บทที่ 493 มรดกเซียนพิณสวรรค์
เปรี้ยง
ร่างของหนึ่งในแปดขั้วอำนาจที่น่าหวาดกลัวของอาณาจักร ผู้ควบคุมตำหนักฉินเจี่ยนได้ตกลงจากกลางอากาศกระแทกพื้นในสภาพยับเยิน
ยอดฝีมือในเมืองหงหูมองไปอย่างอึ้งตะลึง
เจียงซานเฟิงและเตี๋ยเย่ คนทั้งสองถลึงตาแทบถลนออกจากเบ้า เผยความตื่นตะลึงออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน
ในการต่อสู้ก่อนหน้า พวกเขาไม่คิดว่าพลังของจ้าวเฟิงจะแข็งแกร่งเพียงนี้ แม้ว่าจะถูกรุมโดยคนสองคนก็คงทำได้เพียงป้องกันตนเอง
ในแคว้นเมฆา แม้ว่าพวกเจียนซานเฟิงทั้งสองจะไม่ได้เห็นจ้าวเฟิงลงมือด้วยตาตนเอง ทว่าคำเล่าลือนั้นพวกเขากลับได้ยินมามากนัก
“สมแล้วที่เป็นผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ กระทั่งจ้าวตำหนักฉินเจี่ยนยังไร้หนทางตอบโต้ ดูจากสถานการณ์แล้ว แม้ว่ายอดฝีมือในชั้นนายเหนือแท้สองคนร่วมมือกันก็คงรับมือจ้าวเฟิงได้เพียงไม่กี่กระบวนท่า”
หลังจากที่เจียงซานเฟิงฟื้นจากความอึ้ง ในใจก็ปรากฏความตื่นเต้นอย่างแปลกประหลาด
“หัวหน้าสาขาบังเอิญเกินไปแล้ว เตะสตรีที่ตรงนั้นได้อย่างไร”
ใบหน้าเล็กของเตี๋ยเย่แดงซ่าน
แน่นอนว่านางย่อมรู้ดีว่าเท้านั้นของจ้าวเฟิงเป็นความบังเอิญ ไม่ใช่ความจงใจแต่อย่างใด
ราวกับว่าในสายตาของเขา จ้าวตำหนักฉินเจี่ยนที่งดงามสูงส่งผู้นี้ไม่ต่างจากก้อนเนื้อโครงกระดูก
ในเวลาเดียวกัน
ฟึ่บ
ยอดฝีมือในเมืองหงหูจึงรู้สึกตัว เริ่มพูดคุยซุบซิบกัน
“เร็วขนาดนั้นได้อย่างไร”
“ทั้งๆ ที่อยู่ในชั้นนายเหนือแท้เช่นเดียวกัน ทว่ากลับแตกต่างกันยิ่งนัก”
การลงมือของจ้าวเฟิงรวดเร็วจนเกินไป รายละเอียดบางอย่างผู้คนไม่อาจมองตามได้ทัน ทว่าจ้าวตำหนักฉินเจี่ยนไม่อาจแม้แต่จะตอบโต้ ถูกเท้าถีบกระเด็น นับว่าเกินคาดยิ่งนัก
เฮือก
เจ้าเมืองหงหูที่อยู่ไม่ห่างออกไปนัก อดที่จะสูดลมหายใจเย็นเยียบเช้าไปมิได้
เขามองไปยังจ้าวเฟิงด้วยสายตาลึกล้ำคราหนึ่ง สีหน้าเต็มไปด้วยอารมณ์ซับซ้อน กระทั่งปรากฏความหวาดกลัวปะปนไปด้วยความเคลือบแคลงสงสัย ความซาบซึ้ง และความไม่เช้าใจ
ในอดีต
ยามที่เห็นจ้าวเฟิงเป็นครั้งแรก เจ้าเมืองหงหูได้ค้นพบพรสวรรค์สายเลือดที่น่าตื่นตะลึงของจ้าวเฟิง รวมทั้งดวงตาเทพเจ้า ดังนั้นแล้วเขาจึงตั้งมั่นไว้ในใจ ค่อยๆ บีบบังคับอีกฝ่ายให้กลายเป็นบุตรเขยในอนาคต
ในยามนี้ ทุกสิ่งได้ยืนยันสายตาของเขา
‘ว่าที่บุตรเขย’ ของเขาได้พัฒนาอย่างก้าวกระโดด กลายเป็นผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ของทวีป พลังต่อสู้กระทั่งเหนือกว่าตัวเขา
“จ้าวเฟิง ความอับอายในวันนี้ วันหนึ่งจ้าวตำหนักฉินเจี่ยนผู้นี้จะตอบแทนเป็นสิบเท่า”
นัยน์ตาของจ้าวตำหนักฉินเจี่ยนเต็มไปด้วยความเกลียดชัง ยกมือขยุ้มอกที่เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดที่กระอักออกมา
หืม?
จ้าวเฟิงรู้สึกประหลาดใจเล็กๆ ฝ่าเท้าเมื่อครู่ของเขาคิดว่าจะทำให้สตรีผู้นั้นบาดเจ็บสาหัสได้ คงไม่อาจลุกขึ้นได้ในระยะเวลาสั้นๆ มิคาดว่ายามที่เตะไปนั้นจะให้ความรู้สึกนุ่มนิ่มยิ่งนัก ทำให้แรงลดลงไปบางส่วน แต่แม้กระนั้น จ้าวตำหนักฉินเจี่ยนเองก็บาดเจ็บอย่างมาก ยันตัวลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบาก ทั้งพิณหยกของนางก็ถูกทำลาย จิตใจได้รับความเสียหาย ในเวลาสั้นๆ พลังต่อสู้ของนางได้ลดลงสามถึงสี่ส่วนอย่างรวดเร็ว
ฟึ่บ
ร่างของจ้าวตำหนักฉินเจี่ยนกลายเป็นเส้นแสง หลบหนีออกไปนอกเมืองหงหู
“หึ วันหนึ่งจะเอาคืนเป็นสิบเท่า? ไม่มีโอกาสหรอก”
จ้าวเฟิงเค้นเสียงเย็น เขาย่อมไม่ไร้ซึ่งเหตุผลในการเพิกเฉยต่อคำข่มขู่ของศัตรู
ดวงตาซ้ายของเด็กหนุ่มพลันเปลี่ยนไปเป็นสีเขียว เตรียมที่จะใช้ ‘เพลิงวายุอัสนีเนตรเทพเจ้า’ หรือ ‘เนตรมรกตพิฆาต’ จัดการคร่าชีวิตของอีกฝ่าย
“หยุด”
เจ้าเมืองหงหูคำรามต่ำ เขารับรู้ถึงพลังน่าพรั่นพรึงที่ทำให้กระทั่งจิตใจของเขาต้องสั่นไหวจากดวงตาของจ้าวเฟิง
เขาได้เฝ้าชมงานชุมนุมเซียนมังกร เคยได้เห็นวิชาดวงตาของจ้าวเฟิงมาก่อน
เจ้าเมืองหงหูไร้ซึ่งความเคลือบแคลงว่าหากจ้าวเฟิงใช้วิชาดวงตานี้ออกไป จ้าวตำหนักฉินเจี่ยนคงต้องตายโดยไม่ต้องสงสัย
“เจ้าเมืองหลิว”
จ้าวเฟิงแย้มยิ้มบาง จิตสังหารบนใบหน้าถูกเก็บกลับไป ปล่อยให้จ้าวตำหนักฉินเจี่ยนหนีไป
จ้าวตำหนักฉินเจี่ยนที่หลบหนีห่างออกไปพลันรับรู้ถึงความหนาวเยือกในอากาศที่เกาะติดกับร่างของนาง นางไม่รู้ว่าชีวิตของนางเกือบจะสิ้นสุดลงจากดวงตาของจ้าวเฟิงแล้ว
“จ้าวเฟิง คนแซ่หลิวผู้นี้ยอมรับในความแข็งแกร่งของเจ้า บางทีในอาณาจักรยามนี้ คงมีเพียงไม่กี่คนที่สามารถเป็นคู่ต่อสู้ของเจ้าได้”
เจ้าเมืองหงหูถอนหายใจ
เมื่อเผชิญหน้ากับ ‘ว่าที่บุตรเขย’ เช่นนี้ เขาเต็มไปด้วยความรู้สึกด้อยค่าไร้พลัง
ด้วยพลังที่จ้าวเฟิงแสดงออกมา การโจมตีร่วมกันของเขาและจ้าวตำหนักฉินเจี่ยนได้ถูกทำลายลงในกระบวนท่าเดียว ทว่าในใจของเจ้าเมืองหงหูก็ยังคงปรากฏความสงสัยอยู่
สิ่งที่จ้าวเฟิงกระทำต่อศัตรูนั้นทั้งโหดเหี้ยมไร้หัวใจ ตัวอย่างเช่นจ้าวตำหนักฉินเจี่ยนที่เพียงแค่ความคิดก็สามารถคร่าชีวิตของอีกฝ่ายได้
ทว่าสำหรับเจ้าเมืองหงหู จ้าวเฟิงกลับ ‘ใจอ่อน’ ยิ่งนัก แม้ถูกโจมตีก็ไม่ตอบโต้
เมื่อเจ้าเมืองหงหูคิดถึงยามนี้ก็ลอบหลั่งเหงื่อเย็นเยียบ หากเปลี่ยนเป็นศัตรูในชั้นนายเหนือแท้คนอื่นๆ แล้วล่ะก็ บางทีจ้าวเฟิงอาจจะเด็ดศีรษะอีกฝ่ายไปแล้วก็เป็นได้
“บอกมาสิว่าการที่เจ้ามายังเมืองหงหูครั้งนี้ เจ้าต้องการสิ่งใดจากคนแซ่หลิวผู้นี้?”
เจ้าเมืองหงหูมีท่าทีครุ่นคิด
จากท่าทีของจ้าวเฟิงดูจะไม่เป็นศัตรูกับเขา กระทั่งยอมไว้หน้าปล่อยจ้าวตำหนักฉินเจี่ยนไป
“ผู้เยาว์ได้เอ่ยว่าการกลับมาเมืองหงหูครั้งนี้นั้นเพื่อมาทำตามสัญญาในอดีต รับฉินซินเป็นภรรยา”
จ้าวเฟิงอดที่จะแย้มยิ้มขมขื่นไม่ได้
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ผู้คนก็เกิดความวุ่นวายขึ้น เอ่ยพูดคุยกัน
ผู้คนในที่แห่งนั้น รวมทั้งเจ้าเมืองหงหู หลิวหยวน รวมทั้งพวกเจียงซานเฟิงทั้งสอง บนใบหน้าเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ
“เจ้าวางแผนที่จะกลับมารับฉินซินเป็นภรรยาจริงๆ หรือ?”
สีหน้าของเจ้าเมืองหงหูเต็มไปด้วยความยินดี
จ้าวเฟิงรู้สึกละอายเล็กๆ ทว่าก็ยังคงผงกศีรษะ: “ทว่ามิรู้ว่าฉินซินไม่ได้กลับมา”
ชีวิตมนุษย์ไม่แน่นอนยิ่งนัก
ในอดีต ยามที่เจ้าเมืองหงหูบีบบังคับให้จ้าวเฟิงแต่งงาน เขารู้สึกไม่พอใจอย่างมากจนวางแผนหนีการแต่งงาน สร้างความวุ่นวายขึ้นในอาณาจักร
ในยามนี้ จ้าวเฟิงมั่นใจ ยามที่วางแผนจะกลับมาแต่งงานกับหลิวฉินซิน สตรีงดงามผู้นั้นกลับหายไป
เจ้าเมืองหงหูมองจ้าวเฟิงเป็นเวลานานก่อนจะถอนหายใจออกในที่สุด: “ดอกไม้ที่ผลิบานย่อมมียามโรยรา… เจ้ามากับข้าก่อน”
ชั่วครู่ต่อมา
ตำหนักเจ้าเมือง ในห้องลับ
หลิวจิ่วเทียน จ้าวเฟิง รวมทั้งพวกเจียงซานเฟิงทั้งสองนั่งเผชิญหน้ากัน
“มรดกเซียนพิณสวรรค์ที่ฉินซินเช้าไป เมื่อเทียบกับสี่มหามรดกแล้วแม้ว่าจะไม่ใช่มรดกใหญ่โต ทว่ามันเป็นมรดกนอกศาสตร์ที่ลึกลับ ปรากฏขึ้นเพียง 2-3 ครั้ง สถานที่ตั้งที่แท้จริงยากที่จะค้นหาได้”
หลิวจิ่วเทียนเอ่ย
ในวันเดียวกันในงานชุมนุมเซียนมังกร จ้าวเฟิงและผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้คนอื่นๆ ได้แข่งขันกันแย่งชิงโอกาสเช้าสู่มรดก
และหยูเทียนฮ่าวกับซินอู๋เหินได้เช้าไปในมรดกความลับสวรรค์
ชางหยูเยว่เช้าไปในมรดกเจ็ดดาบ
ปิงเว่ยเซียนจื่อและตันไถ่หลันเยว่เช้าไปในมรดกฉวนปิง
สำหรับคนอื่นๆ จ้าวเฟิงไม่ได้ใส่ใจ
ตัวอย่างเช่นอาณาจักรนภา จินไท่จื่อ เทียนหยุนจื่อ และหวังเสี่ยวก้วย รวมทั้งหลิวฉินซินต่างก็เลือกมรดกของตนเอง
“งานชุมนุมเซียนมังกรครั้งนี้ จำนวนคนของอาณาจักรนภาที่เช้าร่วมในหนึ่งร้อยอัจฉิรยะเซียนมังกรมีมากที่สุด เหนือกว่าอาณาจักรอื่นๆ ทว่าในอาณาจักรของเรา อัจฉริยะเซียนมังกรที่ไม่ได้กลับมาจากมรดกต่างแดนมีเพียงฉินซินคนเดียว”
ในปากของเจ้าเมืองหงหูปรากฏรสข่มปร่า ท่าทีหดหู่สิ้นหวัง เมื่อได้ยินเช่นนั้น จิตใจของจ้าวเฟิงก็สั่นไหว ยากที่จะสงบนิ่งได้ ไม่ใช่เพียงเพราะความละอาย ทว่ามันยังมีความรู้สึกอื่นที่สร้างความไม่สงบให้จิตใจ ความสงบนิ่งราบเรียบราวผิวน้ำของจ้าวเฟิงในยามนั้นราวกับปรากฏระลอกคลื่น
เขารู้สึกได้
หากเมินเฉยต่อเรื่องนี้ ระลอกคลื่นในใจกลางหัวใจนี้จะใหญ่ขึ้น
“นี่… อย่าได้บอกข้าเชียวว่ามันคือปมในใจ?”
จ้าวเฟิงไม่คิดว่าโอกาสในการ ‘ตาย’ ของหลิวฉินซินจะส่งผลต่อตัวเขามากเช่นนี้ เขายังคิดว่าหากหลิวฉินซินตายจริงๆ ข้อตกลงก่อนหน้าก็สามารถปล่อยผ่านไปได้
ทว่า เมื่อคิดเช่นนั้น ความรู้สึกในใจของจ้าวเฟิงก็ยิ่งรุนแรงขึ้น ระลอกคลื่นนั้นยิ่งสั่นไหวรุนแรง
ในเวลาเดียวกัน
ใบหน้าของจ้าวเฟิงบิดเบี้ยวอย่างมาก หน้าผากปรากฏหยาดเหงื่อเย็นเยียบ
“เฟิงเอ๋อร์”
สีหน้าของเจ้าเมืองหงหูแปรเปลี่ยนไป ตวาดเสียงเบา เขาไม่รู้ว่าเสียงของเขาราวกับทำให้จ้าวเฟิงกลับไปยังตำหนักเจ้าเมืองในอดีต
หืม?
ดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงพลันแปรเปลี่ยนไปเป็นสีฟ้าหมองหม่น ความเย็นเยียบแผ่ซ่านไปในอากาศ ไหลเวียนไปทั่วร่าง สร้างความเยือกเย็นกลับมาในเสี้ยววินาที
ทว่าเขารู้ว่าช่องว่างในใจนั้นได้ฝังลึกอยู่ในใจ และไม่อาจที่จะทำลายได้อย่างสมบูรณ์
“จ้าวเฟิง”
เจ้าเมืองหงหูเอ่ยอย่างเคร่งเครียด “ข้าหวังว่าเรื่องของฉินซินจะไม่ส่งผลต่ออารมณ์ของเจ้า เจ้าคือราชาแห่งผู้ถูกเลือกของทวีปบุปผาคราม บุคคลอันดับหนึ่งของคนรุ่นใหม่ในอาณาจักรนภา แม้จะเป็นดวงวิญญาณของฉินซินที่อยู่บนสวรรค์ก็คงไม่ต้องการให้มันส่งผลต่อเจ้า…”
เมื่อพูดถึงยามนี้ หางตาของเจ้าเมืองหงหูจึงเปียกชื้นขึ้นเล็กน้อย
เมื่อได้ยินคำว่า ‘วิญญาณบนสวรรค์’ จ้าวเฟิงก็ราวกับถูกฟ้าผ่า สมองว่างโล่ง
“ท่านลุงหลิว ก่อนหน้าที่จะฝังร่างของคนผู้นั้น เราไม่อาจที่จะยืนยันความเป็นตายของฉินซินได้”
จ้าวเฟิงสูดลมหายใจลึก
ในยามนี้ เขาพลันคิดถึงจ้าวหยูเฟ่ยที่ไม่ได้กลับมายังดินแคนบุปผาครามเช่นกัน ทว่ายังคงมีชีวิตอยู่
แม้ว่าจ้าวเฟิงจะรู้ว่าโอกาสเช่นนี้มีเพียงน้อยนิดก็ตาม
“เฟิงเอ๋อร์ เจ้าไม่จำเป็นต้องปลอบโยนข้า” เจ้าเมืองหงหูส่ายศีรษะ
งานชุมนุมเซียนมังกรสิ้นสุดลงแล้ว ในยามนี้เองก็ผ่านไปแล้วหนึ่งปี ควรที่จะกลับมาได้แล้ว
จ้าวเฟิงไม่ปฏิเสธว่าเขาเองก็รู้ว่าโอกาสของหลิวฉินซินมีเพียงน้อยนิด
สภาวะจิตใจของจ้าวเฟิงยากที่จะสงบลง
นัยน์ตาของเจ้าเมืองหงหูสั่นระริก มองไปยังผู้ถูกเลือกแห่งทวีปอยู่หลายครั้ง
ความแข็งแกร่งของจ้าวเฟิงในยามนี้ลึกล้ำไม่อาจคาดเดา เจ้าเมืองหงหูทำได้เพียงแหงนหน้ามอง เขาเข้าใจว่าหากเอ่ยขอ ด้วยความแข็งแกร่งและความสามารถที่ไม่อาจล่วงรู้ของจ้าวเฟิงที่มีในอนาคตของทวีปบุปผาคราม คงมีเพียงไม่กี่เรื่องที่เขาจะทำไม่ได้
ทว่าความคิดนี้ที่อยู่ในใจของเจ้าเมืองหงหูได้ถูกปฏิเสธไป
“จ้าวเฟิง เรื่องเร่งด่วนคือเราต้องยืนยันก่อนว่าฉินซินอยู่หรือตายเพื่อจัดการปมในใจของเจ้า”
เจ้าเมืองหงหูเอ่ยอย่างเชื่องช้า
จ้าวเฟิงอดที่จะประหลาดใจไม่ได้ เจ้าเมืองหงหูไม่ได้เอ่ยขอสิ่งใด ทว่ากลับเหมือนมองเห็นปมในใจของเขา ยื่นมือเช้าช่วยเหลือเขาแทน
แน่นอนว่า
ไม่ว่าจะเป็นเจ้าเมืองหงหูหรือจ้าวเฟิงต่างก็ต้องการยืนยันความเป็นตายของหลิวฉินซินอย่างเร่งด่วน
“ขอข้าถามท่านลุงหลิวได้หรือไม่ว่าเราจะใช้วิธีการใดยืนยันความเป็นตายของหลิวฉินซิน?”
จ้ าวเฟิงจมลงในห้วงภวังค์
มรดกต่างแดนอยู่ห่างจากทวีปบุปผาครามยิ่งนัก แม้จะรู้ว่าเป็น ‘มรดกเซียนพิณสวรรค์’ ทว่ากลับไม่อาจยืนยันตำแหน่งที่แน่นอนได้ บางมรดกอาจมีโอกาสเป็นเช่นซากปรักหักพังสือเฉิง ตั้งอยู่ในมิติแยกต่างหาก โดดเดี่ยวจากด้านนอก
“มีสองวิธี”
เจ้าเมืองหงหูเอ่ยอย่างลังเล “วิธีแรกไม่ใช่สิ่งใดนอกจากตามหามรดกเซียนพิณสวรรค์ หรือรองานชุมนุมเซียนมังกรครั้งหน้าว่ามรดกเซียนพิณสวรรค์ปรากฏหรือไม่จึงให้คนเช้าไปค้นหา”
พวกจ้าวเฟิงส่ายศีรษะเล็กน้อย วิธีการนี้พึ่งพาดวงเท่านั้น
มรดกเซียนสวรรค์ ในรอบหมื่นปีปรากฏขึ้นเพียง 2-3 ครั้ง ทั้งยังเป็นมรดกนอกศาสตร์ ผู้ใดเล่าจะมั่นใจได้ว่างานชุมนุมเซียนมังกรครั้งหน้ามันจะปรากฏขึ้น?
นอกจากนั้น งานชุมนุมเซียนมังกรยังจัดขึ้นสิบปีครั้ง ไม่รู้ว่าจะต้องเฝ้ารอจนถึงเมื่อใด
“วิธีการที่สอง ในโลกใบนี้ยังมีสิ่งที่เรียกว่าการพยากรณ์อยู่ วิธีการนี้สามารถได้รับคำใบ้บางอย่างในผลลัพธ์ที่ไม่อาจล่วงรู้ได้”
ดวงตาของเจ้าเมืองหงหูส่องแสงสว่างจ้า
ศาสตร์แห่งการพยากรณ์?
ดวงตาของจ้าวเฟิงเองก็ส่องประกายวาบ
“ในอาณาจักรนภา ปราชญ์แห่งหอคอยลิ่วอูมีความสามารถนี้ ก่อนหน้านี้ ข้าได้ขอเข้าพบไปหลายครั้ง ทว่ากลับไม่เจอตัว”