บทที่ 482 ที่แท้เป็นเจ้านี่เอง!
ท้องฟ้าเหนือปราสาทเก่าแก่ที่เต็มไปด้วยม่านหมอกสีทมิฬโอบล้อม
‘ร่างโครงกระดูก’ สีทองเงินเผชิญหน้ากับ ‘เนตรสวรรค์’ ที่ครอบครองมุมมองสูงกว่าเป็นระยะเวลาสั้นๆ
รูปลักษณ์ของเจ้าหอโครงกระดูกปรากฏให้เห็นในเงาหมอกเพียงเลือนราง เปลวเพลิงสีแดงสดในเบ้าตาลึกโบ๋ปรากฏขึ้นอย่างพร่ามัว
เขามองไปยัง ‘เนตรสวรรค์’ ที่เหนือศีรษะอย่างเฉยเมยไร้ซึ่งความหวาดกลัว
เนตรสวรรค์บนฟากฟ้าจ้องมองไปยังเจ้าหอโครงกระดูกอย่างเย็นชาอยู่ราวๆ 1-2 ลมหายใจก่อนที่เสียงเสียงหนึ่งจะดังขึ้นในอากาศ: “ที่แท้เป็นเจ้านี่เอง!”
ที่แท้เป็นเจ้านี่เอง!
เสียงนั้นดังก้องไปทั่วจิตใจของผู้คน สร้างความวุ่นวายเล็กๆ ขึ้น
“นี่มันสถานการณ์อันใดกัน! อย่าได้บอกข้าเชียวว่าจ้าวเฟิงรู้จักเจ้าหอโครงกระดูกเมื่อนานมาแล้ว?”
“นั่นไม่ถูกต้อง เจ้าหอโครงกระดูกคือยักษ์ใหญ่แห่งลัทธิมารจันทราชาดเมื่อหลายร้อยปีก่อน จ้าวเฟิงเพิ่งเกิดในยุคนี้ อายุยังน้อยกว่ายี่สิบปีเสียอีก”
ร่างของทั้งมิตรและศัตรูสั่นสะท้าน รู้สึกเคลือบแคลงสงสัยอย่างมาก
ผู้อาวุโสไป๋ ผู้เฒ่าซู่ และคนอื่นๆ สามารถถอนหายใจอย่างโล่งอกได้ในที่สุด
เมื่อมองไปยังฝั่งลัทธิมารจันทราชาด หัวหน้าสาขาป๋าเถี่ยแสดงความหวาดกลัวออกมาโดยสัญชาตญาณ ใบหน้าของจ้าวตำหนักโหยวหลงเต็มไปด้วยความหวาดผวาและกระวนกระวาย ท่าทีการกระทำของคนเหล่านี้ได้ลดความกดดันให้ทางฝ่ายของพันธมิตรสังหารมังกร
ในยามนี้ เมื่อมองไปยัง ‘เนตรสวรรค์’ ที่อยู่บนท้องนภา จิตใจของผู้อาวุโสไป๋ก็สั่นสะท้าน รับรู้ได้ถึงแรงกดดันมหาศาล อย่าได้บอกข้าเชียวว่าระดับพลังวิญญาณของจ้าวเฟิงได้เหนือกว่าตัวนางไปแล้ว?
สตินึกคิดของจ้าวเฟิงล่องลอยอยู่ท่ามกลางฟ้าสูง
“การวิวัฒนาการครั้งนี้ของดวงตาเทพเจ้าทำให้สามารถดูดกลืนพลังของแก่นแท้จิตวิญญาณพฤกษาได้จนหมดสิ้น วิญญาณของข้าได้พัฒนาขึ้นไปอีกระดับ”
จ้าวเฟิงรับรู้ถึงความรู้สึกที่แตกต่างออกไปจากอดีต
ในอดีต การใช้ ‘เนตรสวรรค์’ เขาจะรู้สึกว่าพลังดวงตาถูกใช้ไปอย่างรวดเร็ว ไม่อาจที่จะกระทำการได้อย่างเต็มที่ รู้สึกราวกับว่าจะสลายหายไปได้ตลอดเวลา
ทว่าเนตรสวรรค์ในยามนี้มั่นคงกว่าแต่ก่อน เข้าใกล้ความสมจริง
จ้าวเฟิงกระทั่งสามารถส่งเสียงผ่านจิตด้วยเนตรสวรรค์ได้
“เจ้ารู้จักข้า? อย่าได้บอกข้าเชียวว่าเป็น…”
เปลวเพลิงสีแดงก่ำในเบ้าตาของเจ้าหอโครงกระดูกส่องประกายวูบ ราวกับนึกถึงบางอย่างขึ้นได้
ใช่แล้ว จ้าวเฟิงและเจ้าหอโครงกระดูกเคยพบกันมาก่อนจริงๆ
ในอดีต ในวิหารโบราณแห่งป่าเมฆาคล้อย ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงได้ตรวจสอบพบกับ ‘ร่างโครงกระดูก’ ที่เพิ่งจะฟื้นคืนสติและอ่อนแออย่างมาก
ในยามนั้น จ้าวเฟิงเองก็หวาดกลัว ทั้งยังจดจำถึงอีกฝ่ายได้ขึ้นใจ โดยเฉพาะ ‘ตราผี’ ที่เจ้าหอโครงกระดูกตราไว้บนร่างของเขาอย่างยาวนาน ความรู้สึกน่าขยะแขยงนั้นยังไม่จางหายไปจากจิตใจของเขา
หลังจากนั้น จ้าวเฟิงจึงยอมจ่ายสิ่งแลกเปลี่ยนมหาศาล กระทั่งยอมให้พลังฝึกตนถดถอยลง ดึงความช่วยเหลือจากพลังคำสาปของ ‘แดนต้องห้ามร้อยหลุมศพ’ เพื่อทำลายตราผี
“จิจิ… น่าสนใจ บางทีนี่อาจเป็นโชคชะตา หลังจากผ่านมาหลายปี สุดท้ายแล้วเจ้าก็มาอยู่ตรงหน้าข้า” เจ้าหอโครงกระดูกแย้มยิ้มแปลกประหลาด นัยน์ตาส่องประกายเต็มไปด้วยจิตสังหาร
ฟึ่บ!
ร่างของเจ้าหอโครงกระดูกพลันจางหายไป ผู้คนมองเห็นเพียงแค่เงาพร่าเลือนเท่านั้น
“คุกขังวิญญาณ!”
เจ้าหอโครงกระดูกตวาดออกมา
ฟึ่บ
กลุ่มเปลวเพลิงได้ก่อตัวเป็นร่างของกลุ่มภูตผีสี่กลุ่ม แต่ล่ะกลุ่มกินพื้นที่ราวหนึ่งจ้าง ส่งกลิ่นอายน่าพรั่นพรึงทิ่มแทงเข้าไปในจิตใจ
ครืนนน!
เปลวเพลิงแห่งความชั่วร้ายทั้งสี่กระจายตัวออก ส่องประกายสีเขียวหม่น โอบล้อมกลายเป็นคุกรอบ ‘เนตรสวรรค์’ พอดี
“ไม่ดีแล้ว!”
คนระดับสูงบางคนของพันธมิตรสังหารมังกรอดที่จะอุทานออกมาไม่ได้
เจ้าหอโครงกระดูกนั่นราวกับเตรียมพร้อมตั้งรับไว้ก่อนหน้า ใช้วิชาแปลกประหลาดบางอย่างคอยสังเกต ‘เนตรสวรรค์’ เอาไว้
กลางเวหา
กลิ่นอายของเปลวเพลิงทั้งสี่สายพุ่งทะยานขึ้นสูงอย่างน่าหวาดหวั่น แต่ล่ะส่วนล้วนมีกลิ่นอายเทียบเท่าผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้
พวกมันไม่มีเลือดเนื้อ เป็นเพียงวิญญาณ
บางทีเมื่อเทียบด้านการโจมตีทางกายภาพแล้ว กลุ่มเปลวเพลิงทั้งสี่อาจจะด้อยกว่ากระทั่งผู้ฝึกตนในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงทั่วไป ทว่าในด้านของพลังจิตแล้ว พวกมันนับว่ายอดเยี่ยม
ในยามนี้ กลุ่มเปลวเพลิงทั้งสี่พุ่งทะยานเป็นเส้นตรงสร้างขึ้นเป็นที่คุมขังขนาดยักษ์กลางอากาศ ครอบคลุม ‘เนตรสวรรค์’ เอาไว้พอดี
“จิจิ… ‘คุกขังวิญญาณ’ นี้มีไว้เพื่อการโจมตีร่างวิญญาณโดยเฉพาะ มีความสามารถในการเข่นฆ่าสูง หากเป็นวิญญาณสัมภเวสีทั่วไป เมื่อถูกมันขังแล้วยากจะหลบหนีนับว่าไม่ต่างจากการที่ต้องการไขว่คว้าสวรรค์”
เจ้าหอโครงกระดูกแย้มยิ้มแปลกประหลาด
เปลวเพลิงสีสดในเบ้าตาของเขาควบรวมกัน แปรเปลี่ยนเป็นเปลวเพลิงสีแดงมุ่งตรงไปยังคุกขังวิญญาณอย่างต่อเนื่อง
“เปิ่นซั่วจะทำให้เจ้ามาได้แต่ไม่อาจหวนคืน!”
น้ำเสียงแหบต่ำดังก้องไปทั่วทั้งปราสาทเก่าแก่
‘เนตรสวรรค์’ หยุดนิ่งอยู่ท่ามกลางที่คุมขังกลางอากาศ
เปลวเพลิงสีแดงใสที่โอบล้อมเป็นที่คุมขังอยู่กลางอากาศจากเจ้าหอโครงกระดูกได้หดตัวเข้าหา ‘เนตรสวรรค์’ อย่างรวดเร็ว
“สายเลือดดวงตาของจ้าวเฟิงนับว่าทำให้คนต้องชื่นชมโดยแท้ ทว่าน่าเสียดายที่เจ้าหอโครงกระดูกนี้เป็นยอดฝีมือที่เชี่ยวชาญใน ‘ศาสตร์แห่งวิญญาณ’ ในช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์ยังเป็นถึงผู้สูงศักดิ์”
ห่างออกไป หลินทงที่กำลังเฝ้ามองหมากกระดานนี้อย่างสงบนิ่งก็เผยท่าทีเศร้าหมองออกมา แม้ว่าเขาจะยอมศิโรราบให้แก่จ้าวเฟิงและชื่นชมอีกฝ่ายในด้านพลังในการควบคุม ทว่าในยามนี้ หลินทงต้องยอมรับว่าจ้าวเฟิงได้เดินเตะตะปูเข้าแล้ว
“เจ้าหอโครงกระดูกนี้มิคาดว่าจะมีความรู้ในด้านของศาสตร์แห่งวิญญาณอยู่บ้างเล็กน้อย”
สตินึกคิดของจ้าวเฟิงลอยอยู่กลางอากาศท่ามกลางคุกที่ให้ความรู้สึกเย็นเยียบหดหู่ ไม่สบายใจ โดยเฉพาะเปลวเพลิงสีแดงที่มีพลังในการแทรกซึมเข้าไปในดวงวิญญาณอย่างน่าพรั่นพรึง ในสถานการณ์นี้ จ้าวเฟิงก็ยังไม่ตื่นตระหนก ราวกับว่าตนเองไม่ได้เสียเปรียบอยู่แม้แต่น้อย
“ท่านเจ้าหอแข็งแกร่งไร้เทียมทาน!”
จ้าวตำหนักโหยวหลงอดที่จะยินดีไม่ได้ รู้สึกราวกับปลดภาระหนักอึ้งออกจากตัว ก่อนหน้าที่พวกเขาสู้กันทำให้จ้าวตำหนักโหยวหลงรู้สึกหวาดกลัวจ้าวเฟิง ในยามนี้ เนตรสวรรค์ที่เพิ่งจะมาถึงได้ทำให้ผู้ที่มีพลังฝึกตนถึงขั้นนายเหนือแท้ระดับสูงอย่างเขาต้องรู้สึกหวาดผวากระวนกระวาย
“จ้าวเฟิง! ไม่ว่าเจ้าจะมีพรสวรรค์ไร้เทียมทานเพียงใด ถึงจะได้รับการเรียกขานเป็นผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ วันนี้ ในยามนี้ เมื่อเผชิญหน้ากับยักษ์ใหญ่ในระดับของเจ้าหอแห่งลัทธิมารจันทราชาด เจ้าก็นับว่าโชคร้ายแล้ว”
จ้าวตำหนักโหยวหลงและคนอื่นๆ หัวใจวูบโหวง
สถานการณ์ในยามนี้ได้ทำให้ฝ่ายลัทธิมารจันทราชาดรู้สึกตื่นเต้น
ตั้งแต่ที่เด็กนั่นกลับมายังแคว้นเมฆาก็ราวกับเทพเจ้าผู้เหนือทุกคน ไล่ต้อนลัทธิมารจันทราชาดจนมาถึงยังสถานที่ห่างไกลนี้
ในยามนี้ อีกฝ่ายที่เป็นเช่นฝันร้ายเงามืดในจิตใจจะถูกทำลายจนสลายหายไปในที่สุด
“ไอ้หนู! จะใช้เพียงแค่วิชาข้ามผ่านระยะทางมาเช่นนี้ต้องการที่จะก่อกวนแผนของเปิ่นซั่ว ก่อนที่จะตาย เจ้ามีสิ่งใดจะสั่งเสียหรือไม่”
เจ้าหอโครงกระดูกแย้มยิ้ม ท่าทีพึงพอใจ
การวางแผนชั้นแล้วชั้นเล่าของเขาเพื่อที่จะจับคนระดับสูงของพันธมิตรสังหารมังกรในครั้งเดียว เขาย่อมไม่ลืมเลือนจ้าวเฟิง
‘ตราเนตรแห่งเทพ’ บนร่างของจ้าวตำหนักโหยวหลง เจ้าหอโครงกระดูกได้ค้นพบอยู่ก่อนแล้ว ทว่าไม่ได้ลงมือทำลายมัน
เพียงแต่
เนตรสววรค์ที่ลอยสูงอยู่บนฟ้ายังคงมีท่าทีเฉยเมย เผยความรู้สึกครุ่นคิดออกมาเล็กๆ
“หืม?”
เจ้าหอโครงกระดูกพลันรับรู้ถึงบางอย่างได้ ทันใดนั้น เนตรสวรรค์ไร้ซึ่งการดิ้นรน ราวกับไร้ซึ่งความข้องเกี่ยวกับเรื่องทางโลกอย่าง ‘คุกขังวิญญาณ’ ดวงตาสีเขียวส่องประกายวูบ
ฟึ่บ!
‘เนตรสวรรค์’ ที่ลอยอยู่กลางอากาศพลันส่องประกายสีเขียวเย็นเยียบมุ่งตรงลงไปยังเบื้องล่าง
ฉัวะ! ฉัวะ!
คมมีดสายลมสีเขียวสว่างราวกับคมมีดอากาศที่มีความเร็วราวสายฟ้าฟาด มุ่งตรงไปยังประตูปราสาทอย่างรวดเร็ว
“อ๊ากกก”
สองร่างใหญ่โตใกล้ประตูปราสาทปรากฎหยาดเลือดสาดกระจายออกจากร่าง
ตุบ! ตุบ!
ร่างทั้งสองถูกตัดออกเป็นสองส่วน สร้างบ่อน้ำเลือดขึ้น
“อันใดกัน… เป็นไปได้อย่างไร…”
ร่างของจ้าวตำหนักโหยวหลงถูกผ่าครึ่ง ใบหน้ายังคงเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและไม่เต็มใจ
ทว่าผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ระดับสูงอีกคน บนใบหน้ายังคงเต็มไปด้วยความสับสนงุนงง เขายังไม่ทันเห็นวิชาดวงตาของจ้าวเฟิงอย่างชัดเจนก็ตายตกอย่างไร้ความยุติธรรมเสียก่อนแล้ว
การเปลี่ยนแปลงที่น่าตื่นตะลึงนี้ได้ทำให้ผู้คนสะท้านเฮือก คนหลายคนพลันสูดลมหายใจเย็นเยียบเข้าไป
“เสี้ยววินาทีก็ฆ่าผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ระดับสูงสองคนได้? พลังสายเลือดดวงตาของจ้าวเฟิงผู้นี้มิคาดว่าจะพัฒนาขึ้นถึงระดับนี้”
บนใบหน้าของหลินทงเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง เบิกตากว้างจ้องมองไปยังภาพเบื้องหน้า
ท้องฟ้าเหนือปราสาท สีหน้าของเจ้าหอโครงกระดูกแข็งค้าง เอ่ยขึ้นอย่างติดขัดว่า “เพิกเฉยต่อ ‘คุกขังวิญญาณ’ ไปเช่นนี้ได้อย่างไร? ดวงตานั่นอย่าได้บอกข้าเชียวว่ามันมิใช่รูปลักษณ์หนึ่งของดวงวิญญาณ?”
ในเสี้ยววินาที เนตรสวรรค์ก็ฆ่าผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ไปแล้วสองคน ทำให้ตัวเขาต้องสั่นสะท้าน ทว่าสิ่งที่ทำให้เขาไร้ซึ่งหนทางคือ ‘เนตรสวรรค์’ นั่นมิรู้ว่าถูกสร้างขึ้นจากสิ่งใด?
ดวงตานั่นราวกับเป็นหนึ่งเดียวกับฟ้าดิน ราวกับเป็นเพียง ‘ภาพ’ ที่ข้ามผ่านระยะทางมา ตัวตนที่แท้จริงของมันไม่ได้อยู่ในบริเวณเดียวกัน
เพลิงวายุอัสนีเนตรเทพเจ้า!
ดวงตาใหญ่โตกลางอากาศพลันกลับกลายเป็นสีเขียวคราม ส่องประกายสร้างเปลวเพลิงวายุอัสนีสีเขียวเข้มขึ้น
ตูม!
หนึ่งในสี่เพลิงวิญญาณระเบิดออกในเสี้ยววินาทีจากการโจมตีของดวงตา มันส่งเสียงกรีดร้องโหยหวนออกมา ไม่เพียงเท่านั้น หลังจากที่การโจมตีนั้นทะลวงผ่านเปลวเพลิงส่วนหนึ่งไป มันยังลามไปยังกายเนื้อที่อยู่บริเวณปราสาทเก่าแก่ด้วย
ตูม ครืนนน
ส่วนลึกส่วนหนึ่งของปราสาทเก่าแก่ได้ระเบิดขึ้น
ในเวลาเดียวกัน ‘ค่ายกลกลืนหมื่นวิญญาณ’ ที่ครอบคลุมอยู่รอบปราสาทเก่าแก่ก็สั่นสะท้านเล็กๆ พร้อมหม่นแสงลง แสดงให้เห็นถึงความไม่มั่นคงอย่างมาก
“ไม่ดีแล้ว! แกนกลางค่ายกลถูกทำลาย”
เจ้าหอโครงกระดูกเผยความตื่นตะลึงออกมาในที่สุด
เมื่อ ‘ค่ายกลกลืนหมื่นวิญญาณ’ พังลง เขาก็ต้องเผชิญหน้ากับการรุมโจมตีของกองทัพยอดฝีมือหลายพันคนจากพันธมิตรสังหารมังกร นอกจากนั้น ฐานที่มั่นเล็กๆ ของหอแห่งลัทธิมารจันทราชาดที่เขาใช้เวลาหลายปีสร้างขึ้นก็จะถูกทำลายลง
ฟึ่บ!
เมื่อทำทั้งหมดเสร็จสิ้น ‘เนตรสวรรค์’ ก็หม่นแสงลงเล็กน้อย จางหายไปจากฟากฟ้า
เจ้าหอโครงกระดูกถอนหายใจโล่งอก โชคดีที่การใช้เนตรสวรรค์ต้องใช้พลังค่อนข้างมาก อีกฝ่ายจึงไม่อาจที่จะโจมตีอย่างต่อเนื่องได้
ฟึ่บ!
เจ้าหอโครงกระดูกกลับไปยังปราสาท วาดธงในมือฟื้นฟูแกนกลางของค่ายกล
“โอกาสดี! ทุกคนร่วมมือกันทะลวงค่ายกลนี่”
ดวงตาของผู้เฒ่าซู่ส่องประกายเจิดจ้า ตวาดเสียงเบา เขามั่นใจในสถานการณ์ยามนี้อย่างมาก ในตอนนี้ ‘ค่ายกลกลืนหมื่นวิญญาณ’ ไม่เสถียรและอ่อนแอลง นับเป็นโอกาสในการทะลวงฝ่าออกไปที่ง่ายที่สุด
รวมทั้ง จ้าวเฟิงยังลงมือฆ่าสองยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้ระดับสูงไปสองคน ทว่าไม่ได้ทำลายกำแพงสามมิติ ดูเหมือนว่าจะมีความตั้งใจเช่นนี้
จ้าวเฟิงไม่ช่วยให้พันธมิตรสังหารมังกรล่าถอย ทว่าช่วยเหลือให้พวกเขาสามารถจู่โจมได้
เป็นเรื่องดีที่ศัตรูที่มีพลังฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ระดับสูงถูกกำจัดไปแล้ว การป้องกันบริเวณประตูปราสาทจึงเหลืออยู่เพียง ‘หัวหน้าสาขาป๋าเถี่ย’ ที่ส่งกลิ่นเน่าเหม็นออกมา ผู้คนรวมตัวกันจู่โจม คว้าเอาความได้เปรียบมาในทันที
“ฆ่า!”
“โจมตีปราสาท ทำลายค่ายกล”
ผู้อาวุโสไป๋ ชางหยูเยว่ และยอดฝีมือนักดาบคนอื่นๆ ส่งการจู่โจมที่ดุดันออกไป
เคร้ง!
หัวหน้าสาขาป๋าเถี่ยวาดขวานเหล็กยักษ์ พยายามที่จะป้องกัน ยอดฝีมือจากฝ่ายเดียวกันตกตายราวใบไม้ร่วง
โชคดีที่ระหว่างที่เจ้าหอโครงกระดูกำลังซ่อมแซมค่ายกลก็ยังสามารถให้การสนับสนุนบริเวณนี้ได้บ้าง หรือมิเช่นนั้นหัวหน้าสาขาป๋าเถี่ยคงไม่อาจต่อต้านได้ถึงสิบลมหายใจ
ในเวลาเดียวกัน
ห่างออกไปหลายพันลี้ บนนกสีเขียวทอง
ฟึ่บ!
สตินึกคิดของจ้าวเฟิงกลับมายังร่าง เด็กหนุ่มถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา
“หัวหน้าสาขาจ้าว เมื่อครู่มันเกิดอันใดขึ้นกัน?”
เตี๋ยเย่เอ่ยถามอย่างสงสัย
ไม่กี่ลมหายใจก่อนหน้า ร่างกายของจ้าวเฟิงได้อยู่ในสภาวะพิเศษ ส่งแรงกดดันจิตวิญญาณออกมาเจือจาง ทำให้คนทั้งสองรู้สึกหวาดเกรง
วิชาเนตรสวรรค์ของจ้าวเฟิงใช้ได้อย่างดีในซากปรักหักพังสือเฉิง พวกเจียงซานเฟิงทั้งสองจึงไม่เข้าใจ
“เทียบกับที่คิดแล้วยังเลวร้ายกว่า… ยักษ์ใหญ่ในระดับเจ้าหอของลัทธิมารจันทราชาด ในช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์เป็นถึงผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิด ข้าจะไปก่อน!”
อันใดนะ!
เจ้าหอลัทธิมารจันทราชาด?
ผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิด!
พวกเจียงซานเฟิงทั้งสองตื่นตะลึงจนสติล่องลอย ในเวลาสั้นๆ ไม่อาจทำใจรับเรื่องน่าผวานี้ได้
ฟึ่บ!
สิ้นเสียง ประกายกระแสไฟฟ้าพร่าเลือนก็ได้จางหายไปที่เส้นขอบฟ้า