บทที่ 1318 คุนอวิ๋นที่น่าสงสาร
ข่าวที่จ้าวเฟิงยังมีชีวิตอยู่ พวกเทพโบราณเสวียนหมัวทั้งหกคนก็สามารถรับรู้ได้ผ่านจากพันธะสัญญาสัตว์วิเศษบนร่างของแมวขโมยน้อย
จ้าวเฟิงแน่ใจ หากอีกฝ่ายรู้ว่าตนยังมีชีวิตอยู่จะต้องกำจัดตนทิ้งอย่างแน่นอน
ขั้วอำนาจที่เทพโบราณเสวียนหมัวทั้งหกคนอยู่ไม่ธรรมดามาก คิดอยากจะหาข่าวเกี่ยวกับจ้าวเฟิงก็ง่ายดายเป็นอย่างยิ่ง
กระทั่งว่าพวกเขาสามารถส่งคนมาจับตามองเผ่าพันธุ์วิญญาณ แค่เพียงจ้าวเฟิงออกมาข้างนอกก็จะจับกุม หรือไม่ก็ลอบสังหารเสีย ด้วยเหตุนี้ จ้าวเฟิงเดินทางไปรับแมวขโมยตัวน้อยยังเขตพยับฟ้าในครั้งนี้จะต้องลอบดำเนินการ ทั้งยังต้องปิดบังฐานะ มิฉะนั้นจะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น และเปิดเผยตนภายใต้สายตาของศัตรู
แต่ว่าสีตาและผมของจ้าวเฟิง ต่อให้เป็น ‘วิชาอำพรางดวงตา’ ก็ไม่อาจอำพรางได้
และเอกลักษณ์ของรูปร่างหน้าตาเช่นนั้น ทั่วทั้งดินแดนเทพรกร้างเกรงว่าจะหาคนที่สองไม่ได้อีกแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ จ้าวเฟิงจึงทำได้เพียงแค่คิดหาวิธีอื่น
บนเรือรบเผ่าพันธุ์วิญญาณ
“เจ้าเด็กนี่เป็นใคร?” ผู้อาวุโสชุดดำคนหนึ่งจ้องจ้าวหุยพลางพูดขึ้นอย่างไม่ค่อยพอใจ
“เรียนผู้อาวุโส ผู้เยาวน์นามจ้าวหุย เป็นลูกศิษย์ในเผ่าของเผ่าพันธุ์วิญญาณ!”
ใบหน้าจ้าวหุยประดับรอยยิ้มอบอุ่น
นี่ก็คือวิธีของจ้าวเฟิง ใช้ร่างของจ้าวหุยเป็นสื่อแล้วทำการเคลื่อนไหวของตน
จ้าวหุยเดิมก็คือลูกศิษย์ในเผ่าพันธุ์วิญญาณอยู่แล้ว ด้านฐานะไม่มีทางเป็นที่สงสัยแน่นอน
นอกจากนั้น ในช่วงก่อนหน้านี้จ้าวหุยก็ทะลวงขอบเขตเซียนสวรรค์ พิสูจน์ได้ถึงตำแหน่งเทพแท้จริงขั้นสาม ระดับพลังฝึกตนเช่นนี้ถูกมองข้ามได้ง่ายเป็นอย่างมาก ตรวจสอบขึ้นมาก็สะดวก
“นี่คือลูกศิษย์ในเผ่าที่ข้าให้ความสำคัญ ผ่านไปอีกระยะหนึ่งจะรับไว้เป็นศิษย์ ตอนนี้ให้เขาออกมาเปิดหูเปิดตาสักหน่อย!”
เทพโบราณฝูหลิงอธิบายตามวิธีการพูดของจ้าวเฟิง
คนผู้นี้เคยเป็นอาจารย์ของจ้าวหยูเฟย จ้าวเฟิงให้เขาช่วยเรื่องนี้ แน่นอนว่าอีกฝ่ายไม่มีทางปฏิเสธ
คำพูดของเทพโบราณฝูงหลิงทำให้คนอื่นๆ บนเรือรบมองจ้าวหุยมากขึ้น
แต่ไม่ว่าจะมองอย่างไร จ้าวหุยก็เป็นคนประเภทที่ธรรมดามาก ไม่มีความสามารถอะไรมากนัก
“โชคดีเสียจริงๆ!” จินคุนบ่นพึมพำมาประโยคหนึ่ง
ลูกศิษย์ธรรมดาที่เข้ามาเป็นศิษย์เผ่าพันธุ์วิญญาณ เพิ่งจะถึงเทพแท้จริงขั้นสาม ผู้อาวุโสเทพโบราณของเผ่าก็ให้ความสำคัญ โชคเช่นนี้ช่างดีอย่างถึงที่สุดจริงๆ
กิจการค้าขายที่มุ่งหน้าไปยังเขตพยับฟ้าครั้งนี้ก็เป็นภารกิจหนึ่งเช่นกัน นอกจากผู้อาวุโสเทพโบราณสามคนที่นำกองกำลังแล้ว ยังมีขั้นลูกศิษย์เทพโบราณที่รับภารกิจนี้อีกสี่คน
ในผู้อาวุโสทั้งสามมีเทพโบราณฝูหลิง เทพโบราณชุดดำ และยังมีหญิงชราที่ผมสีเงินทั้งหัวอีกคนหนึ่ง และในบรรดาลูกศิษย์ทั้งสี่คนนี้ จ้าวเฟิงรู้จักเพียงคนเดียวเท่านั้น นั่นก็คือจินคุนพี่ชายของจินเวย
“ใช้สถานะนี้แล้วดีจริงๆ ด้วย!”
จ้าวเฟิงยิ้มเล็กน้อย บัญชาจ้าวหุยให้ไปจากที่นี่ แล้วกลับห้องไป
การปรากฏกายของจ้าวหุยสร้างความสงสัยให้กับทุกคน แต่พวกเขาไม่สนใจจะใส่ใจเทพแท้จริงขั้นสามผู้นี้เลยสักนิด
หลังจากกลับมาถึงห้องแล้ว เขาก็วางค่ายกลป้องกันเพื่อสื่อว่ากำลังเข้าสู่การฝึกฝน ห้ามไม่ให้ใครมารบกวน ในเหล่าร่างแยกทั้งหลาย จ้าวหุยเป็นร่างที่จ้าวเฟิงมีปฏิสัมพันธ์ด้วยน้อยที่สุด เส้นทางการฝึกฝนของเขาส่วนมากล้วนพึ่งตนเอง
ครั้งนี้ จ้าวเฟิงชี้แนะการฝึกฝนของจ้าวหุยด้วยตนเอง ทั้งยังวางแผนให้เขาอย่างละเอียด
ตำแหน่งของจ้าวหุยคือแพทย์ผู้รักษา ในฐานะที่เป็นแพทย์ กำลังรบไม่จำเป็นโดยสิ้นเชิง แต่กลวิชาความเร็วในการเดินทางและหลบหนีเป็นสิ่งที่จะต้องมีไว้
ดังนั้นจ้าวเฟิงจึงปรับปรุงปีกแสงอัสนีทองให้เป็นวิชาโบยบินที่เหมาะสมสำหรับจ้าวหุย และเสวียนอ้าวที่จ้าวหุยต้องบรรลุ หลักๆ คือน้ำและไม้ รองลงมาคือลมและมิติ
หลังจากสอนและชี้นำอย่างเหมาะสม มอบทรัพยากรฝึกฝนประเภทนี้ให้แล้ว จ้าวเฟิงจึงจะเริ่มลงมือทำเรื่องของตน
ภารกิจช่วยแมวขโมยน้อยมีความอันตรายสูงมาก พลังของตนต้องแข็งแกร่งขึ้น ความหวังจึงจะยิ่งมาก ด้วยเหตุนี้จ้าวเฟิงเลยรีบเร่งฝึกฝน ไม่เปลืองเวลาไปแม้แต่น้อย
หลังจากฝึก ‘พลังฟ้าประสานหนึ่ง’ ถึงขั้นที่สอง ก็สามารถฝึกฝนเคล็ดวิชาระดับสูงที่สอดคล้องกับพลังเทพรวมศูนย์เช่น ‘หมัดเทพรวมศูนย์’ หรือ ‘โล่รวมศูนย์’
นอกจากนั้น จ้าวเฟิงยังฝึกฝนวิชาดวงตาประเภทมิติและการเคลื่อนย้ายมิติ…
หลังจากนั้นสามเดือนกว่า เรือรบเผ่าพันธุ์วิญญาณก็เคลื่อนออกจากพื้นที่เขตเทพสวรรค์เข้าสู่เขตพยับฟ้า
จ้าวเฟิงออกมาจากมิติในชุดคลุม แล้วหยิบเหรียญทองแดงโบราณออกมา
ในตอนที่ตำแหน่งของเหรียญทองแดงโบราณตรงกับทิศที่แมวขโมยน้อยอยู่ แสงดาวบนนั้นก็สว่างผิดปกติ
‘เป็นเขตพยับฟ้าจริงๆ ด้วย!’
และจ้าวเฟิงยังค้นพบอีกว่า ทิศทางที่เหรียญทองแดงโบราณชี้ไปยังเป็นทางเดียวกับ ‘เขามารทมิฬ’ ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางของเรือรบเผ่าพันธุ์วิญญาณอีกด้วย
แต่เดิมจ้าวเฟิงกำลังคิดว่าหลังจากเข้าไปในเขตพยับฟ้าแล้วก็จะจากไปสืบหาโดยลำพัง แต่ในเมื่อทิศทางของสถานที่จุดหมายคือทิศเดียวกับเขามารทมิฬ จ้าวเฟิงก็ตัดสินใจว่าถึงเขามารทมิฬพร้อมกับเผ่าพันธุ์วิญญาณแล้วค่อยลงมือ
เขามารทมิฬคือหนึ่งในขั้วอำนาจห้าดาวของเขตพยับฟ้า เป็นสถานที่ที่รวบรวมผู้คนเอาไว้ อยู่ในนั้นยิ่งง่ายต่อการสืบข่าว
จ้าวเฟิงกลับมายังมิติภายในชุดคลุม แล้วปิดด่านต่อไปเช่นนี้เอง
หลังจาก ทำให้ ‘พลังฟ้าประสานหนึ่ง’ ขั้นที่สองมั่นคง และคุ้นเคยกับเคล็ดวิชาที่เกี่ยวข้องแล้ว จ้าวเฟิงจึงพักผ่อนชั่วขณะหนึ่ง
ฟุ่บ! จ้าวเฟิงหยิบเอาผลึกทรงสี่เหลี่ยมข้ามหลามตัดกึ่งโปร่งแสงก้อนหนึ่งออกมาจากมิติเก็บของ
ในผลึกมีดวงตาคู่หนึ่งปรากฏอยู่
ดวงตาคู่นี้คือเนตรมิติ ซึ่งก็คือเนตรบนอุปกรณ์ทรงแปดเหลี่ยมที่แมวขโมยน้อยชิงมา ก่อนที่แมวขโมยจะโดนจับไป ก็ได้มอบเนตรมิตินี้ให้กับจ้าวเฟิง
“ ‘พลังฟ้าประสานหนึ่ง’ ของข้าหลักๆ แล้วฝึกฝนเสวียนอ้าวมิติ หากมีร่างแยกเนตรมิติก็จะมีประโยชน์ต่อการบรรลุเสวียนอ้าวมิติของข้าเป็นอย่างมาก…”
จิตใจของจ้าวเฟิงสั่นไหวเล็กน้อย
มอบเนตรมิติคู่นี้ให้กับร่างแยกร่างต่อไปของเขา จึงจะสามารถสำแดงคุณค่าของเนตรคู่นี้ได้ในระดับสูงที่สุด แต่ ‘วิชาแยกวิญญาณ’ ขั้นที่สี่ยังอยู่ในการอนุมาน ร่างแยกร่างที่สี่จำต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งจึงจะสร้างขึ้นได้
ในวันนี้ เรือรบเผ่าพันธุ์วิญญาณมาถึงยังเขามารทมิฬในที่สุด
ในเวลานี้ จ้าวเฟิงจึงค่อยออกจากการปิดด่าน
“ภารกิจครั้งนี้ง่ายดายยิ่งนัก!” จินคุนยืนอยู่ที่ด้านหน้าสุดของเรือรบ ใบหน้าเผยยิ้มได้ใจ
หลังจากนั้นจ้าวเฟิงจึงได้รู้ว่า ตลอดทางมานี้เรือรบเผ่าพันธุ์วิญญาณผจญกับการปล้นสองครั้ง เพียงแต่ถูกจัดการไปอย่างสบายๆ โดยผู้แข็งแกร่งขั้นเทพโบราณ
ส่วนจ้าวเฟิงและจ้าวหุยอยู่ในสภาวะปิดด่าน น้อยครั้งที่จะออกจากห้อง จึงไม่รู้เรื่องนี้เลยสักนิด แน่นอน นี่ก็เป็นเพราะจ้าวหุยอ่อนแอเกินไปจนถูกคนอื่นๆ มองข้าม
“ที่ผ่านมา ในยามที่กองกำลังค้าขายของเผ่าพันธุ์วิญญาณออกนอกพื้นที่ ไม่มากก็น้อยล้วนแต่ถูกไล่สังหารหรือขัดขวางจากเผ่าเปลวทอง แต่ครั้งนี้เผ่าเปลวทองไม่ได้ลงมือ นี่มันช่างผิดคาดเสียจริง…”
สตรีชราผมสีเงินทั้งหัวมีแววตาคร่ำเคร่ง
จ้าวหุยได้ยินก็แอบยิ้มในใจ
ที่ซากปรักหักพังเผ่าความลับสวรรค์ เทพโบราณเผ่าเปลวทองเก้าคนรวมถึงเทพโบราณขั้นแปดคนหนึ่งล้วนดับดิ้นกันหมด สำหรับขั้วอำนาจห้าดาวแห่งหนึ่ง นี่คือการสูญเสียและกระทบกระเทือนอย่างมหาศาล หากสองขั้วอำนาจห้าดาวเปิดศึกในตอนนี้ เผ่าเปลวทองจะต้องแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย
ในตอนนี้พวกเขาต้องรีบสะสมอำนาจ ฟื้นฟูไอสวรรค์ จะมีเวลามาสนใจเผ่าพันธุ์วิญญาณเสียที่ไหนกัน
สายตาของจ้าวเฟิงมองไปยังทะเลหมอกหนาสีดำเบื้องหน้า
ไม่นานนัก ในทะเลหมอกก็มียอดเขาลาดชันดูป่าเถื่อนห้าลูกปรากฏขึ้น ดุจกรงเล็บภูตผีสีดำข้างหนึ่งที่คิดปีนป่ายออกไปจากดินแดนรกร้าง
เขามารทมิฬ ขั้วอำนาจห้าดาวเขตพยับฟ้า ไม่ได้อยู่ในการควบคุมของเผ่าใด แต่เทียบเท่ากับขั้วอำนาจสำนักแห่งหนึ่ง ลูกศิษย์แบบใดล้วนรับไว้ทั้งสิ้น
……
ใกล้ๆ กับเวทีประลองแห่งหนึ่งตรงพื้นที่นอกเขามารทมิฬ ลูกศิษย์เขามารทมิฬรวมตัวกันอยู่จำนวนมาก
ในยามนี้เอง เงาสีทองร่างหนึ่งลอยต่ำลงมายังที่นี่
“พี่พั่วอวิ๋น!”
“เทพแท้จริงพั่วอวิ๋นมาแล้ว!”
ผู้ชมการต่อสู้ที่รวมตัวกันอยู่ฮือฮาขึ้นทันใด
เทพแท้จริงพั่วอวิ๋นครอบครองเนตรดับสูญ ตอนนี้เป็นลูกศิษย์ในของเขามารทมิฬ ว่ากันว่าพลังฝึกตนของเขาถึงขั้นสามสุดยอดแล้ว แค่เพียงก้าวเข้าสู่ขั้นที่สี่ก็จะกลายเป็นลูกศิษย์คนสำคัญแล้ว
“พี่พั่วอวิ๋น ท่านมาอีกแล้ว!”
ชายหนุ่มที่ผอมดุจโครงกระดูกสูงใหญ่คนหนึ่งรีบเดินมารับหน้าทันที
“ตามคำสั่งของท่าน ข้าได้จัดหาลูกศิษย์นอกเขามาท้าประลองกับเขาทุกวัน วันนี้ท่านมาได้พอดี การต่อสู้ยังไม่จบลงเลย!”
ชายหนุ่มโครงกระดูกยิ้มประจบ
เขาคือหัวหน้าของลูกศิษย์นอกเขา แต่เทพแท้จริงพั่วอวิ๋นใกล้จะก้าวเข้าสู่ลำดับของลูกศิษย์คนสำคัญแล้ว เมื่อรวมกับเนตรดับสูญของเขา อนาคตจึงยาวไกลไม่มีสิ้นสุด
“การต่อสู้ครั้งนี้ใครชนะ ข้าจะให้ ‘โอสถโลหิตเทพ’ เป็นรางวัล!”
เทพแท้จริงพั่วอวิ๋นมองไปยังร่างสีทองร่างหนึ่งบนเวทีประลอง พร้อมเผยรอยยิ้มสนุก
บนเวทีประลอง ร่างทั้งสองประมือกันอย่างดุเดือด
ครืน ฟู่! ชายหนุ่มชุดดำหนึ่งในนั้น มือถือกรงเล็บธาตุทองสีดำ ส่งเงากระดูกสีขาวมหึมาออกมาสายหนึ่ง
เงาแสงสีทองอีกร่างถูกโจมตีจนถอยไปยังขอบเวทีประลองอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว บนร่างมีบาดแผลเลือดไหลรินเป็นห้าแนว
“คุนอวิ๋น ผ่านไปนานถึงเพียงนี้แล้ว พลังของเจ้าไม่กระเตื้องเลยสักนิดนะ!”
ชายหนุ่มชุดดำยิ้มพูดขึ้นอย่างสบายอารมณ์ยิ่ง
“บัดซบ!”
เทพแท้จริงคุนอวิ๋นลุกขึ้นมา ไม่ได้สนใจชายหนุ่มชุดดำ แต่จ้องไปยังเทพแท้จริงพั่วอวิ๋นที่อยู่ไกลๆ อย่างเคืองแค้น
เขาโดนกระทำเช่นนี้ก็เพราะคนคนนี้
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ‘โอสถโลหิตเทพ’ ของพี่พั่วอวิ๋นก็เป็นของข้าแล้วล่ะนะ!”
ชายหนุ่มชุดดำกุมกรงเล็บธาตุทองสีดำ เข้าประชิดไปยังคุนอวิ๋นอย่างเร็วรี่
ครืน บึ้ม!
เทพแท้จริงคุนอวิ๋นร่างกายบาดเจ็บหนัก ไม่มีแรงต้านทานแม้แต่น้อย ถูกโจมตีร่วงไปจากเวทีประลอง
“เป็นของเจ้าแล้ว!”
เทพแท้จริงพั่วอวิ๋นหยิบเอาโอสถเม็ดสีแดงแวววาวออกมาโยนให้ชายชุดดำคนนั้น ก่อนจะเตรียมลอยจากไป
“พั่วอวิ๋น!” หมัดสีทองทั้งสองของคุนอวิ๋นกำแน่น ดวงตาทั้งสองแดงก่ำ จ้องเขม็งไปยังเทพแท้จริงพั่วอวิ๋น
สิบปีก่อนหน้านี้เขามาถึงยังดินแดนเทพรกร้าง และโชคดีได้เข้าร่วมขั้วอำนาจห้าดาวในจังหวะประจวบเหมาะ แต่คาดไม่ถึงว่าครึ่งเทพพั่วเมี่ยในดินแดนทวีปก็อยู่ที่เขามารทมิฬเช่นเดียวกัน และอีกฝ่ายมาถึงที่นี่ก่อนคุนอวิ๋นก้าวหนึ่ง พรสวรรค์และสายเลือดล้วนแข็งแกร่งกว่าเขา และยิ่งได้รับความสำคัญจากเขามารทมิฬอีก
แต่เดิมเทพแท้จริงพั่วอวิ๋นเพียงแค่กดขี่คุนอวิ๋นอย่างตั้งใจบ้างไม่ตั้งใจบ้าง แต่ก็ไม่ได้เห็นเขาอยู่ในสายตา
ทว่าหลังจากงานชุมนุมเนตรเทพเจ้า ท่าทีของเทพแท้จริงพั่วอวิ๋นก็เปลี่ยนไปมาก สั่งให้ลูกศิษย์นอกเขาใช้วิธีนี้หยามหมิ่นคุนอวิ๋นทุกวัน ที่จนปัญญาก็คือคุนอวิ๋นยังไปจากเขามารทมิฬไม่ได้
เขารู้ หากตนจากไปเมื่อใด เทพแท้จริงพั่วอวิ๋นจะต้องสังหารเขาอย่างแน่นอน
ครืน ตูม ตูม! ในตอนนี้เอง เหนือหัวของทุกคนมีเรือรบเหล็กสีฟ้าขาวที่งามวิจิตรลำหนึ่งลอยมาอย่างรวดเร็ว
“นี่คือเรือรบเผ่าพันธุ์วิญญาณของเขตเทพสวรรค์ ทุกหลายสิบปี เขามารทมิฬกับเขตเทพสวรรค์จะมาเยี่ยมเยือนซึ่งกันและกัน และทำการค้าขายกันครั้งหนึ่ง…”
ลูกศิษย์นอกเขาที่ค่อนข้างอาวุโสเอ่ยรำพึง “เรือรบเผ่าพันธุ์วิญญาณ!”
เทพแท้จริงพั่วอวิ๋นสั่นสะท้านไปทั้งร่าง สายตาจ้องไปยังเรือรบลำนั้น
“จ้าวเฟิงก็อยู่ในเผ่าพันธุ์วิญญาณนี่!” ใจของเทพแท้จริงพั่วอวิ๋นลนลานเล็กน้อย
แน่นอนว่าเขารู้ถึงความสัมพันธ์ของจ้าวเฟิงและคุนอวิ๋น หากจ้าวเฟิงพบว่าเขาทำกับคุนอวิ๋นเช่นนี้ จะต้องไม่ไว้ชีวิตเขาอย่างแน่นอน
ทว่าจ้าวเฟิงไม่รู้เบาะแสของคุนอวิ๋นแม้แต่น้อย จะต้องไม่ได้มาเขามารทมิฬเพื่อการนี้แน่ แต่เขาไม่รู้เลยว่าบนเรือรบสีขาวฟ้าลำนั้น มีชายหนุ่มหน้าตาธรรมดาที่ค่อนข้างสุขุมกำลังมองมายังเขาอย่างเย็นชา