บทที่ 1306 สถานที่วิจัยทายาทเนตรเทพเจ้า
“ลงมือ!” เทพโบราณเฮยจี๋ตะโกนเสียงกร้าว
ในเวลาเดียวกัน อีกสองกลุ่มที่มาถึงที่นี่ต่างเตรียมตัวสู้เรียบร้อยแล้ว
“ต้องเข้าไปในพื้นที่ใจกลางก่อนพวกนั้นให้ได้!”
แววตาสตรีโฉมงามเคร่งขรึม
ไม่รู้ว่าพื้นที่ใจกลางแห่งนั้นมีโอกาสและสมบัติอะไรซุกซ่อนอยู่ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม กลุ่มที่ได้เข้าไปก่อนอีกสองกลุ่มจะเท่ากับว่าได้คว้าโอกาสก่อน
ส่วนสองกลุ่มที่เหลือก็คิดแบบนี้เช่นกัน จำเป็นต้องเข้าไปในพื้นที่ใจกลางของซากปรักหักพังแห่งนี้ให้ได้ก่อนกลุ่มอื่นๆ
“ดูจากสถานการณ์ กำลังรบของกลุ่มพวกเราน่าจะสูงที่สุดแล้ว!”
หลินเฉิงอู่ประเมินทั้งสองกลุ่มอย่างละเอียดจนได้ข้อสรุปเช่นนี้ออกมา
กลุ่มเทพโบราณเสวียนหมัวมีกันทั้งหมดสามคน แต่กลุ่มของเทพโบราณหวังหลิงมีเนตรทำนายคนหนึ่ง ไม่มีพลังในการต่อสู้ด้วยซ้ำ พูดโดยสรุปคือกลุ่มเทพโบราณเฮยจี๋มีกำลังรบสูงที่สุด
“ไม่ต้องกังวลใจไป กลุ่มไหนจะไปถึงพื้นที่ใจกลางได้ก่อนก็มีอัตราเปลี่ยนแปลงสูงมาก…”
สตรีร่างบางผู้มีเนตรทำนายเอ่ยกับคนทั้งสามในกลุ่มของตนเอง
“เหอะ จะต้องเข้าไปในพื้นที่ใจกลางก่อนให้ได้!”
เทพโบราณหวังหลิงแค่นเสียงอย่างโกรธเกรี้ยว ดวงตาเย็นชาจ้องจ้าวเฟิงเขม็ง
ตอนที่เข้าไปในสนามประลองเนตรเทพเจ้า เขาเคยพ่ายแพ้ให้กับจ้าวเฟิง ครั้งนี้กลุ่มของจ้าวเฟิงและกลุ่มของเขาก็สู้รบแย่งชิงกันอีกครั้ง
“รับทราบ!” อีกสองคนในกลุ่มพยักหน้า
มีเพียงชิงเข้าไปในพื้นที่ใจกลางก่อน ถึงจะมีสิทธิ์ได้ผลประโยชน์มามากที่สุด
“ใยมรณะ!” ในขณะที่เทพโบราณหวังหลิงโคจรเนตรมรณะ หมอกควันทมิฬมรณะพวยพุ่งรอบตัว รยางค์สีดำนับไม่ถ้วนยืดออกมาจากภายในและสะบัดตรงไปด้านหน้า
เปรี๊ยะ ฟิ้ว! เทพอสูรขั้นหกหลายตนถูกเทพโบราณหวังหลิงสังหารในทันที
อีกฟากหนึ่ง กลุ่มของเทพโบราณเสวียนหมัวก็บุกเข้าไปในทางเดิน ปะทะกับเทพอสูรดวงตาจำนวนมาก
“ลำแสงทำลายล้าง!” เนตรดับสูญของชายชราชุดเขียวปลดปล่อยแสงสว่างสีทองระยับสายหนึ่งพุ่งทะลวงผ่านด้านหน้าไป…
พวกจ้าวเฟิงทางฝั่งเทพโบราณเฮยจี๋ก็เริ่มลงมือกันแล้วเช่นกัน
“ดาบประกายมิติ!” หลินเฉิงอู่โคจรเนตรมิติ สาดซัดเจตจำนงดวงตาที่แข็งแกร่งออกมาจากในดวงตา
ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ! ฉับพลันทันใด คมดาบผลึกสีขาวนับไม่ถ้วนพุ่งออกมาจากในดวงตาเขา ข้ามอากาศตรงดิ่งไปเอาชีวิตเทพอสูรดวงตาด้านหน้า
“ระลอกแสงมรณะ!” เทพโบราณเฮยจี๋เองก็โจมตีทางฝั่งด้านหน้าสุด และกระตุ้นวิชาดวงตาปลิดชีพใส่เทพอสูรดวงตาที่ไม่กลัวความตาย
คนตรงกลางในกลุ่มก็คือจ้าวเฟิง บางคราวก็ใช้วิชาลวงตาหลอกล่อเทพอสูรดวงตาให้เผยจุดด้อยออกมา จึงยิ่งสังหารได้ง่ายดายขึ้น
ส่วนกายวัฏสงสารของสตรีโฉมงามก็พุ่งไปด้านหน้าเป็นเกราะมนุษย์ ส่วนตัวนางยืนอยู่ด้านหลังสุด
ไม่นานนัก กลุ่มเทพโบราณเฮยจี๋ก็กลายเป็นกลุ่มที่นำหน้ากลุ่มอื่นๆ แต่ความเร็วของทุกคนก็เชื่องช้าลงทีละน้อย
อย่างไรเสีย ไม่ว่าใครก็ไม่อยากจะเอาไพ่ตายของตัวเองออกมา หนำซ้ำสถานการณ์ที่นี่ก็ไม่ธรรมดา ไม่รู้ว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นตอนไหน พวกเขาจำเป็นต้องเก็บแรงเอาไว้ แต่เมื่อเป็นเช่นนี้จึงทำให้กลุ่มอื่นก็ตามมาอย่างช้าๆ ด้วยเช่นกัน
ดังนั้นตั้งแต่ต้น ระยะห่างระหว่างกลุ่มทั้งสามเลยไม่มากนัก รุกเข้าไปใกล้พื้นที่ใจกลางทีละน้อยๆ
“จำนวนเทพอสูรเนตรเทพเจ้าไม่ได้เพิ่มขึ้น แสดงให้เห็นว่าเทพอสูรในเส้นทางนี้น่าจะมีจำนวนที่แน่นอน!” เทพโบราณเฮยจี๋เอ่ยขึ้นในทันที
เมื่อเอ่ยเช่นนี้แล้ว อีกหลายๆ คนในกลุ่มก็มีแรงฮึดขึ้นมา
ก่อนนี้ทุกคนยังกังวลว่าหากเดินทางรุกเข้าไปไวเกินไป เทพอสูรในเส้นทางจะพุ่งมาหาพวกเขา
“สังหาร!” สี่คนในกลุ่มระเบิดพลังออกทันใด พุ่งไปด้านหน้าเป็นระยะทางหนึ่ง
“แย่แล้ว กลุ่มพวกเขาเป็นสมาชิกสายต่อสู้กันหมด หนำซ้ำยังมีทายาทเนตรสังสารวัฏ จึงทำให้ความเร็วในการรุกคืบสูงมาก!”
ทายาทเนตรหมื่นปรากฏการณ์ในกลุ่มเทพโบราณหวังหลิงเอ่ยอย่างตื่นตกใจ
“ถึงจะเป็นเช่นนั้นก็ปล่อยให้พวกเขาทิ้งห่างไปมากไม่ได้ แล้วยิ่งถูกอีกกลุ่มหนึ่งแซงหน้าไม่ได้ด้วย!”
เทพโบราณหวังหลิงตะเบ็งเสียง หมอกควันมรณะที่บดบังด้านหน้าสายตาประหนึ่งหลุมมรณะที่ลึกล้ำจนไม่เห็นก้นบึ้ง
ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ! หอกมรณะที่ดำมืดและหนาวเหน็บหลายเล่มพุ่งออกมาจากด้านใน สังหารฝูงเทพอสูรดวงตาไปอย่างง่ายดาย
กลุ่มเทพโบราณเสวียนหมัวก็เริ่มรุกคืบเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว แต่สุดท้ายก็ยังคงเป็นกลุ่มเทพโบราณเฮยจี๋ที่เข้าไปในพื้นที่ใจกลางได้ก่อน
“รีบสังหารพวกมันเร็ว!”
เมื่ออีกทั้งสองกลุ่มเห็นสถานการณ์ในตอนนี้จึงไม่สนใจสิ่งใด ใช้ไม้ตายบางส่วนโจมตีเทพอสูรสุดแรง
พวกเขามองไม่เห็นทิวทัศน์ในวัตถุผลึกทรงกลม แต่ทุกคนต่างรู้สึกว่าทันทีที่ไปช้า สิ่งของล้ำค่าจะถูกกลุ่มเทพโบราณเฮยจี๋ชิงไปหมดแน่
วู้ม! กลุ่มเทพโบราณเฮยจี๋ทะลุผ่านกลุ่มแสงประหลาดมาจนถึงพื้นที่ใจกลางในซากปรักหักพัง
ทุกคนสามารถมองเห็นสถานการณ์ด้านนอกได้ชัดเจนจากภายในพื้นที่ใจกลาง แต่ตอนนั้นไม่มีใครจะใส่ใจเหตุการณ์ด้านนอก ดวงตาสองข้างเบิกกว้าง สำรวจสภาพทั้งหมดด้านหน้าด้วยแววตาตื่นตะลึง
ยามนี้ทุกคนอยู่ภายในห้องเล็กๆ ห้องหนึ่งในวัตถุทรงกลมขนาดใหญ่ ในห้องมีสิ่งของจัดวางอยู่มากมาย มีอุปกรณ์กลไกที่ทุกคนไม่เคยเห็นมาก่อน นอกเหนือจากนี้ยังมีหลอดทดลองที่ปิดผนึกไว้จำนวนมาก ภายในนั้นยังบรรจุของเหลวหลากหลายประเภทด้วย
“นี่เกรงว่าจะไม่ใช่ซากปรักหักพังเนตรเทพเจ้าแล้วกระมัง!”
สีหน้าหลินเฉิงอู่หนักอึ้งลงเล็กน้อย
“ตอนแรกข้าก็แค่คาดเดาเท่านั้น!” เทพโบราณเฮยจี๋อธิบาย
“นี่ต้องเป็นซากปรักหักพังของเผ่าความลับสวรรค์แน่!”
ดวงตาสตรีโฉมงามเป็นประกาย
ถึงแม้ว่าไม่ใช่ซากปรักหักพังเนตรเทพเจ้า แต่ซากปรักหักพังเผ่าความลับสวรรค์ก็มีมูลค่าไม่ด้อยกว่าแม้แต่น้อย
เมี้ยว เมี้ยว! ในตอนนี้เอง เจ้าแมวขโมยน้อยมุดออกมา นัยน์ตาดำขลับทอประกายสีเงินกวาดผ่านทุกสิ่งรอบบริเวณ
เทพโบราณเฮยจี๋จ้องบนร่างเจ้าแมวขโมยตัวน้อยอย่างอดไม่ได้ ทว่าไม่ได้พูดอะไรออกมา
“ภายในหลอดทดลองแถวนี้บรรจุสายเลือดบรรพกาลเอาไว้!”
นัยน์ตาของสตรีโฉมงามพลันจ้องไปที่หลอดทดลองประหลาดหลากสีสันที่หนาเท้าแขน
ทุกคนต่างมีสายเลือดทายาทเนตรเทพเจ้า สายสัมพันธ์กับสายเลือดรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณเจือจางมาก บวกกับมีหลอดทดลองกางกั้นไว้ จึงทำให้คนปกติทั่วไปไม่สามารถจับสังเกตได้ แต่สตรีโฉมงามมีกายวัฏสงสาร ตอนยังมีชีวิตพวกเขาล้วนเป็นเผ่าพันธุ์สายเลือดบรรพกาลที่แข็งแกร่ง
“จริงหรือ?” หลินเฉิงอู่มีสีหน้าตื่นตะลึง
เพราะมีหลอดทดลองขวางกั้น พวกเขาจึงไม่รู้สึกว่าภายในนั้นมีเลือดอะไรกันแน่ แต่สายเลือดบรรพกาลที่มาอยู่ที่นี่ได้ ลำดับรายชื่อจะต่ำได้อย่างไร?
ทุกหลอดทดลองที่นี่แทบจะสร้างผู้แข็งแกร่งเผ่าพันธุ์บรรพกาลที่ทรงพลังออกมาได้
ในเวลาเดียวกัน แววตาของทุกคนย้ายไปอีกที่หนึ่ง
นั่นคือหลอดทดลองขนาดเล็กหลายอัน ด้านในของทุกอันบรรจุของเหลวจำนวนน้อยนิดหรือไม่ผง ดูไปแล้วเหมือนใช้วัตถุดิบยาพิเศษส่วนหนึ่งสร้างยาที่มีสรรพคุณพิเศษขึ้นมา
“ไป!” สตรีโฉมงามรีบสั่งให้กายวัฏสงสารตนหนึ่งเข้าไปใกล้หลอดทดลองที่น่าจะบรรจุยาล้ำค่าเอาไว้ แต่ฝ่ามือของกายวัฏสงสารเพิ่งจะสัมผัสหลอดทดลองดังกล่าว
รอบห้องก็มีแสงสีขาวสว่างราวสายฟ้าหลายเส้นกะพริบออกมา ทำลายกายวัฏสงสารร่างนั้นจนเป็นผุยผง
“ที่แห่งนี้แทบจะคงอยู่อย่างสมบูรณ์แบบ สิ่งของล้ำค่าต่างๆ ที่นี่อยู่เหนือกว่าจินตนาการของพวกเจ้านัก แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะหยิบจับได้ตามอำเภอใจ!”
สีหน้าเทพโบราณเฮยจี๋ราบเรียบ
เมี้ยว เมี้ยว! เจ้าแมวขโมยตัวน้อยยืนบนบ่า ทำท่าทียโสโอหังนัก แต่นอกจากจ้าวเฟิงแล้วก็ไม่มีใครเข้าใจว่าเจ้าแมวขโมยกำลังพูดอะไรอยู่
“เทพโบราณเฮยจี๋ สมบัติที่นี่ต้องพึ่งท่านเท่านั้นถึงจะเอาออกมาได้ รีบลงมือเถอะ!”
สตรีโฉมงามหัวเราะเสียงละมุนแล้วเอ่ยทันที
พร้อมกันนั้น หลินเฉิงอู่และจ้าวเฟิงก็พร้อมใจกันจ้องไปที่เทพโบราณเฮยจี๋ เหมือนว่ารวมตัวกันคุกคามเขา
แต่ในเวลานี้เอง อีกสองกลุ่มที่เหลือก็เข้ามาในพื้นที่ใจกลาง
ทุกคนต่างตื่นตะลึงอย่างยิ่งต่อภาพที่เห็นเป็นครั้งแรก
“อย่าเพิ่งรีบร้อน เอาของที่หยิบได้ไปก่อนแล้วค่อยเข้าไปดูภายใน!”
เทพโบราณเฮยจี๋มีท่าทีไม่แยแส เดินไปรอบๆ ห้องนี้เพื่อสำรวจรอบบริเวณ
ส่วนคนอื่นที่เหลือก็เดินไปมาในห้อง ตรวจตราสิ่งของต่างๆ และลองหยิบติดไม้ติดมือไป สุดท้ายทุกคนจึงได้ครอบครองอุปกรณ์ธรรมดาทั่วไปบางอย่าง จากนั้นถึงค่อยไปในห้องหนึ่ง
“นี่มันอะไรกัน?” สตรีโฉมงามร้องเสียงแหลมโดยพลัน
เห็นเพียงด้านหน้าทุกคนปรากฏหลุมเว้าปิดผนึกขนาดใหญ่วางเรียงราย ภายในจะมีร่างมนุษย์ร่างหนึ่งที่ไม่รู้ว่านอนอยู่ในนั้นมากี่ปี บางทีอาจเป็นเพราะอุปกรณ์กลไกไม่โคจร ร่างนี้จึงไม่มีพลังชีวิตอีกแล้ว แต่ร่างเหล่านี้มีจุดเหมือนกันอย่างหนึ่งก็คือไม่มีดวงตาสองข้าง
ตำแหน่งดวงตาของพวกเขามีเพียงหลอดถ่ายของเหลวขนาดเล็กราวเส้นไหมสองสามอันเท่านั้น
หลอดเหล่านี้ยื่นขึ้นไปในกล่องผลึกด้านบน ในทุกๆ กล่องผลึกมีดวงตาคู่หนึ่งเก็บเอาไว้ หนำซ้ำทุกคู่เป็นเนตรมรณะ
“หรือว่า…ที่นี่จะเป็น…” หลินเฉิงอู่ตัวสั่นอย่างหวาดกลัว
ตามที่พวกเขาเห็น ศพที่นี่ทุกร่างคงจะเป็นทายาทเนตรมรณะทั้งสิ้น
แต่ดวงตาของพวกเขาถูกคว้านออกไป กลายเป็นร่างทดลอง
“ที่นี่น่าจะเป็นสถานที่วิจัยของพวกฝืนชะตาฟ้าของเผ่าความลับสวรรค์ หนำซ้ำสิ่งที่พวกเขาศึกษาก็คงจะเป็นทายาทแปดเนตรเทพเจ้า ถึงแม้ว่าที่นี่จะมีแค่ร่างทดลองของทายาทเนตรมรณะ แต่สถานที่ที่ทางเดินอีกเจ็ดเส้นนำทางไปคงจะเป็นสถานที่วิจัยร่างทดลองของทายาทเนตรเทพเจ้าที่เหลือ!”
สตรีโฉมงามมีสีหน้ารังเกียจ อย่างไรเสียนางก็มีฐานะเป็นทายาทเนตรเทพเจ้าเช่นกัน นอกจากนั้น ชื่อเรียกพวกฝืนชะตาฟ้าและผู้ทรงภูมิของเผ่าความลับสวรรค์ไม่แพร่หลายมากนักในดินแดนทวีป แต่ที่ดินแดนเทพรกร้าง เทพแท้จริงส่วนมากต่างรู้จักดี
จ้าวเฟิงผงกศีรษะ ข้อสันนิษฐานของสตรีโฉมงามไม่น่าผิด
“พวกฝืนชะตาฟ้าของเผ่าความลับสวรรค์คิดจะทำอะไร?”
หลินเฉิงอู่สงสัยในใจ
พวกฝืนชะตาฟ้าไม่มีทางวิจัยอย่างไร้ความหมาย สถานที่วิจัยแห่งนี้ศึกษาทายาทแปดเนตรเทพเจ้า พวกฝืนชะตาฟ้าอยากค้นหาความลับอะไรของแปดเนตรเทพเจ้ากันแน่?
และที่สำคัญที่สุดก็คือค้นเจออะไรแล้วหรือไม่?
ครั้งนี้หลินเฉิงอู่และสตรีโฉมงามรอจะขึ้นไปดูอีกชั้นหนึ่งไม่ไหวแล้ว
แต่ในตอนนี้ที่ปากทางเดินด้านนอกพลันมีระลอกกลิ่นอายจำนวนมหาศาลลอยมา
ทุกคนที่อยู่ในพื้นที่ใจกลางต่างมองด้านนอกทันที
“คนของเผ่าเปลวทอง!”
“มีกันทั้งหมดเก้าคน มีเทพแท้จริงขั้นแปดด้วย!”
แววตาทุกคนสั่นระริก ใจเต้นระรัว
ถ้าหากเปลี่ยนเป็นยามที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์พร้อม พวกเขาย่อมไม่หวาดกลัวคนของเผ่าเปลวทอง แต่ตั้งแต่เริ่มสำรวจมาจนถึงตอนนี้ ทุกคนแทบไม่ได้พักผ่อนอะไร เมื่อครู่เพิ่งจัดการเทพอสูรในทางเดิน ใช้พลังไปก็มาก
ทั้งสามกลุ่มพื้นที่ใจกลาง ทั้งหมดไม่ได้อยู่ในสภาพพร้อมรบเท่าไหร่นัก
แต่คนจากเผ่าเปลวทองเหมือนเดินตามเส้นทางที่เทพโบราณเสวียนหมัวผ่านมา คาดได้ว่าราบรื่นไร้อุปสรรค ไม่เจออันตรายใดๆ ตอนนี้จึงอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์อย่างมาก
“นี่คงจะเป็นพื้นที่ใจกลางที่ล้ำค่าที่สุดในซากปรักหักพังแห่งนี้!”
แววตาชายชราชุดม่วงคนหนึ่งในกลุ่มเผ่าเปลวทองเปล่งประกายวิบวับ
“พวกเขาคงจะอยู่ข้างในนี้กันหมดกระมัง พอเข้าไปก็ลงมือสังหารให้หมด!”
เทพโบราณจวี้หลิงในกลุ่มนั้นเผยยิ้มชั่วร้าย