บทที่ 1160 กูหลัน
ทั้งเกาะเทียนอวี่มีตำหนักแลกเปลี่ยนค้าขายอยู่ห้าแห่ง ตำหนักแลกเปลี่ยนค้าขายแห่งหนึ่งที่รุ่งเรืองที่สุดในนั้น ถูกยอมรับกันโดยปริยายว่ายกสิทธิ์ให้เจ้าเกาะเทียนอวี่ ไม่มีใครคิดแย่งชิง
ดังนั้นตำหนักแลกเปลี่ยนค้าขายสี่แห่งที่เหลือจึงตกอยู่ภายใต้การแย่งชิงจากขั้วอำนาจอื่นๆ ในเกาะเทียนอวี่
ในขั้วอำนาจทั้งหมดของเกาะเทียนอวี่ เผ่าหมาป่าเหมันต์นัยน์ตาฟ้าจัดอยู่ในลำดับที่สี่ ขั้วอำนาจรอบๆ ตำหนักแลกเปลี่ยนค้าขายแห่งนี้จึงนับว่าอ่อนแอที่สุดแล้ว
แต่เพราะเหตุนี้ ขั้วอำนาจที่จะแย่งชิงตำหนักแลกเปลี่ยนค้าขายแห่งนี้มีมากมายยิ่งนัก มีเผ่าพันธุ์สี่ดาวถึงหกเผ่าพันธุ์ แต่สถานการณ์ในครั้งนี้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย เผ่าสุริยันชาดที่มักจะเข้าร่วมแย่งชิงตำหนักแลกเปลี่ยนค้าขายมาโดยตลอดกลับไม่เข้าร่วม ส่วนเผ่าแพะเพลิงทองที่จัดเป็นขั้วอำนาจชั้นล่างกลับเข้าร่วมการประลองแย่งชิงครั้งนี้อย่างเหนือความคาดหมาย
ยามที่คนของเผ่าแพะเพลิงทองมาถึงตำหนักแลกเปลี่ยนค้าขาย ก็เจอเสียงเยาะเย้ยเหยียดหยามของผู้แข็งแกร่งจำนวนมากในนั้น
“คิดไม่ถึงว่าขั้วอำนาจสี่ดาวที่ต่ำต้อยในเกาะเทียนอวี่ ก็ยังจะมาเข้าร่วมการประลองชิงตำหนักแลกเปลี่ยนค้าขาย หรือว่าเผ่าแพะเพลิงทองจะฟูมฟักอัจฉริยะครึ่งเทพที่มีพลังแกร่งกล้าได้?”
“อย่าล้อเล่นไป ข้าว่าเผ่าแพะเพลิงทองจะต้องส่งยอดผู้อาวุโสของพวกเขามาเข้าร่วมการประลองแย่งชิงแน่!”
ในกลุ่มคนรอบบริเวณ มักจะมีพวกคนขลาดที่ไม่มีความสามารถอะไรแต่ชอบเยาะเย้ยคนอื่น
แต่ในความเป็นจริงแล้ว เผ่าแพะเพลิงทองไม่มีอัจฉริยะขั้นครึ่งเทพจริงๆ นอกเหนือจากผู้อาวุโสครึ่งเทพสี่คน ก็ไม่มีผู้แข็งแกร่งในขั้นครึ่งเทพอีก
ดังเช่นเผ่าหมาป่าเหมันต์นัยน์ตาฟ้า นอกจากผู้อาวุโสครึ่งเทพทั้งหกคนแล้ว ยังมีอัจฉริยะขั้นครึ่งเทพอีกห้าคน อัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุดในนั้นยังเก่งกาจยิ่งกว่าผู้อาวุโสทั้งหก อัจฉริยะผู้นี้ย่อมกดขอบเขตพลังเอาไว้เพื่อเตรียมจะทะลวงขั้นเทพในระดับที่สูงส่งยิ่งกว่า
ในเผ่าอื่นก็ทุ่มแรงบ่มเพาะอัจฉริยะแบบนี้เอาไว้เช่นกัน ทันทีที่อัจฉริยะคนดังกล่าวทะลวงขั้นเทพได้สำเร็จ ก็เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะกลายเป็นเทพแท้จริงขั้นที่สองทันที และจะนำพาเผ่าให้พัฒนาขึ้นเร็วราวติดปีก
กระทั่งเผ่าสุริยันชาดที่จัดอยู่ในสิบลำดับต้นก็มีอัจฉริยะครึ่งเทพสามคน พลังอยู่เหนือครึ่งเทพที่อาวุโสกว่าไปมาก
ดังนั้นในการประลองชิงตำหนักแลกเปลี่ยนค้าขาย คนที่ปรากฏกายขึ้นส่วนมากจึงเป็นครึ่งเทพที่อายุไม่มากนัก ต่อให้เป็นครั้งต่อไปก็ยังเป็นครึ่งเทพที่มีอายุเยอะกว่านิดหน่อยอยู่ดี
ถ้าหากเผ่าแพะเพลิงทองส่งยอดผู้อาวุโสที่มีอายุมากกว่าแสนปีมา นั่นต่างหากถึงจะเป็นเรื่องตลก
“ข้าว่าคราวนี้จะต้องเป็นเผ่าเขี้ยวฉลามที่ได้ชัยชนะไป ช่วงก่อนนี้เซินอวี่ของเผ่านั้นพลังก็เพิ่มขึ้นด้วย”
“ไม่ใช่สิ เจ้าไม่ได้ยินข่าวลืองั้นหรือ? ผู้อาวุโสของหมาป่าเหมันต์นัยน์ตาฟ้าได้อัจฉริยะขั้นครึ่งเทพคนหนึ่งมาโดยบังเอิญ หนำซ้ำยังให้เขานำอัจฉริยะในเผ่าเข้าร่วมประลองครั้งนี้!”
ในการประลองชิงตำหนักแลกเปลี่ยนค้าขายแห่งนี้ ขั้วอำนาจที่ค่อนข้างแข็งแกร่งมีเพียงหมาป่าเหมันต์นัยน์ตาฟ้าและเขี้ยวฉลาม หลังจากนั้นก็เป็นเผ่าปีกมรกต เผ่าสุริยันชาด ทว่าเผ่าสุริยันชาดสละสิทธิ์ไปแล้ว
ส่วนสี่เผ่าที่เหลือเป็นพวกสี่ดาวนอกเหนือจากสิบลำดับแรกของเกาะเทียนอวี่ แทบไม่มีใครแยแสนัก
ก่อนการประลองชิงตำหนักแลกเปลี่ยนค้าขาย ภายในตำหนักได้สร้างเวทีประลองขนาดใหญ่ขึ้นแห่งหนึ่ง รอบๆ เวทีประลองมีแท่นหินตั้งตระหง่านอยู่สี่แท่น
บนแท่นหินมีขั้วอำนาจเผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่งในละแวกใกล้เคียงหรือผู้แข็งแกร่งขั้นเทพแท้จริงนั่งอยู่ ส่วนผู้ชมคนอื่นๆ ทำได้เพียงรวมตัวอยู่กลางอากาศในที่ไกลๆ
บนแท่นหินแห่งหนึ่งบริเวณทิศตะวันออก มีคนจำนวนน้อยนิดเท่านั้น
แต่คนพวกนี้กลับเป็นเป้าสายตาของทุกคน
ในกลุ่มคนพวกนี้มีมนุษย์ท่าทางยโส ใบหน้าหล่อเหลา ผิวขาวผ่อง เขาก็คือซีเฟิงลูกศิษย์ของเจ้าเกาะเทียนอวี่
“อาจารย์อา ท่านว่าครั้งนี้ใครจะได้ชัยชนะไป!”
ซีเฟิงผินหน้ามาน้อยๆ ขณะเอ่ยถามชายวัยกลางคนด้านข้างอย่างนับถือ
“ได้ยินมาว่าหมาป่าเหมันต์นัยน์ตาฟ้าได้อัจฉริยะครึ่งเทพที่แข็งแกร่งผู้หนึ่งมา คาดว่าน่าจะเป็นเผ่านี้ที่เป็นฝ่ายได้ชัย!”
ชายผู้นี้ท่าทางใบหน้าดำมืด ดุดันผิดธรรมดา ประหนึ่งภูติผีร้าย เอ่ยด้วยใบหน้าราบเรียบ
บนแท่นสูงด้านข้าง เหล่าคนเผ่าหมาป่าเหมันต์นัยน์ตาฟ้าระบายยิ้มออกมา
มีเพียงเด็กหนุ่มท่วงท่าองอาจคนเดียวที่ประหนึ่งก้อนน้ำแข็ง หลับตาไม่สนใจโลกภายนอก
อีกฟากหนึ่ง คนของเผ่าเขี้ยวฉลามอัดอั้นตันใจอย่างมาก โกรธเกรี้ยวยิ่งนัก แต่กลับไม่กล้าพูดอะไรออกมา
คนตรงหน้านี้เป็นถึงคนของเกาะเทียนอวี่นามเทพแท้จริงกุ่ยลี่ (ปีศาจร้าย) ระดับพลังแตะเทพแท้จริงขั้นที่สอง
เขาและซีเฟิงเป็นกรรมการในการประลองชิงตำหนักแลกเปลี่ยนค้าขายครั้งนี้ แต่ตอนนี้กรรมการผู้นี้กลับเอ่ยออกมาหน้าตาเฉยว่าเผ่าหมาป่าเหมันต์นัยน์ตาฟ้าจะได้ชัยชนะ เห็นได้ชัดเจนอย่างยิ่งว่าเทพแท้จริงกุ่ยลี่จะต้องเข้าข้างทางฝั่งนั้น
แต่เผ่าเขี้ยวฉลามเชื่อมั่นว่า ขอแค่พวกเขาเอาชนะหมาป่าเหมันต์นัยน์ตาฟ้าและให้ผลประโยชน์ที่มากพอ เทพแท้จริงกุ่ยลี่จะยืนอยู่ฝั่งของพวกเขาแน่
“เซินอวี่ เก็บพลังเอาไว้ก่อน ต้องคอยระวังกูหลันจากฝั่งหมาป่าเหมันต์นัยน์ตาฟ้าไว้ให้มาก!”
ผู้อาวุโสสูงสุดของเผ่าเขี้ยวฉลามเอ่ยกับชายรูปร่างสูงใหญ่ด้านข้างที่สาดไอเพลิงน่ากลัวออกมา
“ช่วยเซินอวี่ให้สุดความสามารถเถอะ!”
จากนั้นผู้อาวุโสสูงสุดเผ่าเขี้ยวฉลามเอ่ยกับอัจฉริยะผู้หนึ่ง
การประลองชิงตำหนักแลกเปลี่ยนค้าขายมีทั้งหมดสองรอบ รอบแรกคือการสู้แบบหมู่ ผู้แข็งแกร่งจากขั้วอำนาจทั้งหมดเข้าไปยังเวทีประลอง เพียงสี่คนสุดท้ายที่เหลือจะเข้ารอบที่สอง
รอบที่สองเป็นการสู้ตัดสินเพื่อหาผู้ชนะที่แท้จริง
ในรอบแรก ทุกๆ ขั้วอำนาจจะสามารถส่งคนสองคนเข้าไป แต่ความจริงแล้ว ภารกิจของคนที่สองก็คือปกป้องยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดของขั้วอำนาจตน เพื่อให้เขาประหยัดพลังและผ่านเข้าไปในรอบที่สอง
“ในเมื่อคนมาครบแล้ว ก็เริ่มต้นกันเถอะ!”
บนแท่นหินทางทิศตะวันออก เทพแท้จริงกุ่ยลี่เปล่งเสียงแหบพร่าที่ทำให้ใจสั่นสะท้าน
“จะเริ่มแล้ว!”
กลุ่มคนที่มาชมการประลองชุลมุนวุ่นวาย
ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว!
ทันใดนั้นเอง กลิ่นอายแข็งแกร่งสิบกว่าเส้นสายทะลวงเข้าไปในเวทีประลองทันที
เผ่าที่เข้าร่วมการประลองชิงตำหนักวิญญาณมีกันทั้งหมดหกเผ่า ตามหลักการแล้วจะต้องมีสิบสองคนถึงจะถูกต้อง แต่บนเวทีประลองมีเพียงสิบเอ็ดคนเท่านั้น
สายตาของทุกคนจับจ้องไปที่จ้าวเฟิงผู้เป็นตัวแทนจากเผ่าแพะเพลิงทองอย่างอดไม่ได้
“มีเพียงแค่คนเดียว ยังกล้าจะมาเข้าร่วมการประลอง? ไม่ใช่จะทำตัวเองให้อับอายขายขี้หน้าหรือไร?”
“เผ่าแพะเพลิงทองยังมีผู้อาวุโสครึ่งเทพอีกหลายคนไม่ใช่หรือ? อย่างน้อยๆ ก็น่าจะส่งมาได้สองคน ทำแบบนี้โอกาสก็จะยิ่งมากขึ้นไม่ใช่หรือไง? ฮ่าฮ่า!”
“พลังฝึกตนของคนผู้นี้ต่ำขนาดนี้ หรือว่าเผ่าแพะเพลิงทองส่งเขามาตาย?”
กลุ่มคนที่อยู่ใกล้เคียงมองไปที่จ้าวเฟิง ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
บนเวทีประลอง อัจฉริยะจำนวนมากมีสีหน้าเยาะเย้ยดูแคลน
“เป็นแค่เทวาเร้นลับระดับบริบูรณ์เท่านั้น ไม่รู้จริงๆ ว่าเจ้าเอาความกล้ามาจากไหนมาเข้าร่วมการประลอง มายืนเคียงข้างพวกเรา!”
อัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุดในเผ่าปีกมรกตหัวเราะเยาะเย้ย
ทางฝั่งหมาป่าเหมันต์นัยน์ตาฟ้า กูหลันลืมตาที่คมกริบและเย็นชา มองไปที่จ้าวเฟิงแวบหนึ่ง
“เป็นเขา?”
ซีเฟิงบนเวทีประลองขมวดคิ้วมุ่น
“เป็นอะไรไป เฟิงเอ๋อร์?”
เทพแท้จริงกุ่ยลี่ถาม
ซีเฟิงเป็นอัจฉริยะที่กำลังจะติดตามเจ้าเกาะไปเผ่าหยกทอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงหลายวันมานี้ หลังจากซีเฟิงได้ยินเรื่องของพื้นที่ลับรกร้างโบราณ ก็ยิ่งฝึกตนอย่างแข็งขัน พลังพัฒนาแบบก้าวกระโดด
ในเกาะเทียนอวี่ ขณะนี้ขั้นครึ่งเทพไม่มีใครจะเป็นคู่มือให้กับซีเฟิงได้
“ไม่มีอะไร!”
ซีเฟิงส่ายศีรษะ มองข้ามจ้าวเฟิงไป
ถึงแม้ว่าเขาจะมีความประทับใจอย่างมากต่อจ้าวเฟิง ถึงขั้นหอไข่มุกเซียนเมื่อคราวก่อน ยังให้เฉินอวี๋ไห่แอบติดตามไปลอบสังหารอย่างลับๆ
ทว่าเขาต้องติดตามเจ้าเกาะเดินทางไปยังเผ่าหยกทองระดับสี่ดาวครึ่ง และอาจจะได้เข้าไปในพื้นที่ลับรกร้างโบราณ พอถึงตอนนั้นเขาจะตามหาจ้าวเฟิงด้วยตนเองและค่อยให้จ้าวเฟิงคุกเข่าเพื่อสำนึกผิดที่มองข้ามเขาในงานประมูล
บนเวทีประลอง จ้าวเฟิงมีสีหน้าราบเรียบ มองผ่านทุกสรรพสิ่ง เหมือนว่าไม่เห็นทิวทัศน์ทั้งหมดเบื้องหน้า
หลังจากพลังไปแตะขอบเขตเทวาเร้นลับระดับบริบูรณ์ ความแข็งแกร่งและคุณภาพพลังศักดิ์สิทธิ์ของจ้าวเฟิงเพิ่มขึ้น หนำซ้ำเขายังครอบครองวายุอัสนีธาตุทอง ครึ่งเทพเบื้องหน้าเหล่านี้กระตุ้นจิตกระหายการต่อสู้ของเขาไม่ได้เลย
“การประลองชิงตำหนักแลกเปลี่ยนค้าขายรอบแรก เริ่มขึ้นได้!”
บนแท่นหิน เทพแท้จริงกุ่ยลี่เปิดปากเอ่ยทันที
ทันใดนั้น บนเวทีประลองปรากฏกลิ่นอายสายเลือดที่แข็งแกร่งหลายต่อหลายกลุ่มพุ่งทะยานขึ้นฟ้า
“ทำให้จบเลยแล้วกัน!”
สายตาจ้าวเฟิงเย็นชาแน่วแน่
ขอแค่เขาเอาชนะคนทั้งหมดได้ ก็ไม่จำเป็นต้องมีการแข่งขันในรอบที่สอง เพราะมีเพียงเขาที่ผ่านรอบแรกไปได้ เช่นนี้เขาก็จะเป็นผู้ชนะ
“เหอะๆ เจ้าหนุ่ม ให้ข้าส่งเจ้าตกรอบไปเถอะ!”
อัจฉริยะของเผ่าปีกมรกตคนที่เยาะเย้ยจ้าวเฟิงผู้นั้นบีบเข้าใกล้เขาทันทีด้วยท่าทางหยิ่งผยอง
จ้าวเฟิงมองคนผู้นั้น ระบายรอยยิ้มออกมา
วู้ม แซ่ด!
พลังศักดิ์สิทธิ์วายุอัสนีธาตุทองที่เปล่งแสงแสบตาเกาะกลุ่มกันในมือจ้าวเฟิง
แต่ในเวลานี้ ชายหนุ่มรูปร่างผอมแห้งทางฟากหมาป่าเหมันต์นัยน์ตาฟ้าแผ่ไอเด็ดเดี่ยวเย็นเยือก เอ่ยเสียงเย็นว่า “เอาชนะพวกเจ้าทุกคนก็จะได้ชัยชนะแล้ว!”
กูหลันกลับคิดเหมือนกันกับจ้าวเฟิง นี่ทำให้จ้าวเฟิงสังเกตชายคนนั้นเสียหน่อย
แต่บนเวทีประลอง ผู้แข็งแกร่งขั้นครึ่งเทพจากขั้วอำนาจทั้งหมดพากันจ้องไปที่กูหลันอย่างตื่นตะลึง ดวงตาฉายแววไม่เป็นมิตรนัก
“กูหลัน เจ้าพูดอะไรออกมา?”
ด้านข้างกูหลัน อัจฉริยะครึ่งเทพจากฝ่ายหมาป่าเหมันต์เอ่ยอย่างตื่นตระหนก
เห็นได้ชัดว่าประโยคนี้เป็นกูหลันพูดเองเออเองทั้งสิ้น เขาไม่ได้รับรู้อะไรแม้แต่น้อย
กลุ่มคนด้านนอกเวทีประลองก็ถกกันเสียงขรม
“กูหลันคนนี้…”
ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งเผ่าหมาป่าเหมันต์มีใบหน้าเหนื่อยหน่าย
กูหลันเป็นอัจฉริยะศาสตร์กระบี่ที่เขาพบเจออย่างเหนือความคาดหมาย เขาเป็นผู้ที่มาจากมิติต่างแดนที่ใกล้กับดินแดนเทพรกร้างมาก
เขาไม่ได้ทะลวงถึงขั้นเทพแท้จริง แต่เข้ามาในดินแดนเทพรกร้างได้ นี่ก็แสดงให้เห็นถึงพรสวรรค์ของเขาแล้ว แต่กูหลันตรงไปตรงมามากไป ในสายตามีเพียงแต่การสู้รบและต้องแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น!
“คนผู้นี้ช่างหยิ่งผยองเหลือเกิน!”
“เขาก็คือผู้แข็งแกร่งที่หมาป่าเหมันต์นัยน์ตาฟ้าชักจูงมา เป็นอัจฉริยะในศาสตร์กระบี่!”
ด้านนอก สายตาของทุกคนต่างพากันจับจ้องไปบนร่างกูหลัน
“เซินอวี่ พวกเราร่วมมือเอาชนะคนผู้นี้ด้วยกัน!”
ผู้อาวุโสสูงสุดของเผ่าเขี้ยวฉลามเผยรอยยิ้มเยาะ
ทันใดนั้น จากคำพูดของผู้อาวุโสเผ่าเขี้ยวฉลาม ทำให้อัจฉริยะครึ่งเทพที่เหลือรวมตัวกัน
นอกจากจ้าวเฟิงแล้ว อัจฉริยะครึ่งเทพทั้งหมดต่างเลือกอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับหมาป่าเหมันต์นัยน์ตาฟ้าทั้งสิ้น
“เจ้าคนนี้นี่ไม่เลวเลย!”
ซีเฟิงที่มีท่าทีหยิ่งผยองเอ่ยชื่นชม ประหนึ่งผู้อาวุโสชื่นชมผู้เยาว์วัยกว่า
จากที่ซีเฟิงดูๆ ไปแล้ว หากมีครึ่งเทพของหมาป่าเหมันต์นัยน์ตาฟ้าคนหนึ่งให้ความช่วยเหลือ เขาก็จะสามารถเอาชนะครึ่งเทพอีกแปดคนที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามได้
ด้วยเพราะพลังของซีเฟิงถึงเทพแท้จริงขั้นที่หนึ่ง จึงสามารถเรียกว่า ‘ปฐมเทพ’ ได้แล้ว
“สังหาร!”
อัจฉริยะทั้งหมดนอกจากจ้าวเฟิงตรงดิ่งไปสังหารคนสองคนจากเผ่าหมาป่าเหมันต์นัยน์ตาฟ้า
ดวงตากูหลันเปลี่ยนแปลงไปทันที จิตกระบี่ที่ไร้จุดสิ้นสุดสาดซัดออกมา พราวพร่างละลานตา หนาวเหน็บจนทิ่มแทงเข้าไปในกระดูก
พรึ่บ!
ในมือของเขาปรากฏกระบี่เย็นเยียบเล่มหนึ่ง ชั้นหมอกที่หนาวเหน็บปกคลุมทั่วคมกระบี่
“กระบี่เหมันต์ทำลายล้าง!”
บนร่างกูหลันทะลักพลังศาสตร์กระบี่อันทรงพลังออกมา กวาดผ่านทุกสรรพสิ่ง เหมือนหลอมรวมเข้ากับกระบี่เหมันต์ในมือ
ทันใดนั้นเอง คมกระบี่เหมันต์สายหนึ่งปรากฏเป็นรูปทรงพัด กวาดผ่านออกไปรับมือกับครึ่งเทพผู้ถูกเลือกทั้งหลาย
ฉับพลันนั้น ผู้ถูกเลือกทั้งหมดต่างรู้สึกว่าร่างกายและวิญญาณหนาวเหน็บจับใจ เมื่อมองไปยังกูหลันที่บ้าคลั่งเย่อหยิ่ง กลับเกิดความรู้สึกอยากถอยหนี
“ฉลามจู่โจม!”
เซินอวี่ผู้เป็นอัจฉริยะเผ่าเขี้ยวฉลามกระตุ้นสายเลือด ทะยานออกมาอย่างห้าวหาญ
ในมือเขาปรากฏดาบวารีสีฟ้า แล้วพลันฟันกระแสน้ำฉลามยักษ์ที่ชั่วร้ายตัวหนึ่งออกมา
“ฤทธิ์เหมันต์สะบั้น!”
สีหน้ากูหลันยังไม่เปลี่ยนแปลง ฟาดกระบี่ยาวเหมันต์ในมือออกไป
พายุกระบี่เหมันต์ที่ทำให้คนจิตใจสั่นไหวปะทุออกมา ทะลวงผ่านกระแสน้ำฉลามยักษ์ตัวนั้นแล้วแช่แข็งไปทันที
ส่วนเซินอวี่ที่อยู่ด้านหลัง พลังทั้งร่างกายเกือบแข็งค้างไปจากการจู่โจมของจิตกระบี่เหมันต์ที่หลงเหลือ แววตาตื่นกลัว ไม่มีจิตต่อสู้ใดแม้แต่น้อย
“แข็งแกร่งเหลือเกิน!”
อัจฉริยะเผ่าหมาป่าเหมันต์อีกคนหนึ่งเห็นกูหลันมากฝีมือขนาดนี้ ในใจก็พลันปีติยินดี พุ่งไปโจมตีทันควัน
“กระบี่เหมันต์ทำลายล้าง!”
กูหลันกวัดแกว่งกระบี่เหมันต์ในมือ ระลอกการโจมตีคมกระบี่พุ่งทะลวงออกไปรอบบริเวณ
ทั่วทั้งเวทีประลองปกคลุมไปด้วยจิตกระบี่แข็งแกร่งที่หนาวเหน็บเสียดกระดูก ร่างกายและวิญญาณของทุกคนค่อยๆ สูญเสียกำลังรบไปท่ามกลางจิตกระบี่เย็นเยียบ
ไม่นานเท่าไหร่นัก ด้วยความช่วยเหลือจากยอดฝีมืออีกคนของหมาป่าเหมันต์นัยน์ตาฟ้า กูหลันจึงเอาชนะผู้แข็งแกร่งทั้งหมดที่โจมตีเขา รวมไปถึงอัจฉริยะของเผ่าปีกมรกต และเซินอวี่จากเผ่าเขี้ยวฉลามด้วย
แต่ทว่า ทั้งหมดก็ต้องมีข้อยกเว้น จ้าวเฟิงยังไม่ได้ลงมือทำอะไรตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงตอนนี้ เขาทำเพียงมองดูทุกอย่างอย่างเงียบๆ คนมากมายต่างนึกว่าจ้าวเฟิงตื่นตระหนกจนทำอะไรไม่ถูก จึงมองข้ามเขาไป
“หากเป็นเช่นนี้ ข้าก็แค่ต้องเอาชนะพวกเขาให้ได้!”
จ้าวเฟิงมีสีหน้าราบเรียบเช่นเคย