จ้าวเฟิงอาจจะถึงขั้นสร้างร่างกายของทายาทสายเลือดเผ่าพันธุ์เทพยักษ์ร่างหนึ่งได้
จะต้องรู้ว่า ในรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณ เผ่าพันธุ์เทพยักษ์จัดอยู่ในลำดับที่สิบห้า เป็นเผ่าพันธุที่น่ากลัวและอยู่เหนือกว่าเผ่าพันธุ์วิญญาณ เมื่อเปรียบไปแล้วไม่รู้ว่าร่างกายของจ้าวหวางจะอยู่ในขั้นที่ต่ำกว่าเท่าไหร่
แน่นอนว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ความคิดแผลงๆ ชั่ววูบของจ้าวเฟิงเท่านั้น จะสำเร็จหรือไม่ จ้าวเฟิงยังไม่แน่ใจชัดเจน
“ต้องค้นหารวบรวมทรัพยากรส่วนหนึ่ง เพื่อยืนยันวิธีการสร้างร่างกายถึงจะได้!”
จ้าวเฟิงครุ่นคิดไปพักหนึ่ง
จนถึงตอนนี้เขายังไม่เคยฝึกฝนเคล็ดวิชาแยกร่าง จึงไร้ประสบการณ์ในด้านนี้ ทำได้เพียงหยุดเรื่องนี้เอาไว้เป็นการชั่วคราวก่อน
ต่อมาจ้าวเฟิงจึงเริ่มพัฒนาระดับพลังฝึกตนและทำให้มันเสถียร
ขวับ! ขวับ!
ในมือจ้าวเฟิงปรากฏทรัพยากรล้ำค่ามากมายที่ได้มาจากภายในร่างเทพ นอกจากทรัพยากรเหล่านี้จะมีสรรพคุณยาของตัวมันเองแล้ว ยังแฝงไปด้วยเลือดลมและปราณบริสุทธิ์ชั้นยอด ซ้ำมีกลิ่นอายพลังเทพโบราณด้วย
จ้าวเฟิงโคจร ‘วิชาหมื่นห้วงคิดเซียน’ แบ่งห้วงความคิดออกหลายส่วน เอาไว้ฝึกฝน ‘วิชาวายุอัสนีห้าสาย’ และ ‘กายสายฟ้าปฐพีทอง’
ฤทธิ์ยาในวัตถุดิบยาผลึกเลือดเหล่านี้ ถูกจ้าวเฟิงดึงเข้าไปในแสงวนพลังศักดิ์สิทธิ์ รวมขึ้นเป็นวายุอัสนีธาตุดิน กลิ่นอายพลังเทพอีกทั้งปราณบริสุทธิ์และเลือดลมภายในก็ถูกดึงเข้าไปภายในกายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์
ปราณและเลือดลมที่หนาแน่นบริสุทธิ์กลุ่มนี้ ไม่เพียงมีประโยชน์ต่อระดับขั้นชีวิตของจ้าวเฟิงอย่างมาก ในระดับหนึ่งยังจะสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับสายเลือดเพลิงมารโลหิตที่สมบูรณ์แบบของเขา
“ใช้เวลานานไม่เท่าไหร่นัก วายุอัสนีธาตุดินก็จะสามารถทะลวงผ่านระดับสูง ส่วน ‘กายสายฟ้าปฐพีทอง’ ขั้นที่หกจะเสถียรอยู่ที่จุดสุดยอดของระดับล่าง…”
สีหน้าจ้าวเฟิงปลื้มปีติอย่างยิ่ง
ตั้งแต่เข้าไปภายในร่างเทพ จ้าวเฟิงก็ประมือกับผู้แข็งแกร่งชั้นยอดของราชวงศ์ทั้งสองไม่หยุด ในระหว่างนี้จ้าวเฟิงเก็ใช้ทรัพยากรของร่างเทพที่ล้ำค่าไปไม่น้อย วิชาทั้งสองด้านของจ้าวเฟิงจึงสามารถเสถียรได้ทั้งหมด แถมยังพัฒนาขึ้นอีกด้วย
อนึ่ง จ้าวเฟิงยังดูดซึมพลังสำนึกรู้จำนวนมากมาจากเถาวัลย์ผลึกสีแดงขนาดยักษ์ จากนั้นการต่อสู้กับครึ่งเทพจวี้เหมิ่งทำให้จ้าวเฟิงลึกซึ้งเรื่องการนำเสวียนอ้าวในฟ้าดินและกฎเกณฑ์สำนึกรู้มาใช้ พลังวิญญาณและพลังสำนึกรู้ก็ได้รับการพัฒนาและหล่อหลอมขึ้นมาก
แต่การประมือกับครึ่งเทพจวี้เหมิ่งรวดเร็วเกินไป อีกทั้งสถาการณ์ยังบีบคั้นอันตราย ทำให้จ้าวเฟิงไม่กล้าใช้พลังของครึ่งเทพมาขัดเกลาคนเอง
ดังนั้นจ้าวเฟิงจึงเก็บภาพเหตุการณ์การต่อสู้ทั้งหมดระหว่างทุกคนและครึ่งเทพจวี้เหมิ่งไว้ในดวงตาซ้าย
พรึ่บ!
ห้วงความคิดส่วนสุดท้ายของจ้าวเฟิงดำดิ่งเข้าไปในมิติดวงตาซ้าย
ในมิติดวงตาซ้าย นอกเหนือจากกะโหลกอำนาจเทวะแล้ว ยังมีทรัพยากรล้ำค่าส่วนหนึ่งที่จ้าวเฟิงกำลังลอกเลียนแบบอยู่
ทันใดนั้น ภาพในมิติเนตรเทพเจ้าเปลี่ยนแปลงไป กลายเป็นภาพตอนที่พวกจ้าวเฟิงต่อสู้กับครึ่งเทพจวี้เหมิ่ง
ภาพเหตุการณ์ที่เก็บไว้ในดวงตาซ้ายกลับคืนสมจริงเป็นที่สุด พลังนี้จะแข็งแกร่งขึ้นตามการยกระดับเจตจำนงดวงตาของจ้าวเฟิง
กระทั่งจ้าวเฟิงที่สติปัญญาปราดเปรื่องพลังแข็งแกร่ง ยังรู้สึกว่าทุกสิ่งรอบบริเวณสมจริงอย่างยิ่ง เหมือนย้อนกลับไปช่วงเวลาที่ประมือกับครึ่งเทพจวี้เหมิ่งอีกครั้ง
ทว่าในครั้งนี้ จ้าวเฟิงไม่มีความรู้สึกกดดันและอันตราย เขาพิจารณาพลังในกระบวนท่าและการใช้สำนึกรู้ของครึ่งเทพจวี้เหมิ่งอย่างละเอียดได้
“ครึ่งเทพควบคุมพลังได้อย่างแม่นยำจนถึงขีดสุด สามารถใช้พลังภายนอกผสานเข้าไปในเสวียนอ้าวการโจมตีของตนเอง…”
จ้าวเฟิงดูการต่อสู้ปะทะกับครึ่งเทพจวี้เหมิ่งในแต่ละครั้งซ้ำไปซ้ำมา สังเกตพลังประเภทต่างๆ ที่ครึ่งเทพจวี้เหมิ่งสร้างขึ้น
นี่จะเท่ากับว่า ครึ่งเทพคนหนึ่งแสดงตัวอย่างให้จ้าวเฟิงดูด้วยตนเองว่าจะควบคุมพลังในร่างกายได้อย่างไร จะใช้พลังวิญญาณและพลังแห่งสำนึกรู้ได้อย่างไร
ทักษะและความรู้ของจ้าวเฟิงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
หนึ่งวันต่อมา ภายในมนตราอากาศ
พรึ่บ แซ่ด แซ่ด!
วายุอัสนีธาตุดินที่หมุนวนอยู่รอบกายจ้าวเฟิงสั่นสะเทือนรุนแรง ปลดปล่อยแสงอัสนีสว่างพร่างพราว กระจายตัวออกเป็นอาณาเขตแรงโน้มถ่วงที่ไร้รูปร่าง
“ ‘วิชาวายุอัสนีห้าสาย’ ขั้นที่เก้า วายุอัสนีธาตุดินแตะระดับสูงแล้ว!”
จิตของจ้าวเฟิงลอยออกจากมิติเนตรเทพเจ้า ย้อนกลับเข้าสู่ร่าง
“กายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ก็เกาะกลุ่มเสถียรอยู่ที่ขอบเขตพลังระดับล่าง สามารถทะลวงสู่ระดับสูงได้ทุกเวลา!”
จ้าวเฟิงรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของพลังกาย
แต่ทว่า จ้าวเฟิงโคจร ‘วิชาหมื่นห้วงคิดเซียน’ ใช้หนึ่งจิตใจทำหลายอย่าง ห้วงความคิดหลักของเขากลับหยุดอยู่ที่มิติเนตรเทพเจ้า และเรียนรู้จากครึ่งเทพจวี้เหมิ่ง
ด้วยเหตุนี้ สำนึกรู้และกลยุทธ์การสู้จริงของจ้าวเฟิงถึงจะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
“ด้วยความสามารถของข้าในตอนนี้ ถึงแม้จะไม่ใช้เพลิงดวงตาอัสนีเทวะ ก็สามารถรับมือราชาเซียนทั่วไปได้แล้ว!”
จ้าวเฟิงระบายยิ้มทั่วใบหน้า
การเดินทางในร่างเทพมาจนถึงตอนนี้ ผลประโยชน์ของจ้าวเฟิงน่าทึ่งมากแล้ว
แม้ในระหว่างทางจะเต็มไปด้วยอันตรายนับไม่ถ้วน แต่หากจ้าวเฟิงเอาแต่ปิดด่านฝึกตนอยู่ในตำหนักราชัน ต่อให้มีความสามารถในการลอกเลียนแบบของดวงตาซ้าย คัดลอกทรัพยากรได้ไม่มีขีดจำกัด ก็ไม่อาจมีพัฒนาการมากมายเช่นนี้
แต่ด้วยเวลากระชั้นชิด ถึงจ้าวเฟิงมีโอกาสจะทำสำเร็จสูง ทว่าไม่มีเวลาไปทำความเข้าใจ
พรึ่บ! ร่างจ้าวเฟิงปรากฏขึ้นที่โลกภายนอก
จ้าวหยูเฟยที่อยู่ไม่ไกลนัก รอบกายมีการปกป้องของพลังโลกมิติส่วนตัวชั้นหนึ่ง
ทว่าจ้าวเฟิงยังคงสัมผัสได้ถึงพลังศักดิ์สิทธิ์เทวาเร้นลับที่แข็งแกร่งและบริสุทธิ์อยู่ดี
พรึ่บ ฟู่! คลื่นสีม่วงวาววับรอบกายจ้าวหยูเฟยแผ่กระจายออก นางเป็นดั่งเซียนหยกพิสุทธิ์ผุดผ่อง ค่อยๆ ปรากฏกายขึ้นในสรวงสวรรค์ที่ปกคลุมไปด้วยเมฆหมอก
“พี่เฟิง!” จ้าวหยูเฟยมีสีหน้ายินดี
“ทะลวงถึงขอบเขตเทวาเร้นลับชั้นสูงแล้ว!”
จ้าวเฟิงมองขอบเขตพลังในตอนนี้ของจ้าวหยูเฟยออกในแวบแรก
จ้าวหยูเฟยผงกศีรษะพลางหัวเราะร่วน
จ้าวเฟิงสูดลมหายใจเย็นเข้าปอด สายเลือดเผ่าพันธุ์วิญญาณในลำดับที่สิบเก้าของรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณ ไม่ใช่เพียงแค่ลมปากจริงๆ ความเร็วของการฝึกฝนช่างน่ากลัว ถึงจะเป็นจ้าวเฟิงก็ยังมองไม่เห็นฝุ่น
อีกฟากหนึ่ง คุนอวิ๋นที่เพิ่งจะทะลวงขั้นราชาเซียนได้ไม่นานนักก็ค่อยๆ คุ้นเคยกับพลังภายในร่าง ควบคุมกลยุทธ์เคล็ดวิชาที่แข็งแกร่งในความทรงจำส่วนหนึ่งได้
ส่วนพลานุภาพของหนานกงเซิ่งก็มั่นคงอยู่ที่ขอบเขตเทวาเร้นลับชั้นสูง พลังที่ชั่วร้ายน่ากลัวกลุ่มหนึ่ง สะท้อนรอบบริเวณ ทำให้คนอื่นอกสั่นขวัญแขวน ไม่กล้าเข้าไปใกล้
“จ้าวเฟิง ครั้งนี้โชคดีที่ได้เจ้า พลังของข้าก็เริ่มพัฒนาขึ้นไปอีกครั้ง!”
ราชาเซียนโยวมู่เอ่ยยิ้มๆ
เมื่อประมือกับผู้แข็งแกร่งครึ่งเทพ ผลประโยชน์ที่ราชาเซียนโยวมู่ได้มามากกว่าเดิมอย่างไม่ต้องสงสัย และส่งผลช่วยเหลืออย่างมากต่อการทะลวงขอบเขตเซียนสวรรค์ของเขา
ถ้าหากไม่ใช่เพราะจ้าวเฟิง ราชาเซียนโยวมู่จะกล้าตั้งรับและปะทะกับคนอื่นซึ่งหน้าได้อย่างไร
“เช่นนั้นก็เตรียมออกเดินทางเถอะ ไปช้าขึ้นมาจะไม่เหลืออะไรเลย!”
จ้าวเฟิงเอ่ยพลางยิ้ม
คนทั้งหมดจึงจบการปิดด่านฝึกตนทันที และเริ่มมุ่งหน้าไปยังศีรษะร่างเทพ
ยิ่งเข้าใกล้มากเท่าไหร่ ทุกคนก็สัมผัสได้ว่ากลิ่นอายพลังเทพในกำแพงผลึกรอบบริเวณยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น กลุ่มคนอื่นที่เจอระหว่าทางก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ ตามไปด้วย ซึ่งในนั้นย่อมมีพวกต่างเผ่าพันธุ์อยู่ด้วย
แต่เมื่อพลังของทั้งสองฝ่ายไม่ได้แตกต่างกันมากนัก ราชวงศ์ทั้งสองจะไม่รีบร้อนลงมือตามอำเภอใจ อย่างไรเสียในเวลานี้ การเก็บเกี่ยวเอาโอกาสในร่างเทพถึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
เส้นทางกำแพงผลึกที่ทุกคนเดินไปกว้างขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายขยายใหญ่เป็นเส้นทางเดินไร้ขอบเขตสายหนึ่ง
กลุ่มคนอื่นที่เดินทางไปยังตำแหน่งศีรษะร่างเทพ ค่อยๆ รวมตัวแน่นขนัดอยู่ภายในอุโมงค์ทางเดินผลึกกว้างใหญ่แห่งนี้
“ถึงแล้ว!”
ดวงตาสองข้างของหนานกงเซิ่งเปล่งประกายชั่วร้าย
ทุกคนรีบผ่อนความเร็วลง
เห็นเพียงสุดทางเดินผลึกยักษ์ที่ไร้ขอบเขต เป็นมิติผลึกที่กว้างขวางเกินจะเปรียบ ภายในมิติเป็นซากผลึกเก่าแก่ยาวสุดลูกหูลูกตา
และผู้แข็งแกร่งของแต่ละขั้วอำนาจในราชวงศ์ทั้งสอง ต่างปักหลักอยู่ในแต่ละจุดของซากผลึกแห่งนี้