บทที่ 1250 หนังสือท้ารบ
“ขั้นสี่ระดับสุดยอด?” จ้าวเฟิงพึมพำ
ยี่สิบห้าปีก่อนหน้านี้เขาสามารถต้านทานเทพแท้จริงขั้นห้าเบื้องต้นได้ หรือคือในตอนนั้นจ้าวเฟิงก็สามารถสยบเว่ยเจ๋อคนนี้ได้แล้ว
‘บางทีข้าควรจะแสดงพลังสักหน่อย!’ ใจของจ้าวเฟิงคร่ำเคร่ง ครุ่นคิดขึ้น
เผ่าพันธุ์วิญญาณคือขั้วอำนาจห้าดาว ในนี้มีอัจฉริยะมากมาย ส่วนใหญ่ล้วนไปถึงเทพแท้จริงขั้นหกแล้ว ส่วนอัจฉริยะรุ่นอาวุโสกว่ายิ่งมีที่ขอบเขตพลังถึงเทพโบราณ
ต่อให้จ้าวเฟิงเอาชนะจินเว่ย แสดงศักยภาพพรสวรรค์ในระดับหนึ่ง แต่ในเมื่อเขาไม่ใช่คนของเผ่าพันธุ์วิญญาณ ก็ไม่สำคัญพอที่เผ่านี้จะให้ความสำคัญ หากไม่ใช่เพราะจ้าวหยูเฟย ผู้นำระดับสูงของเผ่าพันธุ์วิญญาณอาจจะลงมือกับจ้าวเฟิงอย่างโหดเหี้ยมก็เป็นได้
จ้าวเฟิงพลันลุกยืนขึ้น เตรียมจะออกไป
พานฮ่าวเห็นจ้าวเฟิงลุกขึ้นมาก็ตื่นตะลึงไปทันที
“พวกเขาตั้งใจมายั่วโมโหเจ้า เจ้าคงจะไม่รับคำท้าหรอกกระมัง?”
พานฮ่าวถามทันที
ถึงแม้เขาจะรู้ว่าจ้าวเฟิงสุดยอด แต่ไม่เชื่อว่าจะเอาชนะเว่ยเจ๋อได้ ในเมื่อจ้าวเฟิงเป็นเพียงแค่ปฐมเทพเท่านั้น
“เจ้าเต่าหดหัว หรือเจ้าจะหลบอยู่ข้างในงั้นรึ?”
“คิดไม่ถึงเลยว่าชายที่จ้าวหยูเฟยให้ความสำคัญจะเป็นพวกไม่เอาไหน…”
นอกตำหนัก เสียงเซ็งแซ่ทุกประเภทดังไม่ขาดสาย และในยามนี้ ประตูผลึกแก้วเบื้องหน้าของพวกเขาก็พลันเปิดออก
“เอ๋ ในที่สุดก็กล้าออกมาแล้วรึ?”
เบื้องหน้าเป็นชายเกราะดำคนหนึ่ง บ่าทั้งสองข้างมีเขาโค้งสีดำ ใบหน้าเหี้ยมเกรียมให้ความรู้สึกกระหายเลือดชั่วร้าย
คนคนนี้ก็คือเว่ยเจ๋อนั่นเอง
ส่วนมากที่ล้อมมุงอยู่ละแวกนี้คือศิษย์นอกเผ่า แต่ก็มีศิษย์หลักในเผ่าอยู่มากเช่นกัน
“เป็นคนคนนี้เองรึ ท่าทางอ่อนแอ จะเป็นคู่มือของเว่ยเจ๋อไปได้อย่างไรกัน!”
หลังจากที่งานพบปะชุมนุมจบลง จ้าวเฟิงก็ปิดด่านมาโดยตลอด ไม่เคยได้ออกมาเลย
ดังนั้นลูกศิษย์ส่วนมากจึงยังไม่เคยเห็นหน้าตาของจ้าวเฟิง
“หากเจ้าอยากสู้ เช่นนั้นก็สู้เถอะ!” จ้าวเฟิงจ้องไปยังเว่ยเจ๋อด้วยสีหน้าเย็นชา
“ฮ่าๆ ดี!” เว่ยเจ๋อยิ้มอย่างบ้าคลั่ง
สำหรับเขาแล้ว หลังจากที่จ้าวเฟิงเอาชนะจินเวยได้ก็นึกว่าตนเองเก่งกล้ามาก
จินเวยถึงแม้ว่าจะมีสายเลือดเผ่าพันธุ์วิญญาณ แต่เขาอยู่อย่างสุขสบายมาโดยตลอด ไม่เคยผ่านการตรากตรำมาก่อน พลังต่อสู้ต่ำนัก
“เจ้านี่รับคำท้างั้นรึ? ช่างรนหาที่ตายจริงๆ!”
“มีอะไรสนุกๆ ดูแล้ว!”
……
บนเวทีประลอง เขตพื้นที่ศิษย์นอกเผ่า
“ข้าคิดว่าเจ้าจะหลบอยู่ข้างหลังผู้หญิงไปตลอดเสียอีก!”
รอยยิ้มของเว่ยเจ๋อค่อนข้างโหดร้ายเหี้ยมเกรียม
เว่ยเจ๋อก็คือผู้เกี้ยวพาจ้าวยูเฟยเช่นกัน แต่ว่าช่วงก่อนหน้านี้เขาปฏิบัติภารกิจอยู่ภายนอก จึงไม่ได้เข้าร่วมงานพบปะชุมนุม แต่หลังจากที่เขากลับมาก็ได้รับข่าวที่ทำให้โมโหสุดขีด ดังนั้นหลังจากที่สืบข่าวแล้ว เว่ยเจ๋อจึงมาหาจ้าวเฟิงทันที
“อย่าได้พูดมากความ!”
สายตาของจ้าวเฟิงเย็นเยือก ตาซ้ายโคจร ข้างในแผ่กระจายเจตจำนงดวงตาที่น่าหวาดกลัวกลุ่มหนึ่งออกมา
เว่ยเจ๋อที่แต่เดิมใบหน้าสบายใจไร้กังวล เปลี่ยนสีหน้าไปทันใด ในรายงานข่าวของเขาไม่ได้บอกว่าจ้าวเฟิงชำนาญวิชาดวงตานี่!
ฟู่! หมอกสีม่วงทองพลันห่อหุ้มวิญญาณของเว่ยเจ๋อเอาไว้ข้างใน
ทิวทัศน์รอบกายเว่ยเจ๋อคลุมเครือเลือนราง พลังการควบคุมของร่างกายเขาในทุกๆ ด้านก็ค่อยๆ ลดลง
“เจ้าเด็กนี่ ความลึกซึ้งในวิชาดวงตาสูงยิ่งนัก!”
เว่ยเจ๋อแค่นเสียงต่ำ โคจรพลังวิญญาณสุดกำลัง ฟื้นฟูอาการอย่างรวดเร็ว
ในยามนี้เอง เว่ยเจ๋อสัมผัสได้ถึงการโจมตีของจ้าวเฟิงจากด้านข้าง เขาตอบโต้อย่างรวดเร็ว หมัดทั้งสองชกป้องกันออกไป
ครืน บึ้ม! กระบวนท่าสอดประสาน จ้าวเฟิงและเว่ยเจ๋อต่างถอยหลังไปหลายสิบก้าวในเวลาเดียวกัน
“เจ้าเว่ยเจ๋อคนนี้พลังแข็งแกร่ง พลังต่อสู้ก็แข็งแกร่งมากเช่นกัน!”
จ้าวเฟิงพยักหน้า
เขาเชี่ยวชาญขอบเขตวิญญาณ เนตรเทพเจ้าก็มีข้อได้เปรียบในระดับหนึ่ง แต่พลังวิญญาณยังห่างกับเทพแท้จริงขั้นสี่อยู่ช่วงหนึ่ง ดังนั้นวิชาดวงตาวิญญาณจึงส่งผลกับเว่ยเจ๋อไม่มากนัก
อีกด้านหนึ่ง สีหน้าของเว่ยเจ๋อตื่นตะลึง ในใจค่อนข้างสั่นสะท้าน เขาพบว่าพลังและร่างกายของจ้าวเฟิงต่างกับเขาไม่มากเท่าไหร่!
เป็นเพราะเขาฝึกฝนวิชาฝึกกาย รวมกับมึข้อได้เปรียบทางสายเลือด แต่จ้าวเฟิงเป็นเพียงแค่ปฐมเทพ กลับมีร่างกายที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้
ด้านล่างเวที พานฮ่าวที่ใบหน้าเป็นกังวล ดวงตาทั้งสองตะลึงไปทันใด เขาพบว่าตนเองประเมินจ้าวเฟิงต่ำไปเป็นอย่างมาก
ลูกศิษย์คนอื่นๆ ที่ดูการต่อสู้ ใบหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยเช่นกัน เกรงว่าคนทั้งหมดล้วนคิดไม่ถึงว่าการปะทะกันของจ้าวเฟิงกับเว่ยเจ๋อจะสามารถเสมอกันได้
“หึ!” เว่ยเจ๋อแค่นเสียงเย็น โคจรพลังเทพ จิตสังหารเย็นยะเยือกกลุ่มหนึ่งตลบอบอวลมา
เมื่อครู่เขาประเมินจ้าวเฟิงต่ำไป แต่ตอนนี้เขาจะไม่ให้โอกาสจ้าวเฟิง
ครืน ตูม! อีกด้านหนึ่ง ร่างของจ้าวเฟิงแปลงเป็นแสงอัสนีห้าสี เข้าประชิดไปยังอีกฝ่ายท่ามกลางเสียงระเบิด ความเร็วที่ชวนให้คนตกใจ ทำเอาผู้ชมนับไม่ถ้วนตกใจจนหน้าเปลี่ยนสี
เว่ยเจ๋อสีหน้าตื่นตระหนก กรงเล็บทั้งสองปรากฏพลังเทพมืดทะมึนขึ้น เตรียมคว้าจ้าวเฟิงเอาไว้
“เพลิงดวงตาอัสนีเทวะ!”
ในตอนนี้เอง ดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงแผ่กระจายแสงอัสนีสีขาววาววับนับไม่ถ้วนออกมา พลังอัสนีเทวะวิญญาณกลุ่มหนึ่งพร้อมด้วยคลื่นวิญญาณอันแข็งแกร่งทะลักล้นออกมา
ครืน ฉัวะ! ตราประทับอัสนีเทวะที่บิดเบี้ยว ลุกไหม้คดงอดุจเปลวเพลิง โจมตีไปยังส่วนหัวของเว่ยเจ๋อพร้อมกลิ่นอายวิญญาณอันน่าหวาดหวั่นเป็นอย่างยิ่ง
“อ๊าก…” ความเจ็บปวดรุนแรงทำให้เว่ยเจ๋อสูญเสียสติไปทันใด
เขาคิดมาโดยตลอดว่าวิชาดวงตาวิญญาณที่จ้าวเฟิงสำแดงออกมาในตอนแรก จะเป็นพลังวิชาดวงตาที่แข็งแกร่งที่สุดแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้สนใจมากนัก
แต่ในตอนนี้ วิชาดวงตาที่จ้าวเฟิงสำแดงออกมากลับทำให้เขารู้สึกว่าวิญญาณเหมือนโดนหมื่นอัสนีฟาดผ่าอย่างไรอย่างนั้น ความเจ็บปวดแสนสาหัสโจมตีการรับรู้ของเขาไม่หยุดหย่อน
“ฝ่ามือสายฟ้าทลายนภา!”
จ้าวเฟิงโคจรประกายอัสนีห้าสีกลุ่มหนึ่งหลอมรวมเอาไว้กลางฝ่ามือ เล็งไปยังร่างของเว่ยเจ๋อ แล้วซัดฝ่ามือออกไปทันใด
เห็นเพียงตราประทับฝ่ามือแสงอัสนีห้าสีขนาดมหึมาซัดใส่ร่างของเว่ยเจ๋อจนถอยหลังไปไม่หยุด ในรอยฝ่ามือนั้น พลังเสวียนอ้าวห้าธาตุอันแข็งแกร่งโจมตีไปยังร่างของเว่ยเจ๋อโดยตลอด
นอกจากนั้น ‘วิชาอัสนีห้าสาย’ ของจ้าวเฟิงก็มาถึงยังขั้นสุดท้ายแล้ว เขาสามารถนำพลังอัสนีเทวะผสานเข้าไปในพลังเทพได้สำเร็จ ทำให้พลังทำลายล้างของเขาแข็งแกร่งไปอีกขั้น
ครืน บึ้ม!
ร่างของเว่ยเจ๋อถูกโจมตีไปยังเขตพลังค่ายกลรอบด้านเวทีประลองทันใด แต่พลังฝ่ามือแสงอัสนีห้าสีก็ยังไม่จบลง บดขยี้ไปยังร่างของเว่ยเจ๋อต่อไป
“อ๊าก…” เว่ยเจ๋อร้องอย่างอเนจอนาถไม่หยุด เสียงร้องเจ็บปวดนั่นทำเอาลูกศิษย์ที่ล้อมมุงดูอยู่ใจสั่นสะท้าน
ตุบ! อีกนานหลังจากนั้น ร่างของเว่ยเจ๋อก็ร่วงหล่นลงมา
ที่ตรงนั้นเงียบกริบ ไร้ซึ่งเสียงใดๆ ทั้งสิ้น
การประมือครั้งแรก ทั้งสองคนพอฟัดพอเหวี่ยง แต่การประมือครั้งที่สอง จ้าวเฟิงก็สามารถใช้ข้อได้เปรียบพลิกกลับมา โจมตีอัสนีเอาชนะเว่ยเจ๋อได้
“ทำไมถึงแข็งแกร่งเพียงนี้?” ศิษย์นอกเผ่าบางส่วน กลืนน้ำลาย ตื่นตกใจเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อครู่พวกเขายังเย้ยหยันจ้าวเฟิงเสียงดังเซ็งแซ่อยู่ด้านนอกอยู่เลย
“แข็งแกร่งยิ่งนัก สามารถเอาชนะเว่ยเจ๋อได้!” พานฮ่าวพูดอย่างยินดี
ถึงแม้การต่อสู้นี้ เขาก็ดูอย่างมึนงง แต่ประเด็นสำคัญก็คือจ้าวเฟิงเอาชนะเว่ยเจ๋อได้
จ้าวเฟิงกระโดดลงจากเวทีแล้วก็จากไปทันใด
วิชาดวงตากระบวนแรก เขาตั้งใจหลอกเว่ยเจ๋อให้ลดความระวังลง จากนั้นก็ใช้เพลิงดวงตาอัสนีเทวะโจมตี ทำให้เขาบาดเจ็บหนัก พ่ายแพ้ไปอย่างรวดเร็ว
บนท้องฟ้าเหนือเผ่าพันธุ์วิญญาณ มีประสาทสัมผัสเทพที่แข็งแกร่งหลายสายวนกลับไปกลับมา
“สามารถเอาชนะเว่ยเจ๋อได้ พลังของเจ้าเด็กนี่อย่างน้อยๆ ก็เป็นปฐมเทพขั้นสี่!”
อัจฉริยะปฐมเทพที่แข็งแกร่งที่สุดของเผ่าพันธุ์วิญญาณในตอนนี้ก็เป็นเพียงแค่ปฐมเทพขั้นสี่เท่านั้น
ส่วน ‘ปฐมเทพก้วนหลง’ อัจฉริยปฐมเทพแห่ง ‘แดนศักดิ์สิทธิ์ชีวิต’ ในเขตเทพสวรรค์ เมื่อสามสิบปีก่อนก็มีพลังปฐมเทพขั้นสี่
ตอนนี้ผ่านไปสามสิบปี ปฐมเทพก้วนหลงเกรงว่าคงมีพลังปฐมเทพขั้นห้าแล้ว
“เขาใช้วิชาดวงตาลอบโจมตี อีกทั้งเว่ยเจ๋อก็ยังไม่ได้กระตุ้นสายเลือด กระทั่งอาวุธเทพก็ยังไม่ได้เอาออกมา หากเว่ยเจ๋อป้องกันเอาไว้ก่อนแล้วละก็ แพ้ชนะก็ไม่แน่แล้ว…”
ประสาทสัมผัสเทพอีกกลุ่มหนึ่งแค่นเสียงเย็น
“แต่ว่าพลังของเจ้าเด็กนี่แข็งแกร่งจริงๆ สามารถงัดข้อกับปฐมเทพที่แข็งแกร่งที่สุดของเผ่าพันธุ์วิญญาณได้” เสียงวิญญาณอีกเสียงพูดขึ้นอย่างประหลาดใจ
“เทพโบราณฝูหลิง ท่านคืออาจารย์ของจ้าวหยูเฟย เวลานี้จะลำเอียงเข้าข้างนางไม่ได้…”
ประสาทสัมผัสเทพแข็งแกร่งหลายเสียงสนทนาหารือกันบนทองฟ้า
“อย่างไรก็ตาม พลังและศักยภาพของคนคนนี้ไม่เลวเลย หากอยู่ในเผ่าพันธุ์วิญญาณเป็นดีที่สุด แต่เขายังไงก็เป็นคนนอก อีกทั้งสายเลือดยังต่ำต้อย…”
แต่เดิม พวกเขาวางแผนไว้ว่าจะแอบกำจัดจ้าวเฟิง
แต่พลังที่จ้าวเฟิงแสดงออกมาในตอนนี้ดึงดูดความสนใจจากพวกเขา
หากสามารถทำให้จ้าวเฟิงยอมประณีประนอมไปจากจ้าวหยูเฟยเอง ทั้งยังอยู่ในเผ่าพันธุ์วิญญาณ รับใช้เผ่าพันธุ์วิญญาณ นี่จึงจะเป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
บนเวทีประลองนอกเผ่า ข่าวที่จ้าวเฟิงเอาชนะเว่ยเจ๋อได้กระจายไปอย่างรวดเร็ว
“เว่ยเจ๋อแพ้จ้าวเฟิงอย่างนั้นรึ!”
“ชายที่จ้าวหยูเฟยให้ความสำคัญมีพลังที่แข็งแกร่งเพียงนี้เชียว!”
คนส่วนมากตื่นตะลึงกับพลังที่น่าตกใจของจ้าวเฟิงเป็นอย่างมาก แต่ศิษย์หลักเผ่าพันธุ์วิญญาณ แต่ละคนต่างใบหน้าเคร่งเครียด โกรธแค้นเป็นที่สุด
เว่ยเจ๋อเป็นศิษย์หลัก เขาแพ้แล้ว ผู้ที่ขายหน้าก็คือศิษย์หลักทั้งหมด
“หึ ไอ้ตัวโง่เขลา!”
ในวังผลึกแก้วสีน้ำเงินแห่งหนึ่ง จางอวี่ถงใบหน้าบึ้งตึง
ทันใดนั้น ดวงตาของจางอวี่ถงพลันกลอกกลิ้ง ราวกับคิดอะไรออกมาได้ จากนั้นก็ออกไปจากวังผลึกแก้ว อีกด้านหนึ่ง จ้าวหยูเฟยที่รู้ว่าจ้าวเฟิงเอาชนะเว่ยเจ๋อได้ จิตใจสั่นสะท้านเล็กน้อย ไม่ได้แสดงท่าทียินดีออกมามากนัก
ต่อให้จ้าวเฟิงเอาชนะเว่ยเจ๋อได้ ศักยภาพก็ไม่เลว แต่สำหรับเผ่าพันธุ์วิญญาณ อย่างไรเขาก็เป็นคนนอกอยู่ดี
หากจ้าวหยูเฟยแต่งงานเชื่อมความสัมพันธ์กับเทพแท้จริงที่แข็งแกร่งกับอีกฝ่ายของเผ่าพันธุ์วิญญาณ จะสามารถลดความขัดแย้งของเผ่าได้ หากแต่งงานเชื่อมความสัมพันธ์กับขั้วอำนาจห้าดาวของเขตเทพสวรรค์ จะสามารถยืมพลังของพวกเขาสยบเผ่าเปลวทอง!
แต่จ้าวเฟิงเป็นคนนอกคนหนึ่ง จะนำอะไรมาให้เผ่าพันธุ์วิญญาณได้?
หลังจากที่จ้าวเฟิงเอาชนะเว่ยเจ๋อแล้วก็ไปยังตำหนักภารกิจ รับภารกิจง่ายๆ มาภารกิจหนึ่ง หลังจากที่ปฏิบัติภารกิจสำเร็จแล้ว เขาก็กลับไปยังที่พักแล้วปิดด่านฝึกตนต่อ
แต่ไม่กี่วันผ่านไป ก็มีคนมาร้องตะโกนอยู่นอกตำหนักของเขา
“ศิษย์หลักจางจื้อเยวี่ย ขอท้าประลองกับเจ้าที่นี่ เวลาและสถานที่แล้วแต่เจ้ากำหนด!”
ประสามสัมผัสเทพของจ้าวเฟิงเพียงกวาด ก็พบว่าจางจื้อเยวี่ยคนนี้เป็นเทพแท้จริงขั้นห้า หลังจากที่เขาโยนหนังสือท้ารบมาฉบับหนึ่งแล้วก็จากไปทันที
จ้าวเฟิงไม่ได้สนใจอะไรมากนัก ปิดด่านฝึกตนต่อ
แต่ผ่านไปไม่นานเท่าไหร่ก็มีศิษย์หลักมาอีกคนหนึ่ง หลังจากที่ประกาศท้ารบกับเขาแล้วก็โยนหนังสือท้ารบมาอีกฉบับหนึ่งเช่นกัน อีกทั้งพลังฝึกตนของศิษย์หลักคนนี้ก็สูงถึงเทพแท้จริงขั้นห้า
สีหน้าของจ้าวเฟิงเคร่งเครียดเล็กน้อย รู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล
ต่อมาอีกหลายวัน มีศิษย์หลักอีกหลายคนมาท้าประลองกับจ้าวเฟิง ทั้งยังทิ้งหนังสือท้ารบไว้ จนกระทั่งวันหนึ่ง จางอวี่ถงหนึ่งในศิษย์หลักก็มาถึงยังนอกตำหนักที่จ้าวเฟิงปิดด่านฝึกตนอยู่ด้วยตนเอง
“จ้าวเฟิง ข้าคือจางอวี่ถง ขอท้าประลองเจ้า!”
มุมปากของจางอวี่ถงยกเป็นรอยยิ้มชั่วร้าย ดวงตาทั้งสองเย็นเยียบหนาวเหน็บ
ศิษย์นอกเผ่าบางคนใกล้ๆ พลันฮือฮาขึ้นทันใด
จางอวี่ถงเป็นถึงเทพแท้จริงขั้นหก อีกทั้งสายเลือดในกายของเขายังเป็นสายเลือดเผ่าพันธุ์วิญญาณ เทพแท้จริงขั้นหกของขั้วอำนาจทั่วไปบางแห่งยังไม่ใช่คู่มือของเขา!
ภายในห้อง จ้าวเฟิงไม่ได้สนใจอะไร
จางอวี่ถงทิ้งหนังสือท้าประลองฉบับหนึ่ง จากนั้นหมุนตัวจากไป
ไม่ถึงครึ่งเดือน หนังสือท้าประลองหน้าประตูของจ้าวเฟิงกองเป็นพะเนิน อย่างน้อยๆ ก็มีสิบกว่าฉบับ
ในนั้น ผู้ท้าประลองขั้นต่ำที่สุดก็เป็นเทพแท้จริงขั้นห้าและเทพแท้จริงขั้นหกมากมาย ในหนังสือท้าประลองเหล่านี้กระทั่งมีคนนอกขั้วอำนาจเผ่าพันธุ์วิญญาณด้วย