บทที่ 388 : ซากปรักหักพังสือเชิง
หลังจากความรู้สึกสับสนนั้นจางหายไป ร่างของจ้าวเฟิงก็พลันร่วงลงด้านล่าง
ในบริเวณนั้นมีเด็กหนุ่มเพียงคนเดียว
ไม่มีร่องรอยของจ้าวหยูเฟ่ยและแมวขโมยตัวน้อย
“ในยามนั้น ข้า จ้าวหยูเฟ่ย รวมทั้งแมวขโมยตัวน้อยได้ถูกดูดเข้าไปในน้ำวนหลากสีพร้อมกัน ดังนั้นแล้วแสงนั่นคงเป็นค่ายกลเคลื่อนย้าย ทั้งยังเป็นแบบสุ่มเสียด้วย”
จ้าวเฟิงตั้งสติอย่างรวดเร็ว ได้ข้อสรุปออกมา
เขายังสามารถรับรู้ถึงตัวตนของแมวขโมยตัวน้อยได้ตามสัญชาตญาณ เพียงแต่สายสัมพันธ์นั้นค่อนข้างอ่อนแอไปบ้าง
ตราบเท่าที่ยังมีสายสัมพันธ์นี้อยู่ ก็สามารถยืนยันได้ว่าแมวขโมยตัวน้อยอยู่ที่นี่
“ข้าดันไปสนใจความปลอดภัยของแมวขโมยนั่นซะได้”
จ้าวเฟิงรู้สึกขบขันตนเองขึ้น
ด้วยความฉลาดลึกลับของแมวขโมยตัวน้อย รวมทั้งความสามารถในการหลีกเลี่ยงภัยพิบัติ คงมีเพียงแค่จ้าวเฟิงเท่านั้นที่พอจะเทียบเคียงได้
สำหรับจ้าวหยูเฟ่ย ในเมื่อนางได้ถูกพลังของมรดกนิรนามนี้ดึงมา บางทีอาจอยู่ในสถานการณ์ที่ดีที่สุด
ความจริงแล้ว คนที่จ้าวเฟิงควรจะกังวลนั้นคือตนเอง
ปฏิกิริยาแรกของเขาคือการเปิดดวงตาเทพเจ้าตรวจสอบรอบกาย
“หืม?”
จ้าวเฟิงชะงักไปเล็กๆ ในสถานที่แปลกประหลาดนี้ ความสามารถของประสาทสัมผัสจิตวิญญาณและประสาทสัมผัสทั่วไปได้ถูกจำกัดอยู่ในระดับหนึ่ง
ดวงตาเทพเจ้าของเขา รวมทั้งประสาทสัมผัสได้ถูกจำกัดให้เหลือเพียงหนึ่งในสิบส่วน
ในจุดนี้ ชัดเจนว่ามรดกนิรนามนี้ย่อมไม่ธรรมดา
จ้าวเฟิงเคยได้เผชิญหน้ากับสถานที่ที่ปิดกั้นประสาทสัมผัสจิตวิญญาณมาก่อน ตัวอย่างเช่นการแข่งขันยอดนภาที่ได้มีข้อจำกัดอยู่ในระดับหนึ่ง ทว่าดวงตาเทพเจ้าของเขาไม่ได้รับผลมากนัก ในยามนั้น อัตราการตื่นของดวงตาเทพเจ้าของเด็กหนุ่มกระทั่งน้อยกว่าในตอนนี้
แต่ว่า
ในระยะ 100-200 ลี้รอบกาย ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงยังคงสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนอยู่
หลังจากที่กวาดตามองไปรอบหนึ่ง สีหน้าของจ้าวเฟิงพลันย่ำแย่ลง
ในอากาศ เขาพบฝูงนกฝูงหนึ่ง จ่าฝูงมีพลังขั้นผู้วิเศษแท้เป็นอย่างน้อย
จ่าฝูงปักษาและสัตว์อสูรเหล่านั้นมีพลังใกล้เคียงผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ นำกลุ่มปักษาที่มีพลังขั้นมนุษย์แท้มากกว่าสิบตัว รวมทั้งปักษาและสัตว์อสูรอื่นๆ อีกนับหมื่น
ฝูงนักเช่นนั้นนับว่าเป็นปัญหาสำหรับจ้าวเฟิงอย่างมาก
เมื่อออกจากลานประลองชางกู่ เงาที่ข้ามผ่านกาลเวลาที่ได้ครอบครองก็จางหายไป พลังของจ้าวเฟิงได้กลับไปสู่สภาวะปกติ อยู่ในระดับของผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้
ไม่เพียงเท่านั้น
บนท้องฟ้ายังปรากฏฝูงนกจำนวนมาก พลังฝึกตนของนกและสัตว์อสูรเหล่านั้นบางตัวสูงถึงขั้นนายเหนือแท้ นำฝูงนกที่มีพลังขั้นผู้วิเศษแท้มากกว่าสิบตัว กระทั่งเหนือกว่าผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้
“ฝูงนกที่ใหญ่โตเช่นนั้น จำนวนย่อมมีไม่น้อยไปกว่าหนึ่งหมื่นหรือสองหมื่นตัว แม้ห้าผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ของงานชุมนุมเซียนมังกรจะร่วมมือกันก็อาจจะพ่ายแพ้ไปเสียเป็นส่วนมาก”
จ้าวเฟิงคิด ร่างสั่นสะท้าน
ในมรดกนิรนามนี้อันตรายเกินไป
อันตรายนั้นไม่ได้มีเพียงแค่กลางอากาศ บนพื้นและในน้ำก็มีกลุ่มสัตว์อสูรจำนวนมาก สัตว์อสูรขั้นผู้วิเศษแท้บางตัวยังเร่ร่อนเดินไปทั่วเพียงตัวเดียว กระทั่งมีสัตว์อสูรขั้นนายเหนือแท้อยู่สองสามตัว
“เรื่องเร่งด่วนคือการหาข้อมูล”
จ้าวเฟิงสูดลมหายใจลึกเข้าไปอย่างช่วยไม่ได้
หากเป็นหนึ่งในสี่มหามรดก เขายังพอมีข้อมูลอยู่บ้าง
แต่มรดกนิรนามนี้ได้มาถึงยังทวีปบุปผาครามเป็นครั้งแรก
หลังจากครึ่งชั่วน้ำชาเดือด
จ้าวเฟิงวิเคราะห์สถานการณ์ในระยะ 200-300 ลี้รอบกายเรียบร้อย
หลังจากนั้นเด็กหนุ่มจึงหามุมเล็กๆ ที่ค่อนข้างปลอดภัยนั่งขัดสมาธิ สร้างสมดุลให้กับพลังของตนเองก่อนเป็นอย่างแรก
ต่อสู้ในงานชุมนุมเซียนมังกรอย่างต่อเนื่องกว่า 10-20 วัน ไม่ว่าจะเป็นอัจฉริยะคนใดก็ล้วนต้องรู้สึกเหนื่อยอ่อน
จ้าวเฟิงจำเป็นต้องรักษาพลังเอาไว้เพื่อที่จะรับมือกับอันตรายที่ไม่อาจล่วงรู้ของมรดกแห่งนี้
อีกเหตุผลหนึ่งคือ
เขาต้องสร้างสมดุลให้กับพลังฝึกตน
ในงานชุมนุมเซียนมังกร เด็กหนุ่มพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด โดยเฉพาะในช่วงท้ายที่เงาที่ข้ามผ่านกาลเวลาได้มาถึง ขอบเขตจิตวิญญาณของเขาพัฒนาขึ้นอย่างมาก ได้รับผลประโยชน์มากมาย
“พลังเสวียนอ้าวของเงาครองสวรรค์ที่ข้ามผ่านกาลเวลานั้นไม่อาจหยั่งรู้ ข้าทำได้เพียงรับรู้เศษเสี้ยวเล็กๆ ของมัน แต่ขอบเขตจิตวิญญาณของข้าก็ยังพัฒนาขึ้น เข้าสู่ขั้นผู้วิเศษแท้ระดับสุดยอด กระทั่งโน้มเอียงไปทางขั้นนายเหนือแท้”
ในใจของจ้าวเฟิงลอบทอดถอนใจอย่างสะเทือนใจ
ในเสี้ยวพริบตา เวลา 2-3 วันได้ผ่านพ้นไป
แก่นแท้ ปราณจิตวิญญาณของจ้าวเฟิงได้เข้าสู่จุดสูงสุดอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ใน ‘แก่นแท้และปราณจิตวิญญาณหวนคืนสู่สามัญ หลอมรวมกับฟ้าดิน’ เองก็ได้ปรากฏความเข้าใจและความพัฒนามากขึ้น
เด็กหนุ่มเปิดดวงตาตรวจสอบ ไอสวรรค์รอบกายสั่นสะท้านเล็กๆ
“ขอบเขตจิตวิญญาณบรรลุขั้นนายเหนือแท้แล้ว เหลือเพียงทำความเข้าใจพลังเสวียนอ้าวของเงาครองสวรรค์ที่ข้ามผ่านกาลเวลาและเจตจำนงที่ทรงพลังนั้นอีกครั้ง ขอบเขตจิตวิญญาณก็จะทะลวงเข้าสู่ขั้นนายเหนือแท้เมื่อใดก็เป็นเพียงเรื่องของเวลา”
จ้าวเฟิงรู้สึกประหลาดใจและยินดีขึ้นอย่างช่วยไม่ได้
ขอบเขตจิตวิญญาณแตะเข้าที่ชายขอบของขั้นนายเหนือแท้ ความเร็วในการฝึกตนเองก็รวดเร็วขึ้นเช่นกัน
เมื่อเป็นเช่นนี้ การทะลวงเข้าสู่ขั้นผู้วิเศษแท้ระดับต่ำของจ้าวเฟิงจึงไม่มีความยากเย็นแต่อย่างใด เพียงปิดด่านฝึกตนสัก 1-2 วันก็สำเร็จได้
นอกจากนั้น จ้าวเฟิงยังนึกย้อนไปถึงงานุชุมนุมเซียนมังกรรอบที่สอง ระบบการฝึกตนและด้านวิชาสายเลือดดวงตาก็ได้มีความเข้าใจที่ลึกล้ำกว่าเดิม
พลังของจ้าวเฟิงได้เพิ่มขึ้นหนึ่งส่วนอย่างมั่นคง
เมื่อเป็นเช่นนี้ เด็กหนุ่มย่อมต้องการที่จะปิดด่านฝึกตนต่อไปอีกสองวัน
ทว่าในยามนี้ จ้าวเฟิงกลับรับรู้ได้ถึงแรงสั่นสะเทือนและเสียงแผ่วเบาที่ดังขึ้นจางๆ
“อย่าได้บอกข้าเชียวว่ามีฝูงสัตว์อสูรเข้ามาใกล้”
จิตใจของจ้าวเฟิงหนาวเยือก
ฝูงสัตว์ปีศาจในมรดกนี้สามารถคุกคามตัวเขาได้ หากโชคไม่ดีเจอสัตว์ปีศาจขั้นนายเหนือแท้ก็นับว่าวิกฤตแล้ว
จ้าวเฟิงพลิ้วกายไปยังภูเขาใกล้ๆ อย่างเงียบงัน มองไปยังแหล่งกำเนิดเสียง
กร๊าซซซ
เบื้องหน้าห่างออกไปสามสิบลี้ จระเข้ขนาดใหญ่หลายสิบหลา ทั่วทั้งร่างปกคลุมไปด้วยเกล็ดสีดำราวกับโลหะ ดวงตาทั้งสองส่องประกายสีแดงหม่น รอบกายปรากฏคลื่นกระแสไฟฟ้าสีเข้มล้อมรอบอยู่จางๆ
เปรี้ยะ เปรี้ยะ
ไม่ว่าคลื่นกระแสไฟฟ้านั้นจะไปที่แห่งใด พื้นดินก็จะถูกเผาจนไหม้ดำ ส่งควันสีดำลอยฟุ้งขึ้น
“เป็นพลังสายฟ้าที่แข็งแกร่งยิ่งนักฎ
จ้าวเฟิงรับรู้ได้ถึงปราณจิตวิญญาณในร่างที่สั่นสะท้านเล็กๆ
คลื่นกระแสไฟฟ้าของจระเข้ยักษ์นั้นมีความหนาแน่น เสวียนอ้าวของมันไม่นับว่าด้อยไปกว่าจ้าวเฟิงแม้แต่น้อย
นอกจากนั้น พลังป้องกันกายภาพของจระเข้ยักษ์นั่นยังแข็งแกร่งอย่างยากที่จะเทียบเคียง สามารถป้องกันการโจมตีของขั้นนายเหนือแท้ทั่วไปได้
หากให้จ้าวเฟิงเผชิญหน้ากับจระเข้ยักษ์นี้โดยไม่ใช้ดวงตาเทพเจ้า เขาย่อมพ่ายแพ้เป็นแน่!
“ฮ่าฮ่า เกล็ดของ ‘จระเข้สายฟ้าทมิฬ’ นี้สามารถต้านทานการโจมตีของขั้นนายเหนือแท้ได้ สำหรับการโจมตีธาตุสายฟ้าแทบจะนับได้ว่าไร้ผลโดยสิ้นเชิง ‘กระดูกสายฟ้า’ และ ‘เส้นเลือดใจวารีเร้นลับ’ ในร่างของมันนับเป็นวัสดุหายากระดับสูง”
ในบริเวณใกล้ๆ ได้ปรากฏร่างของบุรุษสตรีสามคนทะยานมา อายุราวๆ 20 ปี ชัดเจนว่าเป็นคนรุ่นใหม่ ไล่ล่าตามจระเข้ยักษ์เกล็ดดำนั้นมาพร้อมโจมตีอย่างหนักหน่วง
มิคาดมีผู้อื่นอยู่!
จ้าวเฟิงประหลาดใจ มองไปยังสามบุรุษสตรีที่อยู่ห่างออกไป
พลังของ ‘จระเข้สายฟ้าทมิฬ’ นั้นสามารถเทียบได้กับปิงเว่ยเซียนจื่อและชื่อเฉิงเทียนในยามนี้ได้ ในบรรดาผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้แต่เดิม นอกจากหยูเทียนฮ่าวแล้วบางทีอาจไม่มีผู้ใดสามารถเป็นคู่ต่อสู้ของมันได้
ทว่าสามบุรุษสตรีเบื้องหน้านี้มีพลังใกล้เคียงขั้นนายเหนือแท้อย่างมาก ‘จระเข้ยักษ์เกล็ดสีดำ’ นั้นถูกโจมตีโดยที่ไม่อาจตอบโต้ได้
ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ
สามบุรุษสตรีนั้นรีบเข้าไปล้อมร่างของ ‘จระเข้สายฟ้าทมิฬ’ อย่างรวดเร็วและเริ่มโจมตีอย่างรุนแรง
“ขั้นผู้วิเศษแท้ระดับสุดยอดหนึ่งคน ขั้นผู้วิเศษแท้ระดับสูงหนึ่งคน และขั้นผู้วิเศษแท้ระดับต่ำหนึ่งคน”
ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงกวาดมองคนทั้งสาม จิตใจหนาวเยือกขึ้น
พลังของสตรีที่มีพลังฝึกตนต่ำที่สุดผู้นั้นแทบจะสามารถต่อกรกับผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ได้
บุรุษคนที่สองที่มีพลังขั้นผู้วิเศษแท้ระดับสูงนั้นอย่างน้อยก็เทียบได้กับผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู้ต่อสู้ในงานชุมนุมเซียนมังกร กระทั่งหากเทียบกับผู้ถูกเลือกทั่วไปยังนับว่าเหนือกว่า
ทว่าเป็นชายหนุ่มตาเหยี่ยวที่มีพลังขั้นผู้วิเศษแท้ระดับสุดยอดที่มีพลังต่อสู้น่าพรั่นพรึง ทุกการเคลื่อนไหวได้ทำให้ ‘จระเข้สายฟ้าทมิฬ’ ต้องกรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวด แม้กวาดตามองไปทั่วทั้งงานชุมนุมเซียนมังกร คงมีเพียงแค่หยูเทียนฮ่าวที่สามารถต่อกรกับอีกฝ่ายได้
หากไม่ใช่เพราะพลังป้องกันกายภาพของจระเข้สายฟ้าทมิฬนั้นเมื่อเทียบกับชื่อเฉิงเทียนแล้วก็มีแต่จะแข็งแกร่งกว่าไม่ด้อยกว่า บางทีคงจะถูกโจมตีจนไม่อาจจำเค้าเดิมได้จากคนทั้งสามไปแล้ว
นอกจากนั้น ชายหนุ่มตาเหยี่ยวผู้นั้นยังกวาดตามองสำรวจไปรอบๆ ตลอดเวลา เปลี่ยนทิศทางไปมา ท่าทีระมัดระวัง
“คนกลุ่มนี้มาจากที่ใดกัน? เป็นไปได้หรือไม่ว่า…”
จ้าวเฟิงอดที่จะสูดลมหายใจลึกไม่ได้
คำตอบนั้นชัดเจน คนเหล่านี้หากไม่ใช่ผู้ที่อาศัยอยู่ในมรดก ก็เป็นไปได้ว่าจะเป็นอัจฉริยะที่เข้ามาในมรดกจากทวีปยู่ไว่
“อัจฉริยะต่างแดน!”
รูปลักษณ์ของคนเหล่านี้อยู่ที่ราวๆ 20 ปี ชายหนุ่มตาเหยี่ยวผู้นั้นอายุไม่เกิน 30 ปี
รีบหนี!
หัวใจของเด็กหนุ่มตระกูลจ้าวบีบรัดแน่น หากเขาเผชิญหน้ากับ ‘อัจฉริยะต่างแดน’ สามคนนี้ มีโอกาสสูงที่เขาจะไม่มีหนทางตอบโต้
“อันใดกัน? มีคน!”
ชายหนุ่มตาเหยี่ยวราวกับรับรู้ได้ นัยน์ตาคมกริบส่องประกายเย็นเยียบ มองไปยังภูเขาที่จ้าวเฟิงอยู่
จ้าวเฟิงพลันใช้ผ้าคลุมเงาหยิน ร่างพร่าเลือนลงปกปิดตัวตนไป
“หลี่เซียว ฉิงเสี่ยวเยว่ พวกเจ้าไปดูตรงนั้น เมื่อครู่ข้ารู้สึกราวกับว่าถูกจับตามอง หากเป็นคนของ ‘ตำหนักผาดำ’ ก็นับว่าย่ำแย่แล้ว”
ชายหนุ่มตาเหยี่ยวเอ่ยขึ้น
“ครับ/ค่ะ ศิษย์พี่!”
หนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีแยกกันไปตรวจสอบในระยะหนึ่งร้อยลี้ที่จ้าวเฟิงอยู่
หัวใจของจ้าวเฟิงหล่นวูบ หากเขาเคลื่อนไหวในตอนนี้ ตัวตนย่อมถูกเปิดเผย
ผ้าคลุมเงาหยินมีเพียงยามราตรีและยามที่ไม่ขยับกายที่ประสิทธิภาพในการหลบซ่อนจะสูงที่สุด ทว่าตอนนี้มันไม่ใช่เวลากลางคืน
ในยามนี้
สตรีที่มีนามว่า ‘ฉิงเสี่ยวเยว่’ เข้าใกล้สถานที่ที่จ้าวเฟิงใช้ปิดด่านฝึกตน
ใบหน้าของฉิงเสี่ยวเยว่มีผ้าผืนบางปกปิด อายุราวๆ 17-18 ปี มีพลังฝึกตนขั้นผู้วิเศษแท้ระดับต่ำ ห่างจากขั้นผู้วิเศษแท้ระดับสูงไปไม่มากนัก
“ไม่ดีแล้ว หากสตรีผู้นี้เข้าไปใกล้บริเวณที่ข้าปิดด่านฝึกตนย่อมรับรู้”
สีหน้าของจ้าวเฟิงย่ำแย่ลง
บริเวณที่จ้าวเฟิงปิดด่านฝึกตนก่อนหน้าเป็นพื้นที่เล็กๆ ภายในยังคงหลงเหลือกลิ่นอายของเด็กหนุ่มอยู่
และก็จริงๆ
ฉิงเสี่ยวเยว่เพียงเข้าไปใกล้สถานที่นั้น ประสาทสัมผัสจิตวิญญาณกวาดสำรวจ รับรู้ได้ถึงกลิ่นอายของจ้าวเฟิงที่นั่งขัดสมาธิ
“มีไออุ่นอยู่ กลิ่นอายยังไม่จางหายไป คนผู้นี้ย่อมยังหนีไปไม่ได้ไกล”
นัยน์ตาของฉิงเสี่ยวเยว่ปรากฏประกายวาบ มุมปากยกโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มเยาะ
ไม่นาน
ฝ่ามือของนางก็ได้ปรากฏเต่าทองตัวเล็กๆ ขึ้นไปยังสถานที่ที่จ้าวเฟิงนั่งขัดสมาธิ รับรู้ถึงกลิ่นอายของมัน
ทุกการเคลื่อนไหวของนางอยู่ในสายตาของจ้าวเฟิง
แม้จ้าวเฟิงจะอยู่ห่างจากอีกฝ่ายไปเพียงแค่ไม่กี่สิบหลา
“ผู้ใดลงมือก่อนย่อมได้เปรียบ!”
ในระหว่างที่ครุ่นคิด จ้าวเฟิงก็พลันตัดสินใจได้ กลับกลายเป็นเงาพร่าเลือนเคลื่อนเข้าไปใกล้ร่างของฉิงเสี่ยวเยว่
“ผู้ใดกัน!”
เพราะขอบเขตของจ้าวเฟิงเหนือกว่าฉิงเสี่ยวเยว่ เมื่อเด็กหนุ่มไปถึงข้างกายของอีกฝ่ายเป้าหมายจึงได้รู้สึกตัว
เนตรคุกลวงตา!
สายตาของฉิงเสี่ยวเยว่สบเข้ากับดวงตาเย็นเยียบราวบ่อน้ำแข็งที่ขยายแผ่กว้างเข้าครอบคลุมโลกของนาง
ฟุ่บ!
เสี้ยววินาที
ร่างของฉิงเสี่ยวเยว่ได้ปรากฏขึ้นในมิติที่เต็มไปด้วยน้ำแข็ง
โซ่กระแสไฟฟ้าหนาหลายฟุตมัดแขนขาของนางไว้ ความเย็นเยียบและหนึบชาแผ่ซ่านไปทั่วร่าง ทำให้นางไม่อาจขยับเคลื่อนไหว
“เจ้าคือผู้ใดกัน! นี่มันภาพลวงตา… เจ้าคือคนของ ‘ตำหนักผาดำ’ หรือ?”
ฉิงเสี่ยวเยว่ตวาดออกมา แม้ว่าจะตกใจทว่าไม่ได้สูญเสียความเยือกเย็น เริ่มใช้พลังจิตตอบโต้ ต้องการที่จะดิ้นรนออกจากที่แห่งนี้
“ตำหนักผาดำ? ไม่เคยได้ยินมาก่อน”
จ้าวเฟิงเพ่งมองอีกฝ่ายเล็กๆ ดูเหมือนว่ากองกำลังที่เข้ามาในมรดกแห่งนี้จะไม่ได้มีเพียงหนึ่ง
“เจ้าไม่รู้จัก ‘ตำหนักผาดำ’ หรือ! อย่าได้บอกข้าเชียวว่าเจ้าคือผู้ที่อาศัยอยู่ใน ‘ซากปรักหักพังสือเชิง’?”