Skip to content

King of Gods 481

King Of Gods

บทที่ 481 ขอบเขตแก่นก่อกำเนิด?

เบื้องหน้าปราสาทเก่าแก่

หมอกสีดำหม่นกระเพื่อมไหวขึ้นลง มักจะสลายเป็นช่องว่างและฟื้นฟูอย่างรวดเร็วอยู่บ่อยครั้ง

“ฆ่า”

ยอดฝีมือของพันธมิตรสังหารมังกรมุ่งหน้าจู่โจมไปยังช่องว่างนั้น

นำโดยผู้อาวุโสไป๋ ชางหยูเยว่ และผู้เฒ่าซู่ เบื้องหลังคือยอดฝีมือในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงหลายสิบคนที่คอยสนับสนุน

บริเวณประตูปราสาทที่เต็มไปด้วยม่านหมอก หัวหน้าสาขาป๋าเถี่ยวาด ‘ขวานเหล็กยักษ์’ ของเขาออก พื้นดินแหลกสลายพังทลาย พลิกภูเขาระเบิดแม่น้ำ พลังต่อสู้ไร้เทียมทาน

บริเวณที่หัวหน้าสาขาป๋าเถี่ยยืนอยู่มีจ้าวตำหนักโหยวหลงและชายชราในชุดสีเทาที่มีพลังฝึกตนในขั้นนายเหนือแท้ระดับสูงอยู่ ทั้งสองวาดมือออกไปครั้งแล้วครั้งเล่า จู่โจมปะทะจนชางหยูเยว่และผู้เฒ่าซู่ต้องล่าถอย

หมื่นดาบคืนสู่สามัญ

ผู้อาวุโสไป๋ตวาดเสียงเคร่ง นางวาดแขนเสื้อ ประกายคมดาบสว่างจ้าราวกับวงแหวนขนาดใหญ่ ควบรวมกันเป็นจุดก่อนจะมุ่งตรงไปโจมตีหัวหน้าสาขาป๋าเถี่ยราวกับพายุ

เคร้ง

หัวหน้าสาขาป๋าเถี่ยเหวี่ยงขวานยักษ์ ทำลายประกายคมดาบนั้น ทั้งยังเหลือแรงสะท้อนกลับส่งไปยังร่างของผู้อาวุโสไป๋จนต้องล่าถอย

เมื่อเทียบด้านจำนวนแล้ว แม้จะเป็นในระดับของยอดฝีมือในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง พันธมิตรสังหารมังกรย่อมได้เปรียบ

ทว่า

ฝ่ายปราสาทเก่าแก่ได้รวบรวมยอดฝีมือที่แข็งแกร่งเอาไว้ ไร้ซึ่งความหวาดกลัว นับว่ามีความแข็งแกร่งมากกว่า โดยเฉพาะสามผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ทั้งสาม พลังฝึกตนที่ต่ำที่สุดคือขั้นนายเหนือแท้ระดับสูง ทั้งยังมีความสามารถในการใช้ ‘หนึ่งคนยันกองทัพ’

ปราสาทเก่าแก่นี้มีค่ายกลคอยป้องกันเป็นส่วนสำคัญ ‘หมอกสีดำ’ นั้นเป็นเช่น ‘คูน้ำรอบเมือง’

ผู้ที่มีพลังฝึกตนต่ำกว่าขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงยากที่จะต่อต้านพลังของหมอกสีดำได้ แม้จะสัมผัสโดนเพียงเล็กน้อย เลือดเนื้อก็จะเน่าเปื่อยอย่างรวดเร็ว หลงเหลือไว้เพียงกองกระดูกขาวโพลน กลายเป็นพลังเสริมให้แก่ ‘ค่ายกลกลืนหมื่นวิญญาณ’ แทน

แม้จะเป็นผู้ฝึกตนในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง เมื่ออยู่ในบริเวณหมอกสีดำก็ยังได้รับผลอย่างมาก พลังต่อสู้ลดลงอย่างมาก

ผู้ฝึกตนขั้นมนุษย์แท้ทั่วไป พลังต่อสู้ยามที่อยู่ในหมอกดำด้อยลงกึ่งหนึ่ง

ขั้นผู้วิเศษแท้ด้อยลงราวสองถึงสามส่วน สำหรับขั้นนายเหนือแท้จะได้รับผลกระทบจากค่ายกลน้อยที่สุด พลังต่อสู้ลดลงราวๆ หนึ่งส่วน

เมื่อมองดูฝ่ายป้องกันแล้ว มีคนหลายสิบคนที่มีพลังฝึกตนในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงขึ้นไป ที่น่าเหลือเชื่อคือ คนเหล่านี้แทบจะไม่ได้รับผลจาก ‘หมอกสีดำ’ แม้แต่น้อย

“สมแล้วที่เป็นตัวตนในระดับของเจ้าหอแห่งลัทธิมารจันทราชาด สามารถควบคุมค่ายกลใหญ่โตอย่างค่ายกลกลืนหมื่นวิญญาณนี้ให้ส่งผลต่อเพียงฝ่ายศัตรูได้”

หลินทงที่อยู่ห่างออกไปไม่เข้าร่วมการต่อสู้ ใบหน้าเต็มไปด้วยความชื่นชม

สายเลือดดวงตาของเขาสามารถมองทะลุผ่านหมอกสีดำไปได้อย่างลางๆ สามารถเห็น ‘เจ้าหอโครงกระดูก’ ที่อยู่ลึกในปราสาทเก่าแก่ได้

ฟึ่บ ครืนน

เจ้าหอโครงกระดูกลอยอยู่ใจกลางหมอก เบื้องหน้าคือธงสีดำที่ลอยเคลื่อนไหวไปมาอย่างไม่หยุดยั้ง ควบคุมหมอกสีดำรอบปราสาท

แน่นอนว่าหลินทงระมัดระวังตัวอย่างมาก สายตารีบเบนออกไปจากร่างของอีกฝ่าย ไม่กล้าที่จะจ้องมองเจ้าหอโครงกระดูกตรงๆ เพื่อที่จะไม่ให้ถูกจับได้

ตัวตนในตำนานที่อยู่ในระดับของเจ้าหอ พลังและสติปัญญาของอีกฝ่ายนับว่าไม่อาจคาดเดาได้ การฆ่าผู้ฝึกตนในขั้นผู้วิเศษแท้สักคน บางทีคงสำบากเพียงหนึ่งความคิด

ฟึ่บ เปรี้ยง

ตูม ครืนนน เปรี้ยง

บริเวณใกล้รอยแยก ทั้งสองฝ่ายเข้าต่อสู้กันอย่างรุนแรง

โดยเฉพาะการต่อสู้ของผู้อาวุโสไป๋และหัวหน้าสาขาป๋าเถี่ยที่นับว่าสะท้านฟ้าสะเทือนดิน ในระยะหนึ่งร้อยจ้างโดยรอบกลายเป็นแดนประหาร ผู้ที่มีพลังต่ำกว่าขั้นนายเหนือแท้ เมื่อเข้าใกล้จำต้องทิ้งชีวิตเอาไว้

เคร้ง

หัวหน้าสาขาป๋าเถี่ยวาดขวานเหล็กยักษ์ของตนเองจนกลายเป็น ‘กำแพงขวาน’ ตกเป็นฝ่ายตั้งรับ

“สตรีจากสำนักหมื่นดาบผู้นี้มีพลังต่อสู้แข็งแกร่งนัก หัวหน้าสาขาป๋าเถี่ยกำลังถูกกดดันโดยนาง”

จ้าวตำหนักโหยวหลงและผู้ฝึกตนในขั้นนายเหนือแท้ระดับสูงอีกคนเปลี่ยนสีหน้า การต่อสู้ระหว่างสองผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ระดับสุดยอดกลับไม่ยุติธรรม

อย่างแรกคือผู้อาวุโสไป๋ได้รับผลจาก ‘ค่ายกลกลื่นหมื่นวิญญาณ’ พลังต่อสู้ติดขัดอยู่บ้าง

สอง หัวหน้าสาขาป๋าเถี่ยคือยอดฝีมือที่มีแรงมาก พลังกายของเขานับว่าไร้เทียมทาน ทว่ายังอยู่ในสภาวะตั้งรับ

โดยเฉพาะในข้อที่สอง ผู้อาวุโสไป๋ได้จู่โจมปะทะกับ ‘หัวหน้าสาขาป๋าเถี่ย’ ที่เป็นยอดฝีมือด้านกำลังกายตรงๆ นับว่าเป็นวิธีการต่อสู้ที่ไร้ประโยชน์และเสียเปรียบอย่างมาก ทว่าแม้จะเป็นเช่นนั้น ผู้อาวุโสไป๋ก็ยังคงสามารถไล่ต้อนหัวหน้าสาขาป๋าเถี่ยได้

ในทางกลับกัน การเอาชนะหัวหน้าสาขาป๋าเถี่ยก่อนหน้าของจ้าวเฟิงได้พึ่งพาฝีมือและความรวดเร็ว รวมทั้งลักษณะพลังสายเลือดเสียส่วนมาก

ในยามนั้น หากจ้าวเฟิงเข้าปะทะกับอีกฝ่ายตรงๆ ย่อมไม่อาจเอาชนะ ‘หัวหน้าสาขาป๋าเถี่ย’ ได้ ต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน

ทว่าผู้อาวุโสไป๋ในยามนี้กลับสร้างสถานการณ์เหนือคาดที่พวกเขาไม่ชมชอบขึ้นมา

“ดี ดี… ‘วิชาหมื่นดาบ’ ของเจ้าถูกฝึกฝนไปจนถึงกระบวนท่าที่สิบสี่แล้ว หวังว่าจะสามารถเทียบเคียงกับ ‘หนานเจียนเฟิง’ ในอดีตได้”

น้ำเสียงแหบต่ำลึกลับดังขึ้นจากภายในปราสาทเก่าแก่

“เจ้าคือผู้ใด”

เมื่อผู้อาวุโสไป๋ได้ยินนามของ ‘หนานเจียนเฟิง’ ร่างกายและจิตใจของนางก็สะท้านขึ้นเล็กๆ

“ฮี่ฮี่ หนานเจียนเฟิงนั่นเป็นผู้สูงศักดิ์ในอดีต อายุน้อยกว่าร้อยปีก็สามารถทะลวงเข้าสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดได้ในเวลาไม่นาน กลายเป็นจอมดาบเย่อู๋เสี่ยคนที่สอง เปิ่นซั่ว (本座:เราผู้มีอำนาจ) ร่วมมือกับจ้าวลัทธิมารจันทราชาด จ่ายสิ่งแลกเปลี่ยนไปมหาศาลจึงสามารถฆ่าเขาได้”

ร่างของเจ้าหอโครงกระดูกลอยอยู่บนฟ้าสูงเหนือปราสาท

ในยามนี้ ทุกคนสามารถเห็นรูปลักษณ์ของ ‘เจ้าหอโครงกระดูก’ ได้เลือนราง

“หนานเจียนเฟิงคือท่านปู่ของข้า เป็นเจ้า! เจ้าเศษเดนแห่งลัทธิมารจันทราชาดที่ฆ่าเขานี่เอง” ใบหน้าของผู้อาวุโสไป๋เย็นเยียบ ประกายคมดาบที่กระจัดกระจายไปทั่วท้องฟ้าเต็มไปด้วยจิตสังหาร กลับกลายเป็นเส้นแสงมุ่งหน้าตรงไปจู่โจมเจ้าหอโครงกระดูก

เจ้าหอโครงกระดูกแสยะยิ้มเจ้าเล่ห์ ธงสีดำเบื้องหน้าขยับวูบ หมอกด้านล่างเคลื่อนไหวเป็นสายยาวระเบิดออกกลายเป็นเปลวเพลิงสีม่วง

ฟึ่บ เปรี้ยง

ประกายคมดาบที่ผู้อาวุโสไป๋ใช้ออกได้ถูกทำลายลงโดยเจ้าหอโครงกระดูก

“ขวานไร้นภา”

หัวหน้าสาขาป๋าเถี่ยสับขวานลง ทำให้ผู้อาวุโสไป๋กระเด็นถอยออกไปนับสิบจ้าง

ฉัวะ

อาภรณ์สีขาวของผู้อาวุโสไป๋ฉีกขาด เผยให้เห็นผิวกายขาวราวหิมะที่ปรากฏรอยเลือดเป็นทางยาว ร่างบอบบางส่ายเซไปมา

“ท่านอาจารย์”

ชางหยูเยว่อุทานออกมา

“จิจิ… อยู่ในค่ายกลกลืนหมื่นวิญญาณของข้ายังกล้าที่จะแบ่งความสนใจอีก”

เจ้าหอโครงกระดูกเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย

เขาวาดธงสีดำเช่นก่อนหน้า หมอกสีดำรอบปราสาทเริ่มขยับเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว สิ่งที่แปลกประหลาดคือ เจ้าหอโครงกระดูกทำเพียงลอยอยู่เหนือปราสาท ชักนำสถานการณ์ ไม่ได้ไล่ล่าผู้อาวุโสไป๋และคนอื่นๆ อย่างสุดตัว

“สถานการณ์สำหรับฝ่ายพันธมิตรสังหารมังกรดูไม่ดีนัก ฝ่ายลัทธิมารจันทราชาดมีเจ้าหอคอยจับตามอง ไม่รู้ว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่”

หลินทงจ้องมองไปยังสงครามของทั้งสองฝ่าย ทว่ากลับไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว

แม้ว่าเขาจะเป็นข้ารับใช้ของจ้าวเฟิง ทว่าก็ไม่มีผู้ใดในฝ่ายพันธมิตรสังหารมังกรที่สามารถสั่งเขาได้

เบื้องหน้าปราสาทเก่าแก่

ความเผอเรอของผู้อาวุโสไป๋ทำให้นางได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย ทว่านางไม่ได้หวาดกลัว เริ่มตอบโต้หัวหน้าสาขาป๋าเถี่ยอย่างดุดัน ในยามนี้ พลังต่อสู้ของนางถดถอยลงอย่างชัดเจน ลำบากกว่าก่อนหน้าที่ค่อนข้างสบายๆ อยู่มาก

“ช่องว่างของหมอกเล็กลงแล้ว”

ผู้เฒ่าซู่สนับสนุนการต่อสู้อย่างยากลำบาก เข้าปะทะกับชายชราในชุดสีเทาที่มีพลังฝึกตนในขั้นนายเหนือแท้ระดับสูงครั้งแล้วครั้งเล่า

เปรี้ยง ครืนนน

เมื่อม่านหมอกแห่งความตายเบื้องหน้าปราสาทเริ่มฟื้นฟู มันก็ได้เริ่มสะท้อนส่งผลไปยังผู้คน

“ทุกคน เตรียมถอย”

ผู้เฒ่าซู่เปลี่ยนสีหน้าในที่สุด

โอกาสทองเมื่อครู่ พันธมิตรสังหารมังกรไม่อาจที่จะโจมตีคว้าฉวยช่องว่างของค่ายกลไว้ได้ เมื่อค่ายกลฟื้นฟูเสร็จ โอกาสย่อมมีน้อยลง ไม่ต้องเอ่ยเลยว่าด้านบนปราสาทเก่าแก่นั้นยังมี ‘เจ้าหอโครงกระดูก’ ลอยอยู่ แรงกดดันที่ราวกับมีภูเขาที่ไม่อาจมองเห็นกดทับได้ทำให้ผู้คนหายใจติดขัด

เมื่อเจ้าหอโครงกระดูกลงมือด้วยตนเอง ผลที่ตามมาก็ยากจะคาดเดายิ่งนัก

“ฮี่ฮี่ ช้าไปแล้ว”

ธงดำในมือของเจ้าหอโครงกระดูกวาดออกควบรวมหมอกสีดำ ลอยไปปิดบังช่องว่างของค่ายกล

ครืนนน

หมอกที่ระเบิดออกนั้นได้ควบรวมเปลี่ยนแปลงเป็น ‘เปลวเพลิงสีม่วงแดง’ สร้างกำแพงรูปสามเหลี่ยมปิรามิดขึ้นขัดขวางช่องทางหลบหนีของผู้คน

ไม่ดีแล้ว

คนระดับสูงของพันธมิตรสังหารมังกรมองย้อนกลับไป เห็นเพียงกำแพงสามเหลี่ยมที่ป้องกันทางหนีของพวกเขาเอาไว้ เหนือศีรษะของทุกคน ธงสีดำได้หมุนวนเอาม่านหมอกหนาแน่นที่ระเบิดออกเป็นเพลิงปราณ เมื่อเทียบกับหมอกปกติแล้วยังแข็งแกร่งกว่านับสิบเท่า

“ไม่มีทางหนี”

ท่าทีของคนระดับสูงจำนวนมากของพันธมิตรสังหารมังกรราวกับตายไปแล้วหลายปี หมอกที่ธงสีดำเหนือศีรษะสร้างขึ้นมานั้น หากผู้ที่มีพลังฝึกตนต่ำกว่าขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงสัมผัส ร่างกายก็จะกลับกลายเป็นแอ่งเลือดไปในเสี้ยววินาที

เบื้องหลังกำแพงสามมิตินั้น ยังมีกลิ่นอายที่น่าหวาดกลัวยิ่งกว่าจากวิชาที่เจ้าหอโครงกระดูกใช้ออกด้วยตนเอง มันคือ ‘เปลวเพลิงเปิ่นหมิง’

“เจ้าไม่ได้อยู่ในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิด”

ผู้อาวุโสไป๋ตื่นตะลึงจนใบหน้าขาวซีด แทบจะหมดสิ้นความหวัง

“คนระดับสูงของพันธมิตรสังหารมังกรถูกจับในครั้งเดียว นี่คือเป้าหมายของเจ้าหอโครงกระดูก”

หลินทงที่เฝ้ามองอยู่ห่างออกไปเผยสีหน้าเข้าใจออกมา

ในฐานะของคนระดับสูงของลัทธิมารจันทราชาดในอดีต สำหรับพลังฝึกตนของเจ้าหอโครงกระดูก แม้ว่าจะมีพลังฝึกตนถึงขอบเขตแก่นก่อกำเนิดก็ไม่น่าประหลาดใจ

“ในอดีต เปิ่นซั่วเป็นหนึ่งในเจ้าหอทั้งสิบสองของลัทธิมารจันทราชาด แม้ว่าเปิ่นซั่วจะเพิ่งฟื้นคืนสติได้เพียงไม่กี่ปี ยังไม่ได้ฟื้นฟูไอสวรรค์ แต่ก็ยังห่างไกลเกินกว่าที่ผู้ฝึกตนขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดจะสามารถเทียบได้”

เจ้าหอโครงกระดูกลอยอยู่กลางอากาศ ควบคุมสถานการณ์โดยรวมด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม แผนของเขาคือการเหวี่ยงแหจับเอาคนระดับสูงของพันธมิตรสังหารมังกรไว้ในครั้งเดียว

ในยามนี้

ฝ่ายพันธมิตรสังหารมังกร รวมทั้งผู้อาวุโสไป๋ได้ตกสู่สถานการณ์เข้าตาจน

หากจะทะลวงฝ่าไปข้างหน้าก็ไร้ซึ่งโอกาสชนะ ไร้ซึ่งอนาคต มีเพียงความตายที่คืบคลานเข้ามา สิ่งที่ทำให้ผู้คนไม่อาจคาดเดาได้คือ เจ้าหอโครงกระดูกทำเพียงลอยอยู่กลางอากาศ ยังคงไม่ลงมือจู่โจม

เขากำลังมองหา

“ขาดไปคนหนึ่ง…”

เปลวเพลิงสีแดงที่พลิ้วไหวในเบ้าตาของเจ้าหอโครงกระดูกจ้องมองไปยังดวงตาของ ‘เจ้าตำหนักโหยวหลง’

“ท่านเจ้าหอมีคำแนะนำอันใดหรือไม่?”

จ้าวตำหนักโหยวหลงผวาไปกับสายตาของอีกฝ่าย อย่าได้บอกเชียวว่าบนร่างของเขามีบางอย่างผิดปกติ?

ห่างออกไป หลินทงมองไปยังพันธมิตรสังหารมังกรที่ก้าวเข้าใกล้สถานการณ์สิ้นหวังไปเรื่อยๆ บนใบหน้าไร้ซึ่งความสงสารเห็นใจ

“ควรจะบอกจ้าวเฟิงหรือไม่?”

หลินทงขัดแย้งอยู่ในใจ

เขายังคงจดจำถึงคำพูดที่จ้าวเฟิงบอกกับตนเองก่อนออกมาได้ว่า: “เจ้าไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมการต่อสู้ แต่หากฝ่ายพันธมิตรสังหารมังกรตกอยู่ในวิกฤต เจ้าต้องกระตุ้นการเคลื่อนไหวของเมล็ดใจทมิฬในจิตใจของเจ้า ข้าจะรับรู้ได้และมาช่วยเหลือ”

เมล็ดใจทมิฬคือตราพิเศษที่ถูกตราไว้ในดวงวิญญาณของหลินทง

ตรานี้ได้ถูกตราโดยดวงตาเทพเจ้า แต่เดิมก็ไม่ได้ปิดบังร่องรอย มุ่งเป้าในการข่มขู่ควบคุม

ในขณะที่หลินทงกำลังขัดแย้งลังเล

เมี้ยว เมี้ยว

แมวขโมยสีเทาเงินได้ปรากฏขึ้นที่ไหล่ของหลินทงเมื่อใดไม่มีผู้ใดล่วงรู้ มันทาบกรงเล็บของมันลงไปบนคอเรียวของชายหนุ่มพร้อมไล้อย่างแผ่วเบา

ร่างของหลินทงแข็งทื่อ แย้มยิ้มขมขื่นออกมา ตัวเขานับว่าประเมินจ้าวเฟิงต่ำไปโดยแท้ อีกฝ่ายถึงขั้นมอบ ‘หน้าที่’ สำคัญเช่นนี้ให้ตัวเขา มีหรือจะไม่มีสิ่งใดรองรับเอาไว้

เขาไม่ลังเลอีกต่อไป ใช้พลังดวงตากระตุ้น ‘เมล็ดใจทมิฬ’ ในร่างทันที

หืม?

เจ้าหอโครงกระดูกพลันรับรู้ได้ มองตรงไปยังทิศทางของหลินทงราวกับรับรู้บางอย่าง เปลวเพลิงในเบ้าตาส่องประกายระริก

ท้องฟ้าเหนือปราสาทพลันปรากฏแรงกดดันมหาศาลที่แข็งแกร่งในขั้นนายเหนือแท้ขึ้นมา ทุกคนรับรู้ได้เพียงความหวาดกลัว แรงกดดันนั้นทำให้พวกเขารู้สึกหายใจไม่ออก

“ผู้ใดกัน?”

เจ้าหอโครงกระดูกแหงนศีรษะ หัวใจกระตุกวูบ

ท้องนภาเหนือศีรษะของเขาได้ปรากฏดวงตาขนาดยักษ์สีน้ำเงินส่องประกายราวผลึก มันราวกับเป็นหนึ่งเดียวกับฟ้าดิน มองลงมาด้วยสายตาไร้ความรู้สึก

“นั่นมัน”

ยอดฝีมือจำนวนมากของพันธมิตรสังหารมังกรด้านล่างเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง ความรู้สึกที่อยากจะค้อมคำนับปรากฏขึ้นในใจ

มาอีกแล้ว จ้าวตำหนักโหยวหลงร่างสั่นสะท้าน ชัดเจนว่าสิ่งนี้คือเงามืดในจิตใจของเขา

“จิจิ.. ดูเหมือนว่าบางสิ่งที่เปิ่นซั่วเห็นบนร่างของโหยวหลงจะมีเจ้าอยู่เบื้องหลังสินะ”

เจ้าหอโครงกระดูกรู้สึกตื่นตะลึงกับการมาถึงของ ‘เนตรสวรรค์’ ทว่ากลับไม่ได้ประหลาดใจมากนัก

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!