บทที่ 1527 ศึกใหญ่ระดับแดนศักดิ์สิทธิ์
ณ โถงลับหลัก แดนศักดิ์สิทธิ์ชีวิต
“ข้าจะให้คำตอบกับพวกท่านโดยเร็วที่สุด!”
นายเหนือหัวเนตรชีวิตพูดอย่างอบอุ่นอ่อนโยน
ตอนนี้ได้ข้อมูลข่าวสารจากเผ่าพันธุ์วิญญาณไปไม่น้อย แดนศักดิ์สิทธิ์ยังต้องทำการตรวจสอบขั้นต่อไปถึงจะเข้าใจสภาพเหตุการณ์ได้ลึกยิ่งขึ้น
ดังนั้น ตอนนี้นายเหนือหัวเนตรชีวิตจึงไม่รีบด่วนบัญชา แต่ก็ให้เผ่าพันธุ์วิญญาณอยู่ที่แดนศักดิ์สิทธิ์ และคุ้มครองความปลอดภัยให้พวกเขา
“ขอลา!” ทุกคนลุกขึ้นจากไป
“ผู้อาวุโสสูงสุด ท่านบอกทีว่าตกลงแล้วนี่มันเรื่องอะไรกันแน่?”
ผู้อาวุโสที่สองถามเสียงต่ำ
เขารู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ธรรมดาแน่นอน แต่ก่อนพวกฝืนชะตาฟ้าพยายามหลบซ่อนไม่ให้ผู้คนพบเจอ
แต่ช่วงนี้กลับเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก ก่อนหน้านี้พวกฝืนชะตาฟ้าก็โจมตีแดนศักดิ์สิทธิ์เทพลวงตา ทั้งยังส่งผลกับสถานการณ์ในเขตเทพสวรรค์ ช่างวางอำนาจบาตรใหญ่นัก
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน!”
ผู้อาวุโสสูงสุดถอนหายใจ
การเคลื่อนไหวของพวกฝืนชะตาฟ้าไม่ต่างอะไรกับท้าทายแดนศักดิ์สิทธิ์เลย แต่พวกเขาไม่คิดว่าพวกฝืนชะตาฟ้าจะกล้าลงมือกับแดนศักดิ์สิทธิ์
ต้องรู้ว่า ผู้ที่ได้สมญานามนายเหนือหัวแทบจะเป็นผู้แข็งแกร่งสูงสุดที่เป็นอมตะในดินแดนเทพรกร้าง
นับจากที่แปดเนตรเทพเจ้าถือกำเนิดจนถึงทุกวันนี้ ก็ยังไม่มีนายเหนือหัวคนใดดับดิ้น
และในยามนี้ยิ่งเป็นยุคของแปดเนตรเทพเจ้า แปดเนตรเทพเจ้าเป็นกระทั่งสัญลักษณ์ของนายเหนือหัว
คนทั่วไปในดินแดนเทพรกร้างคิดอยากได้สมญานามนายเหนือจะหัวมีเพียงสองทางเท่านั้น ทางแรกคือครอบครองอาวุธบรรพชนที่สมบูรณ์ ทางที่สองคือผสานกฎเกณฑ์บริบูรณ์สองประเภทขึ้นไปให้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
แต่ทุกอย่างล้วนมีข้อเว้น ผู้ครองเนตรเทพเจ้าขอเพียงแค่ถึงขั้นราชาเทพก็เป็นนายเหนือหัวได้โดยปริยาย
นี่เพราะเนตรเทพเจ้าเองก็อยู่ระดับเดียวกับอาวุธบรรพชนหรือกระทั่งสูงส่งกว่า ข้างในแฝงไว้ด้วยศาสตร์ดั้งเดิมของโลกใบนี้
แต่จ้าวเฟิงคิดว่าพวกฝืนชะตาฟ้าก็มีสิทธิ์จะลงมือกับแดนศักดิ์สิทธิ์ที่มีนายเหนือหัวดูแลอยู่ หลังพบเจอกับพวกฝืนชะตาฟ้าหลายต่อหลายครั้ง ความเข้าใจต่อขั้วอำนาจนี้ของจ้าวเฟิงเลยมากเกินคนทั่วไป นอกจากนั้น เขายังมองออกว่านายเหนือหัวเนตรชีวิตเป็นผู้รักสันติ กระทั่งท่าทีที่แสดงต่อการท้าทายของผู้อื่นก็ค่อนข้างใจกว้าง หากเปลี่ยนเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์อื่น หลังจากได้รู้ข่าวนี้คงไม่อ้อมค้อม เป็นฝ่ายไปเจรจากับพวกฝืนชะตาฟ้าก่อนนานแล้ว
แน่นอน เรื่องพวกนี้จ้าวเฟิงคิดมากไปในตอนนี้ก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร
หลังจากกลับมายังห้องพัก จ้าวเฟิงก็เข้าไปในอาณาจักรเทพ แล้วเริ่มปิดด่านฝึกฝน
ขวับ! เศษชิ้นส่วนที่บิดเบี้ยวมืดหม่นชิ้นหนึ่งปรากฏขึ้นในมือของจ้าวเฟิง
นี่คือเศษเสี้ยวอาวุธบรรพชนที่ได้มาจากเป่ยหมิงฮุย อีกทั้งยังเป็นเศษเสี้ยวที่มาจากอาวุธบรรพชนเผ่าทำนุฟ้า
“หากควบคุมเศษเสี้ยวอาวุธบรรพชนนี้ได้ การโจมตีของข้าก็จะยกระดับขึ้นอีกหลายส่วน!”
มุมปากของจ้าวเฟิงยกยิ้ม จากนั้นเริ่มกำราบเศษเสี้ยวอาวุธบรรพชน
ในขณะเดียวกับที่เข้าครอบครองเศษเสี้ยวอาวุธบรรพชน จ้าวเฟิงก็แบ่งความคิดกลุ่มหนึ่งไปฝึกฝนด้านอื่นด้วย
จ้าวเฟิงใช้ความคิดกลุ่มแรกฝึก ‘เขตแดนพลังบริสุทธิ์’ ระหว่างนำเอามาใช้ในศึกจริงครั้งแรก เขาเรียนรู้อะไรได้มากมาย อีกทั้งเคล็ดวิชานี้ก็เพิ่งจะฝึกสำเร็จ ยังไม่เชี่ยวชาญนัก ต่อมา จ้าวเฟิงก็ศึกษาทำความเข้าใจ ‘ตำราเทพบริสุทธิ์’ และฝึกฝนพลังเทพ
ส่วนความคิดกลุ่มสุดท้ายนำมาศึกษาวิชาดวงตา จ้าวเฟิงคิดว่ากระบี่อัสนีบริสุทธิ์ยังมีช่องว่างให้ยกระดับอีก
ในอาณาจักรเทพมายา เวลาหนึ่งปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่โลกภายนอกเพิ่งจะผ่านไปหนึ่งวันเท่านั้น
ช่วงระยะนี้ จ้าวเฟิงกำราบเศษเสี้ยวอาวุธบรรพชนได้สำเร็จ ทั้งยังฝึกฝนทำความคุ้นเคยกับมันในอาณาจักรเทพมายา ด้วยระดับขั้นของจ้าวเฟิงในตอนนี้ การเพิ่มพลังจากเศษเสี้ยวอาวุธบรรพชนจึงไม่มากนัก แต่ในศึกของผู้แข็งแกร่ง ความแตกต่างเพียงเล็กน้อยก็สามารถตัดสินแพ้ชนะได้
เมื่อคุ้นเคยกับเศษเสี้ยวอาวุธบรรพชนแล้ว จ้าวเฟิงก็ปิดด่านฝึกต่อไป
ไม่นานเท่าใดนัก จู่ๆ เขาก็สัมผัสได้ว่าโลกภายนอกผิดปกติบางอย่าง
ถึงแม้เขาจะอยู่ในอาณาจักรเทพ แต่ประสาทสัมผัสยังสามารถสัมผัสสถานการณ์ของโลกภายนอกได้ภายในระยะห่างช่วงหนึ่งหนึ่งผ่านอาณาจักรเทพ
ขวับ! จ้าวเฟิงออกมาจากอาณาจักรเทพทันที
ในขณะเดียวกัน
ตึง ตึง ตึง~
เสียงแข็งแกร่งหนักแน่นราวกลองศึกดังเข้ามาในใจของจ้าวเฟิง
ไม่รู้ทำไม ยามที่ได้ยินเสียงนี้จิตกระหายต่อสู้ก็ปะทุขึ้นในใจเขา
“พี่เฟิง เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!” ในตอนนี้เอง เสียงร้อนรนของจ้าวหยูเฟยดังมาจากข้างนอกห้อง
หลังออกมาด้านนอก เสียงทะลุวิญญาณราวกลองศึกนี้ก็ยิ่งดังก้อง
“จู่ๆ อาณาจักเทพของพวกฝืนชะตาฟ้าก็มายังแดนศักดิ์สิทธิ์ชีวิต ทั้งยังเข้าโจมตีอีกด้วย!” สีหน้าของจ้าวหยูเฟยร้อนรน
ถึงแม้จ้าวเฟิงจะเคยคาดเดาว่าเหตุการณ์เช่นนี้ต้องเกิดขึ้น แต่เมื่อได้ยินข่าวในตอนนี้ ใจก็ยังคงสั่นสะท้านเป็นที่สุด
พวกฝืนชะตาฟ้ากลับกล้าลงมือกับแดนศักดิ์สิทธิ์ที่มีนายเหนือหัวรักษาการณ์ดูแลอยู่!
แดนศักดิ์สิทธิ์ของนายเหนือหัวสามารถพูดได้ว่าเป็นหนึ่งในขั้วอำนาจที่แข็งแกร่งที่สุดในดินแดนเทพรกร้าง
พวกฝืนชะตาฟ้าโจมตีแดนศักดิ์สิทธิ์ของนายเหนือหัว มีจุดประสงค์อะไรกันแน่?
จ้าวเฟิงไม่คิดว่าพวกฝืนชะตาฟ้าจะโจมตีแดนศักดิ์สิทธิ์ของนายเหนือหัวเพราะตนซ่อนตัวอยู่ที่นี่
ฟิ้ว! ฟิ้ว! จ้าวเฟิงและจ้าวหยูเฟยเคลื่อนมายังโลกภายนอกอย่างรวดเร็ว
เห็นเพียงนอกแดนศักดิ์สิทธิ์ชีวิตมีเงาสะท้อนโลกใบใหญ่มหึมา ซึ่งก็คืออาณาจักรเทพของพวกฝืนชะตาฟ้านั่นเอง รอบด้านมีผู้แข็งแกร่งจำนวนไม่น้อยตั้งขบวนค่ายกลต่างๆ ล้อมแดนศักดิ์สิทธิ์ชีวิตเอาไว้เรียบร้อย
“เผ่าความลับสวรรค์ควบคุมขั้วอำนาจห้าดาวทั้งสามที่เหลือเอาไว้แล้ว!”
ผู้อาวุโสสูงสุดเผ่าพันธุ์วิญญาณมองไปรอบๆ จากนั้นจึงพูดขึ้น
สามขั้วอำนาจใหญ่ของเขตเทพสวรรค์ก็อยู่ในหมู่คนรอบด้านนี้
เพราะการกลับมาของจ้าวเฟิง จึงมีเพียงแค่เผ่าพันธุ์วิญญาณเท่านั้นที่หลุดพ้นจากแผนการ ไม่ได้อยู่ในขบวนทัพนี้ด้วย
ฝั่งแดนศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ลนลานเท่าใดนักที่ต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีอันแข็งแกร่งจากพวกฝืนชะตาฟ้า เพราะแดนศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขามีนายเหนือหัวเฝ้าดูแล!
ฟิ้ว! ในตอนนี้เอง แสงสีเขียวอ่อนสายหนึ่งบินทะลุออกมา แปลงเป็นเทพธิดาแห่งผืนป่ายืนเด่นเป็นสง่าอยู่กลางฟ้า
ขณะเดียวกัน สมาชิกของแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดก็มองไปยังนางด้วยสายตาเคารพบูชา
“เผ่าความลับสวรรค์ พวกเจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
เสียงอ่อนโยนก้องกังวานดังมาจากนายเหนือหัวเนตรชีวิต
นางเพิ่งส่งคนออกไปตรวจสอบสถานการณ์อย่างละเอียด สมาชิกหน่วยข่าวยังไม่ทันกลับมา พวกฝืนชะตาฟ้าก็มาเยือนแล้ว ทุกอย่างช่างกะทันหันนัก
ขวับ! บนทางของเงาสะท้อนโลกมีร่างคนชุดขาวร่างหนึ่งปรากฏขึ้น
‘เจ้าสวรรค์!’ จ้าวเฟิงพึมพำในใจด้วยความตกใจ
เจ้าสวรรค์ในตอนนี้ทำให้จ้าวเฟิงรู้สึกทั้งคุ้นเคยทั้งแปลกหน้า คุ้นเคยเพราะตอนนั้นเคยพูดคุยกันช่วงหนึ่ง แปลกหน้าเพราะเจ้าสวรรค์ในตอนนี้เปลี่ยนไปจากในตอนนั้นมาก
“ฮ่าๆ เนตรเทพชีวิต หน้าที่ของเจ้าจบลงแค่นี้แล้ว!”
เจ้าสวรรค์แย้มยิ้ม เพ่งจ้องไปยังนายเหนือหัวเนตรชีวิต
ฟู่! มือขวาของเขายกขึ้นสะบัดออกไปเบาๆ
ทันใดนั้น คลื่นพลังเทพที่แข็งแกร่งแต่ละกลุ่มบริเวณรอบๆ แดนศักดิ์สิทธิ์ชีวิตก็หอบม้วนพุ่งขึ้นฟ้า
“โจมตี!” เสียงคำรามสะเทือนเลื่อนลั่นดังมาจากทั่วทุกทิศ
ผู้นำระดับสูงทั้งหลายของแดนศักดิ์สิทธิ์ชีวิตคิดไม่ถึงว่าพวกฝืนชะตาฟ้าจะโจมตีโดยไม่พูดพร่ำอะไร
“หึ ท่าทางพวกเจ้าจะยังไม่ได้รับบทเรียนจากครั้งที่แล้ว!”
ในกลุ่มผู้นำระดับสูงของแดนศักดิ์สิทธิ์ชีวิต ผู้อาวุโสตัวสูงหลายจั้งที่บนผิวมีลายวงปีสลักไว้เต็มไปหมดก้าวออกมา
“ราชาเทพหวาเฟิง (ขุนเขาวิจิตร)!” ทุกคนร้องขึ้นอย่างอดไม่ได้
ราชาเทพหวาเฟิงคนนี้ก็คือผู้ดูแลคนที่สองนอกจากนายเหนือหัวเนตรชีวิต พลังสูงส่งล้ำลึก ในเวลาที่นายเหนือหัวเนตรชีวิตปิดด่านฝึกฝน ราชาเทพหวาเฟิงก็จะเป็นผู้ดูแลเรื่องน้อยใหญ่ทั้งหลายของแดนศักดิ์สิทธิ์แทน
“ประวัติศาสตร์เขียนโดยผู้ชนะ!” เจ้าสวรรค์ยิ้มมุมปาก ใบหน้าฉายแววมั่นใจ
“โจมตีกลับ!” ราชาเทพหวาเฟิงคำรามทันที
นายเหนือหัวเนตรชีวิตรักสันติ ใจไม่แข็งพอที่จะก่อสงคราม แต่เขาไม่มีทางเมตตา จะปล่อยให้ใครมาท้าทายเกียรติศักดิ์ศรีของแดนศักดิ์สิทธิ์ชีวิตได้อย่างไร
ในแดนศักดิ์สิทธิ์ชีวิต สมาชิกทั้งหมดเคลื่อนไหวแบ่งเป็นกองกำลังมหึมาสี่กองอย่างรวดเร็ว แล้วโจมตีออกไปทั้งสี่ทิศ ไม่ถึงชั่วขณะ สมาชิกของทั้งสองฝั่งก็เข้าปะทะกัน
ครืน ตูม ตูม!
ฟ้าดินสั่นไหวทันใด รอบแดนศักดิ์สิทธิ์ชีวิตมืดครึ้มไปทั่ว แต่ก็ไม่ส่งผลต่อครรลองสายตาของทุกคน
“ศึกของแดนศักดิ์สิทธิ์!” ใจของจ้าวเฟิงสั่นสะท้าน
คิดไม่ถึงว่าครั้งนี้เขาจะได้พบกับศึกใหญ่เช่นนี้ การโค่นล้มแดนศักดิ์สิทธิ์ใช่ว่าไม่เคยเกิดขึ้น แต่พันล้านปียังยากจะเกิดขึ้นสักครั้งหนึ่ง ทั้งสองฝ่ายของศึกแดนศักดิ์สิทธิ์ในตอนนี้อหนึ่งคือแดนศักดิ์สิทธิ์ชีวิตที่มีนายเหนือหัวรักษาการณ์ดูแล อีกหนึ่งคือพวกฝืนชะตาฟ้า
ครืน ตูม บึ้ม!
ระเบิดสนั่นหวั่นไหวดังขึ้นไม่หยุดรอบด้านแดนศักดิ์สิทธิ์ชีวิต ระดับการต่อสู้มีตั้งแต่เทพแท้จริงจนถึงจอมเทพ แต่ตอนนี้ สมาชิกที่ออกศึกหลักๆ คือเทพแท้จริงและเทพโบราณ จอมเทพของทั้งสองฝั่งมีไม่มากนัก
แต่สู้กันได้ไม่เท่าไหร่ สมดุลของสงครามก็เริ่มเอนเอียง
“พลังแฝงของพวกฝืนชะตาฟ้าแข็งแกร่งถึงเพียงนี้เชียวรึ!”
ราชาเทพหวาเฟิงตื่นตกใจเล็กน้อย
ต้องรู้ไว้ว่าแพทย์ผู้รักษาของแดนศักดิ์สิทธิ์ชีวิตมีมากมาย มีประโยชน์อย่างมากในการทำสงคราม แต่ในเหตุการณ์เช่นนี้กลับยังเป็นพวกฝืนชะตาฟ้าที่ได้เปรียบกว่า
หนึ่งในนั้นมีเหตุผลส่วนหนึ่งเพราะพวกฝืนชะตาฟ้ากลืนขั้วอำนาจห้าดาวทั้งสามของเขตเทพสวรรค์และขั้วอำนาจสี่ดาวทั้งหลายไปแล้ว
“เผ่าพันธุ์วิญญาณทุกท่าน พวกท่านก็เข้าร่วมรบด้วยเถิด!”
ราชาเทพหวาเฟิงพลันมองไปยังเผ่าพันธุ์วิญญาณ
เผ่าพันธุ์วิญญาณพึ่งพาแดนศักดิ์สิทธิ์ และตอนนี้ยิ่งอยู่ในแดนศักดิ์สิทธิ์ เมื่ออีกฝ่ายประสบเคราะห์ก็ต้องลงมือช่วย
“แต่ว่า พี่เฟิงคือเนตรเทพเจ้าดวงที่เก้า…” จ้าวหยูเฟยเอ่ยปาก
จ้าวเฟิงคือผู้ครองเนตรเทพเจ้าดวงที่เก้า คือคนสำคัญที่พวกฝืนชะตาฟ้าจับไปครั้งก่อนหน้านี้ หากเข้าร่วมรบเกรงว่าจะถูกพุ่งเป้าเล่นงานจากพวกฝืนชะตาฟ้า
“ตอนนี้จ้าวเฟิงยังไม่ต้องลงมือ!” ราชาเทพหวาเฟิงพูดขึ้นทันที
ในฐานะที่เป็นเนตรเทพเจ้าดวงที่เก้า จ้าวเฟิงจะก่อให้เกิดความเคียดแค้นชิงชัง อาจทำให้สถานการณ์ของสงครามเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ยากจะควบคุม นอกจากนั้น ในตอนนั้นจ้าวเฟิงยังสังหารทูตสวรรค์เป่ยหมิงฮุยลงได้ ยังไม่ถึงเวลาที่จะส่งกำลังรบระดับนี้ลงไปยามนี้
“ไป!” ผู้อาวุโสสูงสุดคำราม นำเผ่าพันธุ์วิญญาณพุ่งสังหารออกไป
“หยูเฟย ระวังตัวด้วย!” จ้าวเฟิงกำชับ
แต่ทว่า การเข้าร่วมรบของเผ่าพันธุ์วิญญาณก็ไม่ได้สร้างผลกระทบอะไรให้กับสถานการณ์ศึกนัก
สมาชิกเผ่าพันธุ์วิญญาณที่มายังแดนศักดิ์สิทธิ์ในตอนนั้นเป็นเพียงแค่หนึ่งในส่วนน้อยเท่านั้นเอง
……
สงครามระดับแดนศักดิ์สิทธิ์ ข่าวที่เป็นที่ฮือฮาเช่นนี้แพร่สะพัดไปทั่วก่อนที่สงครามจะเกิดขึ้นแล้ว
เขตต่างๆ ที่อยู่ติดกับเขตเทพสวรรค์รู้เรื่องนี้ก่อนเป็นอันดับแรก พวกเขาส่งผู้แข็งแกร่งมุ่งหน้าไปยังเขตเทพสวรรค์เพื่อตรวจสอบเหตุการณ์ทันที มีกระทั่งจอมเทพเดินทางไปด้วยตัวเองด้วยซ้ำ
การเปลี่ยนแปลงของแดนศักดิ์สิทธิ์อาจจะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ของเขตเทพสวรรค์ โดยเฉพาะเขตต่างๆ ที่อยู่ใกล้กับแดนศักดิ์สิทธิ์ชีวิต
ส่วนผู้นำระดับสูงทั้งหลายของแดนศักดิ์สิทธิ์ฟ้าทลายแห่งเขตพยับฟ้าต่างก็ดีใจกันเป็นอย่างยิ่ง ถึงตอนนั้นไม่ว่าเขตเทพสวรรค์จะพ่ายแพ้หรือชนะ พลังอำนาจล้วนแต่ถูกลดทอนไปอย่างมากทั้งสิ้น
ฝั่งตะวันตกของเขตเทพรกร้าง สถานที่ลับของพวกผู้ทรงภูมิ
ปราชญ์ทั้งหลายจิตใจร้อนรุ่ม ทั้งยังยากจะคาดเดาอะไร
“อันตราย…อันตรายมาจากดินแดนเทพรกร้าง…”
อวี่เทียนอูยากจะคาดเดาเหตุการณ์โดยละเอียด
ในเมื่อพวกฝืนชะตาฟ้าก็เป็นเผ่าความลับสวรรค์เช่นเดียวกัน จึงสามารถรบกวนการพยากรณ์ของพวกผู้ทรงภูมิได้
อีกทั้งผู้แข็งแกร่งที่เกี่ยวพันมีมากเกินไป รวมทั้งนายเหนือหัวเนตรชีวิต เจ้าสวรรค์อวี่เทียนซู ราชาเทพ และจอมเทพทั้งหลาย…
ดวงตาของหลิ่วฉินซินปิดลง พลังศาสตร์ทำนายที่แข็งแกร่งไร้เทียมทานก่อตัวขึ้นในดวงตาคู่นั้น
นางค่อยๆ เห็นภาพหนึ่ง ในภาพนั้นมีสตรีชุดเขียวงามเลิศล้ำผู้หนึ่งกำลังประจันหน้าอยู่กับผู้อาวุโสชุดขาว