บทที่ 1528 พวกฝืนชะตาฟ้าที่แข็งแกร่ง
ศึกระดับแดนศักดิ์สิทธิ์ต่างกับศึกของขั้วอำนาจห้าดาวอย่างสิ้นเชิง สิ่งที่อยู่ในครรลองสายตาอลหม่านปั่นป่วน ทุกที่ล้วนแต่เป็นการเข่นฆ่าสังหาร
อาณาบริเวณของสนามรบกินพื้นที่ไปไกลยิ่ง ด้วยเหตุนี้ขั้วอำนาจทั้งสองจึงแบ่งเป็นสี่สนามรบย่อย แต่ละแห่งต่างมีผู้บัญชาการหนึ่งคนคอยบัญชาการศึก
สมาชิกฝั่งแดนศักดิ์สิทธิ์ชีวิตแบ่งหน้าที่การต่อสู้อย่างชัดเจน
ข้างหน้าคือคนบุกทะลวงที่เชี่ยวชาญด้านการป้องกัน ตรงกลางคือสมาชิกที่เชี่ยวชาญด้านการโจมตีและการต่อสู้ระยะไกล ส่วนสมาชิกข้างหลังรับผิดชอบเสริมกำลังและรักษา
แต่ฝั่งพวกฝืนชะตาฟ้าก็แบ่งเช่นนี้เหมือนกัน อีกทั้งยังมีลูกเล่นแพรวพราวยิ่งกว่า
ในสนามรบของพวกฝืนชะตาฟ้ามีเรือรบประเภทต่อสู้มากมาย อาวุธทรงพลานุภาพ และค่ายกลพิเศษต่างๆ ทำให้การโจมตีของพวกเขารุนแรงมาก ต่อให้เป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ก็ยากจะรับมือไหว
แม้จะเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ชีวิตที่แข็งแกร่ง มีแพทย์เชี่ยวชาญด้านการรักษาฟื้นฟูมากเพียงพอก็ตาม หากเปลี่ยนเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ทั่วไปจะไม่มีโอกาสชนะได้เลย ไม่แปลกที่แดนศักดิ์สิทธิ์เทพลวงตาในตอนนั้นจะถูกพวกฝืนชะตาฟ้าบุกยึดได้
แต่ว่าพวกฝืนชะตาฟ้าเพิ่งจะบุกยึดแดนศักดิ์สิทธิ์เทพลวงตา ฟื้นฟูกำลังไม่กี่ปีก็มาโจมตีแดนศักดิ์สิทธิ์ชีวิต ช่างทำให้คนเหลือเชื่อจริงๆ
หรือพวกฝืนชะตาฟ้าจะฟื้นฟูกำลังได้ภายในระยะเวลาสั้นๆ เพียงเท่านี้?
แน่นอนว่ายังมีอีกความเป็นไปได้หนึ่ง นั่นก็คือพวกฝืนชะตาฟ้าใช้ข้อได้เปรียบด้านกำลังที่มากกว่าเข้าโจมตีแดนศักดิ์สิทธิ์เทพลวงตา จึงสูญเสียไม่มากนัก
“พวกฝืนชะตาฟ้ามีทายาทเนตรเทพเจ้ามากมายถึงเพียงนี้เชียวรึ!”
จอมเทพขั้นสามคนหนึ่งทอดถอนใจอย่างอดไม่ได้
ในฐานะที่เป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ซึ่งมีเนตรเทพเจ้าปกครอง ในด้านจำนวนทายาทเนตรเทพเจ้ากลับสู้พวกฝืนชะตาฟ้าไม่ได้
“ท่าทางพลังแฝงของพวกฝืนชะตาฟ้าจะมากเกินกว่าที่พวกเราคาดการณ์เอาไว้นัก!”
สีหน้าของราชาเทพหวาเฟิงคร่ำเคร่ง แต่เขาก็ไม่ได้กังวลเท่าใดนัก สถานการณ์ศึกของระดับล่างไม่ส่งผลอะไรให้กับการแพ้ชนะนัก
ที่สำคัญที่สุดคือการต่อสู้ของระดับสูง และฝั่งของพวกเขามีนายเหนือหัวเนตรชีวิต!
ราชาเทพที่ได้รับสมญาว่านายเหนือหัวจะโจมตีราชาเทพทั่วไปได้อย่างง่ายดาย หากพวกฝืนชะตาฟ้าไม่มีพลังที่จะต้านทานนายเหนือหัว ก็แทบไม่มีโอกาสชนะได้เลย
ต่อให้มีพลังที่ต้านทานนายเหนือหัวได้ก็เกรงว่าจะรับมือได้ไม่นาน นอกเสียจากพวกฝืนชะตาฟ้าจะมีกำลังรบระดับนายเหนือหัว!
เพียงแต่ราชาเทพหวาเฟิงไม่เข้าใจอยู่จุดหนึ่ง เหตุใดพวกฝืนชะตาฟ้าจึงโจมตีแดนศักดิ์สิทธิ์ชีวิต?
ในตอนนี้เอง ทางฝั่งของพวกฝืนชะตาฟ้า
“นายเหนือหัวเนตรชีวิต ยอมแพ้เสียเลยมิดีกว่าหรือ จะได้ไม่ทำให้ทั่วทั้งแดนศักดิ์สิทธิ์ชีวิตกลายเป็นแดนแห่งความตาย!”
เจ้าสวรรค์ยกยิ้มมุมปากน้อยๆ เอ่ยเสียงราบเรียบ
“ไม่มีทาง!” สีหน้าของนายเหนือหัวเนตรชีวิตจริงจังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ถึงแม้ในบรรดาเนตรเทพเจ้าทั้งแปด นางจะเป็นผู้ที่ไม่เชี่ยวชาญด้านการต่อสู้ที่สุดและก็ไม่ชอบสงคราม แต่เนตรเทพเจ้าจะยอมแพ้ คอยยืมจมูกผู้อื่นหายใจได้อย่างไร?
“ฮ่าๆ!” ผู้คุมกฎหัวเราะชั่วร้าย จากนั้นบัญชาการลงมา
ทันใดนั้น บนสนามรบของฝั่งพวกฝืนชะตาฟ้า ทายาทเนตรเทพเจ้าทั้งหลายเริ่มเคลื่อนที่และมารวมตัวกัน
“พวกเขาคิดจะทำอะไร?” นัยน์ตาของราชาเทพหวาเฟิงฉายแววสงสัย
แต่เสี้ยวขณะต่อมา สีหน้าของเขาก็หนักอึ้ง
กลิ่นอายเนตรเทพเจ้าที่ชวนให้หวาดผวาแผ่ระลอกมาจากสนามรบทั่วทุกทิศ
เห็นเพียงทายาทเนตรเทพเจ้าอย่างน้อยสามคน มากสุดแปดคน สำแดงเคล็ดวิชาลับบางอย่าง ผสานพลังสายเลือดดวงตาเข้าด้วยกัน
“วิชาเนตรเทพรวมเป็นหนึ่ง!”
จ้าวเฟิงพึมพำอย่างตกใจ ทั้งยังสำรวจอย่างละเอียด
เคล็ดวิชานี้สามารถพูดได้ว่าเป็นไพ่ตายสุดยอดของพวกฝืนชะตาฟ้า พลังของเนตรเทพรวมเป็นหนึ่ง จนถึงตอนนี้เหมือนจะมีเพียงพลังดั้งเดิมของจ้าวเฟิงเท่านั้นที่สามารถลบล้างได้
จากการมองสำรวจ จ้าวเฟิงพบว่าบนสนามรบส่วนมากมีคนห้าถึงหกคนสำแดงเนตรเทพรวมเป็นหนึ่ง อัตราความสำเร็จสูงมาก
การสำแดงพลังแปดคนมีให้เห็นค่อนข้างน้อย ทั้งยังยากมาก ใช้เวลาค่อนข้างนาน หากถูกขัดขวางก็ยังต้องเจอกับผลกระทบกลับมหาศาล
แน่นอน ที่จ้าวเฟิงสำรวจเรื่องนี้ก็เพราะสนใจในเคล็ดวิชานี้ยิ่งนัก
ด้วยขอบเขตพลังของเขาในตอนนี้ รวมกับเนตรเทพมายาระดับเนตรเทพเจ้า อยากสำรวจสมาชิกระดับขั้นต่ำสำแดงเนตรเทพเจ้ารวมเป็นหนึ่งก็สืบข้อมูลได้มากมาย
คิดถึงการต่อสู้ของระดับขั้นเดียวกันในตอนนั้น หากเคล็ดวิชาของอีกฝ่ายไม่สูงเกินไปแล้วละก็ เขากระทั่งสามารถลอกเลียนแบบได้ทันทีด้วยซ้ำ
ครืน ฟู่ ฟู่!
ในสนามรบ กลิ่นอายเนตรเทพเจ้าลอยอวล สร้างพลังสยบต่อสมาชิกทั้งหมดของฝั่งแดนศักดิ์สิทธิ์ได้สูงเป็นอย่างมาก
ในฐานะที่เป็นสมาชิกแดนศักดิ์สิทธิ์ซึ่งปกครองโดยเนตรเทพเจ้า พวกเขาย่อมยำเกรงต่อเนตรเทพเจ้ายิ่งนัก แต่ตอนนี้พวกเขาสามารถสัมผัสกลิ่นอายเนตรเทพเจ้าที่มีเพียงเนตรเทพชีวิตเท่านั้นจึงจะมีได้จากฝั่งศัตรู
ครืน ตูม!
เสียงระเบิดดังขึ้นบนสนามรบ สั่นสะเทือนทั่วฟ้าดิน
พลังของเนตรเทพรวมเป็นหนึ่งสังหารสมาชิกฝั่งแดนศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างง่ายดาย ไม่ถึงเสี้ยวขณะ พวกฝืนชะตาฟ้าทั้งหมดก็เคลื่อนพลไปข้างหน้านับหมื่นลี้
“เคล็ดวิชาลับนี้…” นายเหนือหัวเนตรชีวิตตื่นตกใจ
นางแค่เคยได้ยินเคล็ดวิชาลับนี้เท่านั้น ตัวเองไม่เคยเห็นมาก่อน
แต่ตอนนี้พวกฝืนชะตาฟ้าใช้ทายาทเนตรเทพเจ้าจำนวนมากสำแดงเคล็ดวิชาลับนี้ ทำให้ได้เปรียบอย่างมหาศาลในชั่วพริบตา และบดขยี้ฝั่งแดนศักดิ์สิทธิ์ได้
“รายงาน กองทัพทิศเหนือต้านไม่ได้…”
เสียงวิญญาณเสียงหนึ่งลอยเข้ามาในหัวของหวาเฟิงผ่านป้ายในมือของเขา
ด้านหนึ่งสู้ไม่ได้ หากไม่ส่งกำลังไปช่วยเหลือก็ต้องสั่งถอย แต่ทว่าตอนนี้แดนศักดิ์สิทธิ์เคลื่อนไหวทั้งหมดแล้ว ไม่อาจส่งกำลังเสริมไปช่วยเหลือได้
“รายงาน กองทัพทิศตะวันออกต้านไม่ไหว!”
ข่าวหนึ่งส่งมาอีก ทำเอาสีหน้าของราชาเทพหวาเฟิงเคร่งเครียดเกินบรรยาย
“ท่านนายเหนือหัว สนามรบระดับล่างตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ต้องยกระดับสถานการณ์ศึกเท่านั้น ส่งผู้แข็งแกร่งเข้าร่วมสงคราม!”
ราชาเทพหวาเฟิงเสนอต่อนายเหนือหัวเนตรชีวิต
ต้องยกระดับสถานการณ์รบขึ้นทันที ดำเนินการต่อสู้ของระดับสูง สนามรบระดับต่ำจำต้องลดจำนวนสมาชิกลง เช่นนี้จะสามารถลดจำนวนการบาดเจ็บล้มตายได้
นายเหนือหัวเนตรชีวิตพยักหน้า เห็นด้วยกับแผนการของเขา
ไม่ว่าจะเป็นทายาทเนตรเทพเจ้าอะไร พวกฝืนชะตาฟ้าก็มีทั้งนั้น ทั้งยังมีเนตรเทพเรวมเป็นหนึ่งอีกด้วย จุดนี้แทบจะกลายเป็นไพ่ตายของพวกเขา แดนศักดิ์สิทธิ์ก็ทำได้เพียงแค่นี้
“เข้าร่วมรบ!” ราชาเทพหวาเฟิงรีบส่งกระแสจิตแก่จอมเทพทั้งหลายทันที
ทันใดนั้น จอมเทพขั้นหนึ่งเกือบสิบคนและจอมเทพขั้นสองอีกจำนวนหนึ่งก็เข้าร่วมรบ
“ฮ่าๆ แดนศักดิ์สิทธิ์ชีวิตก็แค่นี้เองหรือ!” ฝั่งพวกฝืนชะตาฟ้า ผู้คุมกฎหัวเราะอย่างสบายใจ
ขณะเดียวกัน ผู้แข็งแกร่งขั้นจอมเทพสิบกว่าคนก็โผล่ออกมาจากอาณาจักรเทพของพวกฝืนชะตาฟ้า
ครืน ตูม บึ้ม!
จอมเทพที่จู่ๆ ทะยานออกมาของทั้งสองฝั่งเข้าปะทะกันอย่างดุเดือด
การต่อสู้ระดับจอมเทพดังสนั่นหวั่นไหว ระลอกคลื่นพลังค่อนข้างรุนแรง ทำให้คนของสนามรบระดับล่างค่อยๆลดน้อยลง
ถึงแม้ในบรรดาจอมเทพของพวกฝืนชะตาฟ้าจะมีทายาทเนตรเทพเจ้าจำนวนไม่น้อยแต่ถ้าจู่ๆ ดึงจอมเทพที่สำแดงเนตรเทพเจ้าทั้งหลายไป ก็เท่ากับเป็นการสูญเสียกำลังรบจอมเทพหลายคนไปทันที สร้างความเสียหายต่อสถานการณ์ศึกทั้งหมดอย่างมหาศาล อีกทั้งฝั่งแดนศักดิ์สิทธิ์สามารถใช้ทหารหน่วยกล้าตายขัดขวางวิชาเนตรเทพรวมเป็นหนึ่ง เสียคนคนหนึ่งแต่สามารถทำให้สมาชิกทั้งหลายของฝั่งศัตรูที่สำแดงวิชานี้ได้รับผลกระทบจนบาดเจ็บหนัก คิดอย่างไรก็คุ้มค่า
ดังนั้นวิชาเนตรเทพรวมเป็นหนึ่งบนสนามรบของขั้นจอมเทพจึงใช้ไม่ได้แล้ว
ต่อให้เป็นเช่นนี้ ฝั่งพวกฝืนชะตาฟ้าก็มีทายาทเนตรเทพเจ้าประเภทต่างๆ ส่วนการต่อสู้ของเนตรชีวิตก็ไม่โดดเด่นนัก ด้วยเหตุนี้พวกฝืนชะตาฟ้าก็ยังคงได้เปรียบอยู่เล็กน้อยเช่นเดิม แต่แดนศักดิ์สิทธิ์ชีวิตเชี่ยวชาญการต่อสู้ระยะยาว ความสามารถด้านการป้องกันและรักษาโดดเด่น ยิ่งยื้อเวลาออกไปได้นานก็ยิ่งได้เปรียบ
แต่น่าเสียดายที่พวกฝืนชะตาฟ้าไม่มีทางให้พวกเขาสมหวัง
ในเมื่อพวกเขาโจมตีแดนศักดิ์สิทธิ์ชีวิต แน่นอนว่าต้องเตรียมตัวมาอย่างดี
ฟิ้ว! ฟิ้ว! จอมเทพพุ่งออกมาจากอาณาจักรเทพของพวกฝืนชะตาฟ้า เข้าร่วมรบด้วยอย่างไม่ขาดสาย
กระทั่งว่าเจ้าตำหนักก็เริ่มเคลื่อนไหวแล้ว
พลังของเจ้าตำหนักฝั่งฝืนชะตาฟ้าเป็นผู้ไร้พ่ายในบรรดาจอมเทพขั้นสองอย่างแน่นอน
“พวกฝืนชะตาฟ้ามีจอมเทพมากถึงเพียงนี้เชียว!”
“อีกทั้งพลังของแต่ละคนยังไม่ธรรมดาด้วย!” ผู้อาวุโสระดับสูงทั้งหลายฝั่งแดนศักดิ์สิทธิ์ชีวิตตกใจยิ่งนัก
สงครามระดับล่าง พวกฝืนชะตาฟ้าใช้วิชาเนตรเทพรวมเป็นหนึ่งโจมตีแดนศักดิ์สิทธิ์ให้พ่ายแพ้
ส่วนสนามรบของจอมเทพ พวกฝืนชะตาฟ้าก็แข็งแกร่งไร้เทียมทานเช่นกัน ทายาทเนตรเทพเจ้าแต่ละประเภทในนั้น และทายาทสายเลือดยี่สิบอันดับแรกหรือกระทั่งสิบอันดับแรกของรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณต่างปรากฏ
เผชิญหน้ากับเหตุการณ์เช่นนี้ จอมเทพแดนศักดิ์สิทธิ์ชีวิตแต่ละคนจึงต้องเคลื่อนไหว แต่สุดท้าย คนระดับจอมเทพขั้นสามลงมาทั้งหลายของแดนศักดิ์สิทธิ์ต่างออกรบ แต่ในด้านจำนวนก็ยังเทียบกับพวกฝืนชะตาฟ้าไม่ได้อยู่ดี
พวกฝืนชะตาฟ้าที่แต่เดิมเป็นฝ่ายได้เปรียบ จำนวนคนก็มากกว่าแดนศักดิ์สิทธิ์ สถานการณ์กลับตาลปัตรอีกครั้ง
“สถานการณ์ไม่ดีแล้ว!” สีหน้าของราชาเทพหวาเฟิงเคร่งเครียดยิ่งนัก
“ตอนนี้ถึงแม้ว่าข้าจะไม่เหมาะลงมือ แต่ก็อยากจะช่วยแดนศักดิ์สิทธิ์อีกแรงหนึ่ง!”
จู่ๆ จ้าวเฟิงก็เอ่ยปากขึ้น
ถึงแม้เขาไม่จำเป็นต้องออกศึกเพื่อแดนศักดิ์สิทธิ์ชีวิต แต่พวกฝืนชะตาฟ้าล้อมสังหารจ้าวเฟิงหลายต่อหลายครั้ง กระทั่งพุ่งเป้าเล่นงานจ้าวหยูเฟยเพื่อบีบบังคับให้เขายอมจำนน แค้นนี้เขาจะต้องชำระให้ได้
“เอ๋? เจ้ามีแผนอะไร?” ราชาเทพหวาเฟิงถามขึ้น
พรึ่บ! จ้าวเฟิงสะบัดมือ ร่างแยกทั้งหลายรวมทั้งมังกรทมิฬล้างโลกาปรากฏขึ้นทีละคนๆ จากนั้น ทางของอาณาจักรเทพก็เปิดออก กำลังรบระดับจอมเทพจำนวนหนึ่งในอาณาจักรเทพมายาปรากฏตัวขึ้นทีละคน
“เยี่ยม!” ดวงตาของราชาเทพหวาเฟิงเป็นประกาย
ตอนนี้เขาก็ยังไม่ได้เสนอให้จ้าวเฟิงเข้าร่วมสงคราม แต่จ้าวเฟิงยังมีบริวารมากมายถึงเพียงนี้
“ลงมือเถอะ!” จ้าวเฟิงทอดถอนใจเสียงเบา
หากเขาเข้าร่วมรบ พวกฝืนชะตาฟ้าจะต้องใช้วิธีอะไรรับมือ ทำให้ไม่มีผลกับสถานการณ์นัก ดังนั้นเขาจึงเลือกให้เหล่าบริวารลงมือและคอยแอบช่วยพวกเขาอย่างลับๆ
“ศึกระดับแดนศักดิ์สิทธิ์!”
แววตาของมังกรทมิฬล้างโลกาฉายแววเหี้ยมโหด จากนั้นพุ่งทะยานออกไป คนอื่นๆ ก็ตามติดมา
จ้าวเฟิงแบ่งบริวารของตัวเองเป็นสี่กองกำลัง เข้าไปในสนามรบทั้งสี่ทิศ
“มังกรโจมตีทำลายล้าง!”
มังกรทมิฬล้างโลกาโจมตีสังหารไปยังผู้อาวุโสเกล็ดดำขั้นสองคนหนึ่ง
“ฮ่าๆ วันนี้ข้าจะฆ่าเจ้าเผ่าพันธุ์มังกรล้างโลกาที่แท้จริง!”
ผู้อาวุโสเกล็ดดำหัวเราะเหี้ยมเกรียม ในกายของเขาก็มีสายเลือดเผ่าพันธุ์มังกรล้างโลกาไหลเวียนอยู่เช่นเดียวกัน เพียงแต่นั่นเป็นสายเลือดที่ปลูกถ่ายขึ้นเท่านั้น
“ฮ่าๆ!” มังกรล้างโลกาเงยหน้าคำราม กวาดสายตาเหี้ยมเกรียมไป
ขวับ! เหล็กดำชิ้นหนึ่งปรากฏขึ้นในมือเขา บนนั้นมีเปลวไฟสีดำคุกรุ่น แผ่กระจายกลิ่นอายแห่งความตายออกมา
“เศษเสี้ยวอาวุธบรรพชน!” สีหน้าของผู้อาวุโสเกล็ดดำเปลี่ยนไป
ตอนนี้เอง มังกรทมิฬล้างโลกาก็โจมตีมาแล้ว เขากระตุ้นเศษเสี้ยวอาวุธบรรพชนเข้าโจมตี
ในฐานะที่เป็นมังกรล้างโลกาที่แท้จริง รวมกับมีเศษเสี้ยวอาวุธบรรพชน พลังของมังกรทมิฬล้างโลกาจึงเกินกว่าที่ผู้อาวุโสเกล็ดดำจะคาดคิด อีกทั้งจ้าวเฟิงลงตราเนตรแห่งเทพไว้บนร่างของมังกรทมิฬล้างโลกา
มังกรทมิฬล้างโลกาสามารถได้รับการเพิ่มพลังบางส่วนของเจตจำนงดวงตา รวมทั้งเนตรเทพมายาของจ้าวเฟิงได้จากตรานี้
มังกรทมิฬล้างโลการู้สึกว่าทุกอย่างเบื้องหน้าชัดเจนขึ้นเกือบสิบเท่า การรับรู้ต่อทุกสรรรพสิ่งชัดเจนแม่นยำจนถึงขีดสูงสุด
ครืน ตูม เปรี้ยง!
หลังสู้กันหลายร้อยกระบวนท่า ผู้อาวุโสเกล็ดดำที่บาดเจ็บสาหัสก็ถูกมังกรทมิฬล้างโลกาสังหาร
“อ๊าก…” ดวงอาทิตย์สีดำกลืนกินร่างของผู้อาวุโสเกล็ดดำ
ต่อให้เขามีร่างมังกรล้างโลกาอมตะก็มอดไหม้ไปภายใต้การเผาผลาญอย่างต่อเนื่องจากดวงอาทิตย์สีดำ
ในขณะเดียวกัน บริวารคนอื่นๆ ของจ้าวเฟิงก็ได้รับการเพิ่มพลังจากพลังดวงตาของเขา กำลังรบล้ำหน้าเกินกว่าระดับปกติ
ถึงแม้การเข้าร่วมรบของบริวารจ้าวเฟิงในระยะเวลาสั้นๆ จะไม่ส่งผลกระทบอะไรต่อสถานการณ์รบทั้งหมด แต่หลังจากยืดเวลาออกไประยะหนึ่งแล้ว บริวารที่จ้าวเฟิงส่งเข้าไปร่วมรบก็ค่อยๆ ส่งผลขยายกว้างออกไปเรื่อยๆ ทำให้สงครามเกิดการเปลี่ยนแปลงในระดับหนึ่ง