บทที่ 1103 กระบวนการช่วงชิง
ด้านข้างศาลารูปแบบโบราณแห่งหนึ่ง
พรึ่บ ขวับ!
ชั้นเงาสีเงินเข้มทับซ้อนอยู่ในอากาศ ร่างจ้าวเฟิงและเจ้าแมวขโมยน้อยค่อยๆ ปรากฏขึ้นตามระลอกมิติก
“อันตรายเหลือเกิน บุคคลในขั้นครึ่งเทพของทั้งสองราชวงศ์ต่างก็เข้ามากันเกือบหมดแล้ว!”
จ้าวเฟิงรู้สึกได้ถึงความคับขัน
ถ้าหากจ้าวเฟิงพบกับผู้แข็งแกร่งของราชวงศ์ต้าเฉียน เขาจะต้องได้รับการปกป้องจากพวกเขาอย่างไม่ต้องสงสัย แน่นอนยกเว้นครึ่งเทพโยวไห่
แต่เมื่อเคลื่อนไหวร่วมกับครึ่งเทพของราชวงศ์ต้าเฉียน โอกาสที่จ้าวเฟิงจะได้มาก็ลดลงไปจนถึงขีดสุด อย่างไรเสีย ถึงครึ่งเทพมนุษย์จะช่วยปกป้องจ้าวเฟิงได้ แต่จะไม่ยอมอ่อนข้อยกโอกาสและทรัพย์สมบัติล้ำค่าให้แก่จ้าวเฟิงแน่
ด้วยเหตุนี้ จ้าวเฟิงจึงตัดสินใจลงมือเพียงลำพัง
อีกทั้งก่อนนี้จ้าวเฟิงทิ้งสัญลักษณ์มิติจำนวนมากเอาไว้ในมิติแห่งนี้ ขอแค่ระมัดระวังก็จะไม่มีปัญหาอะไร
ในตอนนี้ จ้าวเฟิงหวนนึกถึงภาพเหตุการณ์ที่เจอกับซินอู๋เหินเมื่อครู่
ร่างในตำหนักทองคำขาวคือซินอู๋เหิน จุดนี้ยังคงทำให้จ้าวเฟิงตกตะลึง เกินจะเชื่อได้
เวลาเดียวกัน จ้าวเฟิงเริ่มพิจารณาคำพูดที่ซินอู๋เหินพูดกับเขา ‘จ้าวเฟิง เวลาไม่มากนัก สิ่งปลูกสร้างทุกแห่งที่นี่ล้วนแต่เป็นโอกาส เลือกเอาจากความรู้สึกของเจ้าเถอะ!’
คำพูดนี้ทำให้จ้าวเฟิงรู้สึกได้ว่า โอกาสที่นี่เกิดจากการจัดแจงของซินอู๋เหินทั้งสิ้น
และแน่นอนว่านี่ไม่ใช่จุดสำคัญ แต่มีสองอย่างในประโยคนี้ที่ทำให้จ้าวเฟิงครุ่นคิดอย่างหนัก
จุดแรก ซินอู๋เหินพูดว่าเวลาไม่มากนัก จ้าวเฟิงคาดเดาว่าโอกาสของที่นี่อาจจะอยู่เพียงประเดี๋ยวเดียวเท่านั้น หรืออาจมีเหตุผลอื่นๆ ให้ต้องหยุดกลางคัน
จุดที่สอง ซินอู๋เหินบอกว่าโอกาสที่นี่มีมากมายอย่างยิ่ง ให้จ้าวเฟิงไปเลือกเอาสักอันหนึ่ง
โอกาสที่นี่มีมากมาย เหตุใดซินอู๋เหินจึงพูดว่าให้จ้าวเฟิงไปเลือกเอาสักอันหนึ่ง? หรือจะบอกว่าเลือกได้เพียงสิ่งเดียวเท่านั้น!
“หรือว่าที่นี่มีขีดจำกัดบางอย่าง คนหนึ่งคนเข้าไปในสิ่งปลูกสร้างได้เพียงแห่งเดียว และได้โอกาสเพียงอย่างเดียวเท่านั้น?”
จ้าวเฟิงคาดเดาได้ตามนี้
ถ้าหากเป็นเช่นนี้ จ้าวเฟิงก็ต้องดีใจจริงๆ
เมื่อเพิ่งเข้ามาที่นี่ จ้าวเฟิงต้านทานแรงเย้ายวนใจเอาไว้ ไม่เข้าไปภายในสิ่งปลูกสร้างลวกๆ แต่สำรวจรอบด้าน และใช้มนตราอากาศทิ้งสัญลักษณ์มิติเอาไว้
ไม่ว่าที่ซินอู๋เหินพูดมาจะจริงหรือไม่ จ้าวเฟิงต้องเชื่อในสิ่งที่เขาพูดเพื่อความปลอดภัย
นอกจากนั้น จ้าวเฟิงยังคิดได้ว่า ในเมื่อซินอู๋เหินอยู่ในตำหนักทองคำขาว นี่แปลว่าที่นั่นเป็นโอกาสของซินอู๋เหิน
อีกอย่าง นี่ก็แปลว่าสายตาของจ้าวเฟิงและเจ้าแมวขโมยน้อยไม่เลวนัก ตำหนักทองคำขาวแห่งนั้นคือโอกาสที่ดีที่สุด แต่เป็นของซินอู๋เหินคนเดียวเท่านั้น
จากนั้น จ้าวเฟิงจึงเบิกดวงตาเทพเจ้าแล้วสำรวจรอบบริเวณ
“ในทุกๆ สิ่งปลูกสร้างมีโอกาสหนึ่งสิ่ง ข้าย่อมไม่อาจเลือกอันที่ไม่ดีได้!”
จ้าวเฟิงเอ่ยอย่างแน่วแน่
พรึ่บ! ลายคลื่นสีทองอ่อนปกคลุมบนดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิง
สิ่งปลูกสร้างที่ถูกมองทะลุผ่านได้ในทันที จ้าวเฟิงจะไม่ใยดี
วูบ! จ้าวเฟิงโบยบินไปในช่องว่างระหว่างสิ่งปลูกสร้างต่างๆ อีกทั้งยังสำรวจสิ่งก่อสร้างรอบบริเวณอีก
ในเวลาหนึ่ง จ้าวเฟิงมองเห็นครึ่งเทพผู้หนึ่งของลัทธิเมืองมืดในเรือนไม้ขนาดเล็ก
หลังจากครึ่งเทพเข้าไปเรือนไม้แล้ว ก็แทบจะหอบเอาของที่ค้นเจอทั้งหมดไป
แต่ในขณะที่ครึ่งเทพผู้นี้ออกจากประตูไม้ ร่างกายของเขาสลายไปทันทีท่ามกลางกฎเกณฑ์แห่งมิติที่ทรงพลัง
“จริงด้วย หนึ่งคนจะได้โอกาสเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น!”
จ้าวเฟิงรู้สึกโชคดีอีกครั้ง
จากสถานการณ์บนทางเดินแสง จ้าวเฟิงคาดเดาว่าครึ่งเทพผู้นี้น่าจะถูกบีบให้ออกไปจากมิติแห่งนี้ไปยังที่อื่นในร่างเทพแทน
ขณะเดียวกัน จ้าวเฟิงก็สงสัยอย่างยิ่งว่าไยซินอู๋เหินถึงรู้เรื่องพวกนี้ได้
กริ๊ง! เจ้าแมวขโมยตัวน้อยโยนเหรียญโบราณในมือและทำนาย
เมี้ยว เมี้ยว!
เจ้าแมวขโมยตัวน้อยขยับกรงเล็บเพื่อบอกทางจ้าวเฟิง
“ได้ เชื่อเจ้าก็แล้วกัน!”
จ้าวเฟิงเชื่อมั่นในการทำนายของเจ้าแมวขโมยอย่างยิ่ง
อีกอย่าง ตอนที่จ้าวเฟิงมองเห็นตำหนักทองคำขาวเมื่อครู่ ก็เป็นเพราะการทำนายทิศทางของเจ้าแมวขโมย
ฟึ่บ! จ้าวเฟิงมุ่งไปยังทิศที่เจ้าแมวขโมยตัวน้อยอย่างระมัดระวัง
ในขณะนั้น จ้าวเฟิงมองเห็นครึ่งเทพชื่อเสี่ยแห่งตระกูลเถี่ย เขายังคงไม่เปลี่ยนสีหน้า รอให้อีกฝ่ายจากไปก่อนถึงจะเดินทางต่อ
“เหมือนจะไม่มีสิ่งปลูกสร้างที่ยิ่งใหญ่พิเศษอะไร!”
หลังจากจ้าวเฟิงโบยบินไประยะหนึ่งถึงเอ่ยพึมพำ
ทันใดนั้น จ้าวเฟิงหยุดชะงักฝีเท้า
“นี่มันหอนาฬิกา!”
สายตาของจ้าวเฟิงจับจ้องไปที่หอนาฬิกาขนาดยักษ์แห่งหนึ่ง
พื้นที่และรัศมีของหอนาฬิกาสีเขียวแห่งนี้พิเศษกว่าสิ่งปลูกสร้างอื่นๆ ที่นี่มาก แต่เมื่อเปรียบเทียบกับตำหนักคำทองขาวแล้วยังห่างชั้นมากนัก
แต่สาเหตุแท้จริงที่หอนาฬิกาแห่งนี้ดึงดูดจ้าวเฟิงคือ ดวงตาซ้ายของเขาไม่สามารถมองผ่านหอนาฬิกาแห่งนั้นได้
พรึ่บ!
จ้าวเฟิงกระตุ้นความสามารถของดวงตาซ้ายให้ถึงขีดสุด ก็ทำได้เพียงมองทะลวงผ่านพื้นที่บางส่วนภายนอกหอนาฬิกาแห่งนี้
“หอนาฬิกาแห่งนี้แปลกประหลาดอย่างยิ่ง อีกทั้งโครงสร้างของมันเหมือนเป็นของจากเผ่าพันธุ์ความลับสวรรค์!”
จ้าวเฟิงกล่าวอย่างมั่นใจ
จากนั้นเขามาถึงด้านข้างของหอนาฬิกา เตรียมจะเข้าไปดูใกล้ๆ แต่ในเวลานี้เอง อีกฝั่งของหอนาฬิกาก็ปรากฏคนผู้หนึ่ง
“จ้าวเฟิง!”
ร่างต่างเผ่าพันธุ์ใหญ่ยักษ์มีสีหน้าตื่นตะลึง เอ่ยอย่างร้อนรน
ครึ่งเทพจวี้เหมิ่งก็กำลังสำรวจหอนาฬิกาเช่นกัน หอนาฬิกาแห่งนี้พิเศษมาก ปิดกั้นประสาทสัมผัสจิตวิญญาณ เพราะตอนที่เขาเพิ่งเข้ามาก็ไม่รู้สึกถึงจ้าวเฟิงที่อยู่ด้านหลังหอนาฬิกา
“ครึ่งเทพจวี้เหมิ่ง!” จ้าวเฟิงเอ่ยเสียงสั่นเทา
ความสามารถในการมองทะลุผ่านของจ้าวเฟิงไม่อาจมองผ่านหอนาฬิกา และประสาทสัมผัสวิญญาณของเขาก็ถูกต้านทาน จึงสัมผัสครึ่งเทพจวี้เหมิ่งที่อยู่อีกด้านไม่เจอเช่นกัน
“ระยะทางใกล้เกินไป ไม่สามารถใช้มนตราอากาศได้แล้ว!”
จ้าวเฟิงใจเต้นแรง รู้สึกได้ถึงอันตรายร้ายแรง
อย่างแรก มนตราอากาศจำเป็นต้องเคลื่อนย้ายในมิติที่มั่นคง อย่างที่สอง มนตราอากาศไม่ได้เคลื่อนย้ายในเวลาอันสั้น ต้องใช้เวลาครึ่งช่วงลมหายใจ
ระยะใกล้กันเช่นนี้ แค่ครึ่งชั่วลมหายใจ ครึ่งเทพจวี้เหมิ่งสังหารจ้าวเฟิงได้เป็นสิบครั้งแล้ว ‘คงต้องทำแบบนี้แล้ว!’
จ้าวเฟิงพาเจ้าแมวขโมยน้อยพุ่งเข้าไปในหอนาฬิกาที่ประตูเปิดอ้าอยู่ทันที
หลังจ้าวเฟิงเข้าไปในหอนาฬิกา ประตูใหญ่ก็ปิดลง
“ฮ่าๆ พวกเจ้าจะไปไหนกัน!”
ครึ่งเทพจวี้เหมิ่งหัวเราะเสียงดัง กลายร่างเป็นแสงสีดำสนิท มุดเข้าไปในรอยแยกของประตูที่กำลังจะปิด
เขาก็คิดไม่ถึงว่าโชคชะตาของตนเองจะดีเช่นนี้ มาเจอคนที่เขาอยากจะสังหารได้อย่างง่ายดาย
“แย่จริง เขาก็เข้ามาแล้ว!”
จ้าวเฟิงสีหน้าตื่นตะลึง ตกใจสงสัยเล็กน้อย
เดิมจ้าวเฟิงคิดว่าทันทีที่ตนเองเข้ามาในสิ่งปลูกสร้างแห่งนี้ หอนาฬิกาก็จะปิดสนิท ไม่อนุญาตให้มีบุคคลที่สองเข้ามาเหมือนตำหนักทองคำขาวแห่งนั้น ตอนที่ซินอู๋เหินอยู่ภายใน ไม่ว่าจะทำอย่างไรจ้าวเฟิงก็ไม่อาจบุกรุกเข้าไปได้
ตอนนี้ดูๆ จ้าวเฟิงคงคิดผิดเสียแล้ว
จ้าวเฟิงโบยบินเข้าไปในหอนาฬิกา มองเห็นสมบัติล้ำค่ามากมายรายทาง แต่เขาไม่มีเวลาจะไปเก็บพวกมัน
ขวับ! ปรากฏธนูเก่าแก่สีเงินและศรสีทองเข้มดอกหนึ่งในมือจ้าวเฟิง
จ้าวเฟิงง้างสายธนูออก ยิงศรสังหารเทพชั้นรองออกมา
แกรก!
มองเห็นธนูสีทองเข้มขนาดยักษ์ทะลวงผ่านทุกสรรพสิ่ง ลากพายุพลังสีทองที่น่ากลัวพุ่งออกไปด้านล่าง
“ลูกไม้อ่อนหัดแบบนี้ ก็คิดจะมาทำร้ายข้า?”
ครึ่งเทพจวี้เหมิ่งยิ้มชั่วร้าย
จากที่เขาดูๆ แล้ว ครั้งนี้ต่อให้จ้าวเฟิงจะติดปีกก็บินหนีไปไม่ได้ รอให้สังหารจ้าวเฟิงแล้วค่อยไปหาสมบัติอย่างอื่นก็ยังไม่สายไป
ขวับ! ขวานยักษ์สีแดงเข้มที่ชำรุดปรากฏขึ้นในมือครึ่งเทพจวี้เหมิ่ง
พลังเทพโหมกระหน่ำ ครึ่งเทพจวี้เหมิ่งยกอาวุธเทพในมือตั้งรับเอาไว้เบื้องหน้า
โครม! พายุพลังที่น่าพรั่นพรึงหมุนวนขึ้นทันที
แต่ของอื่นที่เหลือในหอนาฬิกาไม่เกิดความเสียหายแม้แต่น้อย
“ไปตายเสีย!”
ครึ่งเทพจวี้เหมิ่งหัวเราะเสียงดัง แกว่งขวานยักษ์ที่ไม่สมบูรณ์ในมือ ฟาดฟันคมมีดสีแดงเข้มออกมา
เปรี๊ยะ แซ่ด! จ้าวเฟิงรีบไปหลบอยู่ด้านหลังเสาสีขาว
โครม! การโจมตีของครึ่งเทพจวี้เหมิ่งถูกเสาสีขาวด้านหน้าจ้าวเฟิงต้านเอาไว้ กระทั่งรอยขีดข่วนเดียวก็ไม่มี
“เจ้าแมวขโมย!”
ในสถานการณ์คับขันเช่นนี้ จ้าวเฟิงขอความช่วยเหลือจากเจ้าแมวขโมยตัวน้อย
เพราะเขารู้ดีว่าเจ้าแมวขโมยตัวน้อยยังมีอาวุธเทพชิ้นหนึ่ง ถ้าหากมันใช้อาวุธเทพนี้ จะทำร้ายครึ่งเทพจวี้เหมิ่งให้บาดเจ็บสาหัสคงจะไม่ใช่ปัญหาอะไร
ขอแค่ทำให้ครึ่งเทพจวี้เหมิ่งบาดเจ็บสาหัสได้ จ้าวเฟิงก็จะมีโอกาสหายใจหายคอ ใช้มนตราอากาศหนีไป
เมี้ยว เมี้ยว! เจ้าแมวขโมยน้อยส่ายศีรษะ โบกกรงเล็บเพื่อบอกว่าตอนนี้ยังใช้พลังของอาวุธเทพไม่ได้
จ้าวเฟิงสีหน้าเคร่งขรึม เขาเองก็เข้าใจว่าเงื่อนไขการใช้อาวุธเทพเข้มงวดอย่างยิ่ง
ลำดับแรก อาวุธเทพต้องยอมรับนาย ในทันทีที่ยอมรับผู้เป็นนายแล้ว มีแต่ต้องขจัดตราประทับพลังด้านบนออก มิฉะนั้นคนอื่นจะใช้ไม่ได้
ลำดับที่สอง อาวุธเทพจำเป็นต้องฝึกปรือขัดเกลาช่วงเวลาหนึ่ง ถึงจะสามารถสำแดงพลานุภาพทั้งหมดได้
สุดท้าย อาวุธเทพจำเป็นต้องใช้พลังเทพบริสุทธิ์ถึงจะสามารถกระตุ้นมันขึ้นมา
“หรือว่าจะต้องใช้ศรสังหารเทพ?”
ใจจ้าวเฟิงไม่ยินยอม
ถึงจะใช้ศรสังหารเทพ จ้าวเฟิงก็ไม่มีความหวังที่จะสังหารครึ่งเทพจวี้เหมิ่งได้ พอถึงเวลาก็ต้องใช้มนตราอากาศหนีไปอยู่ดี นี่จะเท่ากับว่าจ้าวเฟิงต้องยอมทิ้งโอกาสของที่นี่ไปโดยปริยาย
“เจ้าจะหลบไปได้ถึงเมื่อไหร่กัน?”
ครึ่งเทพจวี้เหมิ่งกระยิ้มกระย่อง บีบเข้าใกล้จ้าวเฟิงเรื่อยๆ
ฟึ่บ ฟึ่บ!
เงาสองร่างในหอนาฬิกายักษ์โบยบินขึ้นด้านบนในรวดเดียว
ตอนนี้จ้าวเฟิงโบยบินไปถึงยอดหอแล้ว
“ที่นี่คือ?” สีหน้าจ้าวเฟิงอึ้งไปเล็กน้อย
ชั้นบนสุดยอดหอมีเพียงระเบียงแท่นโลหะเท่านั้น ด้านบนแท่นมีเหล็กชิ้นสีดำทรงสามเหลี่ยมลอยอยู่ บนนั้นมีลวดลายถี่เล็กสีเขียวนับไม่ถ้วน เปล่งแสงประกายสว่างเรืองรอง
“นี่น่าจะเป็นสมบัติที่ล้ำค่าที่สุดในหอนาฬิกาแล้ว!”
จ้าวเฟิงมองไม่ออกเลยว่าของสิ่งนี้คืออะไร แต่ก็ยังพอจะเดาได้
“สู้สุดแรงแล้วกัน อย่างน้อยก็ต้องเอาอะไรไปบ้าง!”
จ้าวเฟิงยื่นมือออกไปหาชิ้นเหล็กทรงสามเหลี่ยมบนแท่นโลหะ ส่วนห้วงความคิดของเขาก็ดำดิ่งลงไปในมนตราอากาศ เตรียมหยิบศรสังหารเทพออกมาทุกเมื่อ อย่างน้อยที่สุด ก่อนจะใช้มนตราอากาศหนีไป จ้าวเฟิงต้องได้อะไรติดไม้ติดมือไปบ้าง
แต่ว่า เมื่อฝ่ามือของจ้าวเฟิงสัมผัสชิ้นเหล็กสีดำทรงสามเหลี่ยม ประกายแสงสีเขียวประหลาดสาดซัดออกมาจากภายใน
แสงสว่างสีเขียวพร่างพราวส่องให้เห็นทุกสรรพสิ่ง และในเวลาเดียวกันก็ปกคลุมทุกสิ่งด้วย
พร้อมกันนั้น เสียงเย็นเยือกราวกลไกพลันดังขึ้นจากภายในใจกลางของชิ้นเหล็กทรงสามเหลี่ยมสีดำ “พบสิ่งมีชีวิตสองประเภทใกล้เข้ามา เริ่มกระบวนการช่วงชิงได้!”
“นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
ครึ่งเทพจวี้เหมิ่งรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายแห่งเทพที่น่าสะพรึง ใบหน้าปรากฏแววหวาดกลัวเล็กน้อย
ฟู่!
แสงเทพสีเขียวแผ่กระจายออก จ้าวเฟิงและครึ่งเทพจวี้เหมิ่งปรากฏตัวขึ้นที่อีกมิติหนึ่ง
กลางอากาศว่างเปล่า พื้นดินปูด้วยโลหะสีสันต่างๆ ไกลออกไปยังมีสิ่งก่อสร้างโลหะที่แปลกประหลาดจำนวนมากอยู่ด้วย
จ้าวเฟิงและครึ่งเทพจวี้เหมิ่งยืนอยู่บนแผ่นเหล็กสีเขียวยาวหลายร้อยจั้งแผ่นหนึ่ง ตรงกลางของแผ่นเหล็กมีแท่นโลหะ และยังคงมีเหล็กสีดำทรงสามเหลี่ยมลอยอยู่ด้านบน
“กระบวนการช่วงชิงเริ่มขึ้นแล้ว ผู้มีชัยถึงจะมีคุณสมบัติลองให้อาวุธเทพยอมรับ!”