บทที่ 1135 ขอบเขตเซียนสวรรค์
“อยากให้ข้าศิโรราบต่อเจ้า ฝันไปเถอะ!”
มังกรวารีล้างโลกาเอ่ยเย้ยหยันเสียงเย็น
พลังวิญญาณของมังกรวารีล้างโลกาแข็งแรงทรงพลัง ปกปักรักษาวิญญาณเอาไว้ ต้านทานเต็มที่
หลังจากที่ลองหลายครั้ง ตราผนึกดวงใจทมิฬของจ้าวเฟิงก็ไม่อาจผนึกลงไปในส่วนลึกของวิญญาณมังกรวารีล้างโลกาได้
สุดท้าย จ้าวเฟิงทำได้เพียงยอมแพ้ชั่วคราว ก่อนจากไปเขาสำแดงการโจมตีวิญญาณกับมังกรวารีล้างโลกา
หลังจากที่ความคิดของจ้าวเฟิงจากไป มังกรวารีล้างโลกาประเมินมิติแห่งนี้อย่างตกตะลึงอีกครั้ง
ตัวอยู่ในมิติประหลาดแห่งนี้ เขาทำอะไรไม่ได้ทั้งนั้น แต่ใช้ดวงตาสังเกตรอบด้านยังพอทำได้อยู่
ยามนี้ ใจกลางของมิติมีลูกทรงกลมสีทองลูกหนึ่งลอยอยู่ ลูกทรงกลมสีทองหมุนวนเงียบๆ บนนั้นมีคลื่นสีทองอ่อนลอยเอ่อ
มังกรวารีล้างโลกาสามารถสัมผัสได้ว่า ลูกทรงกลมสีทองลึกลับคือผู้ยิ่งใหญ่ของมิติแห่งนี้ หรือก็คือสิ่งที่ควบคุมทั้งร่างของเขา
ทว่าด้วยขอบเขตพลังของมังกรวารีล้างโลกาก็ไม่อาจมองความลับใดๆ ของลูกลึกลับนี้ออก จากนั้น ดวงตาของเขามองไปยังวัตถุอื่นในมิติแห่งนี้ ที่นี่มีสมบัติและวัตถุดิบล้ำค่าที่สุดยอดยิ่งในโลกลอยอยู่มากมาย อีกทั้งวัตถุดิบบรรพกาลมีเยอะที่สุด ทำให้มังกรวารีล้างโลกาหวั่นไหวเป็นที่สุด
“หากข้าเคลื่อนไหวในมิติแห่งนี้ได้ และได้รับทรัพยากรล้ำค่าของที่นี่มา จะสามารถฟื้นฟูพื้นฐานที่เสียหายไปได้ทั้งหมด ทำให้พลังก้าวไปอีกขั้น!”
ในการต่อสู้กับจ้าวเฟิง มังกรวารีล้างโลกาใช้พลังทำลายล้างดั้งเดิมไปมาก วันนี้พลังลดลงอย่างบ้าคลั่ง เป็นเพียงแค่เซียนชั้นต้นเท่านั้น
อีกทั้งในยามนี้เขาถูกขังอยู่ในมิติแห่งนี้ ขยับเขยื้อนไม่ได้ ทำได้เพียงแค่อาศัยพลังฟื้นฟูตัวเองของกายมังกรล้างโลกาเท่านั้น
แต่ว่าความคิดของมังกรวารีล้างโลกาไม่มีทางเป็นจริงได้ ทำได้เพียงแค่จ้องมิติแห่งนี้ตาเป็นมันเท่านั้น
……
ในพื้นที่ต้องห้ามตำหนักราชัน จ้าวเฟิงก็เริ่มปิดด่านเช่นกัน
จ้าวเฟิงโคจร ‘หมื่นห้วงคิดเซียน’ แบ่งความคิดออกเป็นหลายสาย ฝึกฝนหลากหลายในเวลาเดียวกัน
ความคิดสายที่หนึ่งและสองยังคงฝึกฝนเคล็ดวิชาทั้งสอง
จ้าวเฟิงเพิ่งจะทะลวงขั้น ‘วิชาวายุอัสนีห้าสาย’ และ ‘กายสายฟ้าปฐพีทอง’ ภายในระยะเวลาอันสั้นจึงไม่อาจยกระดับได้มาก แต่จ้าวเฟิงยังคงใช้ทรัพยากรล้ำค่าทำให้มันมั่นคง
ความคิดสายที่สามและสี่ จ้าวเฟิงใช้ฝึกฝน ‘วิชาแปลงเทพ’ ศึกษาทำความเข้าใจ ‘ดัชนีคลั่งวายุอัสนี’
พลังเทพทั้งหมดที่จ้าวเฟิงมีล้วนใช้ ‘วิชาแปลงเทพ’ ดึงเอาพลังในผลึกเทพและหลอมออกมา อีกทั้งหากใช้พลังเทพหมดสิ้น จ้าวเฟิงไม่อาจฟื้นฟูด้วยตนเอง จำต้องโคจร ‘วิชาแปลงเทพ’ หลอมพลังเทพออกมา แต่ว่าในการต่อสู้ จ้าวเฟิงมีเวลาว่างมาหลอมพลังเทพที่ไหนกัน
ถึงกระนั้น ขอบเขต ‘วิชาแปลงเทพ’ ยิ่งสูง พลังเทพที่เก็บในกายของจ้าวเฟิงก็ยิ่งมาก
ดังนั้น จ้าวเฟิงจึงใช้พลังกายใจค่อนข้างมากเพื่อศึกษาทำความเข้าใจเคล็ดวิชานี้
นอกจากนั้น หลังผ่านการต่อสู้กับครึ่งเทพโยวไห่และมังกรวารีล้างโลกา จ้าวเฟิงสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งทรงพลังของ ‘ดัชนีคลั่งวายุอัสนี’ ที่ใช้คู่กับนิ้วชี้อย่างล้ำลึก เขาถึงศึกษาทำความเข้าใจเคล็ดวิชานี้ตลอดเวลา
อีกทั้งในยามนี้ นิ้วชี้ของจ้าวเฟิงก็เพิ่งจะผสานพลังเลือดเทพหนึ่งในสิบส่วนเท่านั้น
ความคิดสายที่ห้าจึงนำมาใช้ผสานพลังเลือดเทพ
ส่วนความคิดส่วนที่หก จ้าวเฟิงใช้ยกระดับขอบเขตสำนึกรู้และบรรลุเสวียนอ้าวฟ้าดิน
ความคิดส่วนสุดท้ายที่เหลือ จ้าวเฟิงนำมาอนุมาน ‘วิชาแยกวิญญาณ’ ขั้นที่สาม ศึกษาทำความเข้าใจกลยุทธ์การต่อสู้และวิชาดวงตาอื่นๆ รวมทั้งลอกเลียนแบบทรัพยากรที่ตนต้องการ
วูบ!
ความคิดส่วนเล็กๆ ของจ้าวเฟิงเข้าไปในมิติตาซ้าย เลือกทรัพยากรมาสองชนิด กระตุ้นลูกทรงกลมตรงใจกลางมิติลึกลับแล้วเริ่มลอกเลียนแบบ
ส่วนมังกรวารีล้างโลกาในมิติตาซ้ายพลันสั่นสะท้าน ไม่รู้ว่าจ้าวเฟิงกำลังทำอะไร จ้องไปยังลูกทรงกลมสีทองลึกลับที่ใจกลางมิติด้วยใบหน้าตื่นตะลึง
ฟิ้ว วู้ม!
ลูกทรงกลมลึกลับยิ่งหมุนวนเร็วขึ้น ลายคลื่นสีทองนับไม่ถ้วนแผ่กระจายออกมาจากในนั้น ทะลุผ่านทรัพยากรทั้งสองอย่างข้างบนไม่หยุด
ไม่นานเท่าใดนัก ลูกทรงกลมทองก็ค่อยๆ ทะลักกลิ่นอายบรรพกาลออกมาเกาะกลุ่มบนท้องฟ้า
เสี้ยวขณะนี้ แรงกดดันที่มังกรวารีล้างโลกาได้รับยิ่งมหาศาล เหมือนว่าต่อหน้ากลิ่นอายน่าหวาดหวั่นนี้ ตนเองเล็กจ้อยดุจมดปลวก ยอมศิโรราบไปตามสัญชาตญาณ
วู้ม ฟู่!
สองวันหลังจากนั้น ทรัพยากรสองชนิดลอยอยู่บนลูกทรงกลมสีทองลึกลับ!
“นี่มันเป็นไปได้อย่างไรกัน?”
มังกรวารีล้างโลการ้องอย่างตื่นตกใจ
ต่อให้เห็นภาพนี้กับตา มังกรวารีล้างโลกายังคงไม่กล้าเชื่อทั้งหมด
“ ‘ลอกเลียนแบบ’ ทรัพยากรสองอย่างได้เหมือนกันเป๊ะเลยงั้นรึ!”
……
ในมนตราอากาศ
ผนึกจักรพรรดิเหมันต์บนนิ้วของจ้าวเฟิงคลายออกเล็กน้อยอีกครั้ง ปลดปล่อยพลังเลือดเทพออกมาเสี้ยวหนึ่ง
ทันใดนั้น อำนาจเทพจากสายเลือดน่าหวาดหวั่นที่เก่าแก่โบราณแผ่กระจายออกมา
ฟู่!
จ้าวเฟิงควบคุมเลือดเนื้อบริเวณนิ้วของตน ดูดซับพลังเทพแข็งแกร่งไร้เทียมทานทันที
เพราะว่าในนิ้วชี้ของจ้าวเฟิง แต่เดิมก็ผสานพลังเลือดเทพมหาศาลไว้อยู่แล้ว ดังนั้นหากคิดผสานพลังเลือดเทพต่อก็ค่อนข้างจะลำบาก เวลาที่ใช้ก็จะยิ่งนาน
แต่ว่าในทางตรงข้าม ทุกครั้งที่ดูดซับพลังเลือดเทพหนึ่งส่วน เคล็ดวิชาดัชนีที่จ้าวเฟิงสำแดงจะยิ่งเพิ่มความแข็งแกร่ง
อีกด้านหนึ่ง เบื้องหน้าของจ้าวเฟิงมีผลไม้สามลูกลอยอยู่ ผลึกบนผลถูกแมวขโมยน้อยขุดออกเป็นรู
พลังสำนึกรู้บรรพกาลที่เข้มข้นแผ่กระจายออกมาจากรูเล็ก ตลบอบอวลรอบกายจ้าวเฟิง
“ผลสีฟ้า เหลือง ทองทั้งสามสี ตรงกับพลังสำนึกรู้และเสวียนอ้าวสายฟ้า ดิน กับทองทั้งสามธาตุ!”
พลังสำนึกรู้ที่ไร้รูปร่างทั้งสามเหมือนจะสกัดกั้นจ้าวเฟิงออกจากทุกสรรพสิ่งภายนอก พลังสำนึกรู้อันแข็งแกร่งกดอัดไปยังวิญญาณ
ส่วนความคิดของจ้าวเฟิงเหมือนมาถึงยังโลกรกร้างที่ประกอบขึ้นด้วยพลังสำนึกรู้ของดิน สายฟ้า และทอง ดำดิ่งอยู่ในโลกของพลังสำนึกรู้
ในสมองของจ้าวเฟิง ความเข้าใจต่อพลังสำนึกรู้ทั้งสามนี้ลอยขึ้นมาไม่หยุด
จ้าวเฟิงกระทั่งกระตุ้นดวงตาเทพเจ้าเพื่อเพิ่มระดับความเข้าใจในสำนึกรู้ ทำให้ตนเองตื่นตัวในระดับหนึ่ง และดูดซับพลังสำนึกรู้ได้มากยิ่งขึ้น
แน่นอนว่าการรับรู้ที่สำคัญในตอนนี้คือพลังสำนึกรู้ของธาตุดินและสายฟ้า
หลังจากนั้นสามเดือน
ผลไม้สามลูกเบื้องหน้าจ้าวเฟิงค่อยๆ ร่วงหล่นลงมา
“พลังสำนึกรู้พัฒนาไปไม่น้อยเลย การบรรลุเสวียนอ้าวดิน สายฟ้า และทองสามอย่างก็ยิ่งลึกซึ้งขึ้น!”
จ้าวเฟิงมีสีหน้ายินดี
จากนั้น จ้าวเฟิงก็เริ่มนำเสวียนอ้าวฟ้าดินที่ตนบรรลุผสานเข้าไปในแสงวนพลังศักดิ์สิทธิ์
ตามการพัฒนาของพลังสำนึกรู้และการผลักดันจากทรัพยากรฝึกฝนทั้งหลาย ขอบเขตพลังของจ้าวเฟิงมั่นคงอยู่ที่เทวาเร้นลับชั้นสูงได้อย่างสมบูรณ์ อีกทั้งยังพัฒนาไปอย่างมาก
บางทีอาจใช้เวลาไม่ถึงสิบปี จ้าวเฟิงก็จะสามารถทะลวงขอบเขตพลังขั้นราชาเซียนได้
“ขอบเขตราชาเซียน!”
ในใจของจ้าวเฟิงมีระลอกคลื่นเลือดร้อนฮึกเหิม
ราชาเซียนเทวาเร้นลับ ขอบเขตพลังสุดยอดของดินแดนทวีป แม้กระทั่งครึ่งเทพก็นับว่าอยู่ในขอบเขตราชาเซียน
และในวันนี้ จ้าวเฟิงอยู่ใกล้กับขอบเขตพลังนี้เป็นอย่างมาก
ช่วงระยะนี้ความเร็วในการฝึกฝนของจ้าวเฟิงสูงเช่นนี้ เหตุผลหลักๆ มีอยู่สองข้อ
หนึ่งคือ ทรัพยากรจากห้วงฝันบรรพกาล
สองคือ พลังลอกเลียนแบบของดวงตาเทพเจ้า
ทั้งสองข้อนี้รวมกัน แทบจะทำให้จ้าวเฟิงไม่ต้องกังวลปัญหาทรัพยากร อีกทั้งใช้ทรัพยากรทุกชนิดอย่างมีประโยชน์สูงสุด
ดังนั้น สุดท้ายแล้วทั้งหมดนี้ก็กลับคืนสู่ดวงตาเทพเจ้า
ดวงตาเทพเจ้าเปลี่ยนชะตาชีวิตของจ้าวเฟิง อีกทั้งการเปลี่ยนสภาพทุกครั้งของดวงตาเทพเจ้าล้วนนำประโยชน์มหาศาลมาให้เขา
“ข้าจะต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องของขอบเขตเซียนสวรรค์บ้างแล้ว!”
ตามการพัฒนาขึ้นของพลังสำนึกรู้ จ้าวเฟิงก็อยากจะสัมผัสกับสิ่งที่ตนเคยไม่กล้าฝันถึงมาก่อน
วันนี้จ้าวเฟิงมายังที่อยู่ของคุนอวิ๋น
คุนอวิ๋นเคยเป็นครึ่งเทพ มีประสบการณ์อันล้ำค่าในการทะลวงตำแหน่งเทพ ต้านทานด่านเคราะห์อัสนีเทวะ หากจ้าวเฟิงขุดทั้งหมดนี้ออกมาได้ ยามที่ทะลวงตำแหน่งเทพในวันข้างหน้า อย่างน้อยก็สามารถเพิ่มอัตราความสำเร็จได้หนึ่งถึงสองส่วน
“ขอบเขตเซียนสวรรค์!”
เมื่อเอ่ยถึงสี่คำนี้ สีหน้าท่าทางของคุนอวิ๋นก็อดขึงขังและเคร่งเครียดขึ้นไม่ได้
จากนั้น ภายใต้การซักถามและการล่อลวงด้วยผลประโยชน์จากจ้าวเฟิง คุนอวิ๋นก็เล่าถึงประสบการณ์ที่พบมากับตัวให้เขาฟัง
“ตามหลักแล้ว เซียนเทวาเร้นลับก็ทะลวงขอบเขตเซียนสวรรค์ได้ แต่ว่าครึ่งเทพในดินแดนทวีปทะลวงขอบเขตเซียนสวรรค์จะมีอัตราสำเร็จต่ำมาก ผู้แข็งแกร่งขั้นราชาเซียนจึงไม่มีทางทดลองทะลวงตำแหน่งเทพ!”
คุนอวิ๋นทอดถอนใจอย่างเศร้าสร้อย
มิติที่ดินแดนทวีปตั้งอยู่ห่างไกลจากดินแดนเทพรกร้างมากนัก ระดับโครงสร้างมิติค่อนข้างต่ำ ผู้แข็งแกร่งที่ถือกำเนิดขึ้นย่อมสู้มิติอื่นไม่ได้
ยกตัวอย่างเช่น ผู้แข็งแกร่งขั้นครึ่งเทพในดินแดนทวีป บางทีอาจจะไม่ใช่คู่มือของผู้แข็งแกร่งขั้นราชาเซียนในดินแดนเทพรกร้าง
“นี่ก็เป็นสาเหตุที่อัตราความสำเร็จในการทะลวงตำแหน่งเทพที่นี่ต่ำเช่นนี้!”
อัตราความสำเร็จในการทะลวงขอบเขตเซียนสวรรค์ต่ำเช่นนี้ หลักๆ มีอยู่สองข้อ
หนึ่ง ระดับของมิติต่ำเกินไป พื้นฐานของผู้แข็งแกร่งขอบเขตเทวาเร้นลับอ่อนด้อย ระดับสำนึกรู้มีจำกัด ไม่อาจสร้างรากฐานเทพที่แข็งแกร่งมั่นคงได้
สอง พลังหรือการเตรียมตัวไม่เพียงพอ ไม่อาจต้านทานทัณฑ์อัสนีแห่งเทพแท้จริงได้
ถ้าไม่อาจสร้างรากฐานเทพได้นั้นยังสามารถเริ่มใหม่ แต่หากไม่อาจต้านทานด่านเคราะห์ได้ เช่นนั้นก็มีเพียงวิญญาณแตกดับเท่านั้น
“ข้ายังเคยได้ยินมาอีกว่า อัจฉริยะชั้นยอดบางคนของมิติระดับสูงอื่นๆ ในยามที่ทะลวงตำแหน่งเทพก็สามารถพิสูจน์ตำแหน่งเทพขั้นสองหรือสามได้ แต่ในประวัติศาสตร์ของดินแดนทวีปกลับไม่เคยมีเรื่องมหัศจรรย์เช่นนี้เกิดขึ้นมาก่อน โดยพื้นฐานกลายเป็นเทพแท้จริงขั้นหนึ่งได้ก็นับว่าโชคดีแล้ว!”
คุนอวิ๋นทอดถอนใจอีกครั้ง
สีหน้าของจ้าวเฟิงตื่นตะลึง ในยามนี้เขาเพิ่งจะเข้าใจ ทั่วทั้งมิติที่ดินแดนทวีปตั้งอยู่ช่างต่ำต้อยยิ่งนักในพื้นพสุธาอันไพศาล
‘หากข้าไม่ได้มายังดินแดนทวีป ต่อให้ฝึกฝนอีกกี่พันกี่หมื่นปี ก็คงไม่อาจสัมผัสกับขอบเขตเซียนสวรรค์ได้เลย!’
จ้าวเฟิงรำพึงอยู่ในใจ
ในยามนี้ เขากระทั่งรู้สึกว่าตนเองโชคดียิ่งนักที่สามารถเดินมาถึงขั้นนี้ได้
“จ้าวเฟิง เจ้ามอบทรัพยากรที่แฝงกลิ่นอายบรรพกาลดั้งเดิมให้ข้าอีกหน่อยได้หรือไม่!”
หลังจากที่บอกจ้าวเฟิงทั้งหมดแล้ว คุนอวิ๋นก็รีบร้องขอทันที
“แฝงด้วยกลิ่นอายบรรพกาลดั้งเดิม?”
สีหน้าของจ้าวเฟิงตะลึงไปเล็กน้อย รู้สึกสงสัยอยู่บ้าง
คำนี้จ้าวเฟิงเพิ่งจะเคยได้ยินเป็นครั้งแรก
“เจ้าไม่รู้งั้นรึ?” คุนอวิ๋นดูไม่ค่อยจะเชื่อ
“การพิสูจน์ตำแหน่งเทพ ผจญด่านเคราะห์อัสนี ก็เพื่อให้ได้รับกลิ่นอายบรรพกาลอันน้อยนิดนั่น มีเพียงอาศัยกลิ่นอายบรรพกาลดั้งเดิมในกายจึงจะสามารถสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของดินแดนเทพรกร้าง!”
คุนอวิ๋นอธิบายความลับเกี่ยวกับขอบเขตเซียนสวรรค์ให้กับจ้าวเฟิง
“ตรงกันข้าม หากในกายแต่เดิมก็แฝงด้วยกลิ่นอายบรรพกาลดั้งเดิมอยู่แล้ว กลิ่นอายกลุ่มนี้จะสามารถเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติกาย สายเลือด และพลังอย่างไร้รูปร่าง ทำให้พื้นฐานของผู้ฝึกฝนเสถียรเป็นอย่างมาก สร้างรากฐานเทพที่แข็งแกร่งมั่นคง และมีประโยชน์อย่างยิ่งต่อการทะลวงขั้นเทพแท้จริง!”
ได้ยินคำพูดของคุนอวิ๋น ใบหน้าของจ้าวเฟิงพลันสั่นสะท้าน
จู่ๆ เขาก็กระจ่าง ในตอนนั้นเหตุใดคุนอวิ๋นจึงทิ้งบุญคุณความแค้นเอาไว้ข้างหลัง แล้วตกปากรับคำขอของตนทันที
‘ทรัพยากรบางอย่างในห้วงฝันบรรพกาล บางทีอาจจะแฝงกลิ่นอายบรรพกาลดั้งเดิมที่คุนอวิ๋นว่าไว้!’
ดวงตาทั้งสองของจ้าวเฟิงจับจ้อง ในใจครุ่นคิด
“จ้าวเฟิง ข้ารู้ ในมือของเจ้าจะต้องมีทรัพยากรที่แฝงด้วยกลิ่นอายบรรพกาลดั้งเดิมอย่างแน่นอน!”
คุนอวิ๋นเผยท่าทางเป็นเชิงว่า ‘เจ้ารู้ดี’ ออกมา