Skip to content

King of Gods 120

King Of Gods

บทที่ 120 : ยาชำระไขกระดูก

ในสิ่งก่อสร้างห่างออกไปหลายร้อยก้าว

“บัดซบ! ศิษย์ของเจ้าเมืองกว่านจวินสร้างอำนาจขึ้นเช่นนั้นได้อย่างไร!?”

กวานเฉินฟาดมือของเขาลงบนโต๊ะ สิ่งก่อสร้างนั้นสั่นสะท้านและเกือบจะพังทลายลง

ข้างๆ เขาปรากฏร่างของโฮวหยวน ผู้ครองอันดับสี่ ทั้งสองได้เห็นการต่อสู้ทั้งหมด คราแระพวกเขานั้นเพียงมาชม ‘การแสดง’ แต่ผลลัพธ์นั้นนับว่าเกินคาดหมาย!

เด็กหนุ่มที่เพิ่งเข้าร่วมสำนักได้เอาชนะอี้เฟิงอวิ๋นที่ครองอันดับที่สิบสาม และได้กลายเป็นศิษย์เพียงคนเดียวที่มีพลังฝึกตนต่ำกว่าขั้นเก้าและสามารถครองหนึ่งในยี่สิบอันดับแรกได้

“เด็กนั่นแข็งแกร่งกว่าที่ข้าคิด ทว่าเขาไม่อาจต้านทานข้าได้มากกว่า 10 กระบวนท่า” โฮวหยวนมองไปยังจ้าวเฟิงอย่างเย็นชา

กวานเฉินไม่ได้สงสัยในคำพูดของเขา ผู้ที่ครองอันดับ 11-20 นั่นยัง ‘ธรรมดา’ ทว่าหลังจากเข้าสู่ 10 อันดับแรก พวกเขาก็ไม่ได้ ‘ธรรมดา’ อีกต่อไป ผู้ที่มีอันดับสูงในศิษย์สายนอกมีความสามารถเพียงพอที่จะท้าประลองผู้ที่อยู่ในขอบเขตก่อกำเนิดปราณได้

ตัวอย่างเช่น โฮวหยวนได้ท้าประลองผู้ฝึกตนขั้นนภาที่หนึ่งแห่งขอบเขตก่อกำเนิดปราณ

แน่นอนว่าสัตว์ประหลาดที่ครองอันดับหนึ่งในบรรดาศิษย์สายนอกได้เอาชนะผู้ฝึกตนในขอบเขตก่อกำเนิดปราณได้ แม้ว่าเขาจะมีพลังเพียงครึ่งก้าวของขอบเขตก่อกำเนิดปราณก็ตาม

ฟุ่บ!

ร่างร่างหนึ่งพลันปรากฏตัวขึ้นเบื้องหลังทั้งสอง

“รองผู้คุมกฎหวัง!”

โฮวหยวนและกวานเฉินลุกขึ้นและค้อมคำนับอีกฝ่าย

ผู้ที่เป็นผู้คุมกฎต่างมีพลังฝึกตนที่นภาที่สี่ถึงหกในขอบเขตก่อกำเนิดปราณเป็นอย่างน้อย

แน่นอนว่าผู้คุมกฎเช่นเจ้าเมืองกว่านจวินที่มีหน้าที่ในการดูแลเรื่องราวในโลกมนุษย์ไม่ได้แข็งแกร่ง เพียงแค่อยู่ในขอบเขตก่อกำเนิดปราณก็สามารถเป็นได้แล้ว

“จ้าวเฟิงผู้นี้นับว่าเหนือคาดไม่น้อย”

รองผู้คุมกฎหวังเอ่ยด้วยความประหลาดใจเล็กๆ รอยยิ้มระบายอยู่บนใบหน้าของเขา เขาไม่เห็นผู้ที่มีพลังต่อสู้แข็งแกร่งเช่นนี้มาเป็นเวลานานมากแล้ว

“รองผู้คุมกฎหวัง ท่านควรจะรู้ว่าเขาเป็นศิษย์ของเจ้าเมืองกว่านจวิน แล้วเหตุใดท่านจึงได้ให้หน้าที่…” นำเสียงของกวานเฉินติดจะตำหนิ

รองผู้คุมกฎผู้นี้มีความสัมพันธ์อันดีต่อไฮ่หยุน ทว่าเมื่อไฮ่หยุนเริ่มที่จะเลื่อนตำแหน่ง ความสัมพันธ์ของพวกเขาจึงเริ่มที่จะห่างเหินกันขึ้น

“จ้าวเฟิงนั้นมีพรสวรรค์เพียงกายจิตวิญญาณระดับต่ำ ดังนั้นแล้วไม่ว่าสัญชาตญาณในการต่อสู้ของเขาจะแข็งแกร่งเพียงใด อนาคตของเขาก็มีจำกัด เขาจะกระทั่งสามารถคุกคามเจ้า ผู้เป็นศิษย์สายในได้หรือ? เขาจะสามารถคุกคามผู้อาวุโสได้หรือ? มันไม่ใช่เรื่องดีที่จะสร้างความขุ่นข้องต่อรองหัวหน้าตำหนักสองคนพร้อมกัน! กระทั่งอาจารย์ของเจ้า ไฮ่หยุน ก็ต้องคิดอีกครั้ง…” รองผู้คุมกฎหวังเอ่ยอย่างหนักแน่น

“รองหัวหน้าตำหนักสองคน? ท่านหมายความว่า…?” น้ำเสียงของกวานเฉินแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย

เขารู้อย่างชัดเจนว่าสิ่งที่อีกฝ่ายเอ่ยนั้นเป็นความจริง สัญชาตญาณในการต่อสู้ของจ้าวเฟิงนั้นอาจแข็งแกร่ง ทว่าอนาคตของเขามีจำกัด

มันก็เหมือนเช่นเจ้าเมืองกว่านจวินสมัยยังเยาว์ เขาได้ต่อสู้กับไฮ่หยุนก่อนหน้า ทว่าไม่ว่าเจ้าเมืองกว่านจวินจะแข็งแกร่งเพียงใดในตอนนั้น เขาก็เป็นเพียงจุดต่ำสุดของสำนัก

รองผู้คุมกฎหวังไม่ได้ปกปิดและเอ่ยถึงการยื้อแย่งจ้าวเฟิงของสองรองหัวหน้าตำหนักออกมา

“ทั้งรองหัวหน้าตำหนักกวนและรองหัวหน้าตำหนักจาง… ต้องการตัวจ้าวเฟิง???” ปากของชายหนุ่มอ้าค้างและพลันรู้สึกจนใจ

ในฐานะของศิษย์สายใน เขารู้ถึงอำนาจของรองหัวหน้าตำหนักทั้งสองอย่างชัดเจน

ทั้งสองนั้น หนึ่งเป็นหนึ่งในยอดผู้เชี่ยวชาญค่ายกล อีกหนึ่งเป็นนักปรุงยา และได้สร้างคุณประโยชน์ให้กับสำนักอย่างมาก ในด้านของพลังและอำนาจนั้น ทั้งสองเพียงด้อยกว่าผู้อาวุโส ทว่าเมื่อทั้งสองร่วมมือกัน กระทั่งผู้อาวุโสยังต้องคิดอีกครั้ง

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ อาจารย์ไฮ่หยุนไม่ได้บอกให้พวกเขาข่มศิษย์ของเจ้าเมืองกว่านจวิน

ในฐานะของผู้อาวุโสของสำนัก อาจารย์ไฮ่หยุนนั้นอยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงและย่อมไม่จงใจกดขี่ศิษย์ไม่กี่คนที่ไม่มีพรสวรรค์สูงส่งอันใด การกระทำของกวานเฉินนั้นถูกกระทำเพียงเงียบๆ

เมื่อไร้ซึ่งการสนับสนุนของผู้อาวุโส กวานเฉินย่อมไม่ต่อต้านรองหัวหน้าตำหนักทั้งสอง ทว่านี่ย่อมไม่ใช่จุดสิ้นสุด เขาอาจไม่สามารถจัดการอีกฝ่ายได้โดยตรง ทว่ามันยังเป็นเรื่องง่ายที่จะจดการมดปลวกไม่กี่ตัวด้วยเล่ห์กลเล็กน้อย

หลังจากการประลอง จ้าวเฟิงพ่นลมหายใจยาวเหยียดก่อนจะพลิ้วร่างลงเบื้องหน้าศิษย์พี่ทั้งสอง

“ยินดีด้วยศิษย์น้องจ้าวเฟิง! เจ้าทำให้ข้าอิจฉาในการได้เป็นว่าที่ศิษย์สายในแล้ว”

องค์หญิงอวิ๋นเมิงเซียงเป็นคนแรกที่เดินมาเอ่ยแสดงความยินดี ในเวลาเดียวกันนั้น นางก็มองสำรวจเด็กหนุ่มเบื้องหน้าของนางอีกครั้งอย่างช่วยไม่ได้

“ศิษย์น้องจ้าวเฟิง ทำให้พวกเราต้องถอดถอนใจแล้ว!”

“การประลองก่อนหน้าตื่นเต้นนัก! ศิษย์น้องจ้าวได้สร้างปาฏิหาริย์แล้ว!”

ศิษย์ใหม่คนอื่นๆ ได้มาเอ่ยเยินยอเด็กหนุ่ม สำนักจันทร์สลายนั้นได้รับศิษย์ใหม่เข้ามาทั้งหมด 22 คน เมื่อไม่รวมซุนหยวนเฮาที่ถูกนำตัวไปก่อนหน้า ก็มีทั้งหมด 21 คนที่กลายเป็นศิษย์สายนอก และในบรรดา 21 คนนั้น จ้าวเฟิงได้กลายเป็นวาที่ศิษย์สายในคนแรก

แน่นอนว่าย่อมมีผู้ที่ไม่พึงพอใจเช่นกัน

“เขาเป็นว่าที่ศิษย์สายในแล้วอย่างไร? เขาไม่แม้แต่จะทะลวงเข้าสู่ขั้นเก้าแห่งขอบเขตแห่งการรวบรวมเสียด้วยซ้ำ มันย่อมไม่นานที่เราจะสามารถก้าวข้ามเขาได้ เขามีเพียงกายจิตวิญญาณระดับต่ำเท่านั้น”

เซี่ยวซุนที่มีพลังฝึกตนสูงที่สุดในบรรดาศิษย์ใหม่ได้ตื่นขึ้นจากความตะลึง ความจริงนั้นกระทั่งเขาก็ตะลึงไปกับความสามารถของอีกฝ่าย และเขายอมรับว่าจ้าวเฟิงนั้นได้สร้างอำนาจของเขาขึ้นแล้ว มันเกือบจะแน่นอนแล้วว่ามีผู้คนไม่มากที่กล้าสร้างความขุ่นข้องให้เขานับแต่นี้”

“ฮึ่ม! เขาสำเร็จอีกแล้ว!” หลิวเยว่เอ๋อร์เค้นเสียงเย็น ทว่ายังคงมีความยินดีเล็กๆ อยู่ในใจ

ในสายตาของเหล่าศิษย์ใหม่ จ้าวเฟิงนั้นชนะแม้ว่าเขาจะอ่อนแอกว่า และได้ทำให้ผู้คนที่เหลือรู้สึกโล่งใจ

กระทั่งทุกคนจากไปแล้ว จ้าวเฟิงจึงได้ทักทายหนานกงฟั่นและหยางชิงชั่น

ผู้เป็นศิษย์พี่ทั้งสองต่างมองไปยังเด็กหนุ่มเบื้องหน้าพวกเขาด้วยสายตาซับซ้อน นอกจากความรู้สึกผิดแล้วยังมีความซาบซึ้งปะปนอยู่ในหัวใจ

“เมื่ออี้เฟิงอวิ๋นแพ้ ดูเหมือนว่าเขาจะไม่สร้างความลำบากให้กับศิษย์พี่หยางอีกต่อไป” จ้าวเฟิงแย้มรอยยิ้มให้หยางชิงชั่น

หลังจากกลายเป็นว่าที่ศิษย์สายใน จ้าวเฟิงได้ย้ายออกจากที่พักเดิมของศิษย์ทั่วไป ในบรรดาศิษย์สายนอกนั้น ว่าที่ศิษย์สายในจะได้รับการดูแลที่ดีที่สุดและมีสวนเป็นของตนเอง นอกเหนือไปจากนั้น ทรัพยากรที่พวกเขาจะได้รับจากสำนักยังเพิ่มขึ้นเช่นกัน

หลังจากจัดของเสร็จ จ้าวเฟิงก็กลับไปยังตำหนักหญ้าไพร ทว่าผู้เฒ่ากวนกำลังอยู่ในระหว่างการปรุงยาจำนวนมากและได้ฝากคำพูดของเขาให้ผู้อื่นมาบอกแก่เด็กหนุ่ม

“รองหัวหน้าตำหนักกวนบอกว่าเขาให้เจ้าพักวันหนึ่ง” ผู้ส่งสารเอ่ย

พัก?

จ้าวเฟิงประหลาดใจเล็กๆ ทว่าเมื่อคิดว่าผู้เฒ่ากวนอาจคิดว่าเขานั้นจะแพ้และต้องการให้เวลาเขาเพื่อพักและรักษาตัว

“เขายังบอกให้ข้าเอาของบางอย่างให้เจ้าด้วย” ผู้ส่งสารส่งของจำนวนหนึ่งให้เด็กหนุ่ม

“ยารักษาโลหิต… ยาเชื่อมกระดูก?”

สีหน้าของเด็กหนุ่มแปลกประหลาด จากยาเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าชายชรานั้นคิดว่าเขาพ่ายแพ้ได้ย่ำแย่เพียงใด

ยารักษาโลหิตและยาเชื่อมกระดูกนั้นล้วนแล้วแต่เป็นยาที่มีราคาสูงและไม่มีขายในโลกมนุษย์

ยารักษาโลหิตจะรักษาอาการบาดเจ็บภายใน ตราบเท่าที่คนผู้นั้นไม่บาดเจ็บสาหัส พวกเขาจะฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ยาเชื่อมกระดูกสามารถเชื่อมกระดูกที่หักเข้าด้วยกันได้ และเพิ่มความเร็วในการฟื้นฟู

“ยังมียาชำระไขกระดูกอีกเม็ด” ผู้ส่งสารนำยาอีกเม็ดออกมาด้วยความอิจฉา

ยาชำระไขกระดูก?

หัวใจของจ้าวเฟิงกระตุก

เขาได้ยินถึงความสามารถของยานี้มาก่อน ยาชำระไขกระดูกนั้นสามารถเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติของร่างของคนผู้หนึ่งได้ เด็กหนุ่มกระทั่งได้ยินมาว่ายาชำระไขกระดูกนี้จะเพิ่มโอกาสในการทะลวงขั้นเข้าสู่ขอบเขตก่อกำเนิดปราณจากขั้นเก้าในระดับหนึ่งด้วย

หลังจากรับยานี้ จ้าวเฟิงก็รู้สึกตื่นเต้นเล็กๆ ผู้เฒ่ากวนได้มอบยาที่ล้ำค่าเช่นนี้ให้แก่เขา หากศิษย์ในขั้นครึ่งก้าวของขอบเขตก่อกำเนิดปราณกินยานี่เข้าไป พวกเขาจะมีโอกาสมากขึ้นหนึ่งถึงสองส่วนในการทะลวงเข้าสู่ขอบเขตก่อกำเนิดปราณ

ในวันเดียวกันนั้น จ้าวเฟิงได้กลับไปยังสวนของเขาและพลันกลืนยาชำระไขกระดูกลงไปในทันที

พลังของยาชำระไขกระดูกนั้นสงบเยือกเย็นและค่อยๆ ชำระล้างอวัยวะของเขาอย่างช้าๆ…

กระบวนการทั้งหมดนั้นราวกับการต้มน้ำ เชื่องช้าและมั่นคง

แน่นอนว่าเป็นเพราะวิชากำแพงเงินของเขาได้เข้าสู่ขั้นสุดยอดของระดับแปด มันทำให้ร่างกายของเขาแข็งแกร่งกว่าผู้อื่นซึ่งทำให้เขาสามารถทานทนพลังที่มากกว่าผู้อื่นได้

ยาชำระไขกระดูกนั้นไม่ได้สงบนิ่งสำหรับคนปกติ

จ้าวเฟิงโคจรเคล็ดลมหายใจหวนและวิชากำแพงเงินไปพร้อมๆ กันเพื่อดูดซึมยา ความรู้สึกอุ่นวาบแพร่กระจายไปทั่วร่างของเขา เด็กหนุ่มรู้สึกว่าร่างกายของเขาเปลี่ยนแปลงไปและพัฒนาขึ้นจากยาชำระไขกระดูก

เขาเพ่งความสนใจก่อนจะรู้สึกถึงระลอกกระเพื่อมในดวงตาซ้ายของเขา

ตึก! ตึก! ตึก!

แรงกระเพื่อมจากดวงตาซ้ายของเขาชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ และส่งความรู้สึกอุ่นซ่านไปทั่วร่าง มันหลอมรวมเข้ากับพลังของยาชำระไขกระดูก

“ดูเหมือนว่าตาซ้ายลึกลับนี่มีความสามารถในการพัฒนาร่างกายของข้าเช่นกัน”

การคาดเดาของจ้าวเฟิงพัฒนาขึ้น

คราแรกนั้นความสามารถในการเข้าใจของเขานั้นธรรมดา ทว่าหลังจากหลอมรวมกับดวงตาซ้ายของเขา ทุกสิ่งก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไปช้าๆ ร่างที่เคยเป็นเพียงร่างกายธรรมดาก็เริ่มที่จะเปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน

หากดวงตานี้มาจากเทพบรรพกาล แล้วมันจะอนุญาตให้ผู้เป็นเจ้าของมีร่างกายธรรมดาได้อย่างไร?

แน่นอนว่าก่อนที่มันจะกลับไปสู่จุดสูงสุด มันย่อมต้องพัฒนาพรสวรรค์ของเจ้าของกระทั่งเจ้าของดวงเนตรนี้สามารถควบคุมโลกได้

ตึก! ตึก!

จ้าวเฟิงรู้สึกว่าความรู้สึกจากดวงตาซ้ายของเขานั้นแข็งแกร่งขึ้นกว่าแต่ก่อนและความเร็วในการดูดซึมยาชำระไขกระดูกได้เพิ่มขึ้นอย่างมาก

ครึ่งชั่วโมงต่อมา ชั้นของเหลวสีดำเหนียวหนืดส่งกลิ่นเหม็นก็ปรากฏขึ้นบนร่างของเด็กหนุ่ม

ภายในดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิง ประกายแสงภายในได้ขยายขึ้นเป็น 8.4 ฟุต

จ้าวเฟิงรู้สึกว่าพลังจิตของเขาเพิ่มขึ้นและร่างกายได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก

ในตอนนี้ พลังเพียงหนึ่งในสี่ของยาชำระไขกระดูกได้ถูกดูดซึม

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!