Skip to content

King of Gods 1138

King Of Gods

บทที่ 1138 คลื่นลมสงบ

“มนุษย์ เจ้าก็ตามพวกเราไปดินแดนเทพรกร้างด้วยเถิด!”

ชายชรามีสีหน้าอบอุ่น ยิ้มพูดขึ้น

จากการประเมินอย่างละเอียด ชายชราพบว่าในกายของจ้าวเฟิงแฝงด้วยกลิ่นอายบรรพกาลดั้งเดิมที่หลากหลายเป็นอย่างยิ่ง พื้นฐานมั่นคง ทุกด้านกระทั่งแข็งแกร่งกว่าระดับเดียวกันในดินแดนเทพรกร้างบางส่วน

สำหรับเขาแล้ว ข้อเสียเพียงหนึ่งเดียวของจ้าวเฟิงก็คือสายเลือดมีระดับต่ำเกินไป แต่ว่าจ้าวเฟิงมีกายวิญญาณประหลาด สามารถชดเชยข้อเสียนี้ได้

แต่สิ่งที่ทำให้ชายชราเผ่าพันธุ์วิญญาณคนนี้แปลกใจก็คือ เขามองดวงตาของจ้าวเฟิงไม่ออกเลย

“อะไรนะ…”

หลายคนข้างกายจ้าวเฟิงก็ยืนนิ่งอึ้งตะลึงอยู่กับที่ รวมถึงตัวจ้าวเฟิงเอง

“ชะตาของจ้าวเฟิงจะดีเกินไปหน่อยแล้วกระมัง!”

คุนอวิ๋นไม่อยากจะเชื่อ ชายชราดินแดนเทพรกร้างคนนั้นกลับพูดออกมาเช่นนี้

สำหรับสิ่งมีชีวิตทั้งดินแดนทวีป การเข้าไปในดินแดนเทพรกร้างก็เหมือนกับตำนานเทพที่ไม่อาจสัมผัสได้ แต่จากท่าทีของชายชราเผ่าพันธุ์วิญญาณคนนี้ การเข้าไปในดินแดนเทพรกร้างก็เหมือนกับเป็นเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น

ทุกคนมองมายังจ้าวเฟิง สายตาบ้างก็อิจฉาบ้างก็ริษยา

ครึ่งเทพไท่จี๋ใจสับสนวุ่นวาย โกรธแค้นริษยาจ้าวเฟิงเป็นอย่างยิ่ง อยากจะสังหารอีกฝ่ายเสียทันที ด้วยพรสวรรค์ของจ้าวเฟิง หากเข้าไปในดินแดนเทพได้ก่อน ในอนาคตก็คงไม่อาจประเมินได้

ในยามนี้ นอกจากจ้าวเฟิงแล้ว ทุกคนล้วนอยากจะขอร้องชายชราคนนี้ให้พาพวกเขาไปดินแดนเทพรกร้างด้วย

แต่พวกเขาไม่กล้า ไม่กล้าแม้กระทั่งจะพูดสักประโยค

“ท่านอาจารย์!”

หยวนหลงที่อยู่ข้างชายชราก็ตกตะลึงเช่นเดียวกัน

จะนำคนธรรมดาที่ไม่มีสายเลือดบรรพกาลจากมิติระดับต่ำกลับไปยังดินแดนเทพรกร้างเพื่ออะไรกัน?

“พี่เฟิง!”

จ้าวหยูเฟยมีสีหน้ายินดี เผยรอยยิ้มหยาดเยิ้มที่ทำให้ชายใดก็ต้องใจหวั่นไหวออกมา

แต่ในยามที่จ้าวหยูเฟยมองมายังจ้าวเฟิง นางพบว่าจ้าวเฟิงกลับไม่ได้มีท่าทียินดีเท่าใดนัก

จากนั้นจ้าวหยูเฟยก็เข้าใจ ตัวเองคิดน้อยเกินไป เห็นแก่ตัวนัก

“หยูเฟย เจ้าตามผู้อาวุโสไปเถิด!”

จ้าวเฟิงนิ่งเงียบไปชั่วขณะ ก่อนพูดกับจ้าวหยูเฟยอย่างรู้สึกผิด

หากในตอนนี้จ้าวเฟิงสนแต่ตัวเอง มุ่งหน้าไปยังดินแดนเทพรกร้าง

เช่นนั้นตำหนักราชันที่เขาสร้างขึ้นมากับมือจะมิตกเป็นสมบัติของตำหนักไท่หวงหรอกหรือ ตำหนักไท่หวงไม่มีทางปล่อยใครก็ตามที่เกี่ยวข้องกับจ้าวเฟิงไปอย่างแน่นอน

อีกทั้งขั้วอำนาจทั่วทั้งแผ่นดินใหญ่ที่เป็นพันธมิตรกับตำหนักราชันก็มีมากมายเหลือคณนา จ้าวเฟิงจากไป กระทั่งพวกเขาก็ประสบหายนะไปด้วย

นอกจากนั้น จ้าวเฟิงสร้างตำหนักราชันเพราะยังมีอีกจุดประสงค์หนึ่ง นั่นก็คือควบคุมทะเลแดนใต้อย่างสมบูรณ์

มีเพียงเช่นนี้เท่านั้นจึงจะสามารถปกป้องบ้านเกิดของเขาหรือทวีปบุปผาครามเอาไว้ได้

“อะไรนะ? จ้าวเฟิงกลับ…”

ราชาเซียนอวี่หลิงพลันตกตะลึง จ้องเขม็งไปยังจ้าวเฟิง สงสัยกระทั่งว่าตัวเองฟังผิดไปหรือไม่

“เจ้าเด็กนี่รู้ว่าตำหนักไท่หวงต้องระรานตำหนักราชัน แต่กลับจะอยู่ต่อ…”

ครึ่งเทพหลงหวงในขณะที่ตื่นตะลึง ในใจก็นึกสงสัยเป็นอย่างยิ่ง

มีใครที่เมื่อเผชิญหน้ากับอันตรายแล้วไม่หนี แต่กลับเลือกอยู่เผชิญหน้ากับวิกฤตอันตรายกัน

คุนอวิ๋นและหนานกงเซิ่งก็มองจ้าวเฟิงอย่างตกตะลึงเป็นที่สุดเช่นเดียวกัน

“หืม?” หยวนหลงประหลาดใจเล็กน้อย เขาก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่ามนุษย์ในมิติระดับต่ำเช่นนี้จะปฏิเสธท่านอาจารย์ของเขา

นี่เหมือนกับขอทานที่ปฏิเสธอาหารหรูหรามากมาย

หยวนหลงยิ้มเย้ยหยัน สำหรับเขา การกระทำของจ้าวเฟิงช่างโง่เขลาไร้ทางเยียวยา

“พี่เฟิง ข้าจะรอท่านที่ดินแดนเทพรกร้าง!”

หยูเฟยเช็ดน้ำตาเปียกชื้นที่หางตา ดวงตาทั้งสองจ้องจ้าวเฟิงอย่างลึกซึ้ง

นางคิดเอาไว้แล้วว่าจ้าวเฟิงจะต้องตัดสินใจเลือกทางนี้

“ผู้อาวุโส ต้องขอโทษเป็นอย่างยิ่ง ผู้น้อยจะอยู่ที่นี่ ยังมีเรื่องบางเรื่องต้องจัดการ!”

จ้าวเฟิงคำนับชายชราเผ่าพันธุ์อย่างนอบน้อม อีกทั้งสี่คำสุดท้ายยังเน้นย้ำออกมาอย่างชัดเจน

หลังจากเงยหน้าขึ้น จ้าวเฟิงมองไปยังตำหนักไท่หวงคนอื่นๆ ที่อยู่อีกฝั่ง

ทันใดนั้น เผ่าพันธุ์วิญญาณทั้งสองคนรวมถึงจ้าวหยูเฟยก็กวาดมองไปยังคนตำหนักไท่หวงพร้อมกัน

คนตำหนักไท่หวงทั้งสี่กายใจสั่นสะท้าน เหงื่อเย็นชื้นผุดขึ้นที่หน้าผาก ความรู้สึกหวาดกลัวต่อความตายลอยอวลทั่วกาย

ผู้แข็งแกร่งจากดินแดนเทพรกร้างมองงสิ่งมีชีวิตนอกมิติดุจมองมดปลวก ไม่สนใจความเป็นตายของพวกเขา และในยามนี้ ผู้แข็งแกร่งจากดินแดนเทพรกร้างสองคนนี้มาเยือนก็เพื่อจ้าวหยูเฟย

ขอเพียงแค่จ้าวหยูเฟยเอ่ยปาก พวกเขาทั้งสี่ต้องตายอย่างแน่นอน

“จ้าวเฟิง มีเรื่องอะไร ตำหนักไท่หวงจะช่วยเจ้าอย่างเต็มที่!”

ครึ่งเทพหลงหวงฝืนยิ้มอ่อนโยนออกมา แกล้งแสดงท่าทีหวังดีกับจ้าวเฟิง

ในขณะเดียวกัน คนทั้งสามที่เหลือ แม้กระทั่งครึ่งเทพไท่จี๋และราชาเซียนอวี่หลิงที่เกลียดจ้าวเฟิงเข้ากระดูกดำก็ฝืนฉีกยิ้มประจบประแจงเพื่อเอาใจจ้าวเฟิง

“หึ!”

บนฟ้า หยวนหลงแค่นเสียงเย็น ยืนแขนผลึกแก้วขาวสว่างวาววับออกมา

วู้ม ครืน!

ฟ้าดินพลันสั่นสะเทือน พลังและสำนึกรู้ที่น่าหวาดกลัวควบคุมทั่วท้องฟ้าทันใด

รอบกายของคนตำหนักไท่หวงทั้งสี่ราวกับเยือกแข็ง คนทั้งสี่ที่อยู่ภายในรวมทั้งครึ่งเทพหลงหวงล้วนขยับไม่ได้ แม้กระทั่งประสาทสัมผัสเทพก็ไม่อาจแผ่ออกมา

เสี้ยวขณะนั้น วัตถุทุกอย่างในกายของพวกเขาทั้งสี่เริ่มกลายเป็นผลึก มิติรอบด้านก็กลายเป็นผลึกเช่นกัน

เหมือนว่าต่อไป สุดท้ายแล้วทุกสิ่งในมิติแห่งนี้ก็จะกลายเป็นผลึก

“พลังน่าหวาดกลัวยิ่งนัก คนคนนี้…”

ครึ่งเทพหลงหวงตกใจจนเนื้อเต้น หวาดผวาเป็นที่สุด

คนเผ่าพันธุ์วิญญาณที่ชื่อหยวนหลงคนนี้แข็งแกร่งกว่าเทพแท้จริงเทียนฝาในตอนนั้นมากนัก!

แต่ว่านี่ก็เป็นเรื่องสมเหตุสมผล คนผู้นี้มีสายเลือดเผ่าพันธุ์วิญญาณ อันดับที่สิบเก้าของรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณเชียว ต่อให้อยู่ที่ดินแดนเทพรกร้างก็เป็นบุคคลชั้นยอดที่โดดเด่นเป็นอย่างยิ่ง

ไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าอาจารย์ของเขาจะถึงขอบเขตใด

ภัยอันตรายอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนปกคลุมอยู่ในใจคนตำหนักไท่หวงทั้งสี่

“หยวนหลง ไปเถอะ!”

ชายชราผู้นั้นปรายตาผ่านไปอย่างไร้อารมณ์ ราวกับมองมดปลวกตัวหนึ่งหรือน้ำหยดหนึ่ง ไม่ใส่ใจเลยสักนิด

“ฮี่ๆ ก็ได้ขอรับ!”

หยวนหลงยิ้มเล่นสนุก ลดแขนลง

ครืน บึ้ม!

อากาศที่แข็งตัวโดยสมบูรณ์ไปทั่วระเบิดกระจายออก เศษผลึกนับไม่ถ้วนปลิวว่อนทั่วฟ้า

“ขอบคุณผู้อาวุโสที่ไว้ชีวิต!”

ครึ่งเทพหลงหวงคุกเข่าลงไปกับพื้น เอ่ยด้วยสายตาหวาดกลัว

อั่ก ตึง!

ราชาเซียนอวี่หลิงและราชาเซียนชุดหงส์อีกคนข้างกายครึ่งเทพทั้งสองล้มไปบนพื้นทันที ไร้ซึ่งลมหายใจ

ดวงตาของครึ่งเทพไท่จี๋สั่นไหว มองไปยังสองราชาเซียนที่ตายไปแล้วอย่างอกสั่นขวัญแขวน

หากหยวนหลงวางมือช้ากว่านี้อีกเพียงเสี้ยวขณะ บางทีเขาอาจจะอยู่ในสภาพนี้เช่นกัน

ฝั่งตำหนักราชัน คุนอวิ๋นและหนานกงซิ่งขนลุกไปทั้งตัว มองไปยังเผ่าพันธุ์วิญญาณทั้งสองด้วยใบหน้ายำเกรง

บนท้องฟ้า

ร่างของชายชราแผ่กระจายประกายแสงเทพพร่างพราย หุ้มล้อมหลงหยวนและจ้าวหยูเฟยเอาไว้ข้างใน

วู้ม วู้ม!

ท่ามกลางความเลือนรางตรงใจกลางของผืนพสุธาอันไกลโพ้น คลื่นเบาบางแผ่กระจายมา

วู้ม! รอบกายของทั้งสามปรากฏคลื่นมิติประหลาดขึ้นชั้นหนึ่ง

“พี่เฟิง ท่านต้องรีบจัดการเรื่องให้เสร็จเร็วๆ นะ!”

ดวงตาสุกสกาวของจ้าวหยูเฟยคลอไปด้วยน้ำตา กัดริมฝีปากแน่น แพขนตาสั่นไหว

วูบ! ร่างของคนทั้งสามอยู่ในคลื่นมิติค่อยๆ จางลงแล้วหายวับไป

หลังจากที่ผู้แข็งแกร่งดินแดนเทพรกร้างและจ้าวหยูเฟยจากไป ฟ้าดินก็ค่อยๆ กลับสู่ความสงบ

“ไป!”

ครึ่งเทพหลงหวงตะโกนเสียงต่ำ หอบร่างของราชาเซียนทั้งสองจากตำหนักราชันไป

สายตาของครึ่งเทพจ้องจ้าวเฟิงอย่างอาฆาต ก่อนแปลงเป็นเส้นแสงสีขาวหายไปในท้องฟ้า

“กลับมาเถอะ!”

จ้าวเฟิงส่งกระแสเสียงให้ปี้ชิงเยวี่ย

โชคดีที่ก่อนผู้แข็งแกร่งดินแดนเทพรกร้างจะมาเยือน เขาก็อพยพสมาชิกคนอื่นๆ ของตำหนักราชันไป

มิฉะนั้น สมาชิกและลูกศิษย์ที่ขอบเขตพลังค่อนข้างต่ำเหล่านี้คงถูกกลิ่นอายอำนาจกดดันของเทพแท้จริงบดขยี้จนกลายเป็นเศษเนื้อแล้ว

หลังจากนั้นหนึ่งวัน ตำหนักราชันก็กลับคืนสู่ปกติ

และเรื่องนี้ก็แพร่ไปในราชวงศ์ต้าเฉียนอย่างรวดเร็ว

ครึ่งเทพของตำหนักไท่หวงรวมทั้งครึ่งเทพหลงหวงไปยังตำหนักราชันและบาดเจ็บหนัก อีกทั้งกลับมามือเปล่า ส่วนราชาเซียนอวี่หลิงและราชาเซียนเฟิ่งอี๋นั้นถึงแก่ความตาย

ผลลัพธ์นี้ฮือฮาไปทั่วทั้งราชวงศ์ต้าเฉียน ผู้แข็งแกร่งจากขั้วอำนาจทั้งหมดไม่สงสัยของข้อเท็จจริงของรายงานข่าวนี้เลย

ไม่นานนัก รายงานข่าวอีกเรื่องหนึ่งก็ค่อยๆ แพร่กระจายไป ผู้แข็งแกร่งเผ่าพันธุ์วิญญาณของดินแดนเทพรกร้างมาเยือนตำหนักราชันเพื่อพาจ้าวหยูเฟยไป ถือโอกาสทำร้ายครึ่งเทพตำหนักไท่หวงจนบาดเจ็บหนัก และสังหารราชาเซียนสองคน

รายงานข่าวนี้แค่เพียงแพร่ออกไป ก็สั่นสะท้านไปทั่วทั้งราชสำนัก

ภายในระยะเวลาสั้นๆ ไม่กี่ปี ก็มีผู้แข็งแกร่งจากดินแดนเทพรกร้างมาเยือนอีกครั้งแล้ว

ความปรารถนาในขอบเขตเซียนสวรรค์และดินแดนเทพรกร้างของครึ่งเทพทั้งหมดในดินแดนทวีปถูกกระตุ้นขึ้นอย่างไร้รูปร่าง

“ปี้ชิงเยวี่ย รีบฝึกฝนลูกศิษย์ที่มีศักยภาพและพรสวรรค์จนเป็นผู้แข็งแกร่งในขอบเขตเทวาเร้นลับ อีกทั้งฝึกฝนเซียนเทวาเร้นลับอย่างเต็มกำลัง!”

จ้าวเฟิงส่งข้อความให้ปี้ชิงเยวี่ยผ่านทางตราผนึกดวงใจทมิฬ

ไม่นานนัก จ้าวเฟิงก็จัดผลึกเซียนระดับล่าง ทรัพยากรบรรพกาล และทรัพยากรผลึกเลือดล้ำค่าบางอย่างมอบให้กับปี้ชิงเยวี่ย

“ภายในระยะเวลาสั้นๆ นี้ ตำหนักไท่หวงไม่น่าจะมีความเคลื่อนไหวอะไรอีก!”

จ้าวเฟิงคาดเดาในใจ

ในมนตราอากาศ จ้าวเฟิงเริ่มปิดด่าน

ผู้แข็งแกร่งดินแดนเทพรกร้างกระตุ้นจ้าวเฟิงเป็นอย่างมาก

จ้าวเฟิงยิ่งใฝ่หาถึงดินแดนเทพรกร้างในตำนาน อยากจะไปดูว่าที่นั่นเป็นเช่นไร อยากจะไปเห็นหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณในนั้น และยิ่งอยากจะไปเจอแปดเนตรเทพเจ้าในตำนานด้วยตาตัวเอง!

“ต้องยิ่งขยันขึ้นไปอีก ไม่เช่นนั้นจะถูกหยูเฟยทิ้งไปไกล!”

จ้าวเฟิงยิ้มอย่างจนปัญญา

ครั้งนี้หยูเฟยกลับไปยังเผ่าพันธุ์วิญญาณบรรพกาลที่ดินแดนเทพรกร้าง สายเลือดของนางจะต้องย้อนคืนตื่นขึ้นอีกขั้นเป็นแน่

ในตอนนั้น ความเร็วในการฝึกฝนของสายเลือดเผ่าพันธุ์วิญญาณจึงจะสำแดงออกมาอย่างสมบูรณ์!

อีกทั้งด้วยคุณสมบัติสายเลือดของจ้าวหยูเฟย อย่างน้อยก็จะสามารถพิสูจน์ได้ถึงตำแหน่งเทพขั้นสาม!

วู้ม วู้ม!

ในกายวิญญาณอัสนีของจ้าวเฟิง แผ่กระจายพลังอัสนีเทวะทำลายล้างอันแข็งแกร่งออกมา ตราอัสนีสีขาวทองนับไม่ถ้วนเกลือกกลิ้งคำรามบนกายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ของจ้าวเฟิง ทำลายทุกสิ่ง

ในยามนี้ จุดสำคัญในการฝึกฝนของจ้าวเฟิง ยังคงใช้พลังอัสนีเทวะฝึกฝนกายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์

แน่นอน ในขณะเดียวกับที่ใช้พลังอัสนีเทวะฝึกฝนกายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ จ้าวเฟิงยังคงแบ่งความคิดออกมาหลายสายเพื่อฝึกฝนในด้านอื่นๆ

หลังจากนั้นครึ่งวัน จ้าวเฟิงก็หยุดพักชั่วขณะ กินวัตถุดิบยาล้ำค่าจำนวนมากเพื่อฟื้นฟูบาดแผล

แต่การฝึกฝนของจ้าวเฟิงกลับไม่เคยหยุด เขาย้ายจุดสำคัญของการฝึกฝนไปยังการยกระดับการรับรู้พลังสำนึกรู้

พรึ่บ!

เบื้องหน้าของจ้าวเฟิงมีผลไม้สามลูกปรากฏขึ้น พลังสำนึกรู้เข้มข้นห่อหุ้มจ้าวเฟิงเอาไว้ข้างใน

ในยามที่ทำความเข้าใจสำนึกรู้ถึงยังจุดหนึ่ง จ้าวเฟิงก็ย้ายเป้าหมายสำคัญมาที่การฝึกฝนกายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์

นอกจากนั้น ทรัพยากรของจ้าวเฟิงใช้ซ้ำบ่อยเกินไป ทำให้สรรพคุณของยาลดลง

บางทีจ้าวเฟิงจึงยังเข้าไปในห้วงฝันบรรพกาล ทำการค้นหา เพิ่มจำนวนสัตว์อสูรวิเศษ และขยายอาณาเขต

“หญ้าสายฟ้าหลอมโลกันตร์ หินผลึกธุลีสระทมิฬ ไผ่หยกลมสวรรค์….”

เบื้องหน้าของจ้าวเฟิงมีทรัพยากรบรรพกาลที่คุณสมบัติสูงกว่าเดิมลอยอยู่

หลังโคจร ‘วิชาวายุอัสนีห้าธาตุ’ และ ‘กายสายฟ้าปฐพีทอง’ จ้าวเฟิงเริ่มดึงเอาฤทธิ์ยาของวัตถุดิบเหล่านี้ออกมา

จ้าวเฟิงอยู่ในการปิดด่านเป็นเวลาหนึ่งปี

ในช่วงเวลานี้ จ้าวเฟิงไม่คิดจะยกระดับขอบเขตพลัง แต่ทำพื้นฐานทุกด้านให้มั่นคง เพิ่มพลังให้แข็งแกร่ง!

ในวันนี้ จ้าวเฟิงเข้าไปในมิติตาซ้าย เตรียมลอกเลียนแบบวัตถุดิบบรรพกาลที่ตนต้องการ

“จ้าวเฟิง ข้าอยากคุยกับเจ้า”

ตอนนี้เอง มุมหนึ่งในมิติดวงตาซ้าย มังกรวารีทมิฬเอ่ยขึ้น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!