Skip to content

King of Gods 389

King Of Gods

บทที่ 389 : ซากปรักหักพังสือเฉิง (2)

ซากปรักหักพังสือเฉิง?

หัวใจของจ้าวเฟิงกระตุกวูบ ดูเหมือนว่านี่จะเป็นชื่อของมรดกนี้

อัจฉริยะต่างแดนเหล่านี้ชัดเจนว่าคงรู้ข้อมูลมากมาย กระทั่งอาจมีกองกำลังมากกว่าหนึ่งหรือสองฝ่ายที่เข้ามาในสถานที่ที่ถูกเรียกว่า ‘ซากปรักหักพังสือเฉิง’ นี้

“พูดเกี่ยวกับซากปรักหักพังสือเฉิง”

จ้าวเฟิงหน้าตาไร้ความรู้สึก เอ่ยไม่ช้าไม่เร็ว มือปรากฏกระแสไฟฟ้าขึ้นครอบคลุมจรางๆ

ในคุกลวงตาแห่งนี้ ความเร็วในการไหลของเวลาด้านในต่างจากด้านนอก เวลาหนึ่งลมหายใจของด้านนอกเป็นเวลาหลายชั่วยามของภายใน กระทั่งถึงหนึ่งวันครึ่งหากพิจารณาถึงความสามารถของขอบเขตจิตวิญญาณของจ้าวเฟิง

ทว่าด้วยเนตรจิตวิญญาณเทพเจ้าได้ช่วยส่งเสริมการใช้ ‘คุกลวงตา’ ของจ้าวเฟิง ทำให้ผลลัพธ์ออกมาดีกว่าเดิมได้

สีหน้าของฉิงเสี่ยวเยว่เปลี่ยนไปอย่างรุนแรง พอจะคาดเดาได้ถึงความสามารถของสายเลือดดวงตาของจ้าวเฟิงได้ในระดับหนึ่ง

หากนางไม่เชื่อฟังให้ความรวมมือกับอีกฝ่ายย่อมไม่อาจออกไปจากสถานการณ์นี้ได้ ต้องทนทรมานกับการหยอกล้อของจ้าวเฟิงไปอย่างไร้ที่สิ้นสุด

ความเจ็บปวดทรมานในระดับจิตจนั้นมากกว่าความเจ็บปวดของกายเนื้อนับสิบนับร้อยเท่า

“อย่าได้พยายามดิ้นรนอย่างเปล่าประโยชน์ หากเป็นภายนอกเจ้าอาจจะคุกคามข้าได้บ้าง แต่ในระดับจิตวิญญาณนี้ ความแตกต่างระหว่างข้ากับเจ้ามีมากเกินไป ที่นี่อาจผ่านไปสิบชั่วยาม แต่ภายนอกนับเป็นเวลาเพียงหนึ่งลมหายใจเท่านั้น”

จ้าวเฟิงวาดมือ กระแสไฟฟ้าเจือจางเริ่มครอบคลุมไปทั่ว

ร่างอ้อนแอ้นของฉิงเสี่ยวเยว่สั่นสะท้าน ส่วนลึกในจิตใจรับรู้ได้ถึงความสิ้นหวัง ท้ายที่สุดแล้วนางก็เป็นอัจฉริยะที่ได้รับการทะนุทนอมเป็นอย่างดีจากสำนัก ไม่เคยสัมผัสถึงสถานการณ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายมากนัก

‘เนตรคุกลวงตา’ ของจ้าวเฟิงนั้น นางไม่มีทางที่จะต่อต้านได้

“เจ้าไม่รู้จัก ‘ซากปรักหักพังสือเฉิง’ กลิ่นอายบนร่างของเจ้าก็ไม่ได้มาจากที่นี่ อย่าได้บอกข้าเชียวว่าเจ้ามาจากกองกำลังอื่น แต่หากเป็นเช่นนั้นเจ้าจะเข้ามาในซากปรักหักพังสือเฉิงนี่ได้อย่างไร”

ฉิงเสี่ยวเยว่อุทานออกมา พลันนึกถึงบางสิ่งได้ มองไปยังจ้าวเฟิงอย่างไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง

จ้าวเฟิงอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ “เจ้าหมายความว่าอย่างไรที่ข้าจะเข้ามาไม่ได้?”

“ซากปรักหักพังสือเฉิงนั้นมีทางเชื่อมต่อมรดกที่แข็งแกร่งที่เกาะเทียนหลู ถูกครอบครองโดยสามยอดสำนัก หากไม่มีตราคำสั่งมรดก อัจฉริยะจากกองกำลังอื่นจะเข้ามาได้อย่างไร?”

ฉิงเสี่ยวเยว่เอ่ยขึ้นอย่างตะกุกตะกักอยู่บ้าง ดูจะไม่สามารถรับ ‘ความจริง’ นี้ได้

นางมาจากเกาะเทียนหลู ซากปรักหักพังสือเฉิงนับเป็นความลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ทุกๆ สิบปีจะสามารถเปิดได้สักครั้ง

ทว่าทุกการเปิดขึ้นของซากปรักหักพังนี้ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีคนนอกที่ไม่ใช่คนของสามยอดสำนักสามารถเข้ามาในซากปรักหักพังสือเฉิงได้

เด็กหนุ่มแปลกประหลาดผู้นี้แทรกซึมเข้ามาในซากปรักหักพังสือเฉิงได้อย่างไร?

เมื่อได้ยินเช่นนั้น จ้าวเฟิงก็เหม่อลอยขึ้นอย่างช่วยไม่ได้

เหตุผลที่เขาสามารถเข้ามาใน ‘ซากปรักหักพังสือเฉิง’ ได้นั้นนับว่าเป็นสิ่งที่ ‘คาดไม่ถึง’ บางทีเหตุผลที่แท้จริงอาจอยู่ในร่างของจ้าวหยูเฟ่ย

ในการซักถามต่อมา ฉิงเสี่ยวเยว่ได้ให้ความรวมมือเป็นอย่างดี ข้อมูลเกี่ยวกับ ‘ซากปรักหักพังสือเฉิง’ ที่นางรู้ได้ถูกบอกออกมาทั้งหมด

จะอย่างไรข้อมูลเหล่านี้ก็ไม่ใช่ความลับ แต่ในคุกลวงตานี้ หากนางไม่ให้ความรวมมือย่อมทำเพียงสร้างอันตรายให้แก่ตัวนางเท่านั้น

จ้าวเฟิงแสดงท่าทีพึงพอใจอย่างมากต่อฉิงเสี่ยวเยว่

“มีกองกำลังกี่ฝ่ายที่เข้ามาในซากปรักหักพังสือเฉิง แล้วสามยอดสำนักที่เจ้าบอกหมายถึงอันใด?”

จ้าวเฟิงเอ่ยถามตรงๆ

“สามยอดสำนักได้แก่สำนักจิตวิญญาณจันทร์กระจ่าง ตำหนักผาดำ และตำหนักมารจันทรา เป็นสำนักที่มีระดับสองดาวเป็นอย่างน้อย รวมทั้งยังมียอดฝีมือจากสำนักหนึ่งดาวอีกสิบ”

ฉิงเสี่ยวเยว่เอ่ยตอบ

สำนักระดับสองดาว

เมื่อจ้าวเฟิงได้ยินเช่นนั้น สีหน้าก็พลันแปรเปลี่ยนไป จิตใจสั่นสะท้าน

ในตำนาน สำนักนั้นได้ถูกแบ่งออกเป็นห้าดาวด้วยกัน จากหนึ่งดาวถึงห้าดาว เหมือนกับปีรามิดชนชั้น

แม้กวาดตามองไปทั่วทั้งทวีปบุปผาคราม สำนักที่แข็งแกร่งที่สุดคือลัทธิมารจันทราชาดที่เป็นสำนักหนึ่งดาว และอาจนับได้เป็นระดับหนึ่งดาวครึ่ง

ลัทธิโลหะเลือดที่จ้าวเฟิงอยู่อาจนับได้ว่าเป็นสำนักระดับครึ่งดาว หรือใกล้เคียงหนึ่งดาว

สำหรับสิบสามสำนักพันธมิตร แม้นับรวมกันยังไม่อาจนับได้ว่าเป็นสำนักระดับครึ่งดาวเสียด้วยซ้ำ

แต่จากที่ฉิงเสี่ยวเยว่เอ่ย สำนักที่อยู่เบื้องหลังเหล่าอัจฉริยะต่างแดนที่เข้ามาใน ‘ซากปรักหักพังสือเฉิง’ นั้นเทียบได้กับลัทธิมารจันทราชาด เหนือกว่าระดับของสิบยอดสำนักแห่งทวีปอย่างมาก

ยิ่งไปกว่านั้น สามยอดสำนักที่ว่านั่นยังมีระดับสองดาวเป็นอย่างน้อย

สำนักสองดารา บนทวีปบุปผาครามไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน

ในบรรดาข้อกำหนดจำนวนมากที่จะนับเป็นสำนักระดับสองดาวได้มีข้อหนึ่งที่กล่าวว่าต้องมีราชาใน ‘ขอบเขตปราณเทวะ’ อยู่อย่างน้อยหนึ่งคน

ขอบเขตปราณเทวะนั้นนับเป็นตัวตนที่ไม่อาจจินตนาการได้ของทวีปบุปผาคราม

หรืออีกนัยหนึ่ง

สำนักที่อยู่เบื้องหลังของอัจฉริยะต่างแดนเหล่านี้ส่งคนมาเพียงหนึ่งหรือสองคนก็คงสามารถทำลายทวีปบุปผาครามได้แล้ว

“อัจฉริยะของสำนักพวกนี้ที่เข้ามาในซากปรักหักพังแข็งแกร่งเพียงใด? คนระดับพวกนับเป้นระดับเท่าใด”

จ้าวเฟิงเอ่ยถามหัวข้อที่ละเอียดอ่อน

ภายในซากปรักหักพังสือเฉิง จ้าวเฟิงย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับอัจฉริยะต่างแดนเหล่านี้ได้

“พลังของพวกข้า เมื่อเทียบกับอัจฉริยะที่เข้ามาในซากปรักหักพังนับเป็นระดับปานกลางถึงล่าง ในอัจฉริยะเหล่านี้มีขั้นนายเหนือแท้อยู่สิบคน อัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุดมีพลังฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ระดับสุดยอดเป็นอย่างน้อย กระทั่งอยู่ในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิด แม้พวกเรา สี่อัจฉริยะแห่งตำหนักเหมันต์ร่วมมือกัน บางทีก็อาจรับมือไม่ได้แม้แต่กระบวนท่าเดียว”

ฉิงเสี่ยวเยว่มีท่าทีหดหู่ ยามที่เอ่ยถึงสิบอัจฉริยะขั้นนายเหนือแท้ปรากฏความหวาดกลัวขึ้นอย่างลึกล้ำ

อัจฉริยะขั้นนายเหนือแท้สิบคน

ใจของจ้าวเฟิงหล่นวูบ รู้สึกได้ถึงแรงกดดันอย่างที่ไม่เคยได้รับมาก่อน

ไม่ต้องเอ่ยถึงสามยอดสำนักเลย เพียงแค่อัจฉริยะสี่คนจาก ‘ตำหนักเหมันต์’ ก็ทำให้จ้าวเฟิงไม่อาจเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายได้ตรงๆ แล้ว แม้ห้าผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้แต่เดิมมาก็ยังทำได้เพียงเสมอ

ฉิงเสี่ยวเยว่เป็นเพียงอัจฉริยะที่มีพลังฝึกตนต่ำที่สุดในสี่คนจาก ‘ตำหนักเหมันต์’

สถานการณ์ของ ‘ซากปรักหักพังสือเฉิง’ นั้น จ้าวเฟิงนับว่าพอเข้าใจอยู่บ้างแล้ว

สุดท้ายแล้วก็เหลือเพียงแต่ตัวของซากปรักหักพังสือเฉิง

เจ้าของมรดกในซากปรักหักพังนี้เป็นตัวตนเช่นไรกัน?

“เจ้าของแต่เดิมของซากปรักหักพังสือเฉิงคือเซียนจื่อเย่ พลังฝึกตนของนางนั้นสูงถึง ‘ขอบเขตเทวาเร้นลับ’ อีกเพียงหนึ่งก้าวก็สามารถเข้าสู่ ‘ขอบเขตเซียนสวรรค์’ ได้…”

ฉิงเสี่ยวเยว่เอ่ยถึงตำนานของซากปรักหักพังสือเฉิงอย่างง่ายๆ

จ้าวเฟิงไม่ลนลาน ทว่ากลับทำให้คุกลวงตามั่นคงยิ่งขึ้น ให้เวลาที่ไหลภายในและภายนอกต่างกัน

“มีข่าวว่าเซียนจื่อเย่มีสายเลือดใน ‘รายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณ’ อยู่จางๆ นางตายไปด้วยเหตุผลบางอย่างที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ ซากปรักหักพังนี้เป็นสิ่งที่นางเหลือไว้ แต่แม้ว่าเซียนจื่อเย่จะสิ้นชีพไปแล้ว จิตวิญญาณที่หลงเหลือก็ได้หลอมรวมเข้ากับซากปรักหักพัง เลือกมรดกที่หลงเหลือจากสหายของนาง”

จ้าวเฟิงฟังอย่างตั้งใจ

ความลับจำนวนมากของ ‘ซากปรักหักพังสือเฉิง’ ได้ทำให้ผู้สูงศักดิ์จำนวนมาก กระทั่งราชาในขอบเขตปราณเทวะบางคนยังต้องริษยา

แน่นอนว่า

ตำแหน่งของซากปรักหักพังสือเฉิงได้ถูกสามยอดสำนักครอบครองมานานแล้ว

กลุ่มอำนาจรอบนอกแม้จะริษยา แต่ทว่าแม้จะเป็นผู้สูงศักดิ์ก็ไม่กล้าลงมืออันใด

แต่หากสามยอดสำนักในระดับของ ‘สำนักสองดาว’ นี้ร่วมมือกัน มันจะแข็งแกร่งมากเพียงใดกัน?

สามยอดสำนัก ‘ระดับสองดาว’ นี้สามารถส่งกองกำลังของสำนักสาขาไปไม่กี่คนก็สามารถกวาดล้างทวีปบุปผาครามได้แล้ว

“ในสามยอดสำนักนี้ ตำหนักผาดำมีระดับสองดาว ตำหนักมารจันทรามีระดับสองดาวเกือบครึ่ง ในขณะที่สำนักจิตวิญญาณจันทร์กระจ่างแข็งแกร่งที่สุด มีระดับถึงสองดาวครึ่ง ในพื้นที่รอบนอกนับเป็นตัวตนที่ยิ่งใหญ่”

ยามที่ฉิงเสี่ยวเยว่เอ่ยถึงสามสำนักระดับสองดาวก็ได้ปรากฏท่าทีเคารพและเกลียดชังขึ้นปะปนกัน

ในฐานะของสำนักระดับหนึ่งดาวที่เป็นลูกน้อง ทุกๆ ปี ‘ตำหนักเหมันต์’ จะต้องแบ่งทรัพยากรจำนวนมากให้กับ ‘ตำหนักมารจันทรา’ ที่อยู่เหนือกว่า

พื้นที่รอบนอก?

จ้าวเฟิงรู้สึกว่ากองกำลังในต่างแดนเหล่านี้กับทวีปบุปผาครามนั้นอยู่ห่างกันอย่างมาก

“เจ้าเคยได้ยินคำว่าทวีปหรือไม่?”

จ้าวเฟิงเอ่ยถามเพื่อพิสูจน์

“ทวีป? นั่นนับเป็นดินแดนในตำนาน สำหรับพวกเราแล้วมันห่างไกลยิ่งนัก หลังจากที่มหาทวีปแตกสลาย กลับกลายเป็นเพียงเศษฝุ่นนับหมื่นล้าน หลอมรวมกลายเป็นฟ้า ทุกเศษเสี้ยวต่างเป็นดินแดนเล็กๆ บางส่วนเป็นเพียงดินแดนเกาะเล็กๆ ในบริเวณที่เล็กจ้อย หากจะเอ่ยถึงทวีปก็อาจกล่าวได้ว่าเป็นเพียงกบที่ก้นบ่อน้ำเท่านั้น”

ฉิงเสี่ยวเยว่เอ่ยพร้อมรอยยิ้มเยาะตนเอง

หลังจากที่จ้าวเฟิงได้ยินเช่นนั้นก็พลันมีสีหน้าว่างโล่งไป รับรู้ได้ว่ามีบางอย่างผิดแปลก

ทว่าเรื่องเหล่านี้ เขาไม่ต้องการที่จะเข้าไปข้องเกี่ยวมากนัก

เรื่องเร่งด่วนคือ

จ้าวเฟิงต้องมีชีวิตรอดอยู่ใน ‘ซากปรักหักพังสือเฉิง’ ค้นหาโอกาส และพยายามไปเจอกับจ้าวหยูเฟ่ยและแมวขโมยตัวน้อยให้ได้

ในพื้นที่ภูเขาเล็กๆ แห่งหนึ่ง หลังจากหนึ่งลมหายใจ

ตุบ

ร่างอ้อนแอ้นของฉิงเสี่ยวเยว่เหนื่อยล้าจนไม่อาจทรงตัว ทั่วทั้งร่างเปียกโชกไปด้วยหยาดเหงื่อ ล้มลงที่พื้น

จ้าวเฟิงกระดิกนิ้ว ผนึกปราณจิตวิญญาณของฉิงเสี่ยวเยว่ในเสี้ยววินาที ขัดขวางการต่อต้านของนาง

“เสี่ยวเยว่”

ห่างออกไปได้ปรากฏเสียงคำรามของอัจฉริยะขั้นผู้วิเศษแท้ระดับสูงอีกคน ‘หลี่เซียว’ ขึ้น

หลี่เซียวและฉิงเสี่ยวเยว่ได้แยกกันออกค้นหาในบริเวณนี้

พวกเขาได้ร่วมมือดูแลกันเป็นอย่างดี

แม้ว่าจะเป็นเวลาเพียงหนึ่งลมหายใจ หลี่เซียวก็รับรู้ได้ว่าฉิงเสี่ยวเยว่ไปหายไปจากสายตาของเขา

“ระวังตัวมากกว่าที่คิด”

จ้าวเฟิงพบว่าตนเองได้ดูถูกสี่อัจฉริยะของ ‘ตำหนักเหมันต์’ ไป สำนักของอีกฝ่ายนั้นอย่างน้อยก็เทียบได้กับระดับของลัทธิมารจันทราชาด

แน่นอนว่าเขาไม่รู้ว่าเหตุผลที่ทำให้อัจฉริยะทั้งสี่ของตำหนักเหมันต์ระมัดระวังตัวมากเพียงนี้นั้นเป็นเพราะกำลังระแวงอัจฉริยะจาก ‘ตำหนักผาดำ’ ที่น่ากลัวที่อยู่ไม่ห่างออกไปมากนัก

หลี่เซียวอุทานออกมา รีบทะยานร่างไปยังซอกเล็กๆ นั้น

ที่ฉิงเสี่ยวเย่วหายไปนั้น จริงๆ แล้วเป็นฝีมือการปกปิดของจ้าวเฟิง

“ฉิงเสี่ยวเยว่หายตัวไป ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคนของตำหนักผาดำหรือไม่”

พวกชายหนุ่มตาเหยี่ยวทั้งสองที่อยู่ห่างออกไปเพียงสามารถจัดการ ‘จระเข้สายฟ้าทมิฬ’ ลงได้ กำลังตัดแบ่งของที่ได้มาพลันได้รับข่าวนี้

ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ

อัจฉริยะทั้งสามของตำหนักเหมันต์รีบทะยานร่างตรงไปยังซอกเล็กๆ นั้น

“เป็นขั้นผู้วิเศษแท้ระดับสูงกับผู้วิเศษแท้ระดับสุดยอด คงจะซ่อนไม่ได้นาน”

สีหน้าของจ้าวเฟิงเคร่งเครียด

อัจฉริยะที่เข้ามาในซากปรักหักพังสือเฉิงต่างครอบครองตราคำสั่งมรดก หากเป็นคนจากฝ่ายเดียวกันย่อมสามารถรับรู้ได้

หนีหรือสู้?

ความคิดของจ้าวเฟิงโลดแล่นอย่างรวดเร็ว

การต่อสู้ตรงๆ กับศัตรูสามคน เขาย่อมไม่อาจทำได้

ชายหนุ่มตาเหยี่ยวผู้นั้นนับเป็นอัจฉริยะในระดับของหยูเทียนฮ่าว อีกสองคนมีพลังขั้นผู้วิเศษแท้ระดับสูง เมื่อเทียบกับปิงเว่ยเซียนจื่อที่เป็นผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้แล้วมีแต่จะแข็งแกร่งกว่าไม่ด้อยกว่า

แม้ว่าการหนีจะดูมีความหวังมากกว่า ทว่าก็ยากที่จะยืนยันว่าระหว่างการหลบหนีนั้นจะไม่พบอัจฉริยะต่างแดนที่แข็งแกร่งกว่าคนอื่นๆ

“หืม?”

ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงกวาดมองรอบด้านกะทันหัน พลันปรากฏความคิดหนึ่งขึ้น

“แผนนี้แม้ว่าจะมีความเสี่ยงอยู่บ้าง ทว่าก็น่าลอง หากทำได้สำเร็จย่อมสามารถช่วยเหลือข้าได้มาก”

สายตาของจ้าวเฟิงสั่นระริก ใบหน้าปรากฏความเด็ดขาดขึ้น

เด็กหนุ่มนำร่างเหนื่อยอ่อนของฉิงเสี่ยวเยว่ไปเผชิญหน้ากับสามอัจฉริยะจาก ‘ตำหนักเหมันต์’ ตรงๆ

“เสี่ยวเยว่”

หลี่เซียวที่อยู่ด้านหน้าสุด รวมทั้งพวกชายหนุ่มตาเหยี่ยวทั้งสองพลันอุทานออกมา

“ไอ้ตัวเลวร้าย กล้าจับเสี่ยเยว่เป็นตัวประกัน”

หลี่เซียวทั้งชะงักและกราดเกรี้ยวไปพร้อมกัน อดที่จะตวาดคำรามออกไปไม่ได้ เมื่อเห็นสตรีอันเป็นที่รักถูกจับเป็นตัวประกัน ดวงใจของเขาก็ราวกับถูกเผาไหม้

“หากพวกเจ้ากล้าเข้ามา ข้าจะหักคอนางซะ”

สีหน้าของจ้าวเฟิงไร้ความรู้สึก มือหนึ่งกำรอบลำคอขาวเรียวของ ‘ฉิงเสี่ยวเยว่’

จับฉิงเสี่ยวเยว่เป็นตัวประกัน นี่คือก้าวแรกที่สำคัญที่สุดในแผนของจ้าวเฟิง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!