บทที่ 1122 โจมตีเผ่าพันธุ์ผลึกธุลี
เพื่อทดสอบพลังของอาวุธเทพ จ้าวเฟิงตั้งใจเข้าไปยังในห้วงฝันบรรพกาล
จากนั้น จ้าวเฟิงก็นำพลังเทพกลุ่มแรกที่ฝึกฝนได้ในช่วงนี้ใส่เข้าไปในอาวุธเทพ ‘ตราเทพบรรพกาล’
ชั่วพริบตา ความคิดของจ้าวเฟิงเหมือนเข้าไปในตราเทพบรรพกาล และมาถึงยังโลกที่มีเหล็กสีดำโคจร ข้อมูลมากมายของอาวุธเทพชิ้นนี้หลั่งไหลเข้ามาในหัวของจ้าวเฟิง
“มีรูปแบบการเปลี่ยนแปลงหลายสิบแบบ มีความสามารถหลากหลายทั้งรบระยะประชิด รบระยะไกล ป้องกัน ช่วยเหลือ!”
จ้าวเฟิงจิตใจสั่นสะท้าน คิดไม่ถึงว่าตนเองจะมีอาวุธเทพที่ความสามารถครบครันเช่นนี้
ชิ้ง ชิ้ง!
ชิ้นเหล็กสามเหลี่ยมในมือจ้าวเฟิงแยกออกมาจากตรงกลาง ตรงใจกลางมีคมมีดยาวสีดำเล่มหนึ่งยื่นออกมา
“รูปร่างกระบี่!”
จ้าวเฟิงถือกระบี่เหล็กสีดำ รู้สึกว่าหนักผิดปกติ ยากที่จะควบคุมพลังข้างในเอาไว้!
ฟิ้ว ฉึก!
จ้าวเฟิงฟันออกไปอย่างรุนแรงหนึ่งดาบ คมคลื่นสีดำพร้อมด้วยความกดดันพลังเทพที่เด็ดขาดทรงพลังพุ่งออกไป
คมคลื่นสีดำทะลุผืนป่าทั้งผืน ทำลายทุกสรรพสิ่งตามทางไปจนถึงบนยอดเขาขนาดเล็กที่อยู่ไกลๆ ก่อนจะระเบิดออกทันที
“ช่างเป็นพลังที่แข็งแกร่งยิ่งนัก!”
จ้าวเฟิงอดตกใจไม่ได้
ต้องรู้ว่า มิติห้วงฝันบรรพกาลและดินแดนทวีปนั้นไม่เหมือนกัน
พลังใดๆ ของที่นี่ล้วนถูกกฎเกณฑ์มิติบรรพกาลที่ยิ่งใหญ่ควบคุมเอาไว้
และในยามนี้เอง การโจมตีนี้ของจ้าวเฟิงกลับทะลุผ่านผืนป่าทั้งผืนนี้ ถางเนินเขาขนาดเล็กที่อยู่ไกลหลายลี้จนเตียน
โฮก! ตอนนี้เอง ในยอดเขาเล็กที่ทอดตัวเป็นแนวยาว เสียงคำรามสะเทือนเลื่อนลั่นดังมา จากนั้นผืนดินสั่นไหว คนยักษ์หินผลึกสีเทาตัวมหึมาแต่ละตัวกระโดดออกมาจากพื้นดินหรือไม่ก็ยอดเขา ส่งเสียงคำรามอย่างแค้นเคือง
โฮก! คลื่นโจมตีที่แข็งแกร่งไร้เทียมทานหลายสายทะยานมายังจ้าวเฟิง
“ครั้งหน้าจะจัดการพวกเจ้าทั้งหมด!”
จ้าวเฟิงมองไปยังเผ่าพันธุ์ผลึกธุลีกลุ่มนั้น แล้วออกจากห้วงฝันบรรพกาลไป
ทรัพยากรในมือของจ้าวเฟิงถึงแม้จะมาก อีกทั้งยังสามารถลอกเลียนแบบได้ แต่หากคิดจะยกระดับพลังทั้งหมดของตำหนักราชันครั้งใหญ่ในช่วงเวลาสั้นๆ ก็ยังค่อนข้างลำบาก
ดังนั้นจ้าวเฟิงจะต้องแย่งชิงทรัพยากรในห้วงฝันบรรพกาลมา และเผ่าพันธุ์ผลึกธุลีก็เป็นเป้าหมายที่ดีที่สุดของจ้าวเฟิงอย่างไม่ต้องสงสัย
ชิ้ง ชิ้ง!
ตราเทพบรรพกาลในมือของจ้าวเฟิงเปลี่ยนกลับมาเป็นชิ้นเหล็กสามเหลี่ยมอีกครั้ง
“ในส่วนลึกของอาวุธเทพชิ้นนี้ เหมือนจะมีตราผนึกอีกชั้นหนึ่ง!”
ด้วยพลังมองสำรวจอันแข็งแกร่งของดวงตาเทพเจ้า เขาค้นพบจุดน่าสงสัยนี้
“แต่ว่าพลังและความสามารถของอาวุธเทพในตอนนี้ก็เพียงพอแล้ว!”
จ้าวเฟิงวางข้อสงสัยนี้ไว้ก่อน
รอให้อนาคตพลังของตนไปถึงในระดับหนึ่ง ค่อยไปสำรวจทุกซอกทุกมุมของอาวุธเทพชิ้นนี้ก็ยังไม่สาย
หลังจากที่ทดลองและทำความเข้าใจอาวุธเทพแล้ว จ้าวเฟิงก็ปิดด่านฝึกตนต่อ
พลังเทพที่ได้มาจาก ‘วิชาแปลงเทพ’ ไม่อาจฟื้นฟูด้วยตัวเองได้ จ้าวเฟิงจึงต้องสะสมพลังเทพบางส่วนไว้เท่าที่จะทำได้
สำหรับการใช้พลังเทพ จ้าวเฟิงต้องฝึกฝนบ่อยๆ เช่นกัน
ยามนี้สำหรับจ้าวเฟิงแล้ว พลังเทพก็คือไพ่ตายที่แข็งแกร่งที่สุดใบหนึ่ง
“หากใช้อาวุธเทพ เกรงว่าครึ่งเทพทั่วไปก็ไม่ใช่คู่มือของข้า!”
ใจของจ้าวเฟิงตื่นเต้นยินดีเป็นที่สุด
การเดินทางในร่างเทพทำให้พลังของจ้าวเฟิงเกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างมาก
ทว่าเพราะจ้าวเฟิงสังหารราชาเซียนสังสารวัฏ จึงถูกทั้งสองราชวงศ์จับจ้อง ดังนั้นเรื่องที่เขามีอาวุธเทพ พยายามอย่าเปิดเผยออกไปจะดีกว่า อีกด้านหนึ่ง ในมิติดวงตาซ้าย จ้าวเฟิงประทับตราและรับรู้พลังอัสนีเทวะอยู่ทุกชั่วขณะ
หลังจากที่มีผลึกเทพอัสนีแล้ว จ้าวเฟิงก็ไม่ต้องกังวลว่าพลังอัสนีเทวะจะไม่พอ สามารถดูดซับได้อย่างสบายใจ
พลังอัสนีเทวะเป็นไพ่ตายอันแข็งแกร่งอีกใบหนึ่งของจ้าวเฟิงเช่นกัน
นอกจากนั้น การรับรู้เข้าใจพลังอัสนีเทวะมีประโยชน์กับจ้าวเฟิงตอนเผชิญด่านเคราะห์อัสนีในวันข้างหน้า
ผ่านไปอีกหลายสิบวัน จ้าวเฟิงลืมตาทั้งสองขึ้นอีกครั้ง
“เคล็ดวิชาสร้างร่างแยก อนุมานออกมาได้แล้ว!”
จ้าวเฟิงค่อนข้างวาดหวังกับสิ่งนี้
ต่อมาจ้าวเฟิงก็เริ่มสร้างร่างแยก รอจนร่างแยกสร้างร่างกายขึ้นแล้วค่อยทำการแยกวิญญาณ
วูบ วูบ!
ของเหลวสีแดงโลหิตกลุ่มหนึ่งหอบปีศาจผลึกเลือดที่ยังไม่โตเต็มวัยมายังเบื้องหน้าจ้าวเฟิง
“ก่อนอื่น ต้องขจัดพลังดั้งเดิมของปีศาจผลึกเลือดทิ้งไป!”
จ้าวเฟิงทำตามวิธีที่ตนอนุมานได้ไปตามลำดับขั้น
หกวันหลังจากนั้น
ในมนตราอากาศ มีร่างที่ทั้งตัวเป็นสีขาวแวววาวอมชมพูลอยอยู่ มันแผ่กลิ่นอายสายเลือดบรรพกาลอันแข็งแกร่งออกมา ตรงใจกลางของร่างนี้ก็คือผลึกเทพโลหิตที่จ้าวเฟิงได้มาในตอนนั้น
“ไม่เลวเลย ระดับขั้นชีวิตล้ำหน้าเซียนทั่วไปไปมากนัก!”
จ้าวเฟิงพอใจกับร่างแยกร่างนี้เป็นอย่างมาก
มูลค่าทรัพยากรที่ใช้สร้างร่างแยกนี้มากเกินกว่าร่างแยกก่อนหน้าไม่รู้กี่เท่า แต่ทั้งหมดนี้ล้วนคุ้มค่า
นอกจากนั้น จ้าวเฟิงรู้สึกว่าระหว่างร่างเดิมและร่างแยก หน้าตาจะเหมือนกันทุกส่วนไม่ได้ จ้าวเฟิงจึงปรับเปลี่ยนหน้าตาของร่างแยกนี้เล็กน้อย สร้างเป็นชายกำยำบึกบึนคนหนึ่ง
“ร่างแยกสำเร็จแล้ว ต่อไปก็แยกวิญญาณ!”
สีหน้าจ้าวเฟิงจริงจัง
ถึงแม้การแยกวิญญาณจะทำให้พลังวิญญาณของจ้าวเฟิงลดลง แต่เมื่อร่างแยกที่สองสำเร็จ จ้าวเฟิงก็เท่ากับว่ามีอีกร่างหนึ่ง กำลังรบล้ำหน้าลูกสมุนของเซียนทั่วไป
อีกทั้งกายของร่างแยกที่สองค่อนข้างพิเศษ ขอเพียงแค่เพิ่มทรัพยากรสายเลือดและปราณอันแข็งแกร่งไม่ขาดสาย ก็จะสามารถพัฒนาไปได้อย่างรวดเร็ว
นอกจากนั้น หลังจากที่ผ่านการแยกวิญญาณมาครั้งหนึ่ง จ้าวเฟิงก็มีประสบการณ์แล้ว สามารถรับประกันได้ว่าพลังวิญญาณของตนจะลดลงไปไม่มากเท่าไหร่จากการแยกวิญญาณครั้งนี้
หลังจากที่แน่ใจแล้ว จ้าวเฟิงก็โคจร ‘วิชาแยกวิญญาณ’ และเริ่มการแยกวิญญาณ
เมื่อมีประสบการณ์ของครั้งที่แล้ว การแยกวิญญาณครั้งนี้ใช้เวลาไม่ถึงยี่สิบวันก็เสร็จสิ้น
พลังวิญญาณของร่างแยกถึงขั้นเซียน แต่ถ้าเปรียบกับพลังวิญญาณขั้นราชาเซียนของจ้าวเฟิงแล้วไม่อาจเทียบได้เลย
“พลังวิญญาณไม่ได้ลดลงไปเท่าไหร่!”
จ้าวเฟิงเอ่ยขึ้นหลังจากที่พิจารณาอย่างละเอียด
การแยกวิญญาณครั้งนี้ลดพลังวิญญาณไปไม่มากนัก อีกทั้งจ้าวเฟิงมีผลไม้เถาวัลย์ที่ได้รับมาจากในร่างเทพ ไม่นานนักก็สามารถฟื้นฟูกลับมาได้ทั้งหมด
วูบ! วิญญาณสีม่วงเยือกเย็นร่างหนึ่งเข้าไปในร่างแยกที่จ้าวเฟิงสร้างขึ้น
“รีบทะลวงขอบเขตเทวาเร้นลับชั้นต้น!”
จ้าวเฟิงจัดทรัพยากรบางอย่างออกมา แล้วมอบให้กับร่างแยกที่สอง
ขอบเขตพลังของเซียนหมื่นปรากฏการณ์สูงถึงขีดสุดยอดของชั้นต้น หากรอหลังจากที่ทุกด้านของร่างแยกที่สองถึงขั้นเซียนชั้นต้นแล้วค่อยฝึกฝนเนตรหมื่นปรากฏการณ์ อัตราความสำเร็จก็จะยิ่งสูง
หลังจากที่สั่งทุกอย่างแล้ว ในมือของจ้าวเฟิงก็เริ่มฟื้นฟูพลังวิญญาณ
วูบ! ในมือของจ้าวเฟิงมีใบไม้สีแดงโปร่งแสงแวววาวสามใบปรากฏขึ้น
ใบไม้พวกนี้จ้าวเฟิงได้มาจากเถาวัลย์ใหญ่ยักษ์ในร่างเทพ แฝงไว้ด้วยพลังสำนึกรู้และกลิ่นอายสายเลือดพลังเทพอันแข็งแกร่ง
“ใบไม้พวกนี้ ถึงแม้จะสู้สรรพคุณของผลไม้เถาวัลย์ไม่ได้ แต่ก็เหมาะกับระดับของข้าในตอนนี้มาก!”
จากนั้น จ้าวเฟิงเก็บใบไม้ใบหนึ่งเข้าไปไว้ในมิติตาซ้าย ทำการลอกเลียนแบบ ก่อนดูดซับและทำความเข้าใจสรรพคุณของใบไม้อีกสองใบที่เหลือ
ฟู่! ธาตุดินและธาตุไม้กลุ่มหนึ่งกับพลังสำนึกรู้ที่แข็งแรงทะลักล้นเข้าไปในจิตใจของจ้าวเฟิง
ขณะเดียวกัน กลิ่นหอมอ่อนๆ และสายเลือดเบาสบาย ทำให้ความรู้สึกเหนื่อยล้าก่อนหน้านี้ของจ้าวเฟิงหายไป
สองเดือนหลังจากนั้น
จ้าวเฟิงใช้ใบไม้สีแดงแวววาวไปสิบกว่าใบ ฟื้นฟูพลังวิญญาณที่ลดลงหลังจากแยกวิญญาณกลับคืนสู่สภาวะสุดยอด
ในขณะเดียวกัน หลังรับรู้พลังสำนึกรู้ในใบไม้สีแดงเหล่านี้ ขอบเขตสำนึกรู้ของจ้าวเฟิงก็เพิ่มขึ้น
และยามนี้ หนานกงเซิ่ง จ้าวหยูเฟย และคุนอวิ๋นกลับมาถึงยังตำหนักราชัน ยังมีตระกูลเถี่ยอีกกลุ่มหนึ่งที่เดินทางมาพร้อมกับพวกเขา
“จ้าวเฟิง เจ้าคิดจะเบี้ยวข้างั้นรึ!”
คุนอวิ๋นมาถึงข้างกายจ้าวเฟิงอย่างเร่งร้อน
แต่เมื่อนึกถึงท่าทีของจ้าวเฟิงในร่างเทพ เขาก็เก็บโทสะในใจเอาไว้
อีกทั้งระหว่างทางที่กลับมา เขายังได้ยินอีกว่าราชาเซียนสังสารวัฏถูกจ้าวเฟิงสังหารลงแล้ว
นี่ทำให้คุนอวิ๋นยิ่งเกรงกลัวจ้าวเฟิงมากขึ้นไปอีก
“แค่เพียงมีเรื่องด่วน ข้าจึงกลับมาก่อนเท่านั้น!”
จ้าวเฟิงนำแหวนเก็บของที่เตรียมพร้อมเอาไว้มอบให้กับคุนอวิ๋น
คุนอวิ๋นตกตะลึง ธุระด่วนที่จ้าวเฟิงว่าน่าจะเป็นการสังหารราชาเซียนสังสารวัฏ เพื่อให้ได้รับเคล็ดวิชาลับพิเศษนั่นกระมัง ต่อจากนั้น ความคิดของคุนอวิ๋นก็เข้าไปในมิติเก็บของ สีหน้าปีติยินดี เตรียมจะจากไป
“คุนอวิ๋น อยากจะได้ทรัพยากรที่สูงยิ่งกว่านี้หรือไม่!”
จ้าวเฟิงส่งกระแสจิตให้คุนอวิ๋นทันที
ตอนนี้สถานการณ์ของตำหนักราชันไม่ดีนัก หลักๆ คือตำหนักราชันขาดกำลังรบชั้นยอด และคุนอวิ๋นก็เป็นตัวเลือกที่ไม่เลว
“ข้าคุนอวิ๋นเคยกลัวผู้ใดกัน? ขอเพียงเจ้าให้ค่าตอบแทนได้ ข้าก็จะเดินไปกับเจ้าจนสุดทาง!”
สีหน้าคุนอวิ๋นดีใจโดยพลัน คุยโวเรื่องพลังของตน
จ้าวเฟิงยิ้มอย่างเหนื่อยหน่าย ในตอนที่จ้าวเฟิงเจรจากับคุนอวิ๋นครั้งแรก พอคุนอวิ๋นได้ยินว่าคู่มือคือวังเก้านิรยก็ปฏิเสธกันทันที
แต่คุนอวิ๋นในตอนนี้แข็งแกร่งมากจริงๆ เกรงว่ามีคงพลังของครึ่งเทพทั่วไปแล้ว
ใบหน้าของหนานกงเซิ่งเคร่งเครียด จ้องจ้าวเฟิงไม่วางตา เจ็บใจเป็นอย่างยิ่ง
เขาใช้จิตใจและสติสัมปชัญญะเป็นสิ่งแลกเปลี่ยนกับพลังเทพปีศาจ แต่กลับยังไล่ตามฝีเท้าของจ้าวเฟิงไม่ทัน
“พี่เฟิง เจอกับเรื่องยุ่งยากอะไรงั้นรึ?”
จ้าวหยูเฟยเดินขึ้นมา รู้สึกว่าจ้าวเฟิงสังหารราชาเซียนสังสารวัฏจะต้องมีเหตุผลอื่นแน่
จ้าวเฟิงลังเลไปชั่วขณะ
เรื่องของหลิ่วฉินอิน เขาไม่รู้ว่าจะเริ่มบอกจ้าวหยูเฟยจากตรงไหน
ในกลุ่มคนตระกูลเถี่ยที่มาด้วยกัน เถี่ยหงหลิงจ้องมายังจ้าวหยูเฟย จิตใจสั่นสะท้าน
ข้างกายของจ้าวเฟิงมีนางเซียนสูงส่งงามเป็นหนึ่งเช่นนี้ มิน่าเล่าจึงไม่เกิดความรู้สึกใดกับนาง
ในขณะนี้เอง ผู้อาวุโสตระกูลเถี่ยที่อยู่ข้างๆ ก้าวขึ้นมาก้าวหนึ่ง
“ข้าคือเถี่ยคุนจากตระกูลเถี่ยหนึ่งในแปดตระกูลใหญ่ ส่งลูกศิษย์ของตระกูลที่มีพรสวรรค์เป็นเลิศห้าคนตามที่สัญญาเอาไว้ในตอนแรกมา หวังว่าสหายจ้าวจะอบรมบ่มเพาะพวกเขาเเทนตระกูลเถี่ย!”
อัจฉริยะตระกูลเถี่ยทั้งห้าก้าวขึ้นมาคำนับจ้าวเฟิง
ในห้าคนนี้ เถี่ยหลิงอวิ๋นและเถี่ยหงหลิงจ้าวเฟิงล้วนรู้จัก ลูกศิษย์ตระกูลเถี่ยอีกสามคนที่เหลือขอบเขตพลังค่อนข้างต่ำ แต่ศักยภาพสายเลือดไม่ด้อยกว่าทั้งสองเลย
ยามที่เถี่ยหลิงอวิ๋นมองมายังจ้าวเฟิง ในใจสับสน
ตอนนั้นหลังจากที่สู้กับจ้าวเฟิงแล้ว เขาก็ตัดสินใจว่าครั้งหน้าจะต้องตัดสินแพ้ชนะกับอีกฝ่าย
แต่ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ไม่กี่ปี จ้าวเฟิงกลับอยู่ในระดับสูงอย่างที่เขาไม่อาจไล่ตามได้ทัน อีกทั้งยังมีข่าวลือว่า ราชาเซียนสังสารวัฏที่ครอบครองเนตรสังสารวัฏถูกจ้าวเฟิงสังหารอีก
ลูกศิษย์ตระกูลเถี่ยอีกสามคนที่อายุยิ่งน้อยกว่ารู้ถึงจุดประสงค์ที่มาตำหนักราชันในครั้งนี้ เห็นชัดได้ว่าออกจะตื่นเต้นและประหม่า
“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว!”
จ้าวเฟิงพยักหน้า
ในยามนี้ ตำหนักราชันถูกสองราชวงศ์จับตามอง เป็นมิตรกับขั้วอำนาจใหญ่เช่นตระกูลเถี่ยต้องคุ้มค่าอย่างแน่นอนจากนั้นจ้าวเฟิงก็ให้สมาชิกตำหนักราชันจัดเตรียมที่พักให้กับคนตระกูลเถี่ย คุนอวิ๋น หนานกงเซิ่ง และจ้าวหยูเฟย
วิธีที่จะช่วยลูกศิษย์ตระกูลเถี่ยปลุกสายเลือดเพลิงมารโลหิตที่สมบูรณ์แบบให้ตื่นขึ้น จ้าวเฟิงยังต้องจัดระเบียบความคิดให้ละเอียด ดังนั้นจึงไม่ได้รีบร้อนลงมือจริง
วูบ! จ้าวเฟิงเข้าไปในห้วงฝันบรรพกาล
ในป่าลึก เสืออัคคีปีกทอง วัวคลั่งพสุธาทลาย ผึ้งเบญจพิษ และวานรสายฟ้านภาเพลิงรีบมายังข้างกายจ้าวเฟิงทันใดเมื่อถูกเรียกขาน
ในขณะเดียวกับที่จ้าวเฟิงใช้เผ่าพันธุ์บรรพกาลเหล่านี้แย่งชิงทรัพยากร ก็ไม่เคยลืมที่จะพัฒนาพวกมัน
ยามนี้ พลังสัตว์วิเศษพวกนี้ของจ้าวเฟิงพัฒนาไปสูงมาก
“โจมตีเผ่าพันธุ์ผลึกธุลี!”
จ้าวเฟิงบัญชาการ นำกองกำลังขนาดใหญ่บุกออกไปจากขอบเขตป่าอย่างเกรียงไกร