Skip to content

King of Gods 488

King Of Gods

บทที่ 488 แผนร้อยศพ

เช้าวันที่สอง

หลุมศพที่ใจกลางแดนต้องห้ามร้อยหลุมศพว่างเปล่า ภาพที่อยู่ในสายตาหลงเหลือเพียงฝุ่นดินที่คละคลุ้งเท่านั้น

หนึ่งคนหนึ่งแมวเก็บอุปกรณ์ในมือ แย้มยิ้มกว้างออกมา

‘เจ้าหอโครงกระดูก’ ที่นอนอยู่บนกองกระดูกหลังจากที่เต็มไปด้วยความตื่นตะลึงไม่พอใจแล้ว หลังจากนั้นก็เต็มไปด้วยความเกลียดชังริษยา มองหนึ่งคนหนึ่งแมวด้วยสายตาว่างเปล่า

“โครงกระดูกทั้ง 100 ทั้งหมดล้วนเป็นขั้นนายเหนือแท้ขึ้นไป ภายใต้การส่งเสริมบ่มเพาะของผลึกฉวนอิงโม่และพลังพิเศษในพื้นที่ต้องห้ามนี้ ไม่ว่าจะเป็นพลังหรือเศษเสี้ยววิญญาณต่างก็ยังไม่สลายหายไป”

ส่วนลึกของเจ้าหอโครงกระดูกกรีดร้องออกมา น่าเสียดายที่ผู้ที่ได้ครอบครองสิ่งเหล่านั้นไม่ใช่เขา แม้ว่าเขาจะรู้ดีว่า ‘แดนต้องห้ามร้อยหลุมศพ’ ได้มีโครงกระดูกของผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ทั้ง 100 คนฝังอยู่ นับเป็นสมบัติในการสร้างหุ่นเชิดที่ยอดเยี่ยม ทว่าเขาไม่มีพลังเพียงพอที่จะครอบครองพวกมัน

ทว่าหนึ่งคนหนึ่งแมวในยามนี้ บุ่มบ่ามเข้าไปอย่างเปิดเผย เข้าไป ‘ขุด’ เอาแหล่งกำเนิดพลังของแดนต้องห้ามร้อยหลุมศพออกมาจนหมดสิ้น

“ดี ดี แมวขโมยตัวน้อย ครานี้คุณประโยชน์ของเจ้ามิใช่น้อย”

ใบหน้าของจ้าวเฟิงแดงซ่าน

เมื่อเขาสามารถทำให้โครงกระดูกเหล่านี้กลายเป็นหุ่นเชิดได้ นั่นก็หมายถึงกองทัพหุ่นเชิดขั้นนายเหนือแท้

ไม่ว่าผู้ใดที่ได้ครอบครองพลังนี้ย่อมเพียงพอที่จะกวาดล้างสำนักแคว้นใหญ่ไปได้ราวกับปัดฝุ่น กระทั่งการจะทำลายอาณาจักรยังไม่ใช่เรื่องยาก

แน่นอนว่า

การทำให้ ‘ซากศพ’ เหล่านี้กลับกลายเป็นหุ่นเชิดของตนเองทั้งหมดนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย

หนึ่ง โครงกระดูกเหล่านี้เป็นเพียงวัตถุดิบ ยังต้องใช้วัสดุล้ำค่าอื่นๆ ในการเสริมอีกจำนวนมาก

สอง กระบวนการในการสร้างหุ่นเชิดนั้นต้องใช้เวลาและพลังงานมหาศาล จำต้องเชี่ยวชาญในศาสตร์แห่งซากศพอย่างมาก

อย่าได้มองว่าจ้าวเฟิงได้แย่งชิงหุ่นเชิดศพขั้นนายเหนือแท้มาครอบครองง่ายๆ

ความจริงแล้ว ไม่ว่าจะเป็นหุ่นเชิดใด นับตั้งแต่การสร้างขึ้นและทำให้มันบรรลุสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงเป็นสิ่งที่เชื่องช้าและยาวนานมาก

“อืม ในด้านของศาสตร์แห่งซากศพข้าพอรู้อยู่บ้าง ข้าควบคุมได้ยอดเยี่ยม ทว่าไม่ได้เชี่ยวชาญ หากต้องการสร้างหุ่นเชิดขั้นนายเหนือแท้ 100 ตน บางที…”

จ้าวเฟิงเบนสายตามองไปยังร่างของ ‘เจ้าหอโครงกระดูก’

เจ้าหอโครงกระดูกพลันรับรู้ถึงความนัยของอีกฝ่ายได้ทันที

ชั่วขณะต่อมา

“… หน้าที่ที่ยากลำบากอย่างยิ่งนี้มอบให้เจ้าแล้วกัน”

จ้าวเฟิงเต็มไปด้วยความคาดหวัง ใบหน้าแย้มยิ้มกว้าง ตบไหล่ของเจ้าหอโครงกระดูก โครงกระดูกที่กำลังประกอบกันเข้าที่เดิมของเจ้าหอโครงกระดูกแทบจะต่อผิดที่

“แม้ว่าโครงกระดูกเหล่านี้จะมีพลังในขั้นนายเหนือแท้ แต่หากจะทำให้มันกลายเป็นหุ่นเชิดได้สักตน จำต้องใช้พลังจิตและสมาธิปริมาณมหาศาล”

เจ้าหอโครงกระดูกกรีดร้องในใจต่อไป

จ้าวเฟิงได้มอบหน้าที่จับกังระดับสูงนี้ให้อีกฝ่าย

ทว่าเจ้าหอโครงกระดูกได้กลายเป็นข้ารับใช้ของจ้าวเฟิง เพื่อรักษาชีวิตเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นงานที่หนักหนาสาหัสเพียงใดก็ยังต้องทำ หรือพูดสั้นๆ ก็คือต้องเชื่อฟังคำสั่งของผู้เป็นนาย

จ้าวเฟิงกำ ‘ประคำหมื่นวิญญาณ’ จิตใจหลอมรวมเข้าไปภายใน

ในประคำหมื่นวิญญาณได้เต็มไปด้วยม่านหมอกสีหม่นเย็นเยียบและพื้นดินสีดำสนิท ปราณหยินและหมอกวิญญาณที่สะสมไว้ไม่รู้ต่อกี่ปีหนาแน่น

หุ่นเชิดศพพิษเงินทมิฬสองตนยืนอยู่ในมุมหนึ่ง รับการบ่มเพาะของปราณหยินมรณะปริมาณมหาศาลภายใน ‘ประคำหมื่นวิญญาณ’

โครงกระดูกขั้นนายเหนือแท้ทั้งหนึ่งร้อยนั้น หลังจากที่เข้ามาในประคำหมื่นวิญญาณ เศษเสี้ยววิญญาณที่หลงเหลือในร่างและกลิ่นอายพลังก็แปรเปลี่ยนไปอย่างแปลกประหลาด

“หืม? ในประคำหมื่นวิญญาณนี่ราวกับมีพลังลึกลับบางอย่าง เหมาะสมกับการสร้างหุ่นเชิดและขยายพลัง”

จ้าวเฟิงไม่ได้สำรวจประคำหมื่นวิญญาณมากนัก จะอย่างไรเขาก็มุ่งเป้าไปที่การฝึกฝนวิชาดวงตาและมรดกวายุอัสนี ศาสตร์แห่งซากศพเพียงศึกษาได้เล็กน้อยเท่านั้น

เมื่อเป็นเช่นนี้ แม้ว่าจ้าวเฟิงจะไม่จงใจสร้างขึ้นด้วยตนเอง เมื่อผ่านไปหลายปีหรือหลายสิบปี โครงกระดูกขั้นนายเหนือแท้เหล่านี้ก็จะกลายเป็นศพโดยอัตโนมัติ

หลังจากผ่านไปหลายวัน

แคว้นใหญ่มังกรโลหะ

ปราสาทเก่าแก่ที่หักพังในป่าใหญ่แทบจะถูกฝุ่นทรายสีเหลืองกลบฝัง

ในยามนี้ ปราสาทใหญ่โตนั้นได้ถูกทำลายลงแล้ว

เมื่อถึงยามนี้ รังของพันธมิตรมังกรโลหะจึงได้ถูกทำลายลงอย่างสมบูรณ์

คนระดับสูงของพันธมิตรมังกรโลหะ นอกจากเจ้าหอโครงกระดูกที่หลบหนีไป คนที่เหลือที่ตายก็ตาย ที่ถูกจับก็ถูกจับ ปลาเล็กปลาน้อยที่ถูกจับได้ไม่จำเป็นแม้แต่ต้องเอ่ยชื่อ

ในปราสาทเก่าแก่นั้นยังมียอดฝีมือหลายคนคอยเฝ้าระวังอยู่

ผู้เฒ่าซู่ ผู้อาวุโสไป๋ ชางหยูเยว่ หลินทง และคนอื่นๆ ประจำการอยู่ที่ปราสาทเก่าแก่ บางที คนเหล่านี้อาจกำลังป้องกันการกลับมาของเจ้าหอโครงกระดูก หรืออาจจะกำลังคาดหวังในเรื่องอื่นๆ

“จ้าวเฟิงนั่นไล่ล่าตัวตนระดับสูงของลัทธิมารจันทราชาดไปเพียงผู้เดียว สถานการณ์อาจไม่สู้ดีนัก”

หลินทงมองไปยังภายในปราสาทเก่าแก่ เอ่ยพึมพำกับตนเอง

หากจะพูดตามตรง เขาชื่นชมนับถือในพลังและพลังสายเลือดของจ้าวเฟิงยิ่งนัก

แต่แม้กระนั้น เขาก็ยังหวังเป็นอย่างยิ่งให้จ้าวเฟิงตายในระหว่างการไล่ล่า หากเป็นเช่นนั้น เขาก็จะได้รับอิสระคืนมา แต่เขารู้ว่าโอกาสที่จะเป็นเช่นนั้นมีไม่มากนัก

ดวงวิญญาณที่แข็งแกร่งของจ้าวเฟิง รวมทั้งสายเลือดดวงตาทำให้หลินทงทำได้เพียงเคารพนับถือ

เด็กหนุ่มผู้นั้นคือหนึ่งในผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ของทวีป หลังจากที่กลับมายังแคว้นเมฆาก็ควบคุมสถานที่แห่งนี้ไว้อย่างสมบูรณ์

“ผ่านไปหลายวันแล้ว แต่ไร้ซึ่งวี่แวว”

ผู้เฒ่าซู่กังวลอย่างมาก

ยามที่จ้าวเฟิงเลือกจะไล่ตามเจ้าหอโครงกระดูกไป ไม่มีผู้ใดเห็นด้วยแม้แต่คนเดียว ลัทธิมารจันทราชาดอาจถูกทำลายไปแล้ว ทว่าอำนาจของมันยังคงหลงเหลืออยู่ คนระดับเจ้าหอของลัทธิมารจันทราชาด พลังวิธีการมีหรือที่จะสามารถใช้สิ่งทั่วไปมาชี้วัดได้?

“ผู้เฒ่าซู่ อย่าได้กังวลถึงจ้าวเฟิงนักเลย แม้เขาจะดูเป็นคนใจร้อน ทว่าการที่เขากล้าที่จะไล่ตามเจ้าหอโครงกระดูกไปคนเดียว ดูเหมือนว่าจะมีข้อได้เปรียบบางอย่าง”

ผู้อาวุโสไป๋แย้มยิ้มบาง

นางไม่ได้สนใจในความเป็นตายของจ้าวเฟิงนัก ความจริงแล้วกระทั่งคิดถึงว่าหลังจากออกมาจาก ‘มรดกนิรนาม’ แล้ว จ้าวเฟิงได้มีไพ่ตายที่ทรงพลังอันใดซ่อนอยู่เสียมากกว่า

ในค่ำคืนนั้น กลุ่มก้อนสายลมและประกายกระแสไฟฟ้าทะยานวูบ พลิ้วกายลงบนซากปราสาทเก่าแก่

“ข้ากลับมาแล้ว”

คลื่นวายุอัสนีส่วนหนึ่งแพร่กระจายไปทั่วทั้งปราสาทเก่าแก่

ผู้เฒ่าซู่และคนอื่นๆ รู้สึกหนึบชาเล็กๆ ทว่าร่างกายและจิตใจกลับผ่อนคลายเป็นพิเศษ จิตใจและร่างกายของทุกคนสั่นสะท้าน มองไปยังเด็กหนุ่มเรือนผมสีน้ำเงินที่อยู่ไม่ห่างออกไป

“ในที่สุดเจ้าก็กลับมาอย่างปลอดภัย”

ผู้เฒ่าซู่ราวกับปลดภาระหนักอึ้งออกจากบ่า คนในปราสาทเก่าแก่จำนวนมากถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก

ผู้คนในที่แห่งนั้นไม่คาดคิดว่าจ้าวเฟิงจะสามารถเอาชนะเจ้าหอโครงกระดูกได้สำเร็จ การกลับมาได้อย่างปลอดภัยก็นับว่าน่าประหลาดใจพอแล้ว

ไม่ต้องเอ่ยเลยว่าจ้าวเฟิงดูจะไม่ได้รับบาดเจ็บ มีเพียงแค่ดูเหนื่อยล้าเล็กน้อยเท่านั้น

“หัวหน้าสาขา ในที่สุดท่านก็กลับมา ทุกวันนี้เราหวาดกลัวราวกับยืนอยู่บนขอบผา”

เตี๋ยเย่และเจียงซานเฟิงทะยานมาจากปราสาทเก่าแก่

ในวันนั้นที่จ้าวเฟิงใช้เนตรสวรรค์ไปมองสถานการณ์ของปราสาทเก่าแก่ก็รีบร้อนทิ้งคนทั้งสองไปลงมือก่อน ยามที่พวกเจียงซานเฟิงทั้งสองไปถึง สงครามก็จบลงแล้ว จ้าวเฟิงหายไปไร้ซึ่งร่องรอย ภายใต้การสอบถามของคนทั้งสองจึงรู้ว่าจ้าวเฟิงไล่ตามเจ้าหอโครงกระดูกไป พวกเขารู้สึกหวาดผวายิ่งนัก

คนในระดับของเจ้าหอลัทธิมารจันทราชาด คนอื่นๆ แม้อยากจะซ่อนยังไม่ทันการณ์ ทว่าเจ้ากลับไล่ตามไปด้วยตนเองเพียงคนเดียวเนี่ยนะ?

ทว่าในยามนี้

จ้าวเฟิงกลับมาอย่างปลอดภัย ทุกคนต่างถอนหายใจอย่างโล่งอก

กระทั่งหลินทงยังถอนหายใจในความยากลำบากของตนเอง สุดท้ายแล้วตัวเขาก็ไม่อาจหลุดจากการควบคุมของจ้าวเฟิงได้

ผู้อาวุโสไป๋จ้องไปยังจ้าวเฟิง สีหน้าเต็มไปด้วยอารมณ์ซับซ้อน

นางคิดว่าจ้าวเฟิงที่ไล่ตามไปนั้นต้องได้รับบาดเจ็บอย่างมาก หรืออย่างน้อยก็ต้องได้รับประสบการณ์น่าผวามาบ้าง

ทว่ามิคาด จ้าวเฟิงกลับมาอย่างไร้รอยขีดข่วนแบบปลอดภัย

ในยามนี้ สายตาของผู้คนได้จ้องมองไปยังจ้าวเฟิงอย่างสงสัยใคร่รู้

สุดท้ายแล้วเป็นเช่นไร?

“จ้าวเฟิง เจ้าไล่ตามเจ้าหอโครงกระดูกไปหรือไม่?”

ผู้อาวุโสไป๋ไม่อาจควบคุมความสงสัยของนางได้อีกต่อไป

คนทั้งหมด ณ ที่นั้น ผู้เฒ่าซู่ ชางหยูเยว่ หลินทง รวมทั้งคนทั้งสองที่ตามมาจากอาณาจักรนภาต่างก็กังวลในเรื่องนี้

“ไล่ตามไปหรือไม่?”

จ้าวเฟิงอดที่จะกลอกตาไม่ได้ ชัดเจนว่าคนเหล่านี้คิดว่าเขาไม่ได้ไล่ตามเจ้าหอโครงกระดูกไปตั้งแต่แรก เพราะดูจากสภาพของเด็กหนุ่มตระกูลจ้าวเฟิงไม่ดูเหมือนได้ต่อสู้โดยเอาชีวิตเป็นเดิมพัน ท่าทีเยือกเย็นผ่อนคลาย ดูราวกับไปเดินเล่นมาเท่านั้น

“ทุกท่าน เรื่องของเจ้าหอโครงกระดูกได้ถูกแก้ไขแล้ว สถานการณ์โดยรวมของแคว้นเมฆานับว่าแน่นอนแล้ว ไม่มีอันตรายใดๆ อีก ก่อนที่จะเสียเวลาไปกว่านี้ ข้าเองก็ต้องไปเช่นกัน”

จ้าวเฟิงแย้มยิ้มหัวเราะคิกคัก ท่าทีอารมณ์ดี

สถานการณ์ของแคว้นเมฆาได้ถูกแก้ไขด้วยฝีมือเขา ในใจเต็มไปด้วยความภูมิใจ รู้สึกประสบความสำเร็จยิ่งนัก นอกจากนั้น การกลับมายังแคว้นเมฆาครั้งนี้ สิ่งที่เขาได้รับกลับเกินกว่าที่จินตนาการเอาไว้

เมื่อผู้คนได้ยินเช่นนั้นก็พร้อมใจกันเอ่ยแสดงความยินดี ในใจเต็มไปด้วยความสุข ราวกับถูกท่าทีอารมณ์ดีของจ้าวเฟิงส่งผลกระทบ

“นับแต่วันนี้ เวลาของพันธมิตรมังกรโลหะจะไม่หวนคืนกลับมาอีก”

ผู้เฒ่าซู่ปรบมือด้วยรอยยิ้ม

เขารู้อย่างชัดเจนว่าหากจ้าวเฟิงไม่ทำลายอันตรายของแคว้นเมฆาจนหมดสิ้น อีกฝ่ายย่อมไม่ยอมจากไปง่ายๆ

“จ้าวเฟิง อย่าได้บอกข้าเชียวว่าเจ้าได้ฆ่าเจ้าหอโครงกระดูกนั่นด้วยตัวของเจ้าเองคนเดียวไปแล้ว”

ผู้อาวุโสไป๋ตื่นตะลึง รู้สึกได้ถึงความผิดแปลก

ยามที่จ้าวเฟิงเอ่ยถึง ‘เจ้าหอโครงกระดูก’ อีกฝ่ายไม่ได้เอ่ยว่าฆ่า ทว่าใช้คำว่า ‘แก้ไข’ ทำให้คลุมเครือยิ่งนัก

เมื่อได้ยินเช่นนั้น สายตาของผู้คนในบริเวณนั้นก็ไปรวมกันที่จ้าวเฟิงอีกครั้ง

“ใช่แล้ว จัดการเจ้าหอโครงกระดูกอย่างไรกัน?”

“เจ้าหอโครงกระดูกนั่นตายหรือยัง?”

ผู้คนชัดเจนว่าไม่พอใจกับคำว่า ‘แก้ไข’ ของจ้าวเฟิง ต้องการที่จะล่วงรู้ถึงกระบวนการ

สายตาของผู้เฒ่าซู่สั่นระริก รับรู้ได้ว่ามันจะต้องมีความลับบางอย่าง

“ทุกท่านไม่ต้องเป็นกังวล แม้ว่าเจ้าหอโครงกระดูกจะยังไม่ตาย ทว่าจะไม่มีแรงคุกคามต่อสถานการณ์ของแคว้นเมฆาอีกต่อไป”

จ้าวเฟิงแย้มยิ้มบาง ทำให้ผู้คนรู้สึกถึงความไม่ชัดเจน

เขาไม่ต้องการให้คนรู้ว่าเจ้าหอโครงกระดูกได้กลายเป็นข้ารับใช้ของตนเองไปแล้วมากนัก โดยเฉพาะผู้อาวุโสไป๋นั่น

“เจ้าหอโครงกระดูกยังไม่ตายหรือ?”

คนหลายคน ณ ที่นั้นร่างสั่นสะท้าน ไม่อาจที่จะยินดีได้อย่างเต็มที่ ในใจยังปรากฏเงามืดปกคลุม ในใจของคนระดับสูงบางคนของพันธมิตรสังหารมังกรเต็มไปด้วยความกระวนกระวาย

แม้ว่าจ้าวเฟิงจะบอกว่าแคว้นเมฆาจะไม่มีอันตรายอีก ทว่าพวกเขาก็ยังคงไม่อาจมั่นใจได้ ยามรุ่งโรจน์ของลัทธิมารจันทราชาด แม้จะเป็นสาขาก็เพียงพอที่จะทำลายแคว้นเมฆาทิ้งแล้ว

ไม่ต้องเอ่ยเลยว่าคนระดับสูงถึงเจ้าหอยังคงมีชีวิตอยู่ในโลกนี้

หลินทงขมวดคิ้วแน่น รอยยิ้มบางเยือกเย็นบนใบหน้าของจ้าวเฟิงทำให้เขารู้สึกว่าเรื่องราวต้องไม่เป็นอย่างที่คนอื่นๆ คิด

ทว่า ไม่ว่าผู้คนจะสอบถามมากเพียงใด จ้าวเฟิงก็ทำเพียงแย้มยิ้ม ไม่เอ่ยคำตอบที่ชัดเจนใดๆ ออกไป

“เป็นไปได้หรือไม่ว่าจ้าวเฟิงผู้นี้ได้ถูกเจ้าหอโครงกระดูกโจมตี ยามนี้ได้ถูกลัทธิมารจันทราชาดควบคุมอยู่…”

นัยน์ตาของผู้อาวุโสไป๋ส่องประกายเย็นเยียบวาบ

ทว่าก่อนที่จะมั่นใจ นางไม่กล้าที่จะผลีผลามลงมือ นอกจากนั้น ด้วยพลังของนาง การจะเอาชนะจ้าวเฟิงได้นั้นนับว่ายากเย็นยิ่งนัก โอกาสแพ้ชนะมีเท่าๆ กัน

หลังจากผ่านไปครึ่งวัน

เมื่อผู้คนแยกย้าย ผู้อาวุโสไป๋ ชางหยูเยว่ และคนอื่นๆ จากไปทีล่ะคน

ในปราสาทเก่าแก่ ในห้องลับใต้ดินมีเพียงจ้าวเฟิงและผู้เฒ่าซู่เพียงสองคน

“น้องจ้าว สถานการณ์เป็นเช่นไรกันแน่? มิเช่นนั้นหากเจ้าไป ตาแก่ผู้นี้จะรู้สึกสบายใจได้อย่างไร?”

ผู้เฒ่าซู่เอ่ยถามอย่างเคร่งเครียด

“ท่านอยากจะรู้ถึงที่อยู่ของเจ้าหอโครงกระดูกหรือไม่?”

“แน่นอน” ผู้เฒ่าซู่ขบฟันแน่น

“ฮี่ฮี่ เขาไม่ได้อยู่ข้างท่านหรือ?”

ม่านหมอกหมองหม่นท่วมไปในอากาศในห้องลับ

เมื่อผู้เฒ่าซู่ได้ยินเช่นนั้นก็อดที่จะเพ่งสายตาสำรวจอย่างละเอียดไม่ได้ ในม่านหมอกสีหม่นนั้นได้ปรากฏร่างโครงกระดูกที่คุ้นเคยอยู่ลางๆ เบ้าตาของมันเป็นเปลวเพลิงสีแดงสดที่ไหวระริก

“เจ้า… เจ้าหอ…โครง… กระดูก?”

เขาหวาดผวาไปจนถึงวิญญาณ ทั่วทั้งร่างสั่นสะท้าน แทบจะหล่นลงจากเก้าอี้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!