Skip to content

King of Gods 1124

King Of Gods

บทที่ 1124 บุกวังเก้านิรย

“นายท่าน วังเก้านิรยในช่วงนี้ไปมาหาสู่กับขั้วอำนาจแข็งแกร่งทั้งหลายในราชวงศ์อย่างแน่นแฟ้น กระทั่งรวมไปถึงแปดตระกูลใหญ่ นอกจากนั้นตำหนักไท่หวงก็เหมือนจะมีการเคลื่อนไหว…”

ปี้ชิงเยวี่ยเอ่ยอย่างจริงจัง

สำหรับปี้ชิงเยวี่ยแล้ว สถานการณ์ในตอนนี้อันตรายเป็นอย่างมาก หากตำหนักราชันไม่เคลื่อนไหวอะไร คงยากจะต้านทานอันตรายหลังจากนี้ได้

“ข้ารู้แล้ว!” จ้าวเฟิงเอ่ยอย่างนิ่งเฉย จากนั้นก็ปิดด่านต่อ

“ช่วงระยะนี้ความเร็วในการฝึกฝน ‘วายุอัสนีห้าสาย’ พัฒนาขึ้น!”

จ้าวเฟิงเอ่ยอย่างยินดี

ทั้งหมดนี้แน่นอนว่าเป็นเพราะวิชาที่จ้าววั่นฝึกก็คือ ‘วายุอัสนีห้าสาย’ เช่นเดียวกัน ความเข้าใจและประสบการณ์ยามที่จ้าววั่นฝึกฝนก็ไหลเข้ามาในความคิดของจ้าวเฟิงเอง

เพียงแต่ขอบเขตวิชาของจ้าววั่นในตอนนี้ยังต่ำอยู่มาก มีประสิทธิผลต่อจ้าวเฟิงไม่มากนัก แต่ว่าจ้าววั่นก็สามารถได้รับประสบการณ์การฝึกฝน ‘วายุอัสนีห้าสาย’ จากจ้าวเฟิงได้ทันที เมื่อรวมกับทรัพยากรที่มากมายมหาศาล ความเร็วในการฝึกฝนของเขาจึงสูงมาก

รอจนพลังฝึกตนของทั้งสองก้าวไปอยู่ในระดับขั้นเดียวกัน การรับรู้และประสบการณ์ที่ทั้งสองได้รับจากการฝึกฝนจะสามารถกระตุ้นซึ่งกันและกัน หรือก็คือจ้าวเฟิงมีความเร็วในการฝึกฝนประมาณสองเท่า

นอกจากนั้น ถึงแม้ร่างแยกร่างที่หนึ่งจะฝึกศาสตร์แห่งซากศพ ไม่อาจกระตุ้นความเร็วในการฝึกฝนของจ้าวเฟิง แต่ความเข้าใจจากการฝึกฝนศาสตร์แห่งซากศพของจ้าวหวางก็สามารถกลายเป็นประสบการณ์ของจ้าวเฟิง เพิ่มความรู้ให้เขาได้

เวลาเดียวกัน จ้าวเฟิงก็สัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งของ ‘วิชาแยกวิญญาณ’ ในที่สุด

จากนั้นจ้าวเฟิงใช้หนึ่งจิตใจทำหลากหลายอย่าง ฝึกฝนหลายๆ ด้าน

ยามนี้ ‘วายุอัสนีห้าสาย’ ที่เขาฝึกฝนสามารถยกระดับความเร็วในการฝึกฝนของจ้าววั่นได้โดยไร้รูปร่าง

อีกด้านหนึ่ง จ้าวเฟิงก็คิดได้แล้วว่าจะใช้พลังเลือดเทพที่ผนึกอยู่ในนิ้วชี้ขวาของเขาอย่างไร

เลือดเทพหยดนี้แช่แข็งอยู่ในนิ้วชี้มาช่วงระยะหนึ่ง แต่พลังในเลือดเทพถูกใช้ไปหนึ่งส่วนแล้ว อีกส่วนหนึ่งหล่อเลี้ยงแก่นแท้ชีวิตของจ้าวเฟิงโดยไร้รูปร่าง

แต่จ้าวเฟิงก็ค้นพบโดยไม่ได้ตั้งใจ ไม่รู้ว่าพลังส่วนน้อยในเลือดเทพผสานไปกับเนื้อในนิ้วชี้เมื่อใด

“หากข้านำพลังเลือดเทพหยดนี้หลอมเข้าไปในนิ้วชี้อย่างสมบูรณ์ ไม่รู้ว่าจะได้ผลอย่างไร!”

ในใจของจ้าวเฟิงตื่นเต้น

ตอนนี้ทรัพยากรฝึกฝนของจ้าวเฟิงมากมายเหลือเฟือ หากสามารถเปลี่ยนเลือดเทพให้กลายเป็นวิธีโจมตีอันแข็งแกร่งจะดีเพียงใดกัน

เมื่อมีแผนการแล้ว จ้าวเฟิงก็เริ่มลงมือจริง

ก่อนอื่น จ้าวเฟิงปลดผนึกบางส่วนของตราจักรพรรดิเหมันต์ ปลดปล่อยพลังเลือดเทพออกมาส่วนหนึ่ง

ในขณะเดียวกัน จ้าวเฟิงควบคุมเลือดเนื้อในนิ้วให้ดูดซับพลังเลือดเทพอย่างบ้าคลั่ง

ทุกขั้นตอนถึงแม้จะใช้เวลาบ้าง แต่สุดท้ายก็สำเร็จ

ถัดจากนั้น จ้าวเฟิงก็ทำกลับไปมาสองครั้ง

“ถึงขีดจำกัดที่ระดับชีวิตของข้าจะทนได้แล้ว!”

ในที่สุดจ้าวเฟิงก็หยุดลง

หากฝืนใช้นิ้วชี้ดูดซับพลังเลือดเทพอีก เกรงว่าสายเลือดพลังเทพอันแข็งแกร่งจะรั่วไหลออกมา

ในยามนี้ นิ้วชี้และร่างกายส่วนอื่นๆ ของจ้าวเฟิงไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

พรึ่บ! เบื้องหน้าของจ้าวเฟิงปรากฏเกราะป้องกันธรรมดาตัวหนึ่ง

ฟิ้ว! จ้าวเฟิงโคจรพลังที่นิ้วชี้ ก่อนจิ้มลงไปอย่างแรง

ฟู่!

นิ้วของจ้าวเฟิงทะลุการป้องกันของเกราะตัวนี้ทันที ลายแตกใยแมงมุมนับไม่ถ้วนแผ่กระจายไปรอบด้านทันใด

ครืน บึ้ม!

เกราะป้องกันตัวนี้กลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยนับไม่ถ้วน

“มีพลังถึงเพียงนี้เชียวรึ!” จ้าวเฟิงตื่นตะลึง

พลังนิ้วชี้ที่ผสานพลังเลือดเทพแล้วเกินกว่าจินตนาการของจ้าวเฟิงไปมากนัก

ในตอนนี้ นิ้วของจ้าวเฟิงเพิ่งจะผสานพลังหนึ่งในสิบส่วนของเลือดเทพไปเท่านั้น

หลังจากนั้น คล้อยตามการเพิ่มขึ้นของระดับชีวิตจ้าวเฟิง ระดับการผสานของนิ้วและเลือดเทพก็จะยิ่งสูงขึ้น จ้าวเฟิงสามารถผสานเลือดเทพเข้าไปในนิ้วได้มากยิ่งขึ้น

จ้าวเฟิงเฝ้ารอเป็นอย่างมาก ในยามที่เลือดเทพหยดนี้ผสานเข้าไปในนิ้วชี้ทั้งหมด จะมีพลังแบบใดกันแน่

“หากฝึกฝนเคล็ดวิชาดัชนี พลานุภาพน่าจะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น!”

จากนั้นจ้าวเฟิงก็ค้นหาเคล็ดวิชาดัชนีจากในคลังความทรงจำ และเลือกเคล็ดวิชาที่เหมาะกับตัวเองที่สุด

“ดัชนีคลั่งวายุอัสนี”

สุดท้าย จ้าวเฟิงเลือกเคล็ดวิชาดัชนีนี้

‘ดัชนีคลั่งวายุอัสนี’ เป็นทั้งกระบวนท่าดัชนีที่กินบริเวณกว้าง และยังเป็นวิชาดัชนีที่ถึงแก่ชีวิต ตรงกับความต้องการของจ้าวเฟิงอย่างมาก ด้วยความเข้าใจลึกซึ้งในวายุอัสนีของจ้าวเฟิง ใช้เวลากว่าสิบวันก็ชำนาญ ‘ดัชนีคลั่งวายุอัสนี’ โดยสมบูรณ์ อีกทั้งฝึกฝนถึงขั้นที่ห้า

ในมนตราอากาศ จ้าวเฟิงควบคุมพลังที่แท้จริงในนิ้วชี้ ฝึกฝน ‘ดัชนีคลั่งวายุอัสนี’ ไม่หยุดหย่อน

เห็นเพียงเงาดัชนีวายุอัสนีนับไม่ถ้วน มีทั้งเล็กและใหญ่ ตลบอวลไปทั่วฟ้าดินรอบกายของจ้าวเฟิง

เสี้ยวขณะหนึ่ง พลังวายุอัสนีที่ล้นทะลักรอบกายเขาพลันเปล่งแสงสีทองโชติช่วงชั้นหนึ่ง

“ ‘วายุอัสนีห้าสาย’ ขั้นที่เก้าถึงขีดสุดยอดของชั้นสูงแล้ว!”

จ้าวเฟิงดีใจยิ่ง มองจ้าววั่นที่อยู่ไกลออกไป

เวลากระชั้นชิด ขณะที่จ้าวเฟิงฝึกฝนวิชาก็ยากจะฝึกฝนสิ่งอื่น ดังนั้นเขาจึงให้จ้าววั่นฝึกฝน ‘วายุอัสนีห้าสาย’ อย่างตั้งอกตั้งใจ

เวลาเดือนหนึ่ง จ้าวเฟิงเพียงแค่โคจรพลังศักดิ์สิทธิ์วายุอัสนีฝึกฝนวิชาดัชนี ก็ทะลวงอุปสรรคเล็กๆ ได้ ความดีความชอบนี้แน่นอนว่าเป็นของจ้าววั่น

“ถึงเวลาลงมือแล้ว!”

ในวันนี้ จ้าวเฟิงออกจากที่ปิดด่านอย่างเงียบเชียบ

ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว!

ท่ามกลางราตรีอันมืดมิด เงาคนสี่คนรวมตัวอยู่จุดหนึ่งตรงภูเขาด้านหลังตำหนักราชัน

“จ้าวเฟิง รีบไปเถอะ!”

หนานกงเซิ่งทนไม่ไหว ใบหน้าเต็มไปด้วยจิตสังหารกระหายเลือด

“จ้าวเฟิง เจ้ามั่นใจรึ?”

หลังจากรู้ถึงภารกิจครั้งนี้ คุนอวิ๋นยังคงลังเลอยู่เล็กน้อย

“ตอนนี้กลัวแล้วรึ?” จ้าวเฟิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเหน็บแนม

“ข้าคุนอวิ๋นเคยกลัวใครที่ไหนกัน?” คุนอวิ๋นยืดอกทันใด

พรึ่บ! ทุกคนหายวับไปในชั้นเงาสีเงินยวง

……

ที่ลึกในดินแดนทวีป กลางทิวเขาเก้านิรย

ในตำหนักลับแห่งหนึ่ง ผู้แข็งแกร่งทั้งหลายของราชวงศ์ต้าเฉียนรวมตัวกัน

เบื้องหลังผู้แข็งแกร่งเหล่านี้ อย่างน้อยก็ล้วนเป็นขั้วอำนาจสามดาว และยิ่งไม่ขาดขั้วอำนาจหรือสำนักสามดาวสุดยอด

“ระยะนี้ขั้วอำนาจตำหนักราชันพัฒนาไปอย่างรวดเร็วยิ่ง ปรากฏผู้แข็งแกร่งเทวาเร้นลับมากมาย!”

“หากไม่ใช่เพราะผู้อาวุโสสูงสุดจ้าวเฟิงเป็นเพียงแค่เซียนชั้นสูง ด้วยขนาดของตำหนักราชัน เกรงว่าคงเป็นขั้วอำนาจอันดับหนึ่งภายใต้สามดาวขั้นสุดยอดแล้ว”

“แต่ว่าที่สำคัญที่สุดก็คือจ้าวเฟิงอาจมีเคล็ดวิชาที่สามารถรวบรวมพลังทายาทแปดเนตรเทพเจ้าก็เป็นได้!”

ผู้นำระดับสูงจากขั้วอำนาจทั้งหลายแสดงความคิดเห็นของตัวเอง

สำหรับตำหนักราชันเนื้อติดมันชิ้นนี้ พวกเขาล้วนสนใจเป็นอย่างมาก

“ตามการประเมินจากรายงานข่าวของวังเก้านิรย ทรัพยากรที่ตำหนักราชันมีอยู่ อย่างน้อยก็เทียบเท่ากับสำนักสามดาวขนาดใหญ่ที่เก่าแก่เลยทีเดียว!”

ราชาเซียนผู้หนึ่งของวังเก้านิรยพูดขึ้น

ลัทธิมารพิภพเป็นสำนักขนาดใหญ่สามดาวเช่นกัน แต่ยังไม่นับว่าเก่าแก่ นี่แสดงให้เห็นว่าตำหนักราชันมีทรัพยากรมากมายเพียงใด

“คำพูดของราชาเซียนเสียเทียน ข้าเห็นด้วยเป็นอย่างมาก!”

ด้านข้าง ผู้อาวุโสของลัทธิปีศาจทมิฬรีบเอ่ยขึ้น

เบื้องหน้าสุดของตำหนักลับ เงาแสงดำทมิฬสายหนึ่งลอยอยู่

“นี่เป็นโอกาสยิ่งใหญ่ที่พวกเราจะผงาดขึ้น!”

ครึ่งเทพโยวไห่เอ่ยขึ้นอย่างจริงจัง

“ลัทธิปีศาจทมิฬจะช่วยวังเก้านิรยอย่างเต็มที่!”

“ตระกูลเจียงก็จะเข้าร่วมการเคลื่อนไหวครั้งนี้ด้วย”

“ลัทธิมารพิภพและวังเก้านิรยลงเรือลำเดียวกันแล้ว!”

ผู้แข็งแกร่งจากขั้วอำนาจทั้งหลาย ณ ที่นั่นแสดงเจตนารมณ์

มีวังเก้านิรยเป็นผู้นำ รวมกับสำนักสามดาวหลายสิบสำนักในที่นั้น จะจัดการกับตำหนักราชันที่เพิ่งจะเริ่มก่อตั้งขึ้นไม่ได้อย่างนั้นรึ?

“ดี หลังจากที่สำเร็จแล้ว วังเก้านิรยจะไม่ทอดทิ้งพวกเจ้าอย่างแน่นอน!”

ครึ่งเทพโยวไห่หัวเราะลั่น

ความขัดแย้งของวังเก้านิรยและตำหนักราชันไม่อาจคลี่คลายลงได้ อีกทั้งพลังที่จ้าวเฟิงแสดงออกมาในทุกวันนี้ ทำให้ครึ่งเทพโยวไห่ไม่มั่นใจ

ดังนั้นเขาจึงจ่ายค่าตอบแทนก้อนโต ดึงขั้วอำนาจทั้งหลายมาช่วยเหลือ

“ทุกท่านรอสักประเดี๋ยว คนของตำหนักไท่หวงใกล้จะมาถึงแล้ว!”

ครึ่งเทพโยวไห่พูดต่อ

ขั้วอำนาจ ณ ที่นั้นนิ่งเงียบ

การเคลื่อนไหวครั้งนี้ของวังเก้านิรย เป็นการกระตุ้นสงครามระหว่างสองขั้วอำนาจขั้นสุดยอดของราชวงศ์อย่างไม่ต้องสงสัย สำนักน้อยใหญ่ที่เกี่ยวพันอาจจะมีถึงหลายร้อย

ภายใต้สถานการณ์ปกติ ตำหนักไท่หวงน่าจะหยุดยั้งเหตุการณ์เช่นนี้

แต่ตำหนักไท่หวงก็ปรารถนา ‘เคล็ดวิชาลับ’ ในมือของจ้าวเฟิงเป็นอย่างยิ่ง

ตำนักไท่หวงจึงยอมให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น แต่เงื่อนไขคือหลังจากที่วังเก้านิรยทำลายตำหนักราชันแล้ว หากได้รับ ‘เคล็ดวิชาลับ’ ของจ้าวเฟิงมา จะต้องมอบให้กับตำหนักไท่หวง

ยามนี้เอง รอบๆ วังเก้านิรยสั่นสะเทือน อำนาจกดดันจากพลังฟ้าดินที่น่าหวั่นเกรงแผ่กระจายมาทันใด

ในตำหนักลับปิดกั้นทุกสรรพสิ่ง ผู้แข็งแกร่ง ณ ที่นั่นเพียงแค่สัมผัสได้ถึงความปกติเล็กน้อยเท่านั้น

“ตำหนักไท่หวงมาแล้วรึ?”

เซียนผู้หนึ่งเอ่ยอย่างตกใจ

สมาชิกวังเก้านิรยที่อยู่ที่นั่นมีสีหน้าหวาดหวั่น

ฟุ่บ ฟุ่บ! ผู้อาวุโสผู้หนึ่งของวังเก้านิรยปลดเขตแดนพลังของตำหนักลับ

ครืน ตูม บึ้ม!

เสียงทำลายล้างอันน่าหวาดหวั่นและอำนาจกดดันที่น่าสะพรึงกลัวลอยเข้ามาในโถงลับทันใด

“ครึ่งเทพโยวไห่ ออกมารับความตายซะ!”

เสียงตะโกนดังสะเทือนเลื่อนลั่นลอยมาทันที

“นี่เป็นไปได้อย่างไร? คนของตำหนักราชันบุกมาแล้ว?”

ผู้อาวุโสคนหนึ่งของขั้วอำนาจตรงนั้นตกใจเป็นอย่างยิ่ง

“เป็นไปไม่ได้ สายลับของวังเก้านิรยจับตามองตำหนักราชันทุกด้าน ถ้าพวกมันบุกมา เราจะต้องได้รับข้อมูลในทันที!”

เซียนเสียเทียนใบหน้าเคร่งเครียด

วูบ! ครึ่งเทพโยวไห่และสมาชิกวังเก้านิรยทั้งหมดบุกออกไปทันที

ครืน ตูม บึ้ม!

วังเก้านิรยในยามนี้ถูกทำลายไปแล้วกว่าครึ่ง ลูกศิษย์สายมารนับไม่ถ้วนถูกฝังลึกอยู่ในซากปรักพักพัง

“ได้ พวกเจ้าเดินมาหาความตายเอง ข้าจะได้ไม่ต้องออกโรง!”

ครึ่งเทพโยวไห่ดวงตาวาวโรจน์ จ้องเขม็งไปยังคนทั้งสี่ที่อยู่เบื้องหน้า

ครึ่งเทพโยวไห่คิดไม่ถึงว่าตำหนักราชันจะบุกมาก่อน อีกทั้งคนที่มาก็มีเพียงเท่านี้

เวลานี้ ในตำหนักลับ ผู้อาวุโสจากขั้วอำนาจอื่นๆ ต่างทะยานออกมา

“ทุกท่าน วันนี้มาช่วยวังเก้านิรยสังหารเจ้าคนชั่วอวดดีพวกนี้เถอะ!”

เซียนเสียเทียนวังเก้านิรยร้องคำราม

“แค่สี่คนยังกล้าบุกมาถึงที่นี่!”

เซียนของขั้วอำนาจสายมารผู้หนึ่งอดถากถางม่ได้

“ทุกคนบุกขึ้นพร้อมกัน สังหารเจ้าคนทั้งสี่นี่ได้ ตำหนักราชันจบเห่แน่นอน!”

ขั้วอำนาจทั้งหลายที่นั่นทั้งตกใจทั้งดีใจ

สำหรับพวกเขาแล้ว พลังของตำหนักราชันไม่มีทางต้านทานความร่วมมือของขั้วอำนาจทั้งหลายในที่นี่ได้

และในวันนี้ ผู้นำระดับสูงของตำหนักราชันวิ่งมาหาความตายเอง ช่างตรงกับใจของพวกเขาพอดี

“เป็นไปได้อย่างไรกัน? เจ้าจ้าวเฟิงนี่…”

ครึ่งเทพตี้กุ่ยแห่งลัทธิมารพิภพมีใบหน้าเคร่งเครียดเป็นที่สุด

ตามที่เขารู้มา ศรสังหารเทพดอกที่สองของจ้าวเฟิงถูกใช้หมดไปแล้ว

เช่นนั้นจ้าวเฟิงอาศัยอะไรจึงกล้าบุกมาวังเก้านิรยโดยตรง

‘หรือว่ามันจะได้ ‘เคล็ดวิชาลับ’ ของราชาเซียนสังสารวัฏมาแล้วจริงๆ?’

ราชาเซียนตี้กุ่ยพึมพำในใจ จากนั้นก็ปฏิเสธความคิดนี้

หากจ้าวเฟิงมีทายาทเนตรเทพเจ้าสามคนขึ้นไปจริงๆ อีกทั้งชำนาญ ‘เคล็ดวิชาลับ’ นี้ คงสามารถโค่นล้มตำหนักไท่หวง ครอบครองต้าเฉียนได้โดยสมบูรณ์

พรึ่บ พรึ่บ พรึ่บ!

ผู้แข็งแกร่งทั้งหมดในตำหนักลับพุ่งออกมาทั้งหมด

“คิดไม่ถึงเลยว่าที่นี่จะมีขั้วอำนาจที่สบคบคิดกับวังเก้านิรยมากมายเช่นนี้ จะได้จัดการให้ราบคาบทีเดียวเลย!”

จ้าวเฟิงลอยอยู่กลางอากาศ เอ่ยหยอกล้อด้วยท่าทางเหยียดหยามทุกคน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!