Skip to content

King of Gods 1574

King Of Gods

บทที่ 1574 โลกใบใหม่

มิติจักรวาลมีตำนานเรื่องหนึ่งเสมอมา…เมื่อแปดเนตรเทพเจ้ารวมตัวกัน จะสามารถเรียกต้นกำเนิดดวงตาสูงสุดออกมาได้ ทันทีที่ต้นกำเนิดดวงตาสูงสุดเบิกเนตร สรรพชีวิตในโลกจะอันตรธานหายไป

แต่ตำนานนี้ค่อยๆ ถูกผู้คนหลงลืมไป และมีอีกตำนานหนึ่งเริ่มเล่าลือในดินแดนเทพรกร้างแทน…ภายในมิติจักรวาลมีราชันแห่งนายเหนือหัวผู้หนึ่ง ไม่ว่ามิติจักรวาลจะประสบกับเภทภัยรุนแรงถึงเพียงไหน ราชันแห่งนายเหนือหัวผู้นี้ก็จะช่วยเหลือพวกเขา…

ผ่านไปร้อยปีหลังจากภัยพิบัติแดนเทพรกร้างคราวก่อน

มิติจักรวาลในตอนนี้มั่นคงกว่าตอนแรก บุญคุณความแค้นระหว่างแปดเนตรเทพเจ้าก็เบาบางลงไปไม่น้อยจากการต่อสู้ครั้งนั้น อย่างมากก็มีเพียงความขัดแย้งเล็กน้อย

ชายหนุ่มผู้หนึ่งและสตรีสองนางยืนอยู่กลางอากาศที่มืดดำ

“ไปกันเถอะ ไปดูโลกภายนอกกันสักหน่อย!”

จ้าวเฟิงโอบสตรีสองนาง มุมปากยกยิ้มน้อยๆ คาดหวังรอคอยอยู่บ้าง ตอนนี้ดินแดนเทพรกร้างเข้าที่เข้าทางแล้ว เขาจึงจากไปได้อย่างวางใจ

ทว่าสำหรับโลกภายนอกแล้ว ทุกสิ่งในมิติจักรวาลเป็นเพียงแค่ภาพมายา หากหลิ่วฉินซินและจ้าวหยูเฟยเข้าไปในโลกอีกใบหนึ่งเช่นนี้ เกรงว่าจะสูญสลายไปทันที

แต่จ้าวเฟิงคิดวิธีรับมือเอาไว้นานแล้ว เขาสืบทอดพลังของฟั่นกู่มา ในตอนนี้เท่าผู้แข็งแกร่งระดับผู้สร้างแล้ว

“ออกเดินทางกันเถอะ!”

จ้าวหยูเฟยตื่นเต้นเล็กน้อย นางสนใจใคร่รู้ในโลกใบใหม่ที่ยังไม่รู้จักมาก

หลิ่วฉินซินยิ้มเรียบๆ ขณะลอบมองจ้าวเฟิง

ขอแค่ได้อยู่กับเขา จะไปที่ไหนก็ไม่สำคัญ

เพราะหลิ่วฉินซินเตรียมจะเดินทางออกจากโลกใบนี้ เนิ่นนานก่อนนี้นางจึงเลือกคนสืบทอดเอาไว้แล้ว และได้มอบพลังดั้งเดิมทำนายของตนให้อีกฝ่าย

เมี้ยว เมี้ยว~ ดวงตาของเจ้าแมวขโมยน้อยเป็นประกาย เหมือนอยากจะขุดค้นสมบัติของโลกใหม่

ใช่แล้ว ไม่ว่าหัวเด็ดตีนขาดอย่างไร เจ้าแมวขโมยน้อยก็ไม่ยอมถูกทิ้งเอาไว้ในจักรวาลนี้ มันอยากจะไปกับจ้าวเฟิงด้วย

“ข้าสามารถใช้วิชาสังสารวัฏให้พวกเจ้าเกิดใหม่ อีกไม่นานนัก พวกเราจะได้พบกัน!”

จ้าวเฟิงเอ่ยอย่างจริงจัง

นี่คือวิธีการของเขา จะให้วิญญาณของสตรีสองนางและเจ้าแมวขโมยน้อยเข้าไปเกิดใหม่ในสังสารวัฏของโลกภายนอก

เมื่อทำเช่นนี้แล้ว ก็จะเท่ากับว่าให้พวกนางมีชีวิตจริงๆ ที่โลกอีกใบหนึ่ง

เมื่อนึกถึงตรงนี้ จ้าวเฟิงก็เกิดอาลัยอาวรณ์ขึ้นมา แต่ก็แค่เกิดใหม่ตามสังสารวัฏเท่านั้น ไม่นานจะได้พบกัน

“ข้าไม่เข้าใจศาสตร์สังสารวัฏของโลกภายนอกมากนัก เจ้าแมวขโมยน้อย หากเจ้าไปเกิดใหม่เป็นมนุษย์ก็อย่าโทษข้าแล้วกัน…”

จู่ๆ จ้าวเฟิงก็หัวเราะ

หากว่ามีวันใดวันหนึ่ง คนผู้หนึ่งได้รับความทรงจำกลับมา แล้วพบว่าชีวิตก่อนตนเองเป็นแค่แมวตัวหนึ่ง จะต้องรับไม่ได้แน่

เมี้ยว เมี้ยว~

สีหน้าเจ้าแมวขโมยน้อยเปลี่ยนไปเล็กน้อย มันโบกกรงเล็บอย่างไม่ค่อยพอใจนัก

ในโลกของแมว เป็นแมวถึงจะดูดีที่สุด มันยังหวังว่าจะได้ไปเจอแมวเนื้อคู่ของมันที่โลกภายนอกด้วย…ไม่มีทางจะอยากเกิดใหม่เป็นคนแน่

“ออกเดินทางกันเถอะ!”

ดวงตาสองข้างของจ้าวเฟิง ข้างซ้ายเป็นมายา ข้างขวาคือวิถีฟ้า

พลังที่แข็งแกร่งทว่ารางเลือนสาดซัดออกมา ทะลักเข้าไปในอากาศ ค่อยๆ เกิดการบิดโค้งขมุกขมัว แล้วจึงเกิดเป็นอุโมงค์ที่ไร้จุดจบแห่งหนึ่ง

พรึ่บ~ คนทั้งหมดเดินทางเข้าไปในอุโมงค์

ไม่นานนัก ภายในอุโมงค์มืดสลัวไร้จุดจบก็ปรากฏจุดแสงขึ้น

เมื่อเข้าไปในโลกใบใหม่ ประสาทสัมผัสเทพระดับผู้สร้างของจ้าวเฟิงกวาดผ่าน แล้วพบว่าโลกใบนี้อยู่ในเศษเสี้ยวความทรงจำของฟั่นกู่ด้วย

“ดี ‘โลกไร้ลักษณ์’!”

หลังจากแน่ใจว่าจะเข้าไปโลกใบนี้ จ้าวเฟิงก็โคจรพลังมายา เข้าไปในนรกสังสารวัฏของโลกไร้ลักษณ์

ครั้นทำความเข้าใจอยู่ครู่หนึ่งแล้ว จ้าวเฟิงจึงเริ่มเลือกสถานที่เกิดใหม่ จากนั้นจึงให้สตรีทั้งสองนางและเจ้าแมวไปเกิดใหม่

จ้าวเฟิงค่อนข้างระมัดระวัง ถ้าหากส่งไปเกิดใหม่ผิดจริง ผลลัพธ์คงอเนจอนาถจนดูไม่ได้แน่…

อาณาเขตที่เขาส่งสตรีสองนางและเจ้าแมวไปเกิดใหม่จำกัดเอาไว้ในพื้นที่ขนาดเล็ก หนำซ้ำยังได้ตี ‘ตราประทับมายา’ บนร่างพวกเขาเพื่อช่วยในการค้นหาภายหน้า

ต่อจากนั้น จ้าวเฟิงก็เลือกสถานที่เกิดใหม่ตามสังสารวัฏให้ตนเองด้วย

ในเมื่อเป็นโลกใบใหม่ก็เริ่มต้นใหม่ หลังจากพวกหลิ่วฉินซินถือกำเนิดใหม่แล้ว ต้องใช้เวลาเติบใหญ่ จะไม่สามารถฟื้นฟูความทรงจำในช่วงชีวิตก่อนได้ทันที ดังนั้นตัวของจ้าวเฟิงเองก็เลือกที่จะถือกำเนิดใหม่เพื่อเติบโตไปพร้อมกับพวกนาง

สิ่งที่ลึกซึ้งที่สุดในโลกใบนี้ ไม่ใช่คำสาบาน และมิใช่ความทรงจำสลักลึก…แต่เป็นการเคียงข้างกันต่างหาก

……

โลกไร้ลักษณ์

ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ จ้าวเฟิงมีจิตสำนึกเสี้ยวหนึ่ง เศษเสี้ยวความทรงจำนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นในหัวของเขาช้าๆ

เนิ่นนานจากนั้น จ้าวเฟิงก็จดจำเรื่องราวทั้งหมดได้

“โลกใบใหม่ ข้ามาแล้ว!”

ในใจจ้าวเฟิงคาดหวังรอคอยอย่างมาก

เขาต่างจากหลิ่วฉินซิน จ้าวหยูเฟย และเจ้าแมวขโมยน้อย เขาสืบทอดพลังฟั่นกู่มา มีตัวตนจริงๆ อยู่ในโลกใบใหม่ ดังนั้นจึงสามารถรักษาพลังเดิมและความทรงจำเอาไว้ได้

ทว่าจ้าวเฟิงได้สติไม่นานนักก็เหนื่อยล้า หลับไปโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว

คิดไปคิดมาก็จริงอยู่ ตอนนี้ยังอยู่ในท้องมารดาอยู่เลย จ้าวเฟิงคร้านจะใส่ใจอะไรมากนัก ตื่นแล้วก็นอน นอนแล้วก็ตื่น

จนถึงวันหนึ่ง เขาก็รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดจนต้องแผดเสียงออกมา แต่ว่านั่นเป็นเสียงร้องกังวานของเด็กทารกสำหรับคนภายนอก

จ้าวเฟิงมองประเมินข้าวของเครื่องใช้ในห้องกับเด็กรับใช้ ดูไปแล้วตนเองไม่ได้เกิดผิดที่ และในตอนนี้เอง มีสตรีวงหน้างดงามนางหนึ่งกางขาสองข้างของเขาออก ก่อนจะอุทานด้วยน้ำเสียงปลื้มปีติ “เป็นคุณชาย คุณชาย…”

จ้าวเฟิงเก้อเขินเล็กน้อย แต่ไม่ได้ใส่ใจอะไร

ไม่นานนัก ชายวัยกลางคนพาดชุดคลุมสีเขียวก็เข้าไปในห้อง ก่อนจะรีบอุ้มทารกน้อยขึ้นมา ดวงตาแน่วแน่ห้าวหาญสองข้างฉายแววรักเอ็นดู

“บุตรชายข้าจ้าวเทียนหลง จะชื่ออะไรดีนะ…”

ชายวัยกลางคนอุ้มทารกมาที่เตียง ประคองสตรีที่กำลังนอนเอนเหงื่อโซมร่าง และเริ่มปรึกษาเรื่องชื่อของบุตรชาย

“แซ่จ้าวอีกแล้วหรือ? เช่นนั้นก็ใช้ชื่อเดิมแล้วกัน!”

พอนึกถึงเรื่องนี้ จ้าวเฟิงจึงใช้พลังศาสตร์มายาในดวงวิญญาณของตนสะกดความคิดชายวัยกลางคน

“ชื่อจ้าวเฟิงแล้วกัน!”

จู่ๆ ในหัวจ้าวเทียนหลงก็ปรากฏชื่อนี้ขึ้น จากนั้นเอ่ยออกมาทันที

“ได้ ชื่อจ้าวเฟิงก็ได้ เฟิงเอ๋อร์…”

โฉมสะคราญนางนั้นระบายยิ้มรักใคร่

ข่าวการเกิดของจ้าวเฟิงแพร่สะพัดทั่วเมืองหนานอวิ้นอย่างรวดเร็ว

เพราะว่าบิดาของเขาเป็นผู้นำตระกูลแซ่จ้าว และยังเป็นเจ้าเมืองของเมืองหนานอวิ้น

เวลาเคลื่อนคล้อยไป จ้าวเฟิงบุตรชายคนรองของท่านเจ้าเมืองมีอายุครบเจ็ดปี

ในฐานะที่เป็นคนสกุลจ้าว จำต้องฝึกฝนบำเพ็ญตน จ้าวเฟิงเองก็ไม่เป็นข้อยกเว้น

คนสกุลจ้าวมีผู้แข็งแกร่งชี้แนะโดยเฉพาะ และได้รับการศึกษาฝึกฝนที่ดีที่สุด นี่เป็นสิ่งที่ตระกูลทั่วไปไม่มี

แต่ทว่า จ้าวเฟิงมาได้ไม่ถึงสามวันก็หนีเรียนเสียแล้ว

ความจริงในระยะเวลาหนึ่งวัน จ้าวเฟิงก็จำเนื้อหาที่เรียนทั้งหมดได้ วันที่สองและวันที่สามเพียงแค่ฝึกฝนเล็กๆ น้อยๆ ก็ไปถึงนภาที่เจ็ดของขอบเขตก่อเกิดวิญญาณ เท่ากับนภาที่เจ็ดขอบเขตรวบรวมปราณของดินแดนเทพรกร้าง

หากจ้าวเฟิงคิดจะทะลวงขั้นจริงๆ เกรงว่าใช้เวลาไม่นานนัก ก็ฟื้นฟูพลังฝึกตนของระดับผู้สร้างได้ และกลายเป็นคนที่ทำให้โลกไร้ลักษณ์ต้องตกตะลึง

แต่เรื่องเหล่านี้ สำหรับจ้าวเฟิงแล้วไม่มีความหมายอะไร

เขาเพียงสนใจกระบวนการฝึกฝนของโลกนี้เท่านั้น ดังนั้นถึงได้ฝึกดูสักหน่อย

ทุกโลกมีระบบการฝึกฝนเหมือนกัน แต่จ้าวเฟิงค้นพบว่าวิธีการฝึกฝนในโลกใบอื่นเข้มงวดและสมบูรณ์แบบกว่า หรือพูดได้ว่า หากผู้แข็งแกร่งในระดับเดียวกันของโลกไร้ลักษณ์สามารถเอาชนะคนจากโลกจักรวาลได้

แน่นอนว่าจ้าวเฟิงไม่ได้ใส่ใจเรื่องทั้งหมดนี้ เขาในตอนนี้เพียงอยากจะมีชีวิตสบายๆ เท่านั้น รอให้ผ่านไปอีกสักช่วงหนึ่งค่อยไปตามหาหลิ่วฉินซิน จ้าวหยูเฟย และเจ้าแมวขโมย

จ้าวเฟิงเป็นบุตรชายคนรองของท่านเจ้าเมือง อีกทั้งมีพรสวรรค์ในการฝึกฝนดีเยี่ยม ย่อมถูกจับตามองเป็นธรรมดา

เขาเรียนๆ โดดๆ ไม่ยอมฝึกฝน ขี้เกียจตัวเป็นขน ข่าวแย่ๆ ของเขาลือสะพัดไปทั่วเมืองหนานอวิ้นอย่างรวดเร็ว ยิ่งลือก็ยิ่งเกินความจริงไปมาก ในสายตาคนจำนวนมากของเมืองหนานอวิ้น ภายหน้าจ้าวเฟิงต้องเป็นคุณชายเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อที่มีชื่อเสียงไม่ดีแน่

ดังนั้นตระกูลใหญ่อื่นๆ ในเมืองหนานอวิ้นจึงต่างดีใจกันมาก รวมไปถึงคนในสกุลจ้าวที่ตั้งตัวอยู่คนละฟากกับเจ้าเมืองก็ดีอกดีใจกัน

แน่นอนว่าจ้าวเฟิงไม่ได้ไม่ร่ำเรียนอะไร เกียจคร้านเอ้อระเหยจริงๆ

เส้นทางการฝึกไม่น่าสนใจสำหรับเขาอีกแล้ว แต่เขากลับสนใจในด้านอื่นมากกว่าเช่นการหลอมโอสถ หลอมอาวุธ สร้างค่ายกล กลไก ค่ายกล หุ่นเชิดเป็นต้น…

ในช่วงชีวิตก่อน จ้าวเฟิงก็มีพรสวรรค์ในด้านพวกนี้ไม่เลว แต่เพราะยุ่งอยู่กับการฝึกฝน ไม่สามารถศึกษาเรื่องพวกนี้ จึงละทิ้งพวกมันไป

ในวันนี้ จ้าวเฟิงอยู่ที่ศาลาริมน้ำ หลังจากศึกษาค่ายกลมากว่าครั้งวันแล้วจึงพักผ่อนครู่หนึ่ง

และในเวลานี้เอง ผู้เยาว์สองคนในชุดงดงามรีบเร่งมาที่นี่ หลังจากเห็นจ้าวเฟิงก็ยิ้มเยาะเอ่ย

พวกเขาสองคนคือบุตรชายของท่านลุงใหญ่และท่านลุงรอง ถือว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์ในการฝึกตนยอดเยี่ยมของตระกูล

“น้องเฟิง รีบไปที่ลานฝึกยุทธ์เถอะ อาจาร์หลินบอกว่าหากเจ้าไม่ไป เขาจะเอาเรื่องนี้ไปบอกท่านเจ้าเมือง!”

“ท่านอาจารย์หลินยังบอกด้วยว่า ไม่ว่าอย่างไรพวกเราก็ต้องพาเจ้าไปให้ได้ ต่อให้ต้องมัดเจ้าไปก็ตาม!”

จ้าวอวิ๋นและจ้าวไห่เอ่ยด้วยท่าทีลำบากใจนัก ก่อนจะค่อยๆ เข้าไปใกล้จ้าวเฟิง ด้วยท่าทางพยายามจะ ‘เชิญ’ อีกฝ่ายไป

ถึงแม้อีกฝ่ายจะเป็นเพียงเด็กน้อย แต่การรังแกคนที่อ่อนแอกว่าเหมือนจะเป็นนิสัยโดยกำเนิดของพวกเขา

“มัดข้า?” จ้าวเฟิงเลิกคิ้ว หยิบอาวุธจำพวกแส้จากภายในมิติเก็บของออกมา

เพียงก้าวเดียว ร่างของจ้าวเฟิงก็ผ่านระหว่างกลางของจ้าวอวิ๋นและจ้าวไห่ไป

ตุบ! ตุบ! ตุบ!

จ้าวเฟิงเคลื่อนตัวไปมารอบๆ คนทั้งสอง

เขาดึงแส้ในมือเบาๆ จ้าวอวิ๋นกับจ้าวไห่ก็ถูกจับมัดรวมกันเอาไว้แน่น

“เขาจับพวกเราสองคนมัดได้อย่างไรกัน?” จ้าวไห่ถามด้วยความตกใจ

“ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน!” จ้าวอวิ๋นออกจะงุนงงเล็กน้อย

พวกเขาสองคนอายุมากกว่าจ้าวเฟิง พลังฝึกตนก็เหนือกว่าจ้าวเฟิง แต่กลับไม่รู้ตัวเลยเมื่อถูกจ้าวเฟิงจับมัดเอาไว้

“จ้าวเฟิง เจ้าอย่าเพิ่งไป รีบปล่อยพวกเราเร็วเข้า ข้าจ้าวอวิ๋นจะสู้กับเจ้าอย่างผ่าเผย!” จ้าวอวิ๋นตะโกนกร้าว

“รีบปล่อยพวกเราเร็ว!” จ้าวไห่เองก็ไม่ยอมแพ้อย่างยิ่ง

“พูดมากเสียจริง หรือจะให้จับพวกเจ้าแก้ผ้า ให้พวกพี่น้องและคนใช้ในเมืองได้เห็นกัน!” จ้าวเฟิงหาวหวอด เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ

ร่างจ้าวอวิ๋นและจ้าวไห่สั่นเทิ้มทันใด ไม่พูดอะไรอีกสักคำ

ถึงแม้พวกเขาจะอายุยังน้อย แต่ก็รู้เรื่องระหว่างชายหญิงอยู่บ้าง หากให้พวกเขาเปลือยกลายให้สาวใช้เหล่านั้นดู เกรงว่าตลอดชีวิตนี้คงสู้หน้าใครไม่ได้แน่

“ช่างเถอะ เอาเป็นว่าถอดเสื้อผ้าออกให้หมดก่อนแล้วกัน คราวหน้าจะได้ไม่ต้อง…”

จ้าวเฟิงเอ่ยอีกครั้ง

“พี่เฟิง น้องสำนึกผิดแล้ว ภายหน้าท่านว่าอย่างไรพวกเราก็จะเชื่ออย่างนั้น!”

จ้าวไห่ที่มีอายุมากหน่อยประมาณสิบสามปี รีบเอ่ยประจบประแจง

“พี่เฟิง ข้ายินดีเป็นช้างเป็นม้าให้ท่าน…”

คราวนี้จ้าวอวิ๋นถูกจ้าวเฟิงขู่จนตกใจจริงๆ

คุณชายแห่งจวนเจ้าเมืองอย่างเขาถูกถอดเสื้อผ้าจับมัดรวมกัน เขาไม่อาจจินตนาการภาพเหตุการณ์ที่น่าอดสูจนไม่อาจมองนั้นได้เลย

อายุน้อยนิดเท่านี้ก็ถูกจ้าวเฟิงเขย่าขวัญ คนทั้งสองเลยพลันรู้สึกว่าได้เจอคนชั่วร้ายแบบนี้เป็นครั้งแรก

และเมื่อเป็นเช่นนี้ เด็กที่มาหาเรื่องทุกครั้งจะถูกจ้าวเฟิงข่มขวัญ จากนั้นทุกครั้งที่เห็นเขาจะเคารพนบนอบอย่างยิ่ง ไม่กล้าทำอะไรทั้งนั้น ถึงกระทั่งตอนจ้าวเฟิงแอบเกียจคร้าน ก็ยังมีคนมาปรนนิบัติรับใช้ นวดแข้งนวดขาโดยเฉพาะ

หากไม่ระวังไปยั่วโทสะเขา ไม่แน่ว่าอาจถูกจับมัดแก้ผ้าประจานให้คนอื่นดูก็ได้

ในวันนี้ พลังดั้งเดิมมายาในวิญญาณจ้าวเฟิงสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง จึงสั่นสะท้านน้อยๆ

“ความรู้สึกที่คุ้นเคยขนาดนี้ ไม่รู้ว่ามาจากหลิ่วฉินซิน จ้าวหยูเฟย หรือเจ้าแมวขโมยน้อย…”

จ้าวเฟิงพึมพำ แล้วชันกายลุกขึ้นในฉับพลัน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version