บทที่ 1572 ความจริงของโลก
“นั่นใคร?”
จ้าวเฟิงที่กำลังท้อแท้หมดหวัง ร่างกายสั่นสะท้าน เหมือนเห็นแสงสว่างในความมืดมิด
ทว่าโลกที่ว่างเปล่ารอบตัวมืดสลัว ไม่มีสัญญาณของสิ่งมีชีวิตใด แล้วเสียงนี้มาจากที่ไหน?
ในขณะที่รับรู้ รอบด้านก็เต็มไปด้วยระลอกพลังปั่นป่วนที่ไม่สิ้นสุด มองไม่เห็นปลายทาง ไม่เห็นจุดสิ้นสุดของมัน
สีสันและพลังทั้งหมดนี้ที่นี่ก็เหมือนสูญเสียความหมายในตัวไป
ในการรับรู้ของจ้าวเฟิง ขอบเขตของของมิติและเวลาประสานเข้าด้วยกันอย่างแนบแน่น จนยากจะจุดโหว่พบ
หรือว่าที่นี่ก็คือ ‘ความสับสนอลหม่าน’ ก่อนฟ้าดินถือกำเนิดในตำนาน?
“นั่นใคร? คำถามนี้ข้าควรถามเจ้าน่าจะถูกต้องกว่า”
เสียงแหบพร่านั้นเจือด้วยความเฉื่อยชาคล้ายเพิ่งตื่นขึ้น แต่กลิ่นอายที่เก่าแก่ดั้งเดิมกลับโชยปะทะใบหน้า
กลิ่นอายกลุ่มนั้นไม่สามารถคาดเดาความแข็งแกร่งได้เลย แต่กลับเหมือนสามารถโอบอุ้มทุกสรรพสิ่ง ราวกับมาจากภาพมายาที่ไม่มีสิ้นสุด นอกจากนี้ กลิ่นอายกลุ่มนี้ยังทำให้เนตรบรรพชนมายาของเขารู้สึกคุ้นเคยสนิทสนม
ฟู่ ฟู่~ ข้างในมิติปั่นป่วนมีระลอกน้ำวนเกิดขึ้นภายใต้กลิ่นอายกลุ่มนั้น
“นี่มันอะไรกันแน่?”
ใจจ้าวเฟิงสั่นสะท้าน เขาผู้ครอบครอบพลังเนตรบรรพชนทั้งสองไม่สามารถคาดเดาตัวตนที่แท้จริงของกลิ่นอายกลุ่มนี้ได้เลย
ทันใดนั้นเอง
คลื่นสีเทาปั่นป่วนรอบมิติแห่งนี้โหมซัดขึ้นมาท่ามกลางความเงียบงัน
‘ใบหน้าที่ไม่สมบูรณ์’ ขนาดใหญ่ไร้ขอบเขตเกาะกลุ่มขึ้นเบื้องหน้าจ้าวเฟิง ประหนึ่งหมอกควันที่ว่างเปล่า
‘ใบหน้าที่ไม่สมบูรณ์’ นั้นเห็นเพียงแค่เค้าโครงง่ายๆ แต่เหมือนเป็นอากาศในโลกใบนี้ สร้างแรงกดดันให้แก่จ้าวเฟิง
“นี่คือ…”
จ้าวเฟิงรู้สึกแค่ว่าดวงตาสองข้างของตนเองเต้นกระตุกพร้อมกัน สัมผัสที่คุ้นเคยก่อนหน้านี้ยิ่งเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ
ความรู้สึกเช่นนี้เหมือนเด็กไร้ที่พึ่งที่มีสายเลือดเดียวกันได้พบเจอแม่บังเกิดเกล้า
“หืม? บนร่างของเจ้า คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีพลังดั้งเดิมของข้าด้วย!”
ใบหน้ามายาขนาดใหญ่นั้นฉายแววตื่นตะลึง ขณะจ้องเนตรบรรพชนของจ้าวเฟิงเขม็ง หลังจากสังเกตนานแล้ว ก็ทอดถอนใจออกมาทันที จากนั้นเขาก็ตกอยู่ในภวังค์ เหมือนกำลังย้อนระลึกถึงอะไรบางอย่าง
รอมาเนิ่นนานแล้วจริงๆ!
“ผู้อาวุโส ท่านเป็นใครกัน?” จ้าวเฟิงถามขึ้นอย่างอดไม่ได้ “จักรวาลที่ดับสูญไปก่อนหน้านี้เป็นเพราะเรื่องอะไรกันแน่? ”
ดับสูญไปแล้ว ทั้งหมดดับสูญไปแล้ว
ทั้งจักรวาล รวมไปถึงดินแดนเทพ…ดินแดนทวีป…ทวีปบุปผาคราม ทุกสิ่งที่เขารู้จักหายวับไปกับตา
“ท่านพ่อท่านแม่…ฉินอิน…หยูเฟย…”
จ้าวเฟิงที่อยู่ในมิติดั้งเดิมโกลาหล รู้สึกได้ถึงความอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวอย่างรุนแรง
เขาต้องการคำตอบ
ผ่านไปเนิ่นนาน ใบหน้านั้นก็เปิดปากเอ่ย “…ข้านึกออกแล้ว”
เนตรบรรพชนของจ้าวเฟิงจ้องไปที่ใบหน้าใหญ่นั้นเขม็ง
“คิดไม่ถึงเลยว่าข้าจะตื่นขึ้นอีกครั้ง!”
ใบหน้าที่ไร้รูปร่างพึมพำกับตนเอง ถึงแม้จะไม่มีร่างกายที่เป็นรูปธรรมชัดเจน แต่จ้าวเฟิงรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้มุ่งร้ายต่อตน หนำซ้ำใน ‘ดวงตา’ ที่ไร้รูปก็เกิดความสับสนอย่างประหลาดขึ้น
“ข้ามาจากโลกจักรวาลที่ล่มสลายในอดีต ชื่อ ‘ฟั่นกู่’ แล้วเจ้าล่ะ นามว่าอะไร?”
หลังจากผ่านไปสักครู่ ใบหน้านั้นก็จ้องจ้าวเฟิงและระบายยิ้มน้อยๆ อีกครั้ง
“ผู้เยาว์จ้าวเฟิง มาจากจักรวาลที่เพิ่งล่มสลายไป”
จ้าวเฟิงตอบ
“เจ้าคงจะทุกข์ทนอับจนหนทางกับสถานการณ์ในตอนนี้มากเลยกระมัง!”
ฟั่นกู่เหมือนรู้ทุกสิ่งได้ในฉับพลัน แสดงให้เห็นถึงสติปัญญาและความเยือกเย็นอย่างชัดเจน
“ขอคำชี้แนะจากผู้อาวุโสด้วย!”
จ้าวเฟิงฝืนสะกดกลั้นแรงกดดันเอาไว้ในใจ
ทั้งมิติจักรวาลไม่เหลืออะไรอีกแล้ว ทั้งหมดอันตรธานหายไป เหลือเขาเพียงแค่คนเดียว ไม่ใช่สิ…ตอนนี้เหมือนมีคนเพิ่มขึ้นมาอีกคนหนึ่ง
แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น จ้าวเฟิงก็ยังคงรู้สึกถึงความว่างเปล่า วูบโหวงในอก…
“เช่นนั้นข้าจะเล่าเรื่องให้เจ้าฟังตั้งแต่แรกแล้วกัน ข้าชื่อ ‘ฟั่นกู่’ เป็น ‘ระดับผู้สร้าง’ ในมิติอลหม่านแห่งนี้ เกิดการต่อสู้กับคนในระดับเดียวกันอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ถึงแม้ข้าจะสังหารฝ่ายตรงข้ามหมดทุกคนแล้ว แต่ถือได้ว่าตัวข้าเองก็ดับสูญไปด้วย เหลือเพียงแค่พลังดั้งเดิมและเศษเสี้ยวความคิดเท่านั้น…”
ฟั่นกู่ดำดิ่งลงในความทรงจำ ค่อยๆ เล่าเรื่องราวส่วนหนึ่งให้จ้าวเฟิงฟัง แต่จ้าวเฟิงประหลาดใจอยู่เล็กน้อยตั้งแต่ประโยคแรกที่ฟั่นกู่พูดออกมา
ระดับผู้สร้าง? ตนเองไม่เคยได้ยินระดับพลังนี้มาก่อน
“ทุกสิ่งในจักรวาลที่เจ้าอยู่ในตอนนี้ ข้า ‘นึกออก’ แล้ว เทพบรรพชนที่เคยตายลงในมิติจักรวาล เมื่ออยู่ในโลกอลหม่านจะถือว่าเป็นผู้แข็งแกร่ง ‘ระดับโลก’ ”
ใบหน้ามายาอธิบายเนิบนาบ
เทพบรรพชน? ถือได้ว่าเป็นระดับโลก? แล้วราชาเทพและนายเหนือหัวจะเป็นอะไร?
ยิ่งจ้าวเฟิงได้ยินก็ยิ่งตื่นตะลึง
“นายเหนือหัวอย่างมากที่สุดถือได้ว่าเป็นระดับครึ่งโลกเท่านั้น เมื่อระดับโลกอยู่ในโลกจะไร้เทียมทาน อีกทั้งอาจจะอยู่เหนือโลก และเหนือระดับโลกขึ้นไปจะมี ‘ระดับผู้สร้าง’ ซึ่งมีความสามารถสร้างแผ่นดินขึ้นใหม่ และสร้างสรรพชีวิตนับหมื่นได้”
ใบหน้ามายานั้นตอบข้อสงสัยของจ้าวเฟิง
นายเหนือหัวผู้ที่นับว่าแข็งแกร่งที่สุดในดินแดนเทพ กลับนับว่าเป็นแค่ระดับครึ่งโลก? ‘เทพบรรพชน’ ถึงพอจะนับได้ว่าเป็นระดับโลก
แต่ใบหน้าที่อยู่ด้านหน้าเขานี้เป็นถึงระดับผู้สร้างที่สูงขั้นกว่า!
การต่อสู้ของ ‘ระดับผู้สร้าง’ จะน่ากลัวขนาดไหนกัน?
จะต้องรู้ว่า แค่การต่อสู้ของเนตรบรรพชนเทียมเพียงอย่างเดียวก็ทำให้โลกใบนี้แหลกสลายลงได้ แต่การต่อสู้ของระดับโลกอาจทำให้โลกขนาดใหญ่อย่างจักรวาลล่มสลายลงไปได้เช่นกัน
การต่อสู้เช่นนี้ทำให้ทั้ง ‘ฟั่นกู่’ สูญสิ้นเกือบหมด เหลือเพียงแค่พลังดั้งเดิมและเสี้ยวความคิดหนึ่งเท่านั้น
“โลกจักรวาลเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
ในใจจ้าวเฟิงพอได้คำตอบของตำนานที่เกี่ยวกับเนตรบรรพชนแล้ว
“ในช่วงชีวิตก่อนของข้า ถึงแม้จะเกิดมาในสายพลังบริสุทธิ์ กลับเลือกแหวกประเพณี สร้าง ‘ศาสตร์ความฝันมายา’ ขึ้น พลังดั้งเดิมมายาที่ทิ้งไว้พิเศษมาก มี ‘ภาพมายาเสมือนจริง’ และ ‘หนึ่งฝันสร้างสรรพสิ่ง’ อยู่เหนือระดับผู้สร้างทั่วไป”
เสียงของใบหน้านั้นแฝงไปด้วยความภาคภูมิใจ
“พลังดั้งเดิมมายา? หรือว่านี่คือเนตรบรรพชนมายาของข้า?”
จ้าวเฟิงคาดเดา
ภาพมายาเสมือนจริงคือระดับพลังในฝันสูงสุดของศาสตร์มายา สามารถทำให้ทุกสิ่งในฝันกลายเป็นความจริงได้
เขาเคยใช้พลัง ‘แปรฝันให้เป็นจริง’ มาก่อน เกรงว่าจะเป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวเดียวของพลังภาพมายาเสมือนจริงเท่านั้น
แต่ทว่า ‘ศาสตร์ความฝันมายา’ ของฟั่นกู่ถึงขั้นสามารถทำให้เป็นขอบเขตพลัง ‘เปลี่ยนมายาเสมือนจริง’ กดดันระดับผู้สร้างคนอื่น
“หลังจากที่ข้าตายแล้ว พลังดั้งเดิมที่ทิ้งเอาไว้จะยังสร้างโลกขึ้นโดยจิตใต้สำนึก และยังพยายามฟื้นฟูรักษาไอสวรรค์โดยการสร้างฝันขึ้น”
ใบหน้านั้นชะงักมองจ้าวเฟิง
“สร้างฝัน? หรือจะบอกว่าโลกจักรวาลเกิดขึ้นแบบนี้?”
จ้าวเฟิงตกใจ ก่อนจะหลุดปากเอ่ย
นั่นก็คือว่าทุกสิ่งในมิติจักรวาลเกิดขึ้นจากผู้แข็งแกร่งขัดชะตาสวรรค์ใน ‘ระดับผู้สร้าง’ หลังจากตายแล้ว พลังที่หลงเหลือเอาไว้ก็ตั้งใจสร้าง ‘ห้วงฝัน’ ขึ้นมา
หากว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ
เช่นนั้นแล้วทุกสิ่งที่เกิดขึ้นใน ‘ห้วงฝัน’ เป็นเรื่องจริงหรือว่ามายากันแน่?
ถ้าหากเป็นเรื่องหลอกลวง ตอนนี้จ้าวเฟิงจะเป็นอะไรกัน?
แล้วถ้าหากว่าเป็นเรื่องจริง เช่นนั้นทุกอย่างด้านนอกจักรวาลและคนรู้จักของจ้าวเฟิงจะหายไปที่ไหนแล้ว?
“ใช่แล้ว เป็นแค่ความฝันเท่านั้น!”
คำพูดของใบหน้ามายายืนยันการคาดเดาของจ้าวเฟิง