บทที่ 235 : ผู้ใดคือราชา (2)
ในลานประลอง
ชางหยูเยว่ได้เผชิญหน้ากับหลินทง อากาศรอบด้านราวกับจับตัวแข็ง
ในยามนี้
ฝูงชนได้จมลงสู่ความเงียบงัน ทิ้งไว้เพียงเสียงหัวใจที่เต้นรัว
ตั้งแต่เริ่มจนกระทั่งบัดนี้ กระบวนท่าเดียวนั้นยังคงไม่อาจตัดสินผู้ชนะได้
ทั้งสองได้ปะทะกันนับร้อยกระบวนท่าในภาพลวงตาแล้ว แม้ว่ามันจะดูยาวนาน ทว่าในความเป็นจริงเวลาที่ผ่านพ้นไปนั้นเป็นเพียงสองสามลมหายใจเท่านั้น
หลินทงและชางหยูเยว่คงจะได้ปะทะกันนับครั้งไม่ถ้วนในทุกๆ วินาที
“เวลาในมิติพลังจิตนั้นแตกต่างจากโลกจริง บางทีพวกเขาอาจจะต่อสู้กันยาวนานแล้ว”
จ้าวเฟิงจับจ้องไปยังลานประลองสุดท้ายอย่างตั้งใจ
ใบหน้าของหลินทงนั้นบิดเบี้ยวเล็กๆ ขณะที่เขาใช้พลังทั้งหมดในร่าง
พลังเย็นเยียบลึกลัยจากร่างของเขาดูราวกับจะกัดกร่อนอากาศ และเขายังคงได้เปรียบอยู่
คิ้วของชางหยูเยว่มุ่นเข้าหากัน ใบหน้าไร้ที่ติของนางได้ปรากฏอารมณ์ที่แตกต่างออกไปเล็กๆ อย่างความเจ็บปวด ความเดียวดาย และความจนใจ
แสงในดวงตาของนางจางลงเรือๆ
พร้อมกับที่ดาบในมือค่อยๆ ลดต่ำลงอย่างช้าๆ
พลังจิตที่มองไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ กลืนกินท้องนภา
ในสายตาของผู้คน สาวงามผู้หนึ่งได้ล่วงหล่นลงสู่ขุมนรก
แม้ว่าเหล่าอัจฉริยะจะไม่ได้เห็นการปะทะกันนั้นด้วยตาตนเอง พวกเขาก็ยังคงเห็นได้ว่าชัยชนะกำลังโน้มเอียงไปทางผู้ใด
“ศิษย์พี่หญิง อดทนไว้”
“ตราบเท่าที่ท่านสามารถป้องกันมันได้ ท่านก็จะสามารถเอาชนะเขาได้ในดาบเดียว”
ศิษย์จากสำนักดาบเมฆาเอ่ยให้กำลังใจ
“หยูเยว่ไม่อาจทนได้อีกต่อไป ในสี่ดารา นางเป็นคนเดียวที่ไม่มีพลังสายเลือด…”
ผู้อาวุโสจำนวนหนึ่งมีสีหน้าเคร่งเครียด
แม้ว่าชางหยูเยว่จะเป็นอัจฉริยะที่ไร้ที่ติและมีความเข้าใจอันสูงส่ง ทว่านางก็ไม่มีพลังสายเลือด
พลังสายเลือดหายากเกินไป
แน่นอนว่ามันไม่ได้หมายความว่าหากคนผู้หนึ่งไม่มีสายเลือด พวกเขาจะไม่อาจสร้างปาฏิหาริย์ได้
ตัวอย่างเช่น ผู้ครอบครองทะเลสาบผนึกมังกร ‘มังกรที่ถูกผนึก’ ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือนับหมื่นปีก็ไม่ได้มีพลังสายเลือด
ผู้นำลัทธิมารจันทราชาดที่ได้สั่นสะท้านโลกาก็ไม่ได้มีพลังสายเลือดเช่นกัน ทั้งยังมีพรสวรรค์ธรรมดา
พลังแห่งสายเลือดเป็นเพียงข้อได้เปรียบอย่างหนึ่ง
ทว่าชางหยูเยว่ไม่มีความพิเศษนี้
หลินทงมีสายเลือดที่พิเศษ และเป็นเพราะมันทำให้เขาสามารถฝึกฝนเนตรลบสวรรค์แห่งวิหารโบราณได้
อีกจุดหนึ่งที่จ้าวเฟิงค้นพบนั้นคือต้นกำเนิดพลังจิตของหลินทงนั้นพิเศษ มันแข็งแกร่งกว่าผู้ที่มีพลังฝึกตนในระดับเดียวกับเขา
ชัยชนะที่สมดุลได้โน้มเอียงไปฝั่งหนึ่งเรื่อยๆ
ชั้นหมอกโปร่งใสได้เริ่มปรากฏขึ้นจากใต้เท้าของชางหยูเยว่ ในคราแรกมันลอยสูงขึ้นเพียงเข่าของนาง
ทว่าไม่ช้ามันก็ครอบคลุมครึ่งร่างของนางไป
ภาพนั้นได้เกิดขึ้นจากพลังจิตที่ได้ไหลออกไปยังอากาศ
และสะท้อนให้เห็นถึงสถานการณ์ในการปะทะกันของทั้งสอง
ทุกครั้งที่หมอกสีดำนั้นลอยสูงขึ้น ประกายแสงในดวงตาของชางหยูเยว่ก็จะหม่นหมองลงเท่านั้น
ในเวลาเพียงหนึ่งหรือสองลมหายใจ หมอกสีดำก็ได้ครอบคลุมมาถึงหัวไหล่และลำคอของเด็กสาว
เหลือเพียงใบหน้าดิ้นรนของนางที่โผล่พ้นมันขึ้นมา
ร่างของชางหยูเยว่กำลังจะถูกปกคลุมโดยหมอกสีดำอย่างสมบูรณ์
“ศิษย์พี่หยูเยว่!”
“ศิษย์พี่ ท่านจะแพ้ให้ผู้ใดไม่ได้ ไม่มีผู้ใดสามารถป้องกันดาบของท่านได้!”
คนจากสำนักดาบเมฆาตะโกนขึ้น
ทุกคนรู้ว่าเมื่อชางหยูเยว่ตื่นขึ้น นางจะสามารถพลิกสถานการณ์กลับได้ด้วยหนึ่งดาบ
ทว่าไม่มีผู้ใดสามารถต่อต้านหนึ่งการมองของเนตรลบสวรรค์จากหลินทงได้
ทุกคนเฝ้ามองหมอกสีดำปกคลุมไปถึงจมูกและดวงตาของนาง
เคร้ง!
ดาบสีเขียวร่วงหล่นจากมือของชางหยูเยว่
หัวใจของคนจากสำนักดาบเมฆากระตุกวูบ
ยามเมื่อนักดาบสูญเสียดาบ มันก็เป็นเช่นการสูญเสียวิญญาณของพวกเขา
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า…”
คนจากวิหารโบราณพ่นลมหายใจยาวเหยียดก่อนจะหัวเราะ
หมอกสีดำได้กลืนกินร่างของชางหยูเยว่ คืบคลานไปถึงคิ้ว จนกระทั่งถึงหน้าผากของนาง
ร่างของชางหยูเยว่แทบจะถูกครอบคลุมด้วยหมอกสีดำจนหมดสิ้น
ใบหน้าบิดเบี้ยวของหลินทงผ่อนคลายลงเล็กๆ
ทว่าในตอนนั้นเอง
ดวงตามืดหม่นของชางหยูเยว่ได้ปรากฏแสงศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นราวกับ ‘รังสีดาบ’ ออกมา
เช้ง!
พลังดาบของนางได้ควบรวมกันอีกครั้ง มันได้สร้างขึ้นเป็นรังสีดาบที่ได้วาดผ่าอากาศออกไป
“นั่นมัน!”
หลายคนจากแคว้นมังกรโลหะอุทานขึ้น
นับแต่เริ่มงานพันธมิตร สีหน้าของพวกเขาไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปมากมายเพียงนี้
“นั่น… หรือว่ามันเป็น…”
จ้าวสำนักดาบเมฆาไร้ซึ่งคำพูด
“จิตแห่งดาบ… มันคือเมล็ดพันธุ์จิตแห่งดาบ!”
ผู้อาวุโสหนึ่งของสำนักดาบเมฆาตะโกนขึ้น
จิตแห่งดาบ
เมล็ดพันธุ์จิตแห่งดาบ
ดวงตาของชางหยูเยว่ราวกับเป็นใบดาบที่สามารถฟาดฟันปีศาจและเทพเจ้าได้ด้วยเพียงหนึ่งความคิด
ฉึก! ฉึก!
หมอกสีดำได้แตกสลายลงจากจิตแห่งดาบที่มองไม่เห็น
พรวด!
หลินทงพลันกระอักโลหิตออกมา เด็กหนุ่มส่งประกายสีแดงตรงไปยังชางหยูเยว่ด้วยใบหน้าขาวซีดเป็นครั้งสุดท้าย
ชางหยูเยว่เค้นเสียงเย็น ทว่าดวงตายังคงกระจ่างใสราวคริสตัล
และในตอนนั้นเองที่มันเผยให้เห็นความเข้าใจ
“ป่าเมฆาคล้อยได้ปรากฏอัจฉริยะแห่งดาบขึ้นแล้ว”
เสียงของร่างในชุดดำลึกลับเอ่ยขึ้นด้วยความเคร่งเครียดเล็กๆ
“ในทวีปเหนือแห่งนี้ก็อาจไม่มีอัจฉริยะที่สามารถเทียบเท่านางได้มากนัก หากนางสามารถสร้างจิตแห่งดาบที่แท้จริงขึ้นได้ นางอาจจะกลายเป็นผู้ที่ควบคุมชะตากรรมของทวีปแห่งนี้”
สตรีสวมใส่หน้ากากสีเงินเอ่ยขึ้นอย่างเป็นกังวล
“นางอาจจะเพียงเข้าใจในเมล็ดพันธุ์จิตแห่งดาบ การเหยียบย่างขึ้นไปบนท้องนภานั้นยากเย็นกว่าการควบรวมจิตแห่งดาบที่แท้จริงเสียอีก”
คนอื่นๆ ไม่คิดสิ่งใดมากนัก
ทว่าในยามนี้
เหล่าผู้อาวุโสในสิบสามสำนักได้ปรากฏเสียงพูดคุยกันขึ้น
ผู้ชนะได้ถูกตัดสินแล้ว แม้ว่าชางหยูเยว่จะไม่ได้เข้าใจในจิตแห่งดาบที่แท้จริง นางก็สามารถต่อต้านหนึ่งการมองได้ และชัยชนะก็อยู่ห่างออกไปเพียงหนึ่งดาบเท่านั้น
“เมล็ดพันธุ์จิตแห่งดาบ?”
จ้าวเฟิงพึมพำกับตนเอง สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด
ชางหยูเยว่ที่ยังไม่ได้เข้าใจในจิตแห่งดาบ ก็ได้สร้างแรงกดดันจำนวนมหาศาลให้กับเขาแล้ว บัดนี้นางกระทั่งเข้าใจในพลังนั้น
จิตแห่งดาบนั้นคือตำนานในทวีปแห่งนี้ และความหายากของมันนั้นกระทั่งเกินกว่าเหล่าผู้ฝึกตนในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดเสียอีก
จ้าวเฟิงเคยได้อ่านเกี่ยวกับมันจากบันทึกมาก่อนหน้า ทว่าบันทึกเหล่านั้นไม่ได้เอ่ยถึงจิตแห่งดาบมากนัก
มันเป็นเพราะแทบจะไม่มีผู้ใดที่สามารถเข้าใจในพลังนี้ได้ ทั้งมันยังยากที่จะอธิบาย
“หลายร้อยปีก่อน สิบมหาอำนาจได้ร่วมมือกันต่อต้านลัทธิมารจันทราชาด ในยามนั้น ผู้นำลัทธิมารจันทราชาดนั้นนับเป็นบุรุษไร้พ่าย กระทั่งผู้ฝึกตนในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดยังถูกจัดการโดยเขา โชคดีที่มียอดนักดาบผู้หนึ่งที่ได้เข้าสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดได้ปรากฏตัวขึ้น เขาได้เข้าใจในจิตแห่งดาบและสามารถทำลายทุกสิ่งได้ด้วยเพียงหนึ่งความคิด กระทั่งผู้ที่แข็งแกร่งเช่นผู้นำลัทธิมารจันทราชาดยังต้องหวาดระแวงการโจมตีจากเขา คนผู้นั้นนับว่ามีส่วนในความพ่ายแพ้ของผู้นำลัทธิมารจันทราชาดอย่างมาก”
ผู้อาวุโสหนึ่งแห่งสำนักดาบเมฆาเอ่ย
หลายคนรู้เกี่ยวกับตำนานนี้
“คนผู้นั้นคือเย่อู๋เซี่ย ผู้ที่สามารถคุกคามผู้นำลัทธิมารจันทราชาดได้”
“ความจริงแล้ว เขาได้รับมรดกที่นับเป็นอันดับสองในทวีปเหนือ ‘มรดกเจ็ดดาบ’ ”
เมื่อพูดคุยเกี่ยวกับตำนาน หลายคนเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและชื่นชม
‘มรดกจันทราชาด’ และ ‘มรดกเจ็ดดาบ’ คือสองในสี่มหามรดกแห่งทวีปนี้
มรดกเจ็ดดาบนั้นประกอบไปด้วยมรดกเจ็ดอย่างที่เกี่ยวข้องกับดาบ เย่อู๋เซี่ยได้ครอบครองเพียงหนึ่งในนั้น ทว่ามันกลับได้ทำให้เขากลายเป็นยอดนักดาบผู้หนึ่ง
แน่นอนว่า
เย่อู๋เซี่ยต้องเข้าใจในจิตแห่งดาบ
เช้ง!
นิ้วของหลินทงถูกตัดออกพร้อมกับที่ประกายแสงแห่งดาบได้ปรากฏขึ้นรอบลำคอของเขา
“ข้ายอมแพ้”
หลินทงยืนนิ่งไม่ขยับ
ภายใต้สถานการณ์ปกติ เขาย่อมไม่อาจป้องกันดาบของชางหยูเยว่ได้
ระหว่างเขาและชางหยูเยว่ สิ่งที่จะเกิดขึ้นมีเพียงการชนะในเสี้ยววินาที หรือพ่ายแพ้ในเสี้ยววินาที
โชคร้ายที่สำหรับเขา มันคืออย่างหลัง
ในบรรดาสี่ดารา ชางหยูเยว่เป็นเพียงผู้เดียวที่ไม่มีพลังสายเลือด ทว่านางได้ท้าทายสวรรค์ และในวินาทีสำคัญ นางก็ได้สร้างเมล็ดพันธุ์จิตแห่งดาบขึ้น
“โอกาสที่ข้าจะชนะชางหยูเยว่ก่อนหน้านั้นไม่เกินห้าสิบจากร้อยส่วน… ทว่าบัดนี้นางได้เข้าใจเมล็ดพันธุ์จิตแห่งดาบแล้ว โอกาสของข้าได้ลดลงสู่ที่ยี่สิบส่วนจากร้อยส่วนเป็นอย่างมาก…”
คิ้วของจ้าวเฟิงมุ่นเข้าหากัน รู้สึกว่าแรงกดดันเพิ่มสูงขึ้น
เมล็ดพันธุ์จิตแห่งดาบของชางหยูเยว่นั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีผู้ใดคาดเอาไว้
จิตแห่งดาบที่สามารถตัดผ่านสวรรค์และทะลวงผ่านพลังจิตโจมตี
ยามเมื่อคนผู้หนึ่งเข้าใจในสิ่งที่ใกล้เคียงกับจิตแห่งดาบ พวกเขาก็จะกลายเป็นตัวอันตรายสำหรับเคล็ดวิชาพลังจิต
และในสถานการณ์ปกติ จ้าวเฟิงคิดว่ามันมีโอกาสที่เขาจะพ่ายแพ้ให้กับชางหยูเยว่ในเสี้ยววินาที
สิ่งเดียวที่สามารถเปลี่ยนแปลงมันได้คือเนตรจิตวิญญาณเทพเจ้า
หากจ้าวเฟิงใช้เพียงพลังแห่งสายเลือด เขาย่อมพ่ายแพ้อย่างแน่นอน มีเพียงการใช้เนตรจิตวิญญาณแห่งเทพเจ้าเท่านั้นที่เด็กหนุ่มจะมีโอกาสชนะ
ลานประลองสุดท้าย
การประลองของสองผู้เป็นที่สุดได้จบลงในที่สุด
ในยามนี้
ชางหยูเยว่ได้ชนะมาโดยตลอด และมันแทบจะถูกกำหนดไว้แล้วว่าอัจฉริยะทุกคนในสิบสามสำนักจะต้องถูกบดขยี้โดยสตรีผู้นี้
ในสายตาของเหล่าอัจฉริยะ ชางหยูเยว่ได้ห่างไกลจากพวกเขาไปเรื่อยๆ
กระทั่งผู้ที่แข็งแกร่งเช่นหลินทงยังพ่ายแพ้ในเสี้ยววินาทีด้วยเมล็ดพันธุ์จิตแห่งดาบ คนอื่นอาจจะไร้ซึ่งโอกาสโดยสิ้นเชิง
ทว่ามันยังคงมีสายตาที่จับจ้องไปยังเด็กหนุ่มผมเขียวครามตาเดียว
จ้าวเฟิงสีหน้าไร้อารมณ์ ทว่าดวงตากลับส่องประกายระริก เขาไม่มีทีท่าว่าจะยอมแพ้แต่อย่างใด
ลานประลองสุดท้าย
การประลองยังคงดำเนินต่อไป
การประลองที่เจ็ด
จ้าวเฟิงได้เผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งอย่างมาก
“จ้าวเฟิง ปะทะ หลินทง”
ทันทีที่เสียงประกาศดังออกไป ผู้คนก็ได้เต็มไปด้วยความตื่นเต้นอีกครั้ง
การประลองนี้จะตัดสินสามลำดับแรก
หากจ้าวเฟิงพ่าย เขาจะเป็นอันดับสาม
แต่หากเขาชนะ มันก็จะยังคงมีความหวังอีกน้อยนิด
“ข้ารู้สึกได้ถึงกลิ่นอายที่คุ้นเคยจากเจ้า”
เนตรลบสวรรค์ของหลินทงลืมขึ้นอย่างเชื่องช้า ทว่าน่าประหลาดใจที่เด็กหนุ่มไม่ได้โจมตี
“โฮ่? เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
จ้าวเฟิงเอ่ยถามอย่างสงสัย
“นำผ้าปิดตาของเจ้าออกซะ”