บทที่ 48 : พลังของดรรชนีดารา
ไม่มีเล่ห์กลหรือวิชาใดๆ มีเพียงแค่แรงเปล่าๆ ผลลัพธ์นั้นถูกตัดสินด้วยกระบวนท่าเดียว
หลายคนมีสีหน้าของความไม่เชื่อถือในสิ่งที่ตนเห็น
ผู้ที่บาดเจ็บคือซินโทง!
ซินโทงนั้นโด่งดังในเรื่องของพละกำลังของเขา เขาคืออันดับหนึ่งในด้านนั้น ต่ำกว่าเพียงสี่ยอดอัจฉริยะเมื่องานชุมนุมครั้งที่แล้วเท่านั้น
ในความคิดของหลายๆ คนนั้น วิชาเสริมกายาของซินโทงนับได้ว่าทรงพลังยิ่ง ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าเขาจะพ่ายแพ้ในเรื่องของพละกำลัง
“ข้าแพ้… หากข้าคิดไม่ผิด เจ้าคงเรียนรู้วิชากำแพงเหล็กและฝึกฝนมันจนเข้าขั้นสุดยอดของระดับสี่เป็นอย่างน้อย” ซินโทงปาดโลหิตที่ไหลย้อยข้างริมฝีปาก
เขารู้ว่าอีกฝ่ายนั้นฝึกฝนวิชาอะไร วิชากำแพงเหล็กนั้นเหนือกว่าวิชากายาสัมฤทธิ์ของเขานัก ทว่าก็ยากต่อการฝึกฝนมากกว่าเช่นกัน
“เจ้าถูกแล้ว”
จ้าวเฟิงไม่ได้แสร้งเอ่ยว่าเขาฝึกฝนวิชาอื่น ทว่าวิชากำแพงเหล็กของเขานั้นไม่ได้อยู่ในขั้นสุดยอดของระดับสี่อีกต่อไป มันถึงระดับห้าเมื่อไม่กี่วันก่อน!
“เมืองประกายอรุณมีคนเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน!?”
“พลังกายของเขาเหนือกว่าซินโทง ในด้านของพลังป้องกันของร่างกาย เขาอาจนับได้ว่ายอดเยี่ยมที่สุดในเมืองแล้ว”
หลังจากที่เอาชนะซินโทง ชื่อเสียงของจ้าวเฟิงก็แพร่กระจายไปทั่วเหล่าผู้สืบทอดรุ่นนี้ราวไฟป่า
หลังจากการประลองจบลง เด็กหนุ่มก็ไม่ได้รั้งอยู่บนลานประลองและกลับไปยังกระโจมของพรรคจ้าวแทน
จ้าวฮันและจ้าวชิมองตรงไปยังร่างของเขาอย่างเคร่งเครียด
จ้าวฮันนั้นตกใจอย่างมาก เขาไม่อาจกระทั่งเอาชนะซินโทงได้ในหนึ่งร้อยกระบวนท่า แต่อีกฝ่ายนั้นกลับถูกเอาชนะได้โดยจ้าวเฟิงในหนึ่งกระบวนท่า ดูเหมือนว่าระยะห่างระหว่างพวกเขานั้นเริ่มจะห่างกันมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว…
แน่นนอนว่าการที่จ้าวเฟิงและซินโทงแข่งกันในด้านพละกำลังนั้น การตัดสินกันในหนึ่งกระบวนท่านั้นนับเป็นเรื่องปกติ ดังนั้นแล้วจ้าวหลินหลงจึงเพียงชะงักไปเล็กๆ ทว่าไม่นานอารมณ์ของเขาก็กลับไปเป็นปกติ
อัจฉริยะคนแล้วคนเล่าออกไปแสดงความสามารถของตน
เวลาครึ่งก้านธูปผ่านพ้นไป
“ฮี่ฮี่ฮี่ ในที่สุดก็ตาข้า…”
จากตระกูลจ้าว เด็กหนุ่มท่าทางเกียจคร้านที่มีพลังฝึกตนขั้นห้าก็ได้ก้าวออกไป! ผู้ที่ออกไปในยามนี้คือจ้าวชิ
ในด้านของอันดับในงานประลองนั้น จ้าวชินั้นกระทั่งครองอันดับสูงกว่าจ้าวเฟิง เด็กหนุ่มผู้เกียจคร้านนั้นไม่เพียงมีพลังฝึกตนสูงกว่า ทว่าทุกวิชาที่เขาฝึกฝนนั้นล้วนเป็นวิชาระดับสูงอีกด้วย
ในเสี้ยววินาที เขาก็ได้เอาชนะอัจฉริยะผู้ฝึกตนขั้นห้าจากตระกูลชิวและตระกูลซิน โดยเฉพาะเมื่อวิชาระดับสุดยอดของเขานั้นทรงพลังยิ่งนัก บัดนี้ชื่อเสียงของจ้าวชิได้ขจรขจายเหนือกว่าจ้าวเฟิงไปแล้ว นับจากนี้เขาสามารถท้าประลองได้เพียงสี่ยอดอัจฉริยะเท่านั้น
ซินหวู่เฮิง ชิวเมิงหยู ชิวชางอี้
“ชิวชางอี้ ครานี้ข้าจะไม่พ่ายแพ้เช่นปีที่แล้วแน่” จ้าวชิค่อนข้างมั่นใจ
“ฮะฮะ! แม้ว่าเจ้าจะพัฒนาขึ้นอย่างมาก ทว่ามันก็ยังคงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเอาชนะข้า” ชิวชางอี้แต่งตัวราวกับบัณฑิตผู้หล่อเหลา
ไม่ช้าทั้งสองก็เขาปะทะกัน เผชิญหน้ากับจ้าวชิ กระทั่งหนึ่งในสี่ยอดอัจฉริยะเช่นชิวชางอี้ก็ต้องเอาจริง นั่นเป็นเพราะทั้งการโจมตี การป้องกัน และความเร็วของอีกฝ่ายนั้นอาจนับได้ว่าไร้ที่ติ ความจริงที่ว่าเขาได้เรียนรู้วิชาระดับสุดยอดยิ่งทำให้จ้าวชินั้นแข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปอีก
จุดเด่นของชิวชางอี้คือความเร็ว
ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ
ในยามค่ำคืน ร่างในอาภรณ์สีขาวโพลนได้โจนทะยานไปบนอากาศราวสายลม
ย่างก้าวขนปักษา! ขนปักษาเมฆาคล้อย!
ท่าเท้าของชิวชางอี้นั้นหนุนเนืองกัน ทำให้พลังของมันนั้นมากยิ่งขึ้นไปอีกมาก
วิชาขนปักษาเมฆาคล้อยของเขานั้นอาจเรียกได้ว่าเข้าขั้นสุดยอด ในตระกูลจ้าวมีคนเพียงผู้เดียวที่ฝึกฝนวิชาเคลื่อนไหวระดับสูงจนเข้าขั้นสุดยอดเช่นนี้
จ้าวชิ่นเอ่ย
“ชิวชางอี้นั้นเป็นผู้ที่รวดเร็วที่สุดในบรรดาผู้สืบทอดรุ่นนี้ ทุกคนที่ประลองกับเขาเมื่อปีที่แล้วต้องเผชิญหน้ากับความปวดเศียรเวียนเกล้า”
ร่างทั้งสองเข้าปะทะกันอย่างรวดเร็ว จ้าวชินั้นเสมอกับอีกฝ่ายในทุกแง่มุม และแม้ความเร็วของเขาจะด้อยกว่า เขาก็ยังคงสามารถยืนหยัดอยู่ได้
ตามกฎนั้น หากการประลองจบลงที่เสมอ ผู้ชมจะเป็นผู้ตัดสินผู้ชนะ หลังจากที่ถกเถียงกันอย่างยาวนาน พวกเขาก็ตัดสินว่าชิวชางอี้เป็นผู้ชนะ เหตุผลนั้นเป็นเพราะว่าเขานั้นได้เปรียบและผู้ตัดสินเป็นคนของตระกูลชิว แม้ว่ามันอาจไม่ยุติธรรมไปบ้าง แต่ก็มิมีผู้ใดเอ่ยค้าน
หลังจากที่ชิวชางอี้ชนะ เขากลับไม่ได้กลับไปยังที่นั่งของตระกูล และมองไปยังจ้าวหยูเฟ่ยแทน
“คุณหนูหยูเฟ่ย”
บนใบหน้าของชิวชางอี้ปรากฏรอยยิ้มบาง เขาไม่แม้กระทั่งหลบซ่อนความต้องการของเขา การที่อยู่เคียงข้างชิวเมิงหยูนั้นเขาย่อมมีภูมิต้านทานสตรีที่ร้อนแรง ทว่าดวงตาของเขากลับเปล่งประกายวูบทันทีที่เขามองเห็นเด็กสาว
หากเขาพลาดดรุณีนางนี้ไป เขาย่อมเสียใจไปชั่วชีวิต
“ชิวชางอี้ ท่านอยากจะประลองกับข้าเช่นนั้นหรือ?” จ้าวหยูเฟ่ยแย้มยิ้ม ไม่มีร่องรอยของความหวาดกลัวบนใบหน้าแม้แต่น้อย
“ไม่! คนที่ข้าต้องการประลองด้วยคือเขา!” นัยน์ตาของชิวชางอี้จับจ้องตรงไปยังผู้ที่นั่งอยู่ข้างเด็กสาว
ความกลับตาลปัตรนี้สร้างความอึ้งให้กับหลายคน
เหตุใดเป็นข้า?
แม้ว่าจ้าวเฟิงจะไม่ได้หวาดกลัวอีกฝ่าย แต่ความงงงันกลับท่วมปริ่ม
“ข้าอยากรู้นักว่าน้องจ้าวผู้นั้นพิเศษอันใดกัน พิเศษจนกระทั่งจ้าวหยูเฟ่ยต้องมาขอบัตรเชิญอีกอัน” ดวงตาของชิวชางอี้จ้องตรงไปยังจ้าวเฟิง
เขารู้ว่ามีโอกาสสูงที่จ้าวหูเฟ่ยจะชื่นชอบจ้าวเฟิง และเพื่อที่จะแทนที่อีกฝ่ายในหัวใจของเด็กสาว เขาต้องเอาชนะเด็กหนุ่มซะ
“อันใดนะ!? หยูเฟ่ยร้องขอบัตรเชิญอีกอันเพียงเพื่อเขา?” ความริษยาพลุ่งพล่านในหัวใจของจ้าวหลินหลง
เขามองจ้าวเฟิงใหม่อย่างช่วยไม่ได้
“ขอบคุณพี่หยูเฟ่ย” จ้าวเฟิงยิ้มอย่างตื้นตันไปทางเด็กสาว
ในที่สุดเขาก็รู้แล้วว่าเขาได้รับบัตรเชิญได้อย่างไร ด้วยการที่จ้าวหลินหลงนั้นไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาแม้แต่น้อยนั้นมีโอกาสสูงที่จะทำให้เขาไม่ได้รับบัตรเชิญ
“เราเป็นสหายที่ดี เพื่อนบ้านที่ยอดเยี่ยม! หากเจ้าต้องการจะขอบคุณข้า เช่นนั้นก็เอาชนะเขา” รอยยิ้มของจ้าวหยูเฟ่ยนั้นราวกับดอกบัวบาน
ในตอนนั้น ความงดงามของนางนั้นเหนือล้ำกว่าความงดงามของสตรีที่งดงามที่สุดแห่งเมืองประกายอรุณ ชิวเมิงหยู
“แน่นอน” จ้าวเฟิงรู้สึกได้ถึงความเร่าร้อนในหัวใจ
เขาไม่ได้สู้เพื่อสิ่งใด แต่การที่จ้าวหยูเฟ่ยไปยังตระกูลชิวเพื่อขอบัตรเชิญอีกอันให้เขานับเป็นเหตุผลให้เขาไม่แพ้
“ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้คุณหนูหยูเฟ่ยผิดหวัง”
ชิวชางอี้นั้นมีทีท่าปกติ ทว่าภายในใจนั้นกลับปรากฏความอิจฉาริษยาเล็กๆ ทว่าผู้ที่อิจฉาอย่างแท้จริงนั้นกลับเป็นจ้าวหลินหลง
“เหตุใด… เจ้าคนตระกูลสาขานี้ขโมยสตรีของข้าไปได้อย่างไร!?” ใบหน้าของจ้าวหลินหลงปรากฏร่องรอยของความเย็นชาในความมืดมิด
ในตอนนั้นเอง ร่างสองร่างก็เข้าปะทะกัน ชุดสีขาวของชิวชางอี้ส่งเสริมความหล่อเหลาของเขา และเขาก็กลายเป็นจุดรวมความสนใจของเหล่าสตรีในทันใด ทว่าความเร็วของคู่ต่อสู่ของเขาก็ไม่นับว่าด้อยเช่นกัน
ย่างก้าวเสี้ยวพริบตา! นภาลอยล่อง!
จ้าวเฟิงแสดงวิชาเคลื่อนไหวของเขา วิชาทั้งสองนั้นมีจุดเริ่มต้นจากที่เดียวกัน กระทั่งตอนนี้ วิชานภาลอยล่องของเด็กหนุ่มก็ได้เข้าสู่ขั้นต่ำ ทว่ามันก็ห่างจากขั้นสูงเพียงแค่ก้าวเดียวเท่านั้น
ทว่าระดับของวิชานี้นั้นไม่อาจแยกแยะได้ ความสามารถของมันกระทั่งเหนือกว่าวิชาระดับสุดยอด ในด้านของความเร็วนั้น จ้าวเฟิงใช้ออกเพียงแค่ 70-80% ก็เทียบเท่ากับชิวชางอี้แล้ว
“คะ… ความเร็วของหมอนี่ไม่ด้อยกว่าข้าได้อย่างไรกัน?” แผ่นหลังของชายหนุ่มชุดขาวเริ่มเปียกโชกไปด้วยหยาดเหงื่อ
เขามักจะเป็นผู้ฝึกตนที่รวดเร็วที่สุดในบรรดาผู้สืบทอดรุ่นนี้ในเมืองประกายอรุณเสมอ ทว่าบัดนี้กลับมีบางคนที่ความเร็วไม่ด้อยกว่าเขาแม้แต่น้อย แต่ความแข็งแกร่งของวิชาเสริมกายาและวิชาโจมตีนั้นเหนือกว่าเขา
“ดรรชนีดารา!” จ้าวเฟิงตวาดขณะที่ชี้นิ้วออก
ฟุ่บ
นิ้วที่ควบรวมพลังภายในทั้งหมดของเขาไว้ที่จุดเดียววาดผ่านท้องนภาสีหมึก
ฉึก!
ชิวชางอี้ไม่แม้กระทั่งมีเวลาหลบดังนั้นจึงทำได้เพียงเผชิญหน้ากับมันโดยตรง ผลลัพธ์นั้นคือการที่แขนทั้งข้างของเขาชาหนึบ นอกจากนั้นยังมีพลังภายในที่แล่นพล่านไปทั่วร่างกายของเขา
ปึก ปึก ปึก
ร่างของเขาถูกกระแทกถอยไปสองสามก้าวก่อนที่จะหยุดลง
“วิชาระดับสุดยอด? ข้าแพ้ได้อย่างไร…?” ชายหนุ่มกัดฟันกรอดขณะที่ใช้ท่าไม้ตายของเขาออก
ปั่ก!
มือที่ราวกับหลอมขึ้นจากบรอนซ์แตะลงที่ไหลของเขาอย่างอ่อนโยน
อันใดกัน!?
ชิวชางอี้รู้สึกได้ว่าร่างของเขาเย็นเยียบ ในขณะที่อีกฝ่ายยืนนิ่ง จ้าวเฟิงได้เห็นช่องว่างของเขาและใช้ความเร็วที่ไม่อาจเทียบในการขยับกายมาด้านหลังเขา
“ข้าแพ้?” ชิวชางอี้ราวกับวิญญาณหลุดลอยขณะที่ยืนนิ่งด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ
ทว่าความเป็นจริงนั้นโหดร้ายนัก ความเร็วของจ้าวเฟิงนั้นไม่ด้อยไปกว่าเขา ทว่าพลังโจมตีนั้นเหนือกว่า เขากระทั่งเรียนรู้วิชาดรรชนีดารา หนึ่งในวิชาระดับสุดยอดที่มีชื่อเสียงมากที่สุด
“ดรรชนีดารา?” หัวใจของจ้าวหลินหลงกระตุก
ดรรชนีดารานั้นคล้ายคลึงกับวิชาดรรชนีเมฆนภา ทั้งสองล้วนเป็นวิชาระดับสุดยอดที่ทรงพลังอย่างมาก
หัวหน้าพรรคจ้าวเทียนชางเคยกล่าวไว้ว่า
“วิชาที่ข้าสอนเจ้าในบัดนี้ ดรรชนีเมฆนภา เป็นหนึ่งในวิชาระดับสุดยอดที่ทรงพลังที่สุดในตระกูลจ้าว ไม่มีผู้ใดสามารถเผชิญหน้ากับเจ้าได้นอกเสียจากคนผู้นั้นจะเรียนรู้วิชาดรรชนีดารา หากเป็นเช่นนั้น เจ้าจะพ่าย”
“เช่นนั้นเหตุใดจึงไม่สอนวิชาดรรชนีดาราให้แก่ข้าแทนเล่า?” จ้าวหลินหลงเอ่ยถามอย่างสงสัย
“วิชาดรรชนีดารานั้นฝึกฝนได้ยากเย็นนัก ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยอาจทำลายอนาคตของคนผู้นั้นได้ และแม้ข้าจะเป็นหัวหน้าพรรค ข้าก็ไม่อาจอนุญาตให้เจ้าเลือกวิชาระดับสุดยอดเพิ่มได้อีก”
ฉากนั้นปรากฏขึ้นในสมองของจ้าวหลินหลง
“เฮ้อ ดูเหมือนว่าดรรชนีดาราของจ้าวเฟิงนั้นจะเป็นเพียงระดับสอง หากมันเป็นระดับสาม คงเป็นเรื่องยากแล้ว…” จ้าวหลินหลงถอนลมหายใจเบาๆ
จากสถานการณ์ในตอนนี้ ดูเหมือนวิชาดรรชนีดาราของจ้าวเฟิงนั้นจะยังไม่ได้เข้าสู่ระดับสาม