Skip to content

King of Gods 1134

King Of Gods

บทที่ 1134 แยกจาก

“ที่นี่คือดินแดนตะวันตกของทวีปบุปผาคราม แต่บ้านเกิดของเจ้าอยู่ที่อาณาจักนภาแห่งดินแดนเหนือ!”

จ้าวเฟิงพูดกับหลิ่วฉินอินที่ค่อนข้างงงงันด้านข้าง

จากนั้น ทั้งสองใช้เวลาหนึ่งชั่วยามก็บินมาถึงดินแดนเหนือ…อาณาจักรนภา

ในยามนี้ดวงตาสุกสกาวของหลิ่วฉินอินไหววูบน้อยๆ เหมือนได้พบกับสถานที่ที่คุ้นเคยมาก่อน

“ข้าใช้พลังศาสตร์ลวงตาเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ของเจ้า เจ้าก็ใช้ฐานะของหลิวฉินซินอาศัยอยู่ในบ้านเกิดในอดีตของนางสักระยะหนึ่งแล้วกัน….”

พูดจบ ในตาซ้ายของจ้าวเฟิงอบอวลไปด้วยหมอกจิตวิญญาณไร้รูปร่าง หุ้มล้อมรอบกายหลิ่วฉินอิน

เช่นนี้แล้วใครก็ตามที่ได้เห็นหลิ่วฉินอิน ก็จะเห็นรูปร่างของหลิวฉินซินในตอนนั้น

ส่วนจ้าวเฟิงก็ทำเช่นนี้ด้วย ใครก็ตามที่เห็นเขา จะเห็นเป็นจ้าวเฟิงที่มีรูปลักษณ์เช่นตอนนั้น

“เฟิง ข้าไปก่อนนะ!”

หลิ่วฉินอินพูดจบก็ลอยจากไป

จ้าวเฟิงยืนตะลึงอยู่กับที่ เมื่อครู่คนที่ยืนอยู่ต่อหน้าเขาเหมือนกับหลิวฉินซินอย่างไรอย่างนั้น

“บางทีนี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่ข้าจะยืนอยู่ในทวีปบุปผาคราม!”

จ้าวเฟิงทอดถอนใจ

หลายปีผ่านไป เขาที่เคยดิ้นรนอยู่บนแผ่นดินแห่งนี้กลายเป็นผู้แข็งแกร่งชั้นสุดยอดของดินแดนทวีป

ครั้งนี้จ้าวเฟิงกลับมายังทวีปบุปผาครามไม่ได้มีจุดประสงค์ใด เพียงแค่มาดูที่ที่ตนเคยอาศัย จุดที่เคยต่อสู้ อยู่กับพ่อแม่ พบหน้าพบตามิตรสหาย ให้ใจเขาที่ดิ้นรนต่อสู้ไม่หยุดหย่อนได้พักผ่อนชั่วครู่

หลังจากที่แยกจากหลิ่วฉินอินแล้ว จ้าวเฟิงมายังลัทธิโลหะเลือดก่อน

“จ้าวเฟิง!”

จ้าวลัทธิหงมองมายังเงาร่างเบื้องหน้าอย่างยินดี

ครั้งที่แล้ว จ้าวเฟิงนำเจ้าหอโครงกระดูกกลับมา เปลี่ยนแปลงชะตาของทั่วทั้งทวีปบุปผาคราม

ส่วนเจ้าหอโครงกระดูกก็รับลัทธิมารจันทราชาดเข้ามา สร้างตำหนักจันทราชาด กลายเป็นขั้วอำนาจปกครองทวีปบุปผาคราม ชื่อเสียงก้องไกลในแผ่นดิน

แต่ไม่มีใครรู้ว่า เจ้าหอโครงกระดูกที่เป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดของทวีปบุปผาครามเป็นเพียงข้ารับใช้ของจ้าวเฟิงเท่านั้น

และครั้งนี้ จ้าวลัทธิหงประเมินจ้าวเฟิง เขาสัมผัสถึงความล้ำลึกของจ้าวเฟิงไม่ได้เลย เหมือนกับนักสู้ทั่วไปก็ไม่ปาน แต่จ้าวลัทธิหงกล้ารับประกันได้ จ้าวเฟิงในยามนี้น่ากลัวว่าจะถึงขอบเขตที่เขาไม่อาจจินตนาการแล้ว

จากนั้นเถี่ยหมัวก็มาถึงที่นี่ ทั้งสามคุยกันอย่างสนิทสนม คุยกันจนหมดเปลือกทั้งวันทั้งคืน

วันที่สอง จ้าวเฟิงก็จากลัทธิโลหะเลือดไป มุ่งหน้าไปยังแคว้นเมฆา

ระหว่างทาง ประสาทสัมผัสวิญญาณของจ้าวเฟิงผสานไปเบื้องล่าง ได้พบกับใบหน้าที่คุ้นตาเป็นระยะๆ

ยามที่ผ่านหงหู จ้าวเฟิงยังได้พบหลิ่วหยวน หลิ่วถิงอวี้ อาจารย์เถี่ยกานและคนอื่นๆ

ขณะนี้ ในเมืองหงหู เจ้าเมืองหลิวจิ่วเทียนใบหน้าแดงก่ำ น้ำตาคลอเบ้า

ผ่านไปหลายสิบปี ในที่สุดเขาก็ได้พบหน้าลูกสาวของตนเอง เขารู้ว่าทั้งหมดนี้น่าจะเป็นความดีความชอบของจ้าวเฟิง

ในทะเลสาบเขียวครามกว้างไกลที่เงียบสงบ สองพ่อลูกนั่งอยู่ในศาลาตรงกลางสระ

ใบหน้าของหลิ่วฉินอินอมยิ้ม อาศัยภาพจำในความฝันคุยกับหลิวจิ่วเทียนถึงเรื่องของหลิวฉินซินหลังจากที่ไปยังมรดกพิณสวรรค์

เสี้ยวขณะหนึ่ง หลิ่วฉินอินเงยหน้ามองไปยังท้องฟ้า

ฟิ้ว! ร่างของจ้าวเฟิงหายไปแล้ว

ไม่นานเท่าใดนัก จ้าวเฟิงก็มาถึงยังแคว้นเมฆาคล้อยในสิบสามแคว้นเมฆา

บนเขานภาจันทร์ จ้าวเฟิงยืนนิ่งกลางอากาศ ประสาทสัมผัสวิญญาณเทพเพียงกวาดมอง ก็เห็นสภาพของสำนักจันทร์สลายทั้งหมดอย่างปรุโปร่ง

ในขณะเดียวกัน ความทรงจำวัยเด็กที่มีฝุ่นเกาะหนาปรากฏขึ้นในหัวของจ้าวเฟิง เหมือนชั่วเวลาก่อนหน้านี้เขายังคงทุ่มเทกายใจอยู่ในสำนักจันทร์สลาย

ฟู่! จ้าวเฟิงลอยต่ำลงมายังสำนักจันทร์สลาย

“ศิษย์น้องจ้าว!”

หลินฝานที่เตรียมไปจัดการธุระเห็นเงาร่างของจ้าวเฟิง

“ศิษย์พี่หลิน!”

จ้าวเฟิงยิ้มบางๆ

หลินฝาน อดีตศิษย์นอกอันดับหนึ่งของสำนักจันทร์สลาย หลังจากเข้ามาในสำนักแล้วทั้งสองก็ดูแลซึ่งกันและกัน ใช้ชีวิตเติบโตมาด้วยกัน

“ผ่านไปหลายปี เจ้ากลับมาแล้ว!”

หลินฝานเผยสีหน้ารําลึกความหลัง

“พวกเจ้าไปกันก่อน…”

หลินฝานให้ลูกศิษย์สองสามคนและผู้อาวุโสทั้งหลายล่วงหน้าไปก่อน

ต่อมา หลินฝานและจ้าวเฟิงเดินเล่นอยู่ในสำนักจันทร์สลาย แค่เพียงพบสหายในอดีต จ้าวเฟิงก็ล้วนเข้าไปพูดคุยด้วยตัวเอง

จากนั้นจ้าวเฟิงก็มาถึงยังเรือนพักของยอดผู้อาวุโส

แต่เดิมจ้าวเฟิงคิดไว้ว่าจะช่วยอาจารย์หลอมแขนที่ขาดไปขึ้นมาใหม่อีกครั้ง

แต่ยอดผู้อาวุโสปฏิเสธ

“ ‘วงแหวนทมิฬ’ นี่ข้าใช้จนชินแล้ว ทั้งยังคล่องมือมากอีกด้วย!”

ยอดผู้อาวุโสยิ้มอย่างสบายใจ

หลังจากที่ลายอดผู้อาวุโสแล้ว จ้าวเฟิงก็กลับมาอยู่ข้างกายพ่อแม่ของตน

ครั้งนี้จ้าวเฟิงอยู่ข้างกายพ่อแม่ ใช้ชีวิตอยู่กับพวกเขา ทุกวันทำอาหารง่ายๆ มีความสุขไปกับครอบครัวที่อบอุ่น

หลังจากนั้นหนึ่งเดือน จ้าวเฟิงก็จากที่นี่ไป

พรึ่บ! ร่างของจ้าวเฟิงกะพริบหายไปในท้องฟ้ามุมหนึ่งทันใด

เบื้องหน้าของเขามีมนุษย์โครงกระดูกลวดลายสีเงินทองสอดประสานลอยอยู่

เจ้าหอโครงกระดูกในวันนี้คือเจ้าตำหนักจันทราชาด ขั้วอำนาจอันดับหนึ่งในแผ่นดิน วีรบุรุษแผ่นดินใหญ่ที่กวาดล้างลัทธิมารจันทราชาด บุคคลในตำนานที่ชื่อเสียงขจรขจายไปทั่วทวีปบุปผาคราม

“จ้าว…นายท่าน!”

เจ้าหอโครงกระดูกค่อนข้างระมัดระวัง ใบหน้าเคารพนบนอบ

ในยามนี้จ้าวเฟิงให้ความรู้สึกเหมือนคนธรรมดาทั่วไป

แต่ยิ่งจ้าวเฟิงเป็นแบบนี้ เจ้าหอโครงกระดูกก็ยิ่งหวาดหวั่น

ด้วยความเข้าใจที่เขามีต่อจ้าวเฟิง จ้าวเฟิงตอนนี้เกรงว่าคงทะลวงขอบเขตเทวาเร้นลับ ไปถึงขั้นเซียนแล้ว

เซียนเทวาเร้นลับ หากอยู่ที่ชางไห่ล้วนเป็นบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ไร้เทียมทาน เป็นคนในตำนานและผู้กุมอิทธิพลขั้วอำนาจสามดาว

“เจ้าได้รับอิสระแล้ว ไม่ต้องเรียกข้าว่านายท่านอีกต่อไป!”

จ้าวเฟิงเอ่ยเรียบนิ่ง

ในยามที่ให้เจ้าหอโครงกระดูกรั้งอยู่ที่นี่ จ้าวเฟิงก็เคยพูดไว้ว่าให้เขาปกปักรักษาทวีปบุปผาคราม อีกทั้งมอบอิสระให้กับเขา

“ขอรับ!” ใบหน้าเจ้าหอโครงกระดูกแฝงด้วยความยินดี

ประโยคนี้ของจ้าวเฟิงเท่ากับเป็นการยอมรับผลงานของเขาในทวีปบุปผาคราม

“ทวีปบุปผาคราม ขอฝากไว้กับเจ้าแล้ว!”

จ้าวเฟิงเดินมายังข้างกายเจ้าหอโครงกระดูก ตบลงบนบ่าของเขาเบาๆ

วูบ!

ร่างของจ้าวเฟิงหายวับไปในท้องฟ้าทันที ประสาทสัมผัสของเจ้าหอโครงกระดูกก็ยังไม่อาจจับได้ถึงร่องรอยใดๆ ได้

“จริงๆ ด้วย เขาแข็งแกร่งจนถึงขั้นที่ข้าไม่อาจจะจินตนาการถึงได้…”

เจ้าหอโครงกระดูกตื่นตระหนกเป็นอย่างยิ่ง ตอนนี้เขารู้สึกโชคดีเหลือเกินที่ยามนั้นตนติดตามจ้าวเฟิง

“เอ๋? อุปสรรคหลายปีของข้า!”

เจ้าหอโครงกระดูกมีสีหน้าตื่นตะลึง

แต่เดิมเขาติดอยู่ที่ขอบเขตปราณเทวะนานหลายปี จนแล้วจนรอดก็ไม่อาจทะลวงขั้นได้

เหตุผลใหญ่ๆ ส่วนหนึ่งก็เพราะไอสวรรค์ฟ้าดินที่ทวีปบุปผาครามเบาบางเกินไป อีกส่วนหนึ่งก็เพราะปัญหาด้านพื้นฐานของตน

แต่ในยามนี้ เจ้าหอโครงกระดูกพบว่าแก่นผลึกในกายของเขากำลังเปลี่ยนสภาพอย่างเงียบๆ ราวกับว่าแค่เขายินยอมก็สามารถทะลวงขอบเขตปราณเทวะได้

วันหนึ่ง ในตำหนักจันทราชาดบนแผ่นดินทวีปบุปผาคราม พลังปราณเทวะแผ่ระลอกออกไปทุกที่ รัศมีอำนาจยิ่งใหญ่เกรียงไกร แผ่กระเพื่อมไปทั่วทุกทิศ

ทั้งทวีปบุปผาครามพากันเฉลิมฉลองจากนี้ไป ตำหนักจันทราชาดก้าวเข้าสู่ประตูของขั้วอำนาจสองดาว

แต่มีเพียงแค่เจ้าหอโครงกระดูกผู้เป็นราชันปราณเทวะเท่านั้นที่รู้ว่าทั้งหมดเป็นเพราะการตบไหล่เบาๆ ครั้งนั้นของจ้าวเฟิง

ในเมืองหงหู

หลิ่วฉินอินร่ำลาเจ้าเมืองหลิวจิ่วเทียนอย่างอาลัยอาวรณ์

มองเงาด้านหลังของจ้าวเฟิงและบุตรสาวจากไปไกล หลิวจิ่วเทียนยินดีในใจ“ท่าทางบุตรสาวของข้าจะพบกับชายในฝันของนางแล้ว…”

……

หนทางกลับมายังดินแดนทวีปสบายกว่าเดิมมาก

จ้าวเฟิงใช้สัญลักษณ์มิติที่ทิ้งไว้ด้วยมนตราอากาศส่งข้ามตลอดทาง

วันนี้ จ้าวเฟิงและหลิวฉินอินมาถึงยังดินแดนพิณสวรรค์แล้ว

“เฟิง หากมีวาสนาคงได้พบกัน!”

หลิ่วฉินอินเผยรอยยิ้มที่จ้าวเฟิงไม่ได้เห็นมานาน

“อาจจะกระมัง!”

สีหน้าของจ้าวเฟิงหมองหม่นไปเล็กน้อย

ระหว่างทางหลิ่วฉินอินพูดถึงแผนของนาง นางจะรั้งอยู่ในตำหนักฟั่นหลุนกู่อิน

จ้าวเฟิงรู้ถึงความลี้ลับมหัศจรรย์ของตำหนักฟั่นหลุนกู่อิน อีกทั้งระหว่างหลิ่วฉินอินและตำหนักฟั่นหลุนกู่อินเหมือนจะมีความเกี่ยวพันบางอย่าง สำหรับหลิ่วฉินอิน ที่นี่เป็นสถานที่ฝึกฝนที่ยอดเยี่ยมครบครันแห่งหนึ่ง

แต่สำหรับจ้าวเฟิง การจากกันในครั้งนี้ บางทีชีวิตนี้คงยากที่จะได้เจอกันอีก

ในเมื่อเป้าหมายของจ้าวเฟิงในวันนี้คือขอบเขตเซียนสวรรค์ เข้าไปในดินแดนเทพรกร้าง ไปเรียนรู้ทุกอย่างในตำนานเทพบรรพกาล

นอกจากนั้น จ้าวเฟิงก็ไม่ได้ถามไถ่เรื่องของป๋ายหลิน

ขอบเขตพลังที่จ้าวเฟิงอยู่ในตอนนี้ ทำให้ผลกระทบที่ป๋ายหลินสร้างให้เขาน้อยลงเรื่อยๆ

อีกด้านหนึ่ง จ้าวเฟิงก็เดาว่าตำหนักฟั่นหลุนกู่อินหรือหลิ่วฉินอินมีเรื่องที่จะต้องใช้ป๋ายหลิน

วูบ! ร่างของจ้าวเฟิงค่อยๆ จางลงในเงาสีเงิน สุดท้ายก็หายวับไป

“เฟิง ขอโทษด้วย ข้าไม่อาจอยู่เป็นเพื่อนเจ้าได้!”

สีหน้าของหลิ่วฉินอินเศร้าสร้อยเล็กน้อย ทอดถอนใจ

“แต่ว่าพวกเรายังพบกันอีกได้….”

ฟู่! หลิ่วฉินอินลอยมายังพื้นที่ต้องห้ามของตำหนักเซียนพิณสวรรค์ ทั้งตำหนักไม่มีใครขัดขวาง

เสี้ยวพริบตาที่เข้าไปในตำหนักฟั่นหลุนกู่อิน หลิ่วฉินอินก็มาปรากฏที่ชั้นสี่สิบเก้า

ที่ใจกลาง ป๋ายหลินถูกพลังที่ไม่อาจขัดขืนพันธนการไว้ ขยับไม่ได้

“เจ้าจะทำอะไร?”

เนตรทำนายของป๋ายหลินไม่มีผลโดยสมบูรณ์แล้ว ทำให้นางตกอยู่ในความหวาดกลัวอยู่ทุกขณะ

วู้ม วู้ม!

ทั่วทั้งตำหนักทรงวงแหวนในสภาพวงล้อใหญ่พลันโคจรขึ้น

ท้องฟ้ากระจ่างดาวกว้างใหญ่เหนือตำหนักก็เหมือนมีชีวิต ดวงดาวเล็กใหญ่นับไม่ถ้วนคล้ายมีความลี้ลับและชะตาบางอย่าง กำลังโคจรขับเคลื่อน

เสี้ยวขณะหนึ่ง บนท้องฟ้ากว้างใหญ่มีพลังสูงสุดที่ไร้เทียมทานทะลักล้น

“กลิ่นอายนี้….”

ป๋ายหลินที่อยู่ใต้ฟ้ากระจ่างดาวตัวสั่นเทิ้ม ใบหน้าไม่อยากจะเชื่อ

ดาวบนท้องฟ้าค่อยๆ รวมตัวกัน ก่อเป็นภาพดวงดาวที่ราวกับดวงตาข้างหนึ่ง

……

วันหนึ่ง จ้าวเฟิงก็กลับมายังตำหนักราชัน

ที่นี่เหมือนเดิมอย่างตอนที่เขาจากมา อย่างไรเรื่องที่จ้าวเฟิงไปจากตำหนักราชันก็มีเพียงปี้ชิงเยวี่ยเท่านั้นที่รู้

จ้าวหยูเฟย หนานกงเซิ่ง และคุนอวิ๋นยังคงปิดด่านฝึกตน

“ดูท่าโอกาสที่หยูเฟยได้มาจากร่างเทพจะไม่ธรรมดาเลย!”

จ้าวเฟิงพึมพำ มองไปยังจุดที่จ้าวหยูเฟยปิดด่าน

เห็นเพียงตำหนักใหญ่หลังหนึ่งล้อมรอบด้วยแสงสีม่วงแวววาวเป็นชั้นๆ แผ่กระจายกลิ่นอายน่าหวาดหวั่น

“นายท่าน ยาปรุงเสร็จแล้ว อีกทั้งลูกศิษย์ตระกูลเถี่ยทั้งห้า สายเลือดเพลิงมารโลหิตที่สมบูรณ์ก็ตื่นขึ้นแล้ว!”

ตอนจ้าวเฟิงกลับมา ปี้ชิงเยวี่ยก็สัมผัสได้ จึงรีบส่งกระแสจิตให้เขาทันที

“ดี ส่งพวกเขากลับตระกูลเถี่ย!”

จ้าวเฟิงกำชับทันที

ศิษย์ทั้งห้าของตระกูลเถี่ยล้วนเป็นศิษย์ที่ฝ่ายนั้นเลือกเฟ้นมาอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นพลัง พรสวรรค์ สายเลือด หรือศักยภาพ ก็เป็นผู้โดดเด่นในหมู่ลูกศิษย์ตระกูลเถี่ย

เมื่อไม่มีเรื่องอะไรแล้ว จ้าวเฟิงก็เข้าไปในพื้นที่ต้องห้าม

พรึ่บ! ความคิดของจ้าวเฟิงเข้าไปในมิติตาซ้าย

“จ้าวเฟิง!”

มังกรวารีล้างโลกาในมิติดวงตาซ้ายถูกควบคมทุกด้าน ทำอะไรไม่ได้ แม้กระทั่งพลังฟื้นฟูตัวเองของกายมังกรล้างโลกาก็ถูกจำกัด

จ้าวเฟิงไม่พูดพร่ำทำเพลง โจมตีวิญญาณไปก่อน เพื่อลดทอนสติและวิญญาณของมังกรวารีล้างโลกา

“เป็นข้ารับใช้ให้ข้า เจ้าจึงจะมีชีวิตต่อไปได้ กระทั่งสามารถฟื้นฟูพลังถึงขั้นสุดยอดได้อีกด้วย!”

จ้าวเฟิงเอ่ยโน้มน้าวมังกรวารีล้างโลกา

วู้ม วู้ม วู้ม!

จ้าวเฟิงหลอมตราผนึกดวงใจทมิฬที่มีอัสนีสอดประสานออกมา ก่อนประทับไปยังส่วนลึกของวิญญาณมังกรวารีล้างโลกา

แต่ว่ามังกรวารีล้างโลกากลับไม่ยอมร่วมมือ พลังวิญญาณของเขาแข็งแกร่งทรงพลัง รักษาวิญญาณไว้ได้ จึงต้านทานเต็มที่

“อยากให้ข้าศิโรราบต่อเจ้า ฝันไปเถอะ!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!