Skip to content

King of Gods 492

King Of Gods

บทที่ 492 เชี่ยวชาญทั้งพิณและกระบี่

“ไอ้หนู ไม่เห็นเพียงหนึ่งปี เจ้าก็บรรลุขั้นนายเหนือแท้ คนแซ่หลิวผู้นี้คงต้องขอคำชี้แนะจากผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งเสียแล้ว”

เจ้าเมืองหงหูโจมตีพลาด รู้สึกคาดไม่ถึงยิ่งนัก สีหน้าย้ำแย่ลง ความกราดเกรี้ยวลุกโชนอยู่ในใจ เมื่อการต่อสู้ของคนทั้งสองเริ่มขึ้น เจ้าเมืองหงหูก็ได้ลิ้มรสถึงความเร็วอันน่าพรั่นพรึงของจ้าวเฟิง

ในเสี้ยวพริบตา จ้าวเฟิงไม่เพียงแค่หลบเลี่ยงการโจมตีของเจ้าเมืองหงหู ทว่ายังช่วยทำให้พวกเจียงซานเฟิงทั้งสองหลุดออกจากระยะการโจมตีด้วย หากเปลี่ยนเป็นผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ทั่วไป แม้ว่าจะสามารถหลบเลี่ยงการโจมตีของเจ้าเมืองหงหูได้ ทว่ายากที่จะช่วยคนอื่นๆ ให้รอดชีวิตได้

ฟึ่บ เปรี้ยง ลำแสงสีแดงร้อนฉ่าพุ่งวาบ ร่างของเจ้าเมืองหงหูจางหายไปไร้ซึ่งร่องรอย ชั่วขณะต่อมา ร่างของเขาก็ปรากฏอยู่กลางอากาศ ห่างจากจ้าวเฟิงไปหลายจ้าง

“หมัดเพลิงผนึกสวรรค์”

กำปั้นของเจ้าเมืองหงหูส่องประกายสีแดงสดมุ่งตรงไปเบื้องหน้า ราวกับภูเขาเปลวเพลิงที่ให้ความรู้สึกรุนแรงที่ไม่อาจมองเห็น เปลวเพลิงสีแดงดุดันหลอมรวมเข้าด้วยกัน ปิดป้องทุกเส้นทางการเคลื่อนไหวของจ้าวเฟิง

ร่างและจิตใจของจ้าวเฟิงหล่นวูบเล็กๆ วิชาหมัดของเจ้าเมืองหงหูมีเสวียนอ้าวที่เหนือกว่าผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ระดับต่ำในระดับเดียวกัน

หมัดนี้มีแรงกดดันสูง ทำให้คนยากที่จะหลบได้ ร่างของจ้าวเฟิงราวกับเศษเสี้ยวสายลมและสายฟ้า ร่างพลันแตกสลายจางหายไป

ฟึ่บ ครืน

แรงกดดันของหมัดของเจ้าเมืองหงหูทะลวงผ่านเศษเสี้ยวสายลมและสายฟ้า ตัวของจ้าวเฟิงได้ ‘หลบหนี’ ออกไปอยู่เหนือศีรษะของเจ้าเมืองหงหูแล้ว

“จ้าวเฟิงผู้นี้หลอมรวมแก่นแท้ของสายลมและสายฟ้าเข้าด้วยกันได้ ความเร็ววิธีการเคลื่อนไหวไม่อาจที่จะมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าอย่างชัดเจน”

‘เจ้าตำหนักฉินเจี่ยน’ ที่คอยสังเกตการณ์อยู่ด้านหนึ่งลอบประหลาดใจ

แม้ว่าจ้าวเฟิงจะไม่ได้แสดงพลังต่อสู้ที่แข็งแกร่งมากมายในยามนี้ ความเร็วนี้เมื่อนับจากในอาณาจักรนภาก็นับว่าอยู่ในชั้นแนวหน้า

บนท้องฟ้า ร่างของจ้าวเฟิงทะลวงฝ่าหมู่เมฆไป ราวกับว่าเด็กหนุ่มไม่ต้องการเข้าปะทะและโจมตีเจ้าเมืองหงหู

เจ้าเมืองหงหูเผยความประหลาดใจออกมาเล็กๆ ทว่ามันก็ดี เขาสามารถโจมตีได้อย่างไม่ต้องยั้งมือ

“เพลิงทะลวงเมฆา”

ประกายแสงสีแดงสดราวกับกลุ่มก้อนเมฆสีแดงปรากฏขึ้นซ้อนกันเป็นชั้น เพลิงเมฆาที่น่าหวาดกลัวได้สร้างพายุสีแดงสดขึ้นกวาดไปในระยะ 1-2 ลี้รอบด้าน พลังเปลวเพลิงร้อนแรงน่าหวาดกลัวนั้นทำให้คนในเมืองหงหูด้านล่างรู้สึกหวาดกลัว

ผู้เฝ้ามองหลายคนรู้สึกร้อนเสียจนเหงื่อไหลเป็นน้ำ ลำคอแห้งผาก

“เจ้าเมืองหงหูใช้การโจมตีวงกว้างแล้ว”

“เฮ้ เจ้าเด็กนั่นจะหนีอย่างไรล่ะคราวนี้?”

ยอดฝีมือในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงเบื้องล่างพูดคุยกันด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

เปลวเพลิงระเบิดอยู่ในหมู่เมฆ ร่างของเด็กหนุ่มเรือนผมสีน้ำเงินส่องประกายไปด้วยสายลมและกระแสไฟฟ้าที่หลอมรวมกัน ปะทะทำลายชั้นความร้อนชั้นแล้วชั้นเล่า

การต่อสู้ในยามนี้คือการที่เจ้าเมืองหงหูจู่โจมอย่างต่อเนื่อง กระบวนท่ายิ่งดุดันบ้าคลั่งขึ้นเรื่อยๆ

ทว่า

จ้าวเฟิงไม่ตอบโต้ เสียงฟ้าคำรามและสายลมพัดหวีดหวิว หลบหลีกการโจมตีของเจ้าเมืองหงหูอย่างเยือกเย็น

แม้ว่าจะเป็นผู้ฝึกตนในขอบเขตก่อกำเนิดปราณบางคนก็ยังสามารถเห็นได้ว่า ในด้านความเร็วจ้าวเฟิงเหนือกว่าเจ้าเมืองหงหู

“เหตุใดไอ้เด็กนี่จึงไม่โจมตีกลับ”

ในขณะที่เจ้าเมืองหงหูกำลังโกรธแค้นทรมานใจ ในใจก็ยังปะปนไปด้วยความเคลือบแคลงสงสัย

เมื่อนึกถึงเด็กหนุ่มผู้นี้ที่ถูกเขาตั้งค่าหัวประกาศจับเมื่อหลายปีก่อน เริ่มจากความชื่นชอบแปรเปลี่ยนมาเป็นโกรธแค้น สุดท้ายแล้วจึงเป็นความอาฆาต

ทว่าสุดท้ายแล้วเมื่อยามที่อีกฝ่ายมาอยู่ที่เมืองของตน จริงๆ แล้ว เขากลับค้นพบว่าการเหนี่ยวรั้งเด็กหนุ่มผู้นี้ไว้ช่างเป็นสิ่งที่ยากเย็นยิ่งนัก

จ้าวเฟิงไม่ได้โจมตีกลับไม่ว่าเจ้าเมืองหงหูจะโจมตีดุดันรุนแรงเพียงใดก็ตาม

จ้าเมืองหงหูไม่ได้โง่ ด้วยสติปัญญาของเขาสามารถมองเห็นได้ว่าดวงดาราที่กำลังรุ่งโรจน์ดวงนี้ ผู้ครอบครองฉายานามที่สั่นคลอนทั้งทวีปอย่างผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้มีพลังเหนือกว่าตัวเขา

“ในอดีต ข้าอยู่ในเมืองหงหู แม้ว่าจะถูกบีบบังคับให้แต่งงานโดยเจ้าเมืองหงหู ทว่าในเวลาหกเดือนนั้น เจ้าเมืองหงหูก็ได้ช่วยชี้แนะการฝึกตนให้ข้า ให้ที่พักอาศัยแก่ข้า รวมทั้งทรัพยากรในการฝึกตนจำนวนมาก…”

ในสมองของจ้าวเฟิงได้ปรากฏภาพในช่วงเวลาหกเดือนนั้น

ในอดีต เขาได้ถูกประกาศจับตั้งค่าหัวโดยผู้อาวุโสหยุนไห่ หลบหนีไปยังอาณาจักรนภา ไม่คุ้นเคยทั้งกับสถานที่และผู้คน ทั้งยังไม่แข็งแกร่งมากนัก

ในยามนั้นอาจกล่าวได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากในชีวิตของจ้าวเฟิง

ในปีนั้น เขาได้ใช้สถานะ ‘บุตรเขยของเจ้าเมือง’ ในการอาศัยอยู่ในเมืองหงหูชั่วคราว ได้ทรัพยากรชั้นเยี่ยมฝึกตนได้อย่างเงียบสงบและมั่นคง

ในยามนั้น นอกเหนือจากที่เจ้าเมืองหงหูบังคับให้เขาแต่งงานแล้ว ด้านอื่นๆ ล้วนดีต่อเขามาก ทั้งชื่นชอบให้ความดูแล ทั้งช่วยเหลือชี้แนะและมอบทรัพยากรให้ นับจ้าวเฟิงเป็นบุตรเขยในอนาคตอย่างแท้จริง

หากเขาไม่ได้สร้างความผูกพันมากเพียงนี้ การที่สุดท้ายแล้วจ้าวเฟิงหลบหนีการแต่งงานไปย่อมยากที่จะสร้างความขุ่นแค้นให้แก่เจ้าเมืองหงหู

“ในเมืองหงหู ข้าได้ข้ามผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากของชีวิตและพัฒนาอย่างก้าวกระโดด เป็นดังน้ำหนึ่งหยดที่ทำให้ทั่วทั้งบ่อน้ำสั่นไหว ไม่ต้องเอ่ยถึงฉินซินเลย…”

เมื่อจ้าวเฟิงคิดมาถึงยามนี้ก็รู้สึกไม่สบายใจ ยามที่รู้สึกซาบซึ้งก็มีความรู้สึกผิดปะปนอยู่ โดยเฉพาะสถานการณ์ที่คาดไม่ถึงของหลิวฉินซินในยามนี้

ตามปกติแล้ว โอกาสที่นางจะตายอยู่ในมรดกต่างแดนมีสูงถึงเก้าสิบเก้าในร้อยส่วน เพราะความรู้สึกนี้ จ้าวเฟิงจึงไม่โหดเหี้ยมพอที่จะโจมตีตอบโต้

“หลิวจิ่วเทียน ด้วยพลังของท่านดูเหมือนว่าจะไม่อาจฆ่าเด็กนี่ได้”

น้ำเสียงชื่นชมสนใจของสตรีผู้หนึ่งดังขึ้น

เสียงนั้นดังขึ้นจากเจ้าตำหนักฉินเจี่ยน

“เจ้าตำหนักฉินเจี่ยน ถือว่าข้าติดหนี้บุญคุณท่านคราหนึ่ง ช่วยข้าลงมือฆ่าไอ้เด็กนี่” เจ้าเมืองหงหูส่งเสียงผ่านกระแสจิต

ในอาณาเขตเมืองหงหูของเขา หากไม่สามารถจัดการจ้าวเฟิงได้ ไม่เพียงแค่เขาจะเสียหน้าอย่างมาก บางทีอำนาจของตระกูลหลิวทั้งตระกูลอาจจะถูกทำลายลงอย่างมากด้วย

“พี่หลิวจริงจังยิ่งนัก ลัทธิโลหะเลือดนับว่าเป็นศัตรูร่วมของพวกเรา”

เจ้าตำหนักฉินเจี่ยนแย้มยิ้มที่ราวกับดอกไม้ผลิบานออกมา

ในใจของนางลอบหัวเราะ ข้ารับคำขอ ของเจ้าแล้ว

การต่อสู้ระหว่างเจ้าเมืองหงหูและจ้าวเฟิงในยามนี้ นางไม่ได้เข้าไปแทรกแซง ต้องการโอกาสในการสร้าง ‘บุญคุณ’ กับอีกฝ่าย

“หากข้าสามารถช่วยหลิวจิ่วเทียนจัดการจ้าวเฟิงได้แล้วเขาไม่ยอมมอบ ‘เก้าสำเนียงพิณสวรรค์’ ให้แก่ข้าก็นับว่าไม่เหมาะสมแล้ว นอกจากนั้น จ้าวเฟิงผู้นี้ยังกลับมาจากมรดกนิรนาม บนร่างย่อมมีความลับอันใหญ่โตอยู่เป็นแน่…”

เมื่อเจ้าตำหนักฉินเจี่ยนคิดถึงยามนี้ก็รู้สึกตื่นเต้นเล็กๆ

ด้วยเหตุผลนี้ นางจึงมี ‘ความจำเป็น’ ในการลงมือช่วยเหลือเจ้าเมืองหงหูจัดการจ้าวเฟิง

“จ้าวเฟิง เจ้าได้หลบหนีการแต่งงานไปในอดีต ผิดสัญญาทำลายความซื่อสัตย์ ทว่ายังกล้ากลับมาแก้แค้นเจ้าเมืองหงหู ให้เจ้าตำหนักผู้นี้จัดการเจ้าเถอะ”

ใบหน้าของเจ้าตำหนักฉินเจี่ยนเย็นเยียบ มือขาววาดออก เบื้องหน้าปรากฏพิณหยกและกระบี่ผลึกที่ส่องประกายขึ้น

นางเล่นพิณควบคุมกระบี่นั้น

ในเสี้ยววินาที บทเพลงอันรวดเร็วดุดันก็ได้กลายเป็นพลังที่ไม่อาจมองเห็นมุ่งตรงไปยังจ้าวเฟิง

“ยอดกระบี่เพลงพิณ”

กระบี่นั้นได้ส่องประกายผลึกสามสี กลับกลายเป็นเส้นแสงพุ่งไปในอากาศ ตรงไปยังจ้าวเฟิง

พลังโจมตีของพิณและกระบี่รวมกันอาจเรียกได้ว่าไร้ที่ติ

เสียงพิณได้เปลี่ยนเป็นพลังที่ไม่อาจมองเห็น จู่โจมไปยังดวงวิญญาณ ทว่าในเวลาเดียวกันก็ยังสร้างคลื่นเสียงที่ทรงพลัง โจมตีไปยังอวัยวะภายในที่บอบบางได้

เมื่อมีพิณนี้อยู่ในมือ ไม่ว่าจะแข็งแกร่งเพียงใดก็ยากที่จะเข้าใกล้ร่างของเจ้าตำหนักฉินเจี่ยน ผู้ที่มีพลังฝึกตนต่ำกว่าขั้นนายเหนือแท้ลงไปอาจถูกฆ่าได้ในเสี้ยววินาที

ทว่าการโจมตีด้วยกระบี่นั้นยังถูกใช้ออกด้วยวิชากระบี่บินในตำนาน ล่องลอยอยู่กลางอากาศ ปราณกระบี่ส่องประกายเจิดจ้า เตรียมฉวยทุกช่องว่างโอกาส

“สมแล้วที่เป็นเจ้าตำหนักฉินเจี่ยน”

เจียงซานเฟิงและเตี๋ยเย่ไร้วาจา ก่อนหน้า คนทั้งสองไม่รู้ว่าในเมืองหงหูนี้ไม่ได้มีเพียงแค่นายเหนือหลิวจิ่วเทียน ทว่ายังมีเจ้าตำหนักฉินเจี่ยน ยักษ์ใหญ่แห่งอาณาจักรผู้นี้อยู่ด้วย

หนึ่งราชวงศ์ สามสำนัก สี่ตระกูล

ปดขั้วอำนาจที่น่าหวาดกลัวของอาณาจักร ควบคุมชะตาชีวิตของคนนับล้าน

ทว่ายามนี้ เจ้าตำหนักฉินเจี่ยน หนึ่งในจ้าวสำนักได้ปรากฏตัวขึ้นที่นี่ ในระดับหนึ่ง สถานะของเจ้าตำหนักฉินเจี่ยนสามารถเทียบกับรองจ้าวลัทธิโลหะเลือดได้

เมื่อเจ้าตำหนักฉินเจี่ยนลงมือ สถานการณ์ก็พลันแปรเปลี่ยนไป

พลังโจมตีที่แปลกประหลาดของ ‘ยอดกระบี่เพลงพิณ’ พลันปรากฏมุ่งหน้าเข้าไป โอบล้อมจ้าวเฟิงจนตกอยู่ในสถานการณ์เข้าตาจน

เจียงซานเฟิงและเตี๋ยเย่ที่อยู่ด้านล่างอดที่จะสบถอย่างโกรธเกรี้ยวไม่ได้: “เจ้าตำหนักฉินเจี่ยนผู้นี้ไร้ยางอายมิน้อย เพื่อที่จะชนะกระทั่งลอบโจมตี”

ในด้านพลังต่อสู้ เจ้าตำหนักฉินเจี่ยนนับเป็นยักษ์ใหญ่ของอาณาจักร ไม่ได้เลวร้ายแต่อย่างใด

ทว่าความรับมือยากของเจ้าตำหนักฉินเจี่ยนกลับอยู่ในชั้นแนวหน้า

ยอดกระบี่เพลงพิณคือการร่วมมือกันของพิณและกระบี่ แปลกประหลาดยากจะรับมือ ทั้งยังใช้ออกได้ต่อเนื่อง นับว่าสร้างความปวดหัวให้กับผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้อย่างมาก

“เยี่ยม เจ้าตำหนักฉินเจี่ยนที่ลงมือนี้ได้ยินว่ายอดเยี่ยมในการสนับสนุนนัก ยอดกระบี่เพลงพิณของนางหากร่วมมือกับผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้จะมีโอกาสสูงในการฆ่าผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ผู้อื่นได้”

ดวงตาของเจ้าเมืองหงหูส่องประกายเจิดจ้า เห็นการลงมือที่เจ้าเล่ห์ของเจ้าตำหนักฉินเจี่ยน

“พิณวายุกระบี่พิรุณ”

เสียงพิณพลันดังขึ้นราวกับพายุลมฝนที่รุนแรง ประกายคมกระบี่ส่องประกายร่วงหล่นราวกับฝนดาวตก เส้นทางเคลื่อนไหวของจ้าวเฟิงถูกขัดขวางอย่างสมบูรณ์

การโจมตีของเจ้าตำหนักฉินเจี่ยนไม่เพียงแค่ขัดขวางกายเนื้อ ทว่าเสียงพิณนั้นยังทำให้ดวงวิญญาณสั่นสะท้านวุ่นวาย มุ่งโจมตีไปยังอวัยวะที่อ่อนแอของร่างกายมนุษย์

“สตรีผู้นี้กล้าดีอย่างไรมาแทรกแซงเรื่องราวบุญคุณความแค้นระหว่างข้ากับเจ้าเมืองหงหู”

สีหน้าของจ้าวเฟิงมืดทะมึนลง

การโจมตีเจ้าเล่ห์ร้ายกาจของเจ้าตำหนักฉินเจี่ยนจะคอยมองหาทุกช่องว่าง จำกัดการเคลื่อนไหวของเขาไว้อย่างมาก

ในการต่อสู้ จ้าวเฟิงไม่ได้โจมตีตอบโต้เจ้าเมืองหงหูนับว่าเห็นแก่บุญคุณในอดีต รวมทั้งเห็นแก่หน้าของหลิวฉินซิน

ทว่าสตรีผู้นี้เขาไม่รู้จัก เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องเกรงใจ

จ้าวเฟิงเค้นเสียงเย็น ร่างพลันส่องประกายกระแสไฟฟ้าและสายลมสีเขียวเข้ม ราวกับงูมังกรที่เคลื่อนไหวอย่างบ้าคลั่ง อาละวาดไปทั่ว

ครืน ฟึ่บ เปรี้ยง

‘พิณวายุกระบี่พิรุณ’ ของเจ้าตำหนักฉินเจี่ยนได้ถูกโซ่วายุอัสนีทำลายฉีกกระชากเป็นเศษเสี้ยว

เจ้าเมืองหงหูที่อยู่ไม่ห่างออกไปนักร่างกายชาหนึบ ถูกพลังโจมตีรุนแรงนั้นกระแทกจนร่างกระเด็นถอยออกไป

“เป็นพลังวายุอัสนีที่แข็งแกร่งยิ่งนัก”

สองยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้ใบหน้าขาวซีดลงอย่างพร้อมเพรียงกัน คนทั้งสองร่วมมือกันโจมตี ทว่ากลับถูกจ้าวเฟิงใช้เพียงกระบวนท่าเดียวบดขยี้ทำลายจนสิ้นท่า

แสงของวายุอัสนีจางหายไป หลงเหลือไว้เพียงกระแสไฟฟ้าประปราย

“ระวัง”

เจ้าเมืองหงหูอุทานออกมา

ประกายแสงสว่างวาบ แรงกดดันของสายลมและเสียงคำรามของสายฟ้าทำให้ร่างชาหนึบปรากฏขึ้นที่ร่างของเจ้าตำหนักฉินเจี่ยน

เด็กหนุ่มเรือนผมสีน้ำเงินที่ถูกโอบล้อมไปด้วยประกายกระแสไฟฟ้าและสายลมปรากฏขึ้นที่เบื้องหลังของนาง

“ความเร็วนี่… เป็นไปได้อย่างไร!”

ใบหน้างดงามของเจ้าตำหนักฉินเจี่ยนขาวซีด นางเล่นพิณมือหนึ่ง อีกมือหนึ่งควบคุมกระบี่ ไม่อาจตอบโต้ได้ทันการณ์

ชัดเจนว่าความเร็วที่จ้าวเฟิงใช้ออกก่อนหน้านั้นได้ออมมืออยู่บ้าง ความเร็วในยามนี้รวดเร็วกว่าเดิมเกือบหนึ่งเท่าตัว ในฝ่ามือของจ้าวเฟิงปรากฏคลื่นวายุอัสนี ใช้ออกด้วยความเร็วราวสายฟ้าฟาด ทำลายพิณหยกที่อยู่เบื้องหน้าเจ้าตำหนักฉินเจี่ยนในทันที

“เจ้า… เจ้าทำลายพิณหยกของข้า?”

ท่าทีเคร่งขรึมสูงส่งของเจ้าตำหนักฉินเจี่ยนไม่ปรากฏอยู่อีกต่อไป ใบหน้างดงามบิดเบี้ยว ความหวาดกลัวปะปนไปด้วยความโกรธเกรี้ยว น้ำเสียงสั่นสะท้านเล็กๆ

ฟึ่บ

นัยน์ตาของนางปรากฏจิตสังหารเข้มข้น อีกมือควบคุมกระบี่อย่างรวดเร็ว สร้างเป็นประกายแสงสามสีวาดออกแทงตรงไปยังจ้าวเฟิง

“หึ”

ดวงตาจิตวิญญาณเทพเจ้าของจ้าวเฟิงพลันเพ่งมอง ส่งพลังวิญญาณที่น่าพรั่นพรึงออกมา แทรกซึมเข้าไปในสมองของเจ้าตำหนักฉินเจี่ยน

เคร้ง

กระบี่บินที่เจ้าตำหนักฉินเจี่ยนควบคุมอยู่ร่วงหล่นจากกลางอากาศ

ดวงวิญญาณที่เทียบเคียงได้กับผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดของจ้าวเฟิง การโจมตีด้วยแรงกดดันโดยตรงของดวงตาแทบจะทำให้สติของเจ้าตำหนักฉินเจี่ยนพังทลายลง

“ช่วย… ช่วยข้าด้วย…”

สีหน้าของเจ้าตำหนักฉินเจี่ยนขาวซีดราวกับกระดาษ ร่างบอบบางสั่นสะท้าน เรือนผมเสื้อผ้ากระเซอะกระเซิงยุ่งเหยิง เผยให้เห็นผิวขาวราวหิมะน่าหลงใหล

“อย่าได้ยุ่งเรื่องของผู้อื่น”

จ้าวเฟิงถีบเท้าออกไปอย่างไร้ความรู้สึก ไม่แม้แต่จะชายตามองอีกฝ่าย

เปรี้ยง

ฝ่าเท้านั้นกระแทกไปยังทรวงอกของเจ้าตำหนักฉินเจี่ยน

“เจ้า…”

เจ้าตำหนักฉินเจี่ยนทั้งอับอายและเกลียดชัง กระอักเลือดออกมา ‘พรวด’ ร่างกระเด็นพลิกตลบออกไป

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!