บทที่ 1573 หนึ่งฝันสร้างหมื่นสิ่ง
คำพูดของใบหน้ามายาทำให้จ้าวเฟิงใจหนักอึ้ง
นี่คือสิ่งที่เขาเดาเอาไว้นานแล้ว แต่กลับไม่สามารถรับความจริงข้อนี้ได้
แต่ทว่า
ถ้าหากทั้งจักรวาลเป็นเพียงความฝัน เช่นนั้นแล้วตนเองจะเป็นอะไรกัน?
เพราะเหตุใดคนอื่นจึงอันตรธานหายไป แต่เขากลับยังอยู่?
“ส่วนที่เจ้ายังมี ‘ตัวตน’ อยู่ได้ เพราะว่าเจ้าได้รับสืบทอดพลังดั้งเดิมของข้า ‘ฟั่นกู่’!”
ใบหน้ามายานั้นเอ่ยต่อ
“ข้ายอมไม่มีพลังกลุ่มนี้เสียดีกว่า!”
ใบหน้าของจ้าวเฟิงราบเรียบ เกือบไร้ซึ่งวิญญาณ
ในตอนนี้ เขาได้รับรู้ความจริงทั้งหมดแล้ว
ถ้าหากว่าเนตรบรรพชนมายาของตนไม่ตื่นขึ้นทั้งหมด ‘โลกความฝัน’ แห่งนี้ก็อาจดำเนินต่อไปได้ตลอด
ทันทีที่เนตรบรรพชนตื่นขึ้น โลกจึงหายไป!
แต่ทุกสิ่งที่หายไปพร้อมกับมันยังมีทุกสิ่งในชีวิตของจ้าวเฟิงด้วย ทั้งคนที่สนิทสนมที่สุด คนที่รักที่สุด และสิ่งของที่เคยคุ้นเคย
“โลกใบนี้เป็นแค่พลังทั้งหมดที่ ‘ข้าและเจ้า’ สร้างขึ้นโดยจิตใต้สำนึกเท่านั้น ตอนนี้เจ้าสืบทอดพลังกลุ่มนี้แล้ว เจ้าจะเป็นบรรพชนแห่งมายา เทียบกับโลกเดิม เจ้าก็เป็นราชันแห่งนายเหนือหัวทั้งปวง สามารถเยียวยาทุกสิ่งได้!”
ฟั่นกู่รู้ความคิดทั้งหมดในหัวจ้าวเฟิง ทว่ากลับยิ้มออกมา
“ข้าควรจะทำอย่างไรดี?”
ในใจจ้าวเฟิงยินดีแทบคลั่ง เหมือนจับเชือกช่วยชีวิตเอาไว้ได้ จึงเอ่ยถามทันที
ฟั่นกู่เอ่ยพลางถอนใจ “ขอแค่เจ้าสืบทอดทุกสิ่งและดวงจิตที่เหลือของข้า พอถึงเวลาเจ้าก็จะรู้เอง!”
จ้าวเฟิงตื่นตะลึง
ถ้าหากเขาสืบทอดทุกอย่างของฟั่นกู่ เช่นนั้นแล้วฟั่นกู่ที่ผ่านมาจะเท่ากับว่าสูญสลายไปโดยสิ้นเชิง
ดวงจิตที่หลงเหลือของฟั่นกู่จะยินยอมช่วยเขาหรือ?
“ไม่รู้ว่าข้านอนหลับไปนานเท่าไหร่ ถึงตื่นขึ้นก็ยังเป็นไปไม่ได้ที่จะสร้างห้วงฝันอีกครั้ง สุดท้ายแล้วบางทีนี่อาจเป็นการเริ่มต้นใหม่ หากเจ้ายินยอม ข้าจะยกทั้งหมดที่ข้ามีให้เจ้า…”
ฟั่นกู่เอ่ยเนิบนาบ
สำหรับเขาแล้ว ครั้งนี้ที่ตื่นขึ้นมาก็เป็นยิ่งกว่าเรื่องเหนือความคาดหมายแล้ว ทั้งจักรวาลล้วนแต่สร้างขึ้นด้วยพลังที่หลงเหลืออยู่ของเขา
แต่จ้าวเฟิงเป็นคนหนึ่งในโลกจักรวาลดั้งเดิม สืบทอดพลังดั้งเดิมมายา ในระดับหนึ่งเรียกได้ว่าจ้าวเฟิงเป็นฟั่นกู่คนใหม่ เป็นผู้สืบทอดของฟั่นกู่!
“ขอบคุณผู้อาวุโสที่มีน้ำใจ!” จ้าวเฟิงประสายมือขอบคุณ
หากสามารถเอาทั้งหมดกลับมาได้ ให้เขาทำอะไรก็ยินดีทั้งนั้น
“เช่นนั้นก็ดี…”
ฟั่นกู่ถอนหายใจยาว มีความรู้สึกสบายใจ เศษเสี้ยวดวงจิตนี้ของเขากำลังไปถึงจุดสิ้นสุด และกำลังถือกำเนิดใหม่
ผลัวะ!
ในชั่วขณะต่อมา ใบหน้าขนาดใหญ่นั้นกลายเป็นหมอกควันไร้รูปร่างทะลักเข้าไปในดวงตาสองข้างของจ้าวเฟิง โดยหลอมรวมเข้าไปในเนตรบรรพชนมายามากกว่าส่วนอื่น
พลังดั้งเดิมมายานี่เองเป็นพลังแท้จริงที่สุดที่ทำให้ฟั่นกู่ในอดีตเป็น ‘ระดับผู้สร้าง’ ที่มีชื่อเสียงได้สำเร็จ
……
โลกขมุกขมัวเต็มไปด้วยหมอกควันเลือนราง ทั้งหมดพร่าเลือนไม่ชัดเจน เหมือนไม่มีมิติและอยู่เหนือกาลเวลา
ในมุมใดมุมหนึ่งของโลกความอลหม่าน
บุรุษหนุ่มผู้เป็นประดุจรูปสลักเก่าแก่ที่ผ่านกาลเวลามายาวนาน ยืนนิ่งอยู่ในความวุ่นวายโดยไม่ไหวติง
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ บุรุษหนุ่มผู้นี้จึงลืมตาขึ้น
เขาไร้ซึ่งกลิ่นอายบนร่าง เหมือนเป็นคนธรรมดา แต่ยามอยู่ในโลกอลหม่านที่อันตรายเช่นนี้กลับไม่เป็นอะไรแม้แต่น้อย
ในเวลาใดเวลาหนึ่ง
บุรุษหนุ่มหลับตาลง ใบหน้าฉายแววเข้าใจถ่องแท้
ในเวลานี้ เขาได้สืบทอดทั้งหมดของฟั่นกู่เดิมมาแล้ว
เขาในตอนนี้เรียกว่าเป็นจ้าวเฟิง และก็เรียกว่าเป็นการถือกำเนิดใหม่อีกครั้งหลังจากที่ฟั่นกู่ล่มสลายลง
เทียบกับจักรวาลเดิม ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปกี่ร้อยล้านปี ในที่สุดตอนนี้เขาก็ฟื้นฟูพลังส่วนมากของ ‘ระดับผู้สร้าง’ ในอดีต
แต่ทว่า
ถึงแม้จ้าวเฟิงจะรับสืบทอดทุกสิ่งของฟั่นกู่ แต่สำหรับเขาแล้ว ทุกสิ่งที่สำคัญที่สุดกับเขาอยู่ในจักรวาลเดิมทั้งสิ้น
“ทำลายลงแล้วสร้างขึ้นใหม่ สร้างมิติห้วงฝันขึ้นอีกครั้ง หนึ่งความฝันสร้างหมื่นสิ่ง!”
จ้าวเฟิงพึมพำ ในดวงตาซ้ายปรากฏระลอกแสงมายาที่ไม่มีสิ้นสุดผืนหนึ่ง ประกายแสงสีเทาอ่อนวาบผ่านในดวงตาขวา จากนั้นจึงหลับตาลงอีกครั้ง
พรึ่บ!
ในทันใดนั้น มิติห้วงฝันขนาดใหญ่แห่งหนึ่งเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา
ในห้วงฝันปรากฏมิติที่สมบูรณ์แห่งหนึ่ง ประดุจความโกลาหลวุ่นวายสร้างสิ่งของขึ้นมา ภายในนั้นบิดเบี้ยวไม่หยุดหย่อน จนค่อยๆ เกิดเป็นภาพหนึ่ง นั่นคือภาพเหตุการณ์ก่อนที่ทั้งโลกจะล่มสลายลง
“กลับมาเถอะ!”
เนตรบรรพชนสองข้างของจ้าวเฟิงทะลักพลังดั้งเดิมสองประเภทที่แทบไม่สิ้นสุดออกมา
เนตรบรรพชนมายาเป็นตัวแทนรากฐาน ‘ระดับผู้สร้าง’ ของฟั่นกู่
เนตรบรรพชนวิถีฟ้าเป็นตัวแทนของความเข้าใจฟั่นกู่มีต่อกฎเกณฑ์ในหลักต้นกำเนิดสรรพสิ่ง และการใช้พลังดั้งเดิมมายา
จ้าวเฟิงที่ครอบครองพลังดั้งเดิมสองกลุ่มจึงมีพลังที่มองทะลุผ่านภาพมายาและความจริง
ไม่รู้ว่าผ่านไปเนิ่นนานเท่าไหร่ จ้าวเฟิงพลันลืมตาขึ้น
โลกทั้งใบเกิดการเปลี่ยนแปลง!
ภาพเหตุการณ์ตรงหน้าคือดินแดนเทพรกร้างพินาศล่มสลาย อารยธรรมทั้งหลายสาบสูญ สิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนก็ตายลงในความวุ่นวาย…
แต่สำหรับจ้าวเฟิงแล้ว ภาพเหตุการณ์นี้ทำให้เขาตื่นเต้นมากนัก
ไกลออกไป อวี่เทียนอู เจ้าสวรรค์ และหลิ่วฉินซินที่อยู่ในเรือรบสีเงินสว่างที่เพิ่งออกห่างไปต่างมีสีหน้าฉงนสงสัย ร่างกายแข็งค้าง
สิ่งมีชีวิตจำนวนนับล้านนับแสนภายในจักรวาลก็แข็งทื่อไปตามสัญชาตญาณเช่นกัน ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ในชั่วขณะเมื่อครู่ พวกเขาจึงรู้สึกเหมือนผ่านความตายครั้งหนึ่ง
“ต่อไปขอแค่ซ่อมแซมโลกใบนี้ก็ได้แล้ว!” จ้าวเฟิงหลับตาลงอีกครั้ง
ฟ้าดินในมิติจักรวาลเชื่อมโยงกันอีกครั้ง รอยร้าวในอากาศก็กำลังซ่อมแซมตัวเองทั้งจักรวาลเกิดปรากฏการณ์พลิกฟ้าพลิกดิน ทำให้ทุกคนอุทานอย่างตะลึง
ทั้งหมดนี้เรียกได้ว่าปาฏิหาริย์!
ถึงขนาดมีข่าวลือว่า นายเหนือหัวสูงสุดของโลกใบนี้ตื่นขึ้น กลายเป็นผู้ช่วยโลกและให้ความช่วยชีวิตพวกเขา …
ไม่เพียงเท่านั้น
พวกนายเหนือหัวที่ล้มตายไปอย่างเนตรเทพชีวิตและเนตรเทพสังสารวัฏ ต่างก็กลับมามีชีวิตอีกครั้งทีละคน
“เนตรเทพเจ้าทั้งแปดเป็นตัวแทนของระเบียบวิถีฟ้า สามารถประคองให้โลกจักรวาลมั่นคงได้” จ้าวเฟิงพึมพำ
หลังจากสืบทอดดวงจิตของฟั่นกู่ เขาก็มีความเข้าใจใจในหลักธรรมชาติและพลังไปแตะขั้นใหม่
ยอดหอคอยหกเหลี่ยมในดินแดนลับของพวกผู้ทรงภูมิ
“จ้าวเฟิง เจ้ามีหวังว่าจะส่งพวกเราออกจากโลกมายาแห่งนี้ได้?”
เจ้าสวรรค์เอ่ยอย่างตื่นเต้น
“มี แต่ว่ามีเพียงสายเลือดเผ่าความลับสวรรค์ที่สมบูรณ์เท่านั้นถึงจะออกไปจากที่นี่ได้!”
จ้าวเฟิงตอบเสียงเรียบและหนักแน่น
โลกมายา? สามารถเรียกแบบนี้ได้
ทุกสิ่งในโลกใบนี้มีดำมีขาว มีจริงมีปลอม
สำหรับโลกที่เกิดขึ้นในความอลหม่านวุ่นวายเดิม ตนเองเป็นเรื่องจริง และทุกสิ่งในจักรวาลเป็นเท็จ แต่สำหรับจักรวาลแล้ว ตนเองต่างหากถึงจะเป็นเรื่องจริง ส่วนสิ่งมีชีวิตในโลกอลหม่านเป็นภาพมายาดุจความฝันเท่านั้น
นี่เป็นมิติที่แตกต่างกันสองแห่ง
สำหรับฝ่ายใดก็ตามที่อยู่ตรงข้าม ทั้งหมดล้วนแต่เป็นเรื่องหลอกลวง มีเพียงตนเองเท่านั้นที่เป็นเรื่องจริง
แน่นอน
ไม่ว่าจะพูดอย่างไร สิ่งของ ‘มายา’ เมื่อไปที่โลก ‘ความจริง’ ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ก็มีความเป็นไปได้มากที่จะสูญสลายไป นอกเสียจากเป็นคนอย่างจ้าวเฟิงที่มีเนตรบรรพชนแห่งมายา จนสามารถมองทะลุความจริงและมายาได้
แต่ว่าเผ่าความลับสวรรค์เองก็เป็นเผ่าพันธุ์จากโลกภายนอก นับว่าเป็นเรื่องยกเว้นได้
ถ้าหากเป็นเผ่าความลับสวรรค์ที่เกิดในโลกใบนี้ภายหลัง และไม่ได้สืบสายเลือดเผ่าความลับสวรรค์ที่สมบูรณ์ อาจจะไม่สามารถหนีออกไปได้แล้ว
สองผู้ปกครองของฝืนชะตาฟ้าและผู้ทรงภูมิพยักหน้าน้อยๆ ตกอยู่ในภวังค์เนิ่นนาน
คนทั้งสองมีสายเลือดเผ่าความลับสวรรค์ที่สมบูรณ์อย่างไม่ตองสงสัย แต่ว่ายังมีคนในเผ่าอีกมากที่ไม่ใช่
“จ้าวเฟิง ให้เวลาพวกเราสักหน่อย…”
คนทั้งสองเอ่ยออกมาพร้อมกัน
……
ดินแดนทวีป
หญิงสองชายหนึ่งพลันเดินทางมาถึง
ฟากชายหนุ่มหล่อเหลาเกินจะเปรียบ ท่วงท่าไม่ธรรมดา ส่วนสตรีสองนางชวนให้ตะลึง คนใดที่เห็นวงหน้าพวกนางล้วนแต่ตกตะลึงไปชั่วขณะ
“กลับมาที่นี่อีกแล้ว!”
จ้าวหยูเฟยระบายยิ้มหวาน นัยน์ตางามทอดมองไกลออกไป สัมผัสได้ถึงสถานที่ที่เคยคุ้นเคยเกินจะเปรียบ
“ไปกันเถอะ ที่นี่ยังไม่ใช่จุดหมายปลายทาง!”
จ้าวเฟิงเปิดปากเอ่ย
“จะไปไหนกัน?” จ้าวหยูเฟยเอ่ยถาม
“เป็นคนของข้าแล้ว เจ้าจะไม่ไปพบบิดามารดาของข้าหรือ?”
จ้าวเฟิงยิ้มเจ้าเล่ห์ เขาสุขสมกับทุกสิ่งในตอนนี้เหลือเกิน
“น่าชังนัก!” จ้าวหยูเฟยมองค้อนจ้าวเฟิง ใบหน้าแดงระเรื่อ
หลิ่วฉินซินยิ้มน้อยๆ นางไม่พูดอะไร แต่ในใจกลับรู้สึกอบอุ่น
……
ภายในสำนักจันทร์สลาย ณ พื้นที่ภายนอก
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้ากลับมาแล้ว!”
เสียงที่คุ้นเคยดังมาจากด้านนอกประตู
ก่อนจะพบบิดามารดา จ้าวเฟิงเปลี่ยนรูปลักษณ์ของตนเองให้เป็นสภาพเดิม
ภายในเรือนมีชายวัยกลางคนที่ดูแข็งแรงกับภรรยาที่นุ่มนวลอ่อนโยน พวกเขาชะงักไป
“เฟิงเอ๋อร์ เป็นเจ้าจริงหรือ?”
มารดาแซ่จ้าวถลามาทันที กุมมือจ้าวเฟิงเอาไว้ ส่วนมืออีกข้างลูบใบหน้าจ้าวเฟิงอย่างอดไม่ได้
นี่เป็นครั้งที่จ้าวเฟิงออกเดินทางไกลบ้านเป็นเวลายาวนานที่สุด ถึงแม้สำหรับผู้แข็งแกร่งขั้นนายเหนือหัวแล้วจะสั้นมาก แต่สำหรับคนเป็นบิดามารดาแล้วช่างยาวนานเหลือเกิน
“แม่นางทั้งสองคือ?”
แววตาจ้าวเทียนหยางผู้เป็นบิดาแปลกใจเล็กน้อย มองสตรีสองนางที่อยู่ข้างจ้าวเฟิง
“นี่คือจ้าวหยูเฟยที่ข้าเคยพูดถึง ส่วนนี่หลิ่วฉินซิน…”
จ้าวเฟิงค่อยๆ อธิบายเมื่อทั้งสามก้าวเข้ามาภายในตัวเรือน
มารดาแซ่จ้าวหัวเราะอย่างสำราญใจ หลังจากฟังเรื่องที่ลูกชายเล่าได้พักหนึ่ง นางก็ไปเตรียมอาหาร
ไม่นานนัก อาหารกลิ่นหอมหวนก็ตั้งโต๊ะเสร็จสิ้น
ทุกคนทานอาหารไปพลาง คุยเล่นกันไปพลาง ความสุขและความอบอุ่นอบอวลในอากาศ
จ้าวเฟิง หลิ่วฉินซิน และจ้าวหยูเฟยพำนักอยู่ที่นี่เป็นการชั่วคราว…
สิบปีให้หลัง จ้าวเฟิงก็พาสตรีสองนางจากไป
ในดินแดนเทพรกร้าง เรือบินรูปร่างประหลาดลอยอยู่กลางอากาศ
“จ้าวเฟิง ลำบากแล้ว!”
อวี่เทียนอูยากจะปกปิดความยินดีในใจ เอ่ยขอบคุณกับจ้าวเฟิง
“จ้าวเฟิง เจ้ามีแผนจะทำอะไรในภายหน้า?”
เจ้าสวรรค์สนอกสนใจจ้าวเฟิงในตอนนี้มาก
จ้าวเฟิงเป็นผู้แข็งแกร่งสูงสุดในโลกใบนี้แล้ว เป็นผู้อยู่เหนือนายเหนือหัวทั้งปวง เรียกได้ว่าเป็นราชันแห่งนายเหนือหัว
“คงจะอยู่ที่นี่ไปอีกสักพัก อยู่จนพอใจแล้วค่อยคิดหาวิธีพาฉินอินและหยูเฟยไปท่องใน ‘โลกแห่งความจริง’ สักรอบ”
จ้าวเฟิงเอ่ยกลั้วหัวเราะ
“เจ้าออกไปที่โลกภายนอกได้แน่ แต่ ‘พวกนาง’…”
เจ้าสวรรค์ส่ายศีรษะน้อยๆ เขาไม่ค่อยมั่นใจนัก
ทุกสรรพสิ่งในโลกใบนี้ ถึงจะเป็นรูปธรรม แต่ก็เป็นเพียงภาพฝันมายา สรรพชีวิตที่เกิดขึ้นในความฝัน ทันทีที่ออกจากฝันแล้วก็จะอันตรธานหายไป
ดังนั้นหลิ่วฉินซินและจ้าวหยูเฟยจะออกไปผจญภัยที่โลกภายนอกได้หรือ?
“เหอะๆ” จ้าวเฟิงหัวเราะอย่างมีเลศนัย
เมื่อมีพลังดั้งเดิมมายาและวิถีฟ้าพร้อมกัน ทั้งยังสืบทอดมรดกความทรงจำบางส่วนมาจากฟั่นกู่ เขาย่อมหาวิธีได้แน่
“จ้าวเฟิง พวกเราขอตัวก่อน”
ใบหน้าอวี่เทียนอูเรียบนิ่ง โบกมือลาพวกจ้าวเฟิงกับหลิ่วฉินซิน
จ้าวเฟิงเข้าใจในสิ่งที่เผ่าความลับสวรรค์ประสบมาในระดับหนึ่ง
โลกเดิมของเผ่าความลับสวรรค์ล่มสลายลง จากการนำของผู้แข็งแกร่ง ‘ระดับโลก’ ผู้หนึ่ง จึงออกมาจากโลกใบนั้นแล้วเข้ามาในโลกอลหม่านอย่างยากเย็น
ผลก็คือตอนที่เดินทาง คนในเผ่าแตกกระสานซ่านเซ็นกันไปเพราะเหตุไม่คาดคิด
กลุ่มหนึ่งในนั้นเผลอเข้าไปในโลกความฝันของฟั่นกู่ และเมื่ออยู่ในโลกความฝัน ต่อให้เป็นระดับโลกทั่วไปก็ยังยากจะออกมาได้
“ตกลง จะส่งพวกท่านไปแล้ว!” จ้าวเฟิงเอ่ยอย่างจริงจัง
ก่อนจะจากไป เขาตั้งใจใช้พลังดั้งเดิมของ ‘ภาพมายาเสมือนจริง’ คัดลอกร่างเผ่าทำนุฟ้าร่างหนึ่งให้กับอวี่เทียนอู เพื่อจะได้เดินทางในมิติอลหม่านได้สะดวกขึ้น
วู้ม วู้ม~
อากาศบิดเบี้ยว ก่อนจะเกาะกลุ่มรวมตัวกันเป็นอุโมงค์สีดำช้าๆ
อวี่เทียนอู เจ้าสวรรค์ และคนบางส่วนของเผ่าความลับสวรรค์นั่งอยู่บนอุปกรณ์กระสวยพิเศษ เมื่อเข้าไปภายในอุโมงค์แล้วก็อันตรธานไป
“พี่เฟิง เมื่อไหร่พวกเราจะไปท่องโลกฝั่งตรงข้ามได้ล่ะ?”
จ้าวหยูเฟยยิ้มซุกซน ในนัยน์ตางามเต็มไปด้วยความใคร่รู้
หลิ่วฉินซินที่อยู่ด้านข้างก็มีท่าทีตั้งตารอคอยเล็กน้อย
“ไม่นานจากนี้”
จ้าวเฟิงแย้มยิ้ม กอดสตรีทั้งสองนางเอาไว้ในอ้อมอก เขาคิดเอาไว้นานแล้วว่าจะเดินทางไปโลกภายนอกเมื่อไหร่