บทที่ 1167 ยึดครองห้วงฝันบรรพกาล
จ้าวเฟิงเจอค่ายกลสังหารที่โลกภายนอก แต่เขาก็ยังไม่รีบร้อนหนีออกไป
ห้วงฝันบรรพกาลและดินแดนเทพรกร้างคล้ายคลึงกันอย่างมาก จ้าวเฟิงอยู่ที่นี่ไม่ได้ต่างจากอยู่ที่ดินแดนเทพรกร้างแม้แต่น้อย ถ้าหากไม่มีเรื่องกังวลหรือเรื่องที่ต้องทำมากเกินไป จ้าวเฟิงสามารถอยู่ในห้วงฝันบรรพกาลได้ตลอด
มังกรวารีล้างโลกาในมนตราอากาศแปลกใจนัก เหตุใดเทพแท้จริงกุ่ยซาไม่ไล่ตามพวกเขาต่อ ย่อมต้องไม่ใช่เพราะเมตตายอมปล่อยไป แต่เป็นเพราะไม่สามารถบีบพวกเขาออกมาจากมนตราอากาศได้
มังกรวารีล้างโลกาไม่ใช่คนโง่ คิดไปคิดมาก็พอจะเดาได้ เหตุผลที่ทำให้เกิดเรื่องเช่นนี้ต้องเป็นเพราะจ้าวเฟิง
ทุกครั้งที่จ้าวเฟิงกลับไปในมนตราอากาศจะเป็นเวลาเพียงชั่วขณะเดียว จากนั้นจะหายตัวไปทันที มังกรวารีล้างโลกาก็ไม่รู้ว่าจ้าวเฟิงไปที่ไหน จ้าวเฟิงไม่คิดพูดเขาก็ไม่มีทางรู้ได้
แต่นี่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ ขอแค่ในตอนนี้พวกเขาปลอดภัยก็พอแล้ว เพื่อให้มีชีวิตรอดต่อไป จ้าวเฟิงต้องมอบทรัพยากรให้กับมังกรวารีล้างโลกา เพิ่มขอบเขตพลังของเขา จากนั้นจึงค่อยฝ่าออกไป
ในห้วงฝันบรรพกาล จ้าวเฟิงยืนอยู่บนวานรทมิฬร่างยักษ์ตัวหนึ่ง ใบหน้าวานรทมิฬตัวนี้ดุร้ายน่ากลัว ดวงตาทอแสงเป็นประกาย บริเวณหลังมีปีกสีดำคู่หนึ่ง สาดไอชั่วร้ายแผ่พวยพุ่งออกมา
วานรมารปีกดำคือสัตว์วิเศษแข็งแกร่งที่สุดที่จ้าวเฟิงมีในตอนนี้ ขอบเขตพลังของมันแตะขั้นเทพแท้จริงขั้นสอง จัดอยู่ในลำดับที่หกพันสามร้อยสิบสองในรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณ
“นายท่าน จะมองข้ามเผ่าพันธุ์หมาป่าเหมันต์นัยน์ตาฟ้านั้นไม่ได้ ถึงแม้สายเลือดพวกมันจะไม่เท่าข้า แต่มีจำนวนมากอย่างยิ่ง!”
วานรมารปีกดำเอ่ยกับจ้าวเฟิง
“ฮ่าๆ เราจะกลัวพวกเขางั้นหรือ?”
จ้าวเฟิงยิ้มด้วยความเชื่อมั่น
ฝูงสัตว์อสูรนับไม่ถ้วนด้านหลังเขา ดุจมวลอสูรที่น่าหวาดกลัวไล่ตามจ้าวเฟิงไป ถึงแม้ว่าในนั้นก็มีอสูรที่อ่อนแอจำนวนมาก แต่การต่อสู้ในห้วงฝันบรรพกาล จ้าวเฟิงอาศัยจำนวนมากกว่าเอาชัยชนะมาได้เสมอ
หนำซ้ำการสู้รบสังหารจะสามารถกำจัดพวกที่อ่อนแอออกไปและขัดเกลาผู้แข็งแกร่งได้ กฎของสรรพสิ่งก็เป็นเช่นนี้ ผู้แข็งแกร่งกว่าย่อมเป็นคนอยู่รอด
ไม่นาน จ้าวเฟิงเดินทางมาถึงพื้นที่ของเผ่าพันธุ์หมาป่าเหมันต์นัยน์ตาฟ้า
นี่คือป่าที่มีต้นไม้สูงเสียดฟ้าแน่นหนาแห่งหนึ่ง หมอกเย็นกระจายตัวด้านใน บนต้นไม้จำนวนมากมีชั้นเกล็ดหิมะเกาะตัว ใจกลางของป่าแห่งนี้คือบึงน้ำแข็ง แน่นอนว่าทรัพยากรส่วนหนึ่งของที่นี่เป็นธาตุน้ำแข็งและน้ำ
ในตอนนี้ เผ่าพันธุ์หมาป่าเหมันต์นัยน์ตาฟ้าเกาะกลุ่มรวมตัวกันอยู่ที่ชายป่า เหมือนกับเฝ้าระวังถิ่นของตนเองอย่างนั้น ถึงแม้ว่าแววตาของพวกมันจะโหดเหี้ยม แต่แฝงความหวาดกลัวเอาไว้ เพราะฝูงสัตว์อสูรของจ้าวเฟิงมีจำนวนมหาศาลจริงๆ
“เจ้ามนุษย์ นี่เจ้าหมายความว่าอะไร?”
หมาป่าเหมันต์นัยน์ตาฟ้าตัวใหญ่ยักษ์ ทั่วร่างสาดซัดไอหนาวเยือกเสียดกระดูก
เมื่อสัมผัสดูอย่างละเอียดแล้ว จ้าวเฟิงก็พบว่าขอบเขตพลังของหมาป่าเหมันต์ตัวนี้แตะเทพแท้จริงขั้นสาม
“สยบต่อข้าเสีย มิฉะนั้นจะโทษว่าข้าใจร้ายไม่ได้!”
จ้าวเฟิงเอ่ยสั่งเสียงเย็น
ในเกาะเทียนอวี่ก็มีเผ่าหมาป่าเหมันต์นัยน์ตาฟ้าแห่งหนึ่งเช่นกัน พวกเขายังเคยส่งคนมาสังหารจ้าวเฟิงด้วย
ความจริงแล้ว จ้าวเฟิงเองก็สงสัยอย่างยิ่ง เหตุใดสัตว์อสูรทรงพลังในห้วงฝันบรรพกาลจึงไม่มีร่างมนุษย์ ส่วนเผ่าพันธุ์ทั้งหมดในดินแดนเทพรกร้างแทบจะอยู่ในร่างมนุษย์ทั้งสิ้น
“เป็นไปไม่ได้ หมาป่าเหมันต์นัยน์ตาฟ้าไม่มีทางศิโรราบให้เผ่าพันธุ์ชั้นต่ำของเจ้า!”
หมาป่าเหมันต์นัยน์ตาฟ้าขนาดยักษ์เอ่ยเสียงดุดัน
“เช่นนั้นข้าจะทำให้พวกเจ้ายอมสยบเสีย!”
จ้าวเฟิงโบกมือ กลุ่มทหารสัตว์อสูรด้านหลังทะยานเข้าไปบดขยี้
จ้าวเฟิงเองก็ไม่อยู่เฉย บุกทะลวงเข้าไปในป่าน้ำแข็งพร้อมกับวานรมารปีกดำ
เขามาไม่ได้มาเตร็ดเตร่เล่นที่ห้วงฝันบรรพกาล แต่มาเพื่อแย่งชิงทรัพยากร สู้รบ เพิ่มพลังความสามารถ รอหลังจากแข็งแกร่งแล้ว จ้าวเฟิงย่อมกลับไปยังดินแดนเทพรกร้างเพื่อสังหารเทพแท้จริง
จ้าวเฟิงและวานรมารปีกดำทะยานไปหาตัวที่แข็งแกร่งที่สุดของเผ่าหมาป่าเหมันต์นัยน์ตาฟ้า
“รวดเร็วเหลือเกิน!” จ้าวเฟิงตื่นตระหนก
หมาป่าเหมันต์นัยน์ตาฟ้าเชี่ยวชาญเสวียนอ้าวเหมันต์วารี ในเวลาเดียวกันก็ยังปราดเปรียวว่องไว อยู่เหนือวานรมารปีกดำเล็กน้อย
ส่วนพลังในตอนนี้ของจ้าวเฟิงยังไม่พอจะรับมือกับหมาป่าเหมันต์นัยน์ตาฟ้าที่เป็นเทพแท้จริงขั้นสามซึ่งๆ หน้า ทำได้เพียงซ่อนตัวอยู่ด้านหลังวานรมารปีกดำแล้วรุกโจมตี
“ดูท่าคงต้องเรียนเคล็ดวิชาการบินใหม่แล้ว!”
แววตาจ้าวเฟิงเพ่งมองเล็กน้อย
หลังจากมาถึงดินแดนเทพรกร้าง จุดเด่นในเรื่องความเร็วของจ้าวเฟิงค่อยๆ อ่อนด้อยลงไป ตอนปะทะกับเทพแท้จริงกุ่ยลี่ ความเร็วของจ้าวเฟิงยังช้ากว่าเขาเล็กน้อย ส่วนความเร็วของเทพแท้จริงกุ่ยซายิ่งอยู่เหนือกว่าจ้าวเฟิงอย่างสิ้นเชิง
ในวันนี้ ความเร็วของหมาป่าเหมันต์นัยน์ตาฟ้าตัวนี้ก็สูงอย่างยิ่ง เมื่อจ้าวเฟิงผนึกกำลังกับวานรมารปีกดำก็ยังยากจะทำอะไรมันได้
วิชาปีกอัสนีโบยบินและปีกอัสนีผ่านฟ้าของจ้าวเฟิงอยู่ในระดับต่ำเกินไป ต่อให้พลังศักดิ์สิทธิ์วายุอัสนีของเขาแข็งแกร่งนักหนา ก็ไม่สามารถชดเชยจุดด้อยของระดับเคล็ดวิชาการบินได้
“เพลิงดวงตาอัสนีเทวะ!”
ตราอัสนีเทวะแต่ละเสี้ยวรวมตัวกันในดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิง
ในเมื่อใช้ความเร็วทำอะไรหมาป่าเหมันต์นัยน์ตาฟ้าไม่ได้ เช่นนั้นจ้าวเฟิงก็ทำได้เพียงใช้วิธีอื่นแทน
การสร้างความบาดเจ็บของเพลิงดวงตาอัสนีเทวะเชื่อมโยงกับตราอัสนีเทวะ ต่อให้พลังวิญญาณของจ้าวเฟิงด้อยกว่าหมาป่าเหมันต์นัยน์ตาฟ้า แต่ก็ยังส่งผลทำลายมันได้อยู่ดี
แต่ทว่าสิ่งที่ทำให้จ้าวเฟิงตื่นตกใจก็คือ หมาป่าเหมันต์นัยน์ตาฟ้าสามารถต้านทานเพลิงดวงตาอัสนีเทวะของเขาได้อย่างแข็งแกร่ง
“ขอบเขตแสงมายา!”
ดวงตาของหมาป่าเหมันต์นัยน์ตาฟ้าพลันเพ่งมองจ้าวเฟิง แผ่กระจายพลังดวงตาเหมันต์ที่แกร่งกล้าออกมา
“แย่แล้ว สายเลือดหมาป่าเหมันต์นัยน์ตาฟ้าคือสายเลือดเหมันต์วารี เป็นสายเลือดดวงตาประเภทหนึ่ง!”
สีหน้าจ้าวเฟิงเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย
แม้ว่าสายเลือดดวงตาของพวกมันอ่อนแอนัก แต่ขอบเขตพลังสูงส่ง หากจ้าวเฟิงโดนกระบวนท่าดังกล่าวก็จบเห่
“เนตรเทพลอกแบบ!”
เมื่ออยู่ในห้วงฝันบรรพกาล จ้าวเฟิงไม่ลังเลที่จะปลดปล่อยพลังใหม่ของดวงตาซ้าย
ทันใดนั้นเอง ประกายมายาหลากสีวูบไหวในดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิง ก่อนกลายเป็นแสงสีทองอ่อนสุกสว่าง
วู้ม! พลังมายาเหมันต์ที่เหมือนกันพุ่งออกจากในดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิง
“นี่เป็นไปได้อย่างไรกัน? พลังเมื่อครู่?”
หมาป่าเหมันต์นัยน์ตาฟ้ามีสีหน้าตื่นกลัว ความเร็วลดลงไป
แววตาของมันฉายความตระหนกขณะจ้องดวงตาซ้ายจ้าวเฟิง ก่อนความกลัวเกรงค่อยๆ ผุดขึ้น
“ไป วานรมารปีกดำ!”
สีหน้าจ้าวเฟิงก็ตะลึงไปเช่นกัน จากนั้นจึงสั่งการ
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด หมาป่าเหมันต์ตัวนี้จึงไม่แข็งแกร่งเท่าเมื่อครู่ จากการโจมตีของจ้าวเฟิง วานรมารปีกดำ และสัตว์อสูรอื่นๆ มันสูญเสียความสามารถในการต่อสู้อย่างรวดเร็ว และถูกจ้าวเฟิงตีตราผนึกดวงใจทมิฬ
เมื่อหมาป่าเหมันต์นัยน์ตาฟ้าตัวที่แข็งแกร่งที่สุดถูกสยบ การรบครั้งนี้จึงจบลงไปอย่างรวดเร็ว
“พวกเจ้าไปจัดการของรางวัล จากนั้นค่อยมารายงานกับข้า!”
จ้าวเฟิงเอ่ยกำชับ และไม่ไปสนใจสัตว์อสูรเหล่านี้อีก
เพราะยามใช้เนตรเทพลอกแบบเมื่อครู่ ตอนที่เคลื่อนย้ายพลังดั้งเดิมอยู่ จู่ๆ จ้าวเฟิงก็พบสัญญาณประหลาด
สัญญาณประหลาดเช่นนี้ไม่มีที่ดินแดนเทพรกร้าง มีแค่ที่ห้วงฝันบรรพกาลเท่านั้น
จ้าวเฟิงพลันรู้สึกได้ว่าแรงกดดันและการผูกมัดที่ห้วงฝันบรรพกาลมีต่อตนเองอ่อนแรงลง พูดได้ว่าห้วงฝันบรรพกาลยอมรับจ้าวเฟิงแล้ว เมื่อจ้าวเฟิงผสานเข้าไปในห้วงฝันบรรพกาล ทุกสิ่งรอบกายทำให้เขารู้สึกใกล้ชิดสนิทสนม
ดวงตาจ้าวเฟิงเป็นประกาย จู่ๆ ก็คิดถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่ง
“ถ้าดวงตาของข้ากลายเป็นเนตรเทพเจ้า ห้วงฝันบรรพกาลก็เท่ากับเป็นมิติดั้งเดิมในเนตรเทพเจ้าของข้า สัญญาณในตอนนี้เข้าใจได้ว่าเป็นสิทธิ์ในการครอบครองมิติแห่งนี้ของข้า!”
จ้าวเฟิงพึมพำกับตนเองอย่างตื่นเต้น
ถ้าหากการคาดเดาของจ้าวเฟิงถูกต้อง ตอนนี้เนตรเทพเจ้าของตนเองน่าจะตื่นขึ้นโดยสมบูรณ์แล้ว ได้ครอบครองห้วงฝันบรรพกาลอย่างสิ้นเชิง จ้าวเฟิงก็คือนายเหนือหัวสูงสุดของที่แห่งนี้ ในตอนนั้น ทรัพยากรทั้งหมดในห้วงฝันบรรพกาลก็ขึ้นอยู่กับจ้าวเฟิงทั้งสิ้น เผ่าพันธุ์ที่แกร่งกล้าที่นี่จะกลายเป็นผู้ช่วยของเขา
แต่นี่เป็นเพียงแค่การคาดเดาของจ้าวเฟิงเท่านั้น
“ต้องแข็งแกร่งกว่านี้ ถึงจะสามารถพิสูจน์เรื่องทั้งหมดได้!”
แววตาจ้าวเฟิงแน่วแน่เป็นที่สุด ความปรารถนาที่จะแข็งแกร่งขึ้นแรงกล้ากว่าเคย
ไม่นานเท่าไหร่นัก ฝูงสัตว์อสูรของจ้าวเฟิงรายงานสถานการณ์การรบทั้งหมดแก่เขา สัตว์อสูรในศึกครั้งนี้สูญเสียไปค่อนข้างสาหัส อย่างไรเสียเผ่าหมาป่าเหมันต์นัยน์ตาฟ้าก็เป็นเผ่าพันธุ์ที่ดุร้ายนัก ชำนาญเหมันต์วารีและศาสตร์ลวงตา
และเช่นเดียวกัน ผลเก็บเกี่ยวในการรบนี้ก็เป็นครั้งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของจ้าวเฟิง
นอกเหนือจากทรัพยากรเหมันตวารีจำนวนมหาศาล ยังมีสายแร่ผลึกเซียนระดับล่างสองสาย และยังมีดินแดนมรดกศาสตร์เหมันต์อีกหนึ่งแห่ง
“ที่นี่ยังมีมรดกหรือ?”
จ้าวเฟิงตื่นตะลึงเล็กน้อย เขาก็ไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้เช่นกัน
แต่ยามนี้จ้าวเฟิงยังไม่ไปใส่ใจมรดกที่ว่า แต่เดินมาจนถึงข้างสายแร่ผลึกเซียนระดับล่าง
“เก็บมา!”
จ้าวเฟิงเก็บสายแร่ผลึกเซียนระดับล่างเข้าไปในมนตราอากาศ
มังกรวารีล้างโลกาที่กำลังฝึกตนอยู่ในมนตราอากาศเปิดเปลือกตาออกทันที
สายแร่ขนาดยักษ์ที่เปล่งแสงสกาวร่วงลงบนพื้นที่ว่างจุดหนึ่ง ไอสวรรค์ในฟ้าดินที่หนาแน่นทะลักหลั่งออกมาอย่างบ้าคลั่งทันใด
“สายแร่ผลึกเซียนระดับล่าง!”
มังกรวารีล้างโลกาอ้าปากค้าง ไม่กล้าจะเชื่อเรื่องทั้งหมดนี้
คิดไม่ถึงว่าครั้งนี้จ้าวเฟิงจะโยนสายแร่ผลึกเซียนระดับล่างสายหนึ่งมาให้ ต้องรู้ว่า สายแร่ผลึกเซียนระดับล่างเป็นถึงรากฐานของเผ่าพันธุ์สี่ดาว เป็นสิ่งของที่ทั้งเผ่าพันธุ์ให้ความสำคัญที่สุด ไม่มีสายแร่ผลึก เผ่าพันธุ์สี่ดาวก็จะตกต่ำและตายลงในดินแดนเทพรกร้าง
เทียบกับความตื่นตระหนกของมังกรวารีล้างโลกา จ้าววั่น จ้าวหวาง และแมวขโมยตัวน้อยกลับไม่รู้สึกอะไร
‘เจ้านี่คิดจะหนีไปที่ไหนกันแน่? กลับเอาสิ่งของที่มีน้อยนิดเช่นนี้ออกมาได้!’
ดวงตาของมังกรวารีล้างโลกาหลุกหลิกไม่หยุด เขาอยากจะไปยังสถานที่ที่จ้าวเฟิงไปในตอนนี้ แต่จ้าวเฟิงคงจะไม่บอกเขาแน่
ถ้าหากมังกรวารีล้างโลกาอยู่ในสภาวะที่พลังสมบูรณ์พร้อม ย่อมไม่แยแสสายแร่ผลึกเซียนระดับล่างนี้แน่ แต่ด้วยระดับขั้นของจ้าวเฟิง มีสายแร่ผลึกเซียนระดับล่างได้ก็เหลือเชื่ออย่างยิ่ง
“เสี่ยวเฮย ฝังสายแร่ผลึกเซียนลงไปในดิน!”
เสียงของจ้าวเฟิงดังขึ้นในหัวมังกรวารีล้างโลกา
มังกรวารีล้างโลกาเหนื่อยหน่ายอย่างยิ่ง ก่อนจะปฏิบัติตามคำสั่งของจ้าวเฟิง
สายแร่ผลึกเซียนระดับล่างสายนี้ มีเพียงสิ่งมีชีวิตไม่กี่ตัวในมนตราอากาศที่ใช้ และเกิดประโยชน์ชัดเจนมาก ความเร็วในการฝึกตนของมังกรวารีล้างโลกา จ้าวหวาง จ้าววั่น และแมวขโมยน้อยเพิ่มขึ้นหลายเท่าในทันที
……
รอบๆ ค่ายกลที่คนของเจ้าเกาะเทียนอวี่จัดตั้งขึ้น สมาชิกเผ่าพันธุ์ต่างๆ ปรากฏตัวจากที่ซ่อนเรื่อยๆ พวกเขาเพียงอยากรู้ว่าเหตุใดคนของเจ้าเกาะเทียนอวี่จึงต้องวางค่ายกลที่น่ากลัวเช่นนี้ที่นี่
ค่ายกลกลางอากาศแห่งนั้น ภายในว่างเปล่า อีกทั้งเวลาผ่านไปเดือนหนึ่งแล้ว คนของเจ้าเกาะเทียนอวี่ก็ยังไม่เคยจากไป
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
“หรือว่าที่นี่มีสมบัติล้ำค่าอะไรผุดขึ้นมา?”
คนจากหน่วยข่าวกรองของทั้งเกาะเทียนอวี่วนเวียนอยู่แถวนี้
แต่เผ่าพันธุ์จำนวนมากที่อยู่ในบริเวณนี้คาดเดาถึงความน่าจะเป็นอย่างหนึ่ง
หลังจากที่เทพแท้จริงกุ่ยลี่ไล่ล่าสังหารจ้าวเฟิงในตอนนั้นแล้ว คนทั้งสองก็ไม่เคยปรากฏตัวขึ้นอีก จากนั้นเทพแท้จริงกุ่ยซาจึงวางค่ายกลที่นี่ หนำซ้ำยังเฝ้าด้วยตนเอง
พวกเขาคาดเดาไปต่างๆ นานา เทพแท้จริงกุ่ยซารอจ้าวเฟิงอยู่หรือไม่ แต่ถึงจะเป็นเพียงการคาดเดา พวกเขาก็ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วจ้าวเฟิงไปไหนกันแน่ และไม่เข้าใจเช่นกันว่าทำไมเทพแท้จริงกุ่ยซาจึงต้องกางค่ายกลสังหารกลางอากาศ
ในถ้ำเขาแห่งหนึ่งที่ไกลจากค่ายกลดาวเหนือออกไปหลายหมื่นลี้ ประสาทสัมผัสเทพของเทพแท้จริงกุ่ยซาจดจ่ออยู่กับค่ายกลอย่างไม่ลดละ
“ปรากฏตัวขึ้นอีกแล้ว!”
ทันใดนั้นเอง แววตาเทพแท้จริงกุ่ยซาสาดประกายแวววับ แต่ก็สงบลงทันที
ทุกครั้งที่ระลอกมิติประหลาดปรากฏขึ้นจะวูบวาบ เหมือนว่ากลั่นแกล้งเทพแท้จริงกุ่ยซา ในระยะเวลาหนึ่งเดือนนี้ ระลอกมิติประหลาดปรากฏขึ้นถึงสามครั้งแล้ว
ทว่าเทพแท้จริงกุ่ยซาต้องสังหารจ้าวเฟิงให้ได้ มิฉะนั้นแล้วเขาคงจะสู้หน้าเจ้าเกาะเทียนอวี่ไม่ไหว อีกทั้งสมบัติในครอบครองของจ้าวเฟิงก็เย้ายวนใจอย่างยิ่ง
แต่ขณะนี้ ในขั้วอำนาจของเจ้าเกาะเทียนอวี่ นอกเหนือจากเทพแท้จริงกุ่ยซาแล้วคนอื่นๆ ก็ไม่สามารถสัมผัสได้ถึงระลอกมิติประหลาดที่ซุกซ่อนอยู่ในฟ้าดิน
ดังนั้นเทพแท้จริงกุ่ยซาจึงจำต้องเฝ้าอยู่ที่นี่เพื่อไม่ให้จ้าวเฟิงหลบหนีไปได้
“ข้าจะรอดูว่าเจ้าจะซ่อนตัวไปได้ถึงเมื่อไหร่!”
เทพแท้จริงกุ่ยซามีสีหน้าดำทะมึน
เขาไม่เชื่อว่าจ้าวเฟิงจะซ่อนตัวอยู่ในมิตินิรนามที่สัมผัสไม่ได้แห่งนั้นได้ตลอดไป