Skip to content

King of Gods 217

King Of Gods

บทที่ 217 : คำถามที่ยากเย็น

เมื่อได้ยินคำอธิบายของจ้าวเฟิง ทุกคนในโถงก็ล้วนสูดลมหายใจเย็นเยียบ

มันเป็นความจริงที่ระดับหกแห่งฝ่ามือวายุอัสนีนั้นสามารถเรียกเก้ามหาอัสนีได้

ท่าไม้ตายนี้น่าพรั่นพรึงนัก ไม่ว่าสิ่งมีชีวิตใดที่อยู่ต่ำกว่าขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงล้วนสามารถตายได้ในเสี้ยววินาที กระทั่งผู้ที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงยังต้องระมัดระวัง หรือมิเช่นนั้นคงได้รับบาดเจ็บสาหัส

ในเวลานี้ ศิษย์หลักทุกคน และกระทั่งผู้อาวุโสหยุนไห่ล้วนหวาดระแวงจ้าวเฟิง

ยามเมื่อฉวนเฉินและคนอื่นๆ ถูกสายตาของจ้าวเฟิงกวาดตามองก็เกิดความรู้สึกตึงเครียดอย่างไม่อาจอธิบายได้

แม้ว่าจ้าวเฟิงจะสามารถเรียกสายฟ้าได้ ตัวเขาก็ต้องจ่ายของแลกเปลี่ยนที่หนักหน่วง ทั้งยังมีโอกาสห้าสิบในร้อยส่วนที่จะถูกฟ้าผ่า แต่เด็กหนุ่มผู้นี้จะใช้วิธีการใดในการป้องกันมัน?

“แค่ก แค่ก การพูดคุยเกี่ยวกับฝ่ามือวายุอัสนีพอแค่นี้ก่อนเถอะ ทั้งมันยังนับเป็นความลับของเฟิงเอ๋อร์ด้วย”

น้ำเสียงของผู้อาวุโสหนึ่งได้สลายความตึงเครียดในโถงนั้นไป

มีเพียงผู้อาวุโสหนึ่งที่รู้ว่าจ้าวเฟิงกำลังหลอกพวกเขา

ด้วยการพัฒนาของเด็กหนุ่ม ระดับหกนั้นไม่อาจเรียกเก้ามหาอัสนีได้ แต่แม้ว่าจะไม่สามารถเรียกสายฟ้าได้ ในด้านอื่นๆ ของมันนั้นล้วนแข็งแกร่งขึ้น ทั้งอันตรายยังน้อยนิด

ในฐานะผู้ที่ทำให้วิชานี้สมบูรณ์ จ้าวเฟิงจะเสี่ยงชีวิตของตนเองกับเรื่องโชคได้อย่างไร?

แต่เดิม แม้ว่าคนผู้หนึ่งจะไม่สามารถเรียกเก้ามหาอัสนีได้ สายฟ้าก็ยังอาจจะผ่าลงมาในวันฝนพร่ำหรือพายุเข้า

บัดนี้

เมื่อผ่านการทดสอบและหลอมรวมมรดกอัสนีเข้าไป ฝ่ามือวายุอัสนีจึงเสร็จสมบูรณ์

จ้าวเฟิงได้ใช้ความสงสัยของทุกคนและฝ่ามือวายุอัสนีดั้งเดิมในการสร้างความหวาดกลัวขึ้นให้กับทุกคน

กระทั่งผู้อาวุโสหยุนไห่ยังเชื่อคำพูดเหล่านั้นเสียเป็นส่วนมาก

ฉวนเฉินเชื่อในคำพูดนั้นโดยไร้ซึ่งข้อกังขา และพลันเข้าใจว่าการที่อีกฝ่ายต้องการหาวิชาที่ดีกว่านั้นหมายถึงสิ่งใด

เด็กหนุ่มตระกูลจ้าวผู้นี้ได้กลายเป็นสิ่งมีชีวิตต้องห้าม มันราวกับว่ามีระเบิดเวลามัดติดอยู่กับเขา

ผู้ใดเล่าจะกล้าสร้างความขุ่นเคืองกับตัวบัดซบไร้สติผู้หนึ่ง?

กระทั่งผู้อาวุโสหยุนไห่ยังต้องระมัดระวังหากต้องการลอบฆ่าจ้าวเฟิง

แม้ว่ามันจะดูเหมือนว่าการกระทำของจ้าวเฟิงจะโดดเด่น/ สิ่งที่เขาทำก็มีเพียงการกางร่มป้องกันไว้ชั่วคราว เพื่อที่จะให้ตัวเองมีเวลาในการพัฒนามากยิ่งขึ้น

ในเวลาไม่กี่วันต่อมา

จ้าวเฟิงเริ่มที่จะใช้วิชาพลังจิตของเขากับเหล่าศิษย์หลักอย่างที่ได้พูดคุยกับจ้าวสำนักเอาไว้

เหตุผลที่จ้าวเฟิงยอมรับมันไม่แค่เพียงเพราะรางวัลที่สำนักเสนอ

อีกเหตุผลหนึ่งนั้นคือเขาขาดประสบการณ์ต่อสู้ด้วยพลังจิต

บัดนี้ ศิษย์หลักเหล่านี้จะกลายเป็น ‘ตัวทดลองที่มีชีวิต’ แน่นอนว่าเด็กหนุ่มย่อมไม่ปฏิเสธมัน

เขาเริ่มฝึกกับหยางกานเป็นคนแรก

จากข้อตกลงที่ทำกับสำนัก ศิษย์หลักห้าอันดับแรกนั้นสำคัญที่สุด

พลังใจ ประสบการณ์ และสถานะจิตใจของหยางกานล้วนอยู่ในระดับสูงมาก

คนเหล่านี้มีพลังต่อต้านพลังจิตเสียงที่แข็งแกร่ง ทั้งพลังฝึกตนของชายหนุ่มยังสูงกว่าของจ้าวเฟิง

จ้าวเฟิงต้องการที่จะช่วยเหลือศิษย์พี่ของเขาผู้นี้มากนัก

อย่างแรก ทั้งสองล้วนเป็นศิษย์อาจารย์เดียวกัน ไม่ใช่ศัตรู อย่างที่สอง อีกฝ่ายแข็งแกร่งนัก ทำให้จ้าวเฟิงไม่จำเป็นต้องระวังมากนัก

หากเป็นผู้อื่นที่มีพลังใจอ่อนแอ เด็กหนุ่มอาจสามารถสร้างอาการบาดเจ็บสาหัสให้คนเหล่านั้นโดยบังเอิญได้

ย่าห์!

จ้าวเฟิงตวาดออกมาเบาๆ และใช้พลังจิตเสียงโจมตีเป็นอย่างแรก

การโจมตีนี้สามารถสร้างความเสียหายให้กับอวัยวะภายในได้จากแรงสั่นสะเทือนของเสียง

ทั้งมันยังเป็นการโจมตีที่เด็กหนุ่มคุ้นเคยมากที่สุด

เมื่อเผชิญหน้ากับพลังจิตเสียงโจมตี ร่างสูงใหญ่ของหยางกานก็สะท้านเล็กๆ การที่เขาระมัดระวังตัวทำให้เขาสามารถป้องกันการโจมตีนี้ได้ โดยที่ไม่ได้รับบาดเจ็บ

“ศิษย์พี่หยาง ระวังด้วย ข้าเพียงใช้พลังห้าสิบจากร้อยส่วนในครั้งนั้น”

จ้าวเฟิงแย้มยิ้มบาง

60…70…80…

เริ่มเพิ่มระดับความรุนแรงขึ้น

เมื่อยามที่จ้าวเฟิงใช้พลังแปดสิบถึงเก้าสิบในร้อยส่วน หยางกานจึงรู้สึกได้ว่าหัวใจและโลหิตของเขาสั่นสะท้านเบาๆ

“ศิษย์น้องจ้าว พลังจิตเสียงโจมตีของเจ้านั้นสามารถทำอันตรายข้าได้ก็ต่อเมื่อใช้ในการลอบโจมตีเท่านั้น”

หยางกานมีสีหน้าเคร่งเครียด

เขาคือหยางกาน หากเป็นผู้อื่นนอกจากเขาหรือเป่ยม่อ คนเหล่านั้นอาจถูกฆ่าในพริบตาจากการโจมตีด้วยเสียงเพียงหนึ่งครั้ง

สิ่งที่น่าหวาดกลัวไปกว่านั้นคือกระบวนท่าของเด็กหนุ่มตระกูลจ้าวเป็นการโจมตีวงกว้าง

และเพราะมันคือการโจมตีวงกว้าง ทำให้จ้าวเฟิงสามารถกวาดล้างบททดสอบที่สองของการทดสอบยอดนภาได้

สิ่งที่หยางกานไม่รู้นั้นคือแม้ว่าจ้าวเฟิงจะใช้พลังเกือบทั้งหมดของเขาในการโจมตีเสียงพลังจิต ทว่าเขากลับหลอมรวมสำนึกรู้ที่ได้รับจากมรดกอัสนีเข้าไปเพียงยี่สิบถึงสามสิบจากร้อยส่วนเท่านั้น

นั่นยังหมายความว่า

หากจ้าวเฟิงหลอมรวมสำนึกรู้ที่เขาได้รับจากมรดกอัสนีทั้งหมดเขาไปในพลังจิตเสียงโจมตี พลังของมันก็จะเพิ่มขึ้นอย่างน้อยห้าสิบในร้อยส่วน ภายในสถานการณ์นั้น หยางกานอาจจะยังคงได้รับบาดเจ็บแม้ว่าจะระมัดระวังแล้ว

การโจมตีพลังจิตอย่างแรกของจ้าวเฟิงเป็นสิ่งที่เขาเชี่ยวชาญ พลังจิตเสียงโจมตี

เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีหลายครั้ง ความสามารถในการป้องกันของหยางกานก็เพิ่มสูงขึ้น

รอบที่สองการโจมตีพลังจิต—– กัดกร่อน

ไม่มีผู้ใดไร้ซึ่งจุดอ่อน

ทุกคนล้วนมีข้อบกพร่อง จิตใจของคนเราก็เช่นกัน

หากคนผู้หนึ่งไร้ซึ่งจุดอ่อน เช่นนั้นพวกเขาย่อมเป็นเซียน

ทว่าเซียนนั้นปรากฏอยู่เพียงในตำนานเท่านั้น

การกัดกร่อยนั้นหมายถึงการพยายามกัดกร่อนร่องรอยในจิตใจของคู่ต่อสู้

คนที่ถูกโจมตีด้วยวิชานี้จะทำให้จิตใจสับสนวุ่นวาย ไม่สงบ หากรุนแรงก็อาจจะทำให้จิตใจตกอยู่ในอำนาจมาร หัวใจแหลกสลายได้

จ้าวเฟิงพยายามที่จะกัดกร่อนหัวใจของหยางก่าน ทว่าผลลัพธ์นั้นไม่ชัดเจน

ทว่ามันมีครั้งหนึ่งที่เด็กหนุ่มสามารถทะลวงผ่านการป้องกันของอีกฝ่ายไปได้สำเร็จ หมัดของผู้เป็นศิษย์พี่กำแน่น เอ่ยผ่านฟันที่ขบกันออกมา “ไม่มีผู้ใดสามารถแย่งชิงตำแหน่งหัวหน้าศิษย์ไปจากข้าได้ เป่ยม่อ จ้าวเฟิง พวกเจ้ายังห่างไกลนัก… มันเป็นไปได้อย่างไร”

แน่นอนว่าหยางกานถูกทะลวงการป้องกันไป แต่เขาก็ยังได้สติขึ้นหลังจากผ่านไปครึ่งลมหายใจ

ทว่าเวลาครึ่งลมหายใจนั้นเพียงเพียงพอที่จะตัดสินการต่อสู้แล้วสำหรับผู้ที่มีวิชาระดับสูง

“ศิษย์น้องจ้าว ข้าเพียง…”

เหงื่อเย็นเยียบปรากฏขึ้นบนหน้าผากของหยางกาน

จ้าวเฟิงหัวเราะและเอ่ย “ไม่เป็นไร ไม่มีผู้ใดสมบูรณ์แบบ ทุกคนล้วนมีจุดอ่อนเป็นของตน”

ในจิตใจของหยางกานมีความกังวลเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้เอ่ยถามอีกฝ่ายต่อแต่อย่างใด

เมื่อเผชิญหน้ากับจ้าวเฟิง ผู้ที่พยายามกัดกร่อนหัวใจของเขา พลังป้องกันของชายหนุ่มจึงแข็งแกร่งขึ้นเช่นกัน

รอบที่สามคือการโจมตีพลังจิต —- ภาพลวงตา

หนทางแห่งภาพลวงตานั้นลึกล้ำยิ่งนัก และอาจใช้ได้ในหลายรูปแบบ ตัวอย่างเช่นวิชาเคลื่อนไหวหรือค่ายกลลวงตา

ภาพลวงตาของจ้าวเฟิงนั้นคือการหลอมรวมภาพมัจฉามายาเข้ากับเคล็ดควบคุมจิตใจ เป็นวิชาขั้นสุดยอดที่คิดขึ้นเอง

“ศิษย์พี่หยาง… ข้าเริ่มล่ะนะ…”

เสียงของจ้าวเฟิงดูราวกับปรากฏความล่อลวงและหลอกหลอนอยู่ นัยน์ตาของเด็กหนุ่มส่องประกายแปลกประหลาด

วินาทีที่สายตาของหยางกานสบกับดวงตาของจ้าวเฟิง สีหน้าของเขาก็กลับกลายเป็นดิ้นรนอยู่ชั่ววินาที ก่อนที่จะกลับสู่ปกติ

“การโจมตีด้วยภาพลวงตานับว่าแข็งแกร่งยิ่ง”

หยางกานประหลาดใจเล็กๆ

พลังจากภาพลวงตาของศิษย์น้องของเขาได้มีสำนึกรู้ที่ได้รับจากภาพมัจฉามายาอยู่ด้วย ภาพมัจฉามายานั้นล้ำลึกอย่างมาก ทั้งผู้เฒ่าจางเคยเอ่ยอยู่ครั้งหนึ่งว่าหากจ้าวเฟิงสามารถทำความเข้าใจมันได้อย่างสมบูรณ์ ชายชราจะไม่มีสิทธิกระทั่งเป็นผู้สั่งสอนของเขา

บัดนี้ จ้าวเฟิงได้เข้าใจมันเกือบทั้งหมด ภาพมายาพลังจิตของเขาจึงทรงพลังยิ่งนัก

“ฮี่ฮี่ เมื่อครู่ข้าใช้พลังเพียงสามสิบถึงสี่สิบส่วนจากร้อยส่วนเท่านั้น”

จ้าวเฟิงหัวเราะเสียงแผ่วขณะที่เขาใช้พลังจิตลวงตาอีกครั้ง

พลังจิตลวงตานั้นถูกแบ่งออกเป็นสองประเภท

ประเภทแรกนั้นคือพลังจิตลวงตาที่ใช้ในการโจมตี

และร่างในชุดคลุมที่จ้าวเฟิงพบในคืนนั้นเป็นประเภทนี้

ประเภทที่สองคือพลังจิตลวงตาที่ใช้สร้างความสับสน

จ้าวเฟิงถนัดประเภทที่สองมากกว่า การที่เขาหลอมรวมภาพมัจฉามายาเข้ากับพลังจิตลวงตานั้นสามารถทำให้อีกฝ่ายตกอยู่ในภาพมายาได้

ยามเมื่อจ้าวเฟิงใช้พลังหกสิบถึงเจ็ดสิบจากร้อยส่วนในพลังของเขา หยางกานก็ได้นิ่งงันไปแล้ว

และทุกๆ การนิ่งงันของเขามักจะคงอยู่เพียงครึ่งลมหายใจถึงสองลมหายใจเป็นอย่างมาก

สองวันต่อมา

การฝึกฝนของหยางกานกับจ้าวเฟิงจบลงเพียงเท่านี้

ทุกคนเห็นเพียงหยางกานเดินออกมาอย่างไร้วิญญาณ

จากนั้น

เป่ยม่อ หลันเสี่ยวหลาน หยวนจรื้อ และคนอื่นๆ ต่างกลายมาเป็นตัวทดลองมีชีวิตของจ้าวเฟิง

สิ่งที่ทำให้เด็กหนุ่มตระกูลจ้าวประหลาดใจนั้นคือการที่เขาได้รับรู้ว่า พลังป้องกันพลังจิตของเป่ยม่อนั้นกระทั่งแข็งแกร่งกว่าหยางกานเล็กน้อย และมันเป็นเพราะมรดกธาราทมิฬของเขา

เด็กหนุ่มสกุลเป่ยไม่เพียงแข็งแกร่งในด้านการป้องกันทางกายภาพ มรดกธาราทมิฬของเขายังเพิ่มการป้องกันต่อพลังจิตของเขาด้วย

เมื่อผ่านการฝึกสองวัน เป่ยม่อก็ได้จากไปด้วยความพ่ายแพ้และเหนื่อยล้า

คนที่สามคือหลันเสี่ยวหลาน

ความสามารถของนางนั้นเพียงเป็นรองจากจ้าวเฟิงและเป่ยม่อ

การตอบโต้ของหลันเสี่ยวหลานก็ดูเป็นขั้นเป็นตอน

ยามเมื่อจ้าวเฟิงใช้การโจมตีกัดกร่อน ท่าทีของหลันเสี่ยวหลานได้สร้างความตื่นตะลึงแก่เด็กหนุ่ม

“ข้าชอบศิษย์พี่จ้าว… ศิษย์พี่ อย่าได้บอกผู้ใด”

ใบหน้าของหลันเสี่ยวหลานแดงก่ำราวโลหิตขณะที่เอ่ยอย่างเร่งรีบ

เหตุการณ์ทั้งหมดนั้นคงอยู่หลายลมหายใจ

จ้าวเฟิงแสดงท่าทีราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ทว่าเขาได้เอ่ยชี้แนะอีกฝ่ายถึงสิ่งที่ควรจะทำ

สิบวันหลังจากนั้น

ศิษย์หลักเก้าคนเดินออกมาจากที่พักของจ้าวเฟิง

หยางกาน เป่ยม่อ และหลันเสี่ยวหลานมีความสำคัญมาก สำหรับคนอื่นๆ นั้น พวกเขาฝึกฝนเสร็จสิ้นในเวลาหนึ่งวันครึ่ง แน่นอนว่าเหล่าผู้ที่มีความสัมพันธ์อันดีต่อจ้าวเฟิงอย่างหลินฝานได้รับการดูแลเป็นพิเศษ

นับแต่ตอนนั้น

จ้าวเฟิงได้ควบคุมจุดอ่อนในใจของศิษย์หลักทุกคน และเขารู้ถึงอีกใบหน้าหนึ่งของคนเหล่านั้น

ศิษย์สำนักจันทร์สลายต่างก็หวาดกลัว เคารพและชื่นชมจ้าวเฟิงมาก

นับแต่นั้น

จ้าวเฟิงได้กลายเป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับทุกคนในการท้าประลอง

ศิษย์หลักจะรู้สึกลำบากและไม่สบายใจยามเมื่อใครบางคนเอ่ยถึงเด็กหนุ่ม

หลังจากฝึกฝน

จ้าวเฟิงก็ได้รับรางวัลของสำนักที่ประกอบไปด้วยผนึกเริ่มต้นระดับต่ำหนึ่งพันผลึก แต้มสนับสนุน ยาจิตวิญญาณ และทรัพยากรอื่นๆ

จ้าวเฟิงรู้สึกพึงพอใจ

ในเวลาสิบวันที่ผ่านมา เขาใช้พลังจิตของเขาได้ลื่นไหลขึ้น และความแข็งแกร่งของเขาก็เพิ่มขึ้น นับว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว

ในช่วงต่อมา

ศิษย์หลักได้อยู่ในการปิดด่านฝึกตนเสียเป็นส่วนใหญ่ พยายามทะลวงผ่านคอขวดของพวกเขา

ทว่า

มีเวลาเหลือเพียงราวๆ 20 วันเท่านั้น และแน่นอนว่าพวกเขาย่อมไม่อาจทะลวงผ่านได้ในระยะเวลาสั้นๆ โดยเฉพาะศิษย์หลักที่อยู่ในนภาที่ห้าและสูงกว่า

ในเวลานี้

จ้าวเฟิงได้เผชิญหน้ากับปัญหาเดียวกัน

เขาได้ถึงขีดจำกัดในทุกๆ ด้าน

เหลือเวลาอีกเพียงยี่สิบวัน อยากจะทะลวงให้ผ่านทุกด้านย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายนัก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการพัฒนาระดับให้สูงขึ้นเลย

“ยังคงมีระยะห่างในการที่ข้าจะเอาชนะทุกคนด้วยพลังฝึกตนในนภาที่ห้าของข้าอยู่อีก โดยเฉพาะเมื่อสี่ดารานั้นแข็งแกร่งกว่าผู้อื่น…”

จ้าวเฟิงคิดในใจ

เวลาที่เหลืออยู่ จะทำอย่างไรให้พวกมันพัฒนาขึ้น?

อย่างแรก เขาสามารถตัดการปิดด่านฝึกตนออกไปได้

การปิดด่านฝึกตนต่อไปมีเพียงแต่ผลลัพธ์จะย่ำแย่ลงเท่านั้น

เช่นนั้น มันคงคงเหลืออีกหนึ่งทางในการเพิ่มความแข็งแกร่งของเขา

…………………………………………….

หมายเหตุ: ชื่อตัวละครที่เปลี่ยนไป

หลันเสี่ยวหยวน = หลันเสี่ยวหลาน

หยวนจื่อ = หยวนจรื้อ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!