บทที่ 503 จ้าวลัทธิโลหะเลือด
“จ้าวเฟิง เจ้า…”
บนใบหน้าของเถี่ยหมัวเต็มไปด้วยความตื่นตะลึงและไม่อยากเชื่อ มองไปยังร่างเจ้าของเรือนผมสีน้ำเงินที่ยืนอยู่เบื้องหน้า
เหล่าผู้ชมที่เฝ้ามองอยู่ห่างออกไปตื่นตระหนกจนสิ้นเสียง
วินาทีปลิดชีวิตฉินหวางเฟยของรองจ้าวลัทธิโลหะเลือดพลันถูกจ้าวเฟิงเข้ามาแทรกแซง ป้องกันการโจมตีของวงแหวนทมิฬไว้
ร่างของจ้าวเฟิงปรากฏม่านน้ำสีน้ำเงินกระเพื่อมไหวราวกับห้วงสมุทรอันลึกล้ำ วงแหวนทมิฬตัดผ่านเข้าไปในคลื่นน้ำนั้น พลังถูกดูดกลืนสลายไปเสียส่วนมาก ราวกับก้อนหินที่ตกลงสู่ทะเล
เหตุใดจ้าวเฟิงจึงขัดขวาง?
แม้ว่าในใจของเถี่ยหมัวจะปรากฏความสงสัย ทว่าที่ประหลาดใจมากกว่าคือความแข็งแกร่งของจ้าวเฟิง
กระทั่งผู้ที่แข็งแกร่งอย่างรองจ้าวลัทธิโลหะเลือดใช้วงแหวนทมิฬออกอย่างเต็มที่ ทว่ากลับไม่อาจทำลายการป้องกันที่ถูกสร้างขึ้นโดยพลังสายเลือดของจ้าวเฟิงได้
เถี่ยหมัวมั่นใจว่ากระทั่งยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้ระดับสุดยอดยังยากที่จะรับการโจมตีนั้นไว้ได้ตรงๆ ทว่าเด็กหนุ่มเบื้องหน้าผู้นี้กลับสามารถสลายการโจมตีนั้นไปได้อย่างง่ายดาย
“รองจ้าวลัทธิ ข้าติดหนี้บุญคุณปราชญ์ลิ่วอูเอาไว้อยู่ ครานี้โปรดปล่อยนางไปก่อน”
จ้าวเฟิงเปิดปากเอ่ย
หากจะพูดตามตรง จ้าวเฟิงและฉินหวางเฟยนับเป็นศัตรูกัน มีหนี้แค้นที่ไม่อาจแก้ไขได้อยู่
ในอาณาจักรนภาในอดีต คนทั้งสองวงแผนลงมือต่ออีกฝ่าย สุดท้ายแล้วจึงเป็นจ้าวเฟิงที่จับฉินหวางเฟยเป็นตัวประกันต่อหน้าทุกคน
ทว่าสุดท้ายแล้ว ด้วยเหตุผลบางอย่างได้ทำให้จ้าวเฟิงตัดสินใจไม่ฆ่าฉินหวางเฟย
ตัวอย่างเช่นปราชญ์ลิ่วอู หรือเรื่องของความสัมพันธ์ของผู้อาวุโสหนึ่ง
“ครั้งนี้เห็นแก่หน้าเจ้า นายเหนือผู้นี้จะปล่อยนางไปอีกครั้ง”
รองจ้าวลัทธิโลหะเลือดส่ายศีรษะพร้อมทอดถอนใจ เก็บวงแหวนทมิฬกลับไป
ปล่อยนางไปอีกครั้ง? อีกครั้ง?
จ้าวเฟิงรู้สึกตะลึงไปอยู่บ้าง อย่าได้บอกเชียวว่าก่อนหน้านี้รองจ้าวลัทธิโลหะเลือดเองก็มีโอกาสในการฆ่าฉินหวางเฟย ทว่าด้วยเหตุผลบางอย่างทำให้ไม่อาจฆ่านางได้?
ฉินหวางเฟยถอนหายใจยาว อาภรณ์หรูหราเปียกโชกไปด้วยหยาดเหงื่อ
“จ้าวเฟิง ไม่คิดว่าเจ้าจะช่วยชีวิตข้าไว้”
สีหน้าของนางเต็มไปด้วยอารมณ์ซับซ้อน
ฉินหวางเฟยต้องการจะร่วมมือกับพวกจ้าวตำหนักฉินเจี่ยนทั้งสามกำจัดจ้าวเฟิง มิคาดว่าสุดท้ายแล้วจะเป็นนางเองที่ถูกจ้าวเฟิงช่วยชีวิตไว้
“จะปล่อยไปเป็นครั้งสุดท้าย”
จ้าวเฟิงใช้สายตาเกลียดชังมองไปยังฉินหวางเฟยครั้งหนึ่ง
บอกตามตรงคือเขาไร้ซึ่งความชมชอบใดๆ ต่ออีกฝ่ายแม้แต่น้อย กระทั่งมีความคิดอยากจะฆ่า
ฉินหวางเฟยไม่กล้ารั้งอยู่ พลันทะยานร่างหายไปในอากาศ
“ฉินหวางเฟยผู้นี้ ตั้งแต่เข้าร่วมราชวงศ์ก็เริ่มสร้างปัญหา ในยามที่นางยังไม่เติบโต ข้าเคยมีโอกาสฆ่านาง ทว่าเห็นแก่หน้าของปราชญ์ลิ่วอูจึงปล่อยนางไป”
สีหน้าของเถี่ยหมัวราบเรียบ มองตามร่างที่จากไปของฉินหวางเฟย
จ้าวเฟิงพลันนึกขึ้นได้ เขาจำได้ว่าเจียงซานเฟิงได้บอกว่าเถี่ยหมัวมั่นใจถึงความเป็นตายของตัวเขา ครั้งหนึ่งเคยได้คำชี้แนะของปราชญ์ลิ่วอู
“เป็นเพราะจ้าวลัทธิ หงเกอของข้าเกี่ยวข้องกับปราชญ์ลิ่วอู”
เถี่ยหมัวถอนหายใจ
จ้าวลัทธิ? จ้าวลัทธิ
หัวใจของจ้าวเฟิงกระตุกวูบ ไม่คิดว่าความสัมพันธ์นี้จะซับซ้อนเพียงนี้
ในสมองของเขานึกย้อนไปถึงภาพของชายชราผมแดงที่เคยมอบ ‘จิตวิญญาณเหมันต์’ และ ‘ชิ้นส่วนบันทึกหมิงถง’ ให้แก่เขา
หลังจากที่ปล่อยฉินหวางเฟยไป
จ้าวเฟิงกลับไปยังห้องหลอมใต้ดินอย่างรวดเร็วเพื่อรับงานต่อจากเจ้าหอโครงกระดูก หลังจากผ่านไปพักหนึ่ง ปราณเพลิงสีดำทมิฬในห้องหลอมใต้ดินได้ทำให้คนผู้อื่นยากที่จะรับรู้ได้แน่ชัด
กระทั่งผู้ที่แข็งแกร่งอย่างเถี่ยหมัว ประสาทสัมผัสจิตวิญญาณของเขายังทำได้เพียงฝ่าไปได้อย่างยากลำบาก ทั้งยังแทบจะถูกสะท้อนกลับ
“เบื้องหลังจ้าวเฟิงมียอดฝีมือที่เก่งกาจผู้ใดอยู่กัน ทั้งยังเหมือนจะมีกลิ่นของซากศพ…”
เถี่ยหมัวลอบตื่นตะลึง
ในด้านพลังฝึกตน เขาห่างจากขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดไม่มาก ทว่ากลับไม่อาจที่จะคาดเดาถึงตัวตนลึกลับในห้องหลอมใต้ดินนั้นได้
เขาตระหนักได้ว่า เขาไม่อาจที่จะทำความเข้าใจในสถานการณ์ของจ้าวเฟิงได้มากขึ้นเรื่อยๆ
ปราณเพลิงสีดำในห้องหลอมใต้ดินจางหายไป หลงเหลือเพียงจ้าวเฟิงและอาจารย์เถี่ยกาน
จ้าวเฟิงยังคงทำขั้นตอนสุดท้ายต่อไป อาจารย์เถี่ยกานมีท่าทีหวาดผวา ไม่กล้าเอ่ยถามสิ่งใด คอยช่วยเหลืออยู่ด้านข้าง
เวลาผ่านไปพักใหญ่ ขั้นตอนสุดท้ายจึงเสร็จสิ้น
ครืนนนน
บนแขนของจ้าวเฟิงได้ปรากฏโลหะขึ้นพัน กลายเป็นวงล้อสีเขียวเงิน ขอบคมกริบราวใบมีด บนพื้นผิวปรากฏประกายกระแสไฟฟ้าอยู่จางๆ ในระหว่างที่หมุนด้วยความเร็วสูง รอบด้านจะสร้างคมดาบแสงธาตุลมที่ไม่อาจมองเห็นขึ้น
จากนั้น จ้าวเฟิงจึงกระตุ้นปราณจิตวิญญาณทำให้วงแหวนทมิฬฉบับง่ายนี้กลายเป็นแขนกลที่ใหญ่กว่าแขนของผู้ใหญ่เล็กน้อย
“วงแหวนทมิฬฉบับง่ายนี้ได้หลอมรวมพลังธาตุลมและสายฟ้าเข้าไป พลังในการตัดและทำลายเพิ่มขึ้น แม้ว่าพลังของมันจะด้อยกว่าฉบับสมบูรณ์ แต่ว่าอันที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่นี้นับว่าสมบูรณ์แบบกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย”
อาจารย์เถี่ยกานเต็มไปด้วยความชื่นชม
เถี่ยหมัวอดที่จะถอนหายใจพร้อมเอ่ยชมขึ้นไม่ได้:”ด้วยปราณจิตวิญญาณที่น้อยนิดสามารถกระตุ้นใช้พลังโจมตีที่แข็งแกร่งกว่าได้
ทั้งยังมีพลังธาตุสายลมและสายฟ้าอยู่ ความเร็ว พลังในการตัด และพลังทำลายเหนือกว่าอาวุธวิเศษในระดับเดียวกันมากนัก”
ในระหว่างที่เอ่ยขึ้นนั้น น้ำเสียงของเขาได้ปรากฏความริษยาขึ้นเล็กๆ
หากไม่ใช่เพราะพลังฝึกตนของเขาสูงถึงขั้นนายเหนือแท้ระดับสุดยอด วงแหวนทมิฬฉบับง่ายนี้มีระดับไม่เพียงพอ บางทีเขาอาจจะเสนอขอแลกเปลี่ยนก็เป็นได้
“วงแหวนทมิฬชิ้นใหม่นี้ ข้าวางแผนจะส่งกลับไปยังแคว้นเมฆาคล้อย…”
จ้าวเฟิงเอ่ยถึงความคิดของเขาออกมา
เกี่ยวกับเรื่องนี้ เถี่ยหมัวตอบรับไว้ด้วยรอยยิ้ม ให้ยอดฝีมือของลัทธิโลหะเลือดนำวงแหวนทมิฬส่งไปยังผู้อาวุโสหนึ่งของสำนักจันทร์สลายด้วยตนเอง
วงแหวนทมิฬที่ถูกสร้างขึ้นใหม่โดยจ้าวเฟิงถูกส่งต่อไปแล้ว ตัวเด็กหนุ่มเองก็ถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก ที่เขามายังอาณาจักรนภานั้น เรื่องหนึ่งคือการสร้างวงแหวนทมิฬให้ผู้เป็นอาจารย์ ยามนี้เรื่องนี้ได้เสร็จสิ้นลงแล้ว
ค่ำคืนนั้น
เกี้ยวทองมังกรโลหิตได้ออกจากภูเขาเถี่ยกาน ทะยานไปในท้องนภา
ในเกี้ยวทองมังกรโลหิต ภายในค่อยข้างกว้างขวาง จ้าวเฟิงและพวกเจียงซานเฟิงทั้งสองนั่งอยู่ภายใน
“จ้าวเฟิง เจ้าไม่เพียงกลับมายังทวีปอย่างปลอดภัย ทว่าพลังยังพัฒนาขึ้นถึงระดับนี้ นับว่าควรค่าแก่การเฉลิมฉลองยิ่งนัก”
รองจ้าวลัทธิโลหะเลือดอดที่จะตื้นตันใจไม่ได้
เมื่อได้ยินเช่นนั้น พวกเจียงซานเฟิงทั้งสองก็พลันรู้สึกแบบเดียวกันขึ้น
หนึ่งปีก่อน จ้าวเฟิงยังเป็นดวงดารารุ่งโรจน์ในระดับเดียวกับพวกเขา
ทว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใดกัน พลังของจ้าวเฟิงจึงได้เข้าสู่ระดับที่รองจ้าวลัทธิโลหะเลือดนับว่าอยู่ในระดับเดียวกัน ไม่ต้องเอ่ยเลยว่าจ้าวเฟิงคือผู้ถูกเลือกของทวีป ความสำเร็จในอนาคตยากที่จะคาดเดา
ในระหว่างการพูดคุย รองจ้าวลัทธิโลหะเลือดย่อมเกิดความสงสัยต่อ ‘มรดกนิรนาม’ อย่างช่วยไม่ได้
จ้าวเฟิงเอ่ยถึงสถานการณ์ของซากปรักหักพังสือเฉิงโดยภาพรวม ทว่าปิดบังการสืบทอดซากปรักหักพังของจ้าวหยูเฟ่ยเอาไว้
“ซากปรักหักพังสือเฉิงนั่นมิคาดว่ามีอัจฉริยะของสำนักระดับสองดาวเข้าไปถึงสามสำนัก ทั้งยังมีสำนักที่มีระดับสูงถึงสองดาวครึ่งด้วย?”
แม้กระนั้น รองจ้าวลัทธิโลหะเลือดก็ยังรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก ความจริงแล้ว สิ่งที่ทำให้เขาชื่นชมจนต้องอุทานออกมานั้นคือการที่จ้าวเฟิงสามารถเอาชีวิตรอดได้ในสภาพแวดล้อมเช่นนั้น ทั้งยังได้ครอบครองมรดก เกี่ยวกับมรดกที่เขาได้รับมานั้น จ้าวเฟิงปกปิดไว้อยู่บ้าง เอ่ยเพียงว่าเป็นของยอดฝีมือในขอบเขตปราณเทวะ
“ขอบเขตปราณเทวะ นั่นมันคือเงื่อนไขสำคัญที่สำนักระดับสองดาวต้องการ”
สีหน้าของรองจ้าวลัทธิโลหะเลือดปรากฏความนับถือ
แม้ว่าจะเป็นขอบเขตปราณเทวะทั่วไป สำหรับรองจ้าวลัทธิโลหะเลือดและทั้งทวีปแล้ว มันนับเป็นสิ่งที่ห่างไกลยิ่งนัก
หลังจากผ่านไปหลายวัน
เกี้ยวทองมังกรโลหิตกลับมายังฐานหลักของลัทธิโลหะเลือด
“รองจ้าวลัทธิโลหะเลือด มีของสิ่งหนึ่งที่อยากจะมอบให้ท่าน”
จ้าวเฟิงพลันเปิดปากเอ่ยขึ้น นำหยดน้ำสีเขียวส่องประกายลึกลับออกมาหยดหนึ่งจากน้ำเต้าสีน้ำเงินเข้ม
นัยน์ตาดำของรองจ้าวลัทธิหดเล็กลง เอ่ยออกมาอย่างไม่รู้ตัว “อย่าได้บอกข้าว่า… วารีแห่งชีวิต?”
ของเหลวสีเขียวสว่างได้ส่งกลิ่นอายพลังชีวิตออกมาอย่างเข้มข้น กระทั่งมีกลิ่นอายเก่าแก่ออกมา
“ใช่แล้ว เป็นวารีแห่งชีวิต”
จ้าวเฟิงเผยสีหน้ายินดีออกมา
หลังจากที่ส่งมอบวารีแห่งชีวิตหยดนี้ออกไป จ้าวเฟิงก็จะเหลืออีกเพียงหยดสุดท้าย
“วารีแห่งชีวิต ยอดเยี่ยมนักจ้าวเฟิง นายเหนือผู้นี้ไม่รู้ว่าควรจะขอบคุณเจ้าออย่างไรดี”
รองจ้าวลัทธิโลหะเลือดตื่นเต้น แทบจะเอ่ยไม่เป็นคำ ชัดเจนว่าวารีแห่งชีวิตนั้น ไม่ว่าจะเป็นสำหรับรองจ้าวลัทธิหรือลัทธิโลหะเลือดต่างก็สำคัญยิ่งนัก
“รองจ้าวลัทธิ วารีแห่งชีวิตหยดนี้นับว่าทดแทนความเมตตาของท่านจ้าวลัทธิผู้นั้น”
นัยน์ตาของจ้าวเฟิงส่องประกายวาบ เขาเองก็สงสัยอยู่แล้วว่าชายชราผมแดงลึกลับที่เขาเคยเห็นก่อนหน้านี้ผู้นั้นคงจะเป็นจ้าวลัทธิโลหะเลือด
เถี่ยหมัวเข้าใจพร้อมแย้มยิ้ม “จ้าวเฟิง เจ้าคาดเดาได้ถูกต้อง ที่เจ้าพบในวันนั้นคือจ้าวลัทธิโลหะเลือด
สิ้นเสียง เถี่ยหมัวไม่ลังเลอีกต่อไป นำจ้าวเฟิงเข้าไปในตำหนักใต้ดิน ในห้องลึกของตำหนัก นี่เป็นครั้งที่สองที่จ้าวเฟิงเข้ามาในตำหนักลับใต้ดินนี้
ในตำหนักใต้ดินได้ปรากฏเตียงสีม่วงทอง บนนั้นปรากฏร่างของชายชราผมแดงคิ้วหนานอนอยู่
ผิวกายทั่วทั้งร่างของชายชราผู้นั้นแทบจะไม่หลงเหลือพลังชีวิตอยู่อีกต่อไป อยู่ในสภาวะ ‘แกล้งตาย’
“หงเกอ ข้ามาแล้ว”
บนใบหน้าของเถี่ยหมัวเต็มไปด้วยความรื่นเริง เข้าไปถึงเตียงนั้นอย่างรวดเร็ว
ดวงตาของชายชราผมแดงเปิดขึ้นอย่างเชื่องช้า น้ำเสียงอ่อนแรงดังขึ้น:”ด้วยสภาพของข้าในยามนี้คงไม่อาจคงสติได้นานนัก หากไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนอย่าได้ปลุกข้า”
ในเสี้ยวพริบตาที่ชายชราผมแดงเปิดเปลือกตาขึ้น จ้าวเฟิงรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายจิตวิญญาณที่กว้างใหญ่ลึกล้ำไร้ที่สิ้นสุด
“หงเกอ ท่านดูสิว่านี่คืออันใด”
เถี่ยหมัวหัวเราะ ยกมือขึ้นเล็กน้อย
ชายชราผมแดงเพ่งดวงตามอง ในดวงตาลึกล้ำนั้นพลันปรากฏประกายแสงแห่งความตื่นตะลึง เปล่งเสียงออกมาอย่างไม่รู้ตัว “วารีแห่งชีวิต”
ในยามนี้ กลิ่นอายที่แพร่ออกจากร่างของชายชราผมแดงได้สร้างแรงกดดันมหาศาลที่ไม่อาจมองเห็นออกมา มันราวกับเชื่อมต่อกับไอสวรรค์ ตอบสนองต่อมิตินี้อยู่จางๆ
จ้าวเฟิงเผยสีหน้าเซื่องซึมออกมา ตั้งแต่กลับมายังทวีปบุปผาคราม แทบจะไม่มีผู้ใดสร้างแรงกดดันในระดับนี้ให้แก่เขาได้
ผู้ที่สามารถสร้างแรงกดดันที่ใกล้เคียงกันได้มีเพียงลู่เทียนอี้ รวมทั้งเจ้าหอโครงกระดูกในสภาวะที่ใช้วิชาลับ
ทว่า แม้จะเป็นคนทั้งสอง พลังภายในของพวกเขาก็ไม่อาจเทียบกับชายชราผมแดงได้
ในขณะที่จ้าวเฟิงกำลังเหม่อลอย ชายชราผมแดงก็ได้กลืน ‘วารีแห่งชีวิต’ เข้าไปแล้ว จากนั้น ผิวกายของชายชราผมแดงและใบหน้าขาวซีดไร้สีเลือด รวมทั้งกลิ่นอายอ่อนแอก็ได้หมุนวนอย่างรวดเร็ว
ความรู้สึกนั้นมันราวกับชายชราที่อยู่ในช่วงบั้นปลายของชีวิตที่พลันกลับมามีชีวิต นอกจากนั้นมันยังไม่ใช่ ‘ภาพลวงตา’ ทว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นอย่างแท้จริง
“สมแล้วที่เป็นวารีศักดิ์สิทธิ์ในตำนาน อาการบาดเจ็บในแหล่งกำเนิดพลังในร่างของข้าได้ฟื้นฟูมากว่าสามสี่ส่วนแล้ว”
บนใบหน้าของชายชราผมแดงปรากฏสีเลือดฝาดขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าระบายไปด้วยความยินดี
เมื่อเป็นเช่นนี้ กลิ่นอายพลังที่แพร่ออกมาจากร่างของเขาก็ยิ่งน่าพรั่นพรึง เพียงพอให้ขั้นนายเหนือแท้ทั่วไปต้องหวาดกลัวและนับถือ
ครืนนน
ทันใดนั้น ท้องฟ้าเหนือฐานหลักของลัทธิโลหะเลือดก็ได้ปรากฏไอสวรรค์ที่ส่งเสียงครืนครางออกมา เดือดปุดราวกับคลื่นน้ำที่ไหวกระเพื่อม
ชายชราผมแดงตวาดออกมาสั้นๆ ดึงดูดเอาไอสวรรค์จำนวนมากเข้าไป กลายเป็นศูนย์กลางน้ำวนของไอสวรรค์ กลิ่นอายนั้นได้ควบคุมไอสวรรค์ทั้งแปดทิศ แทบจะพลิกฟ้าตลบดิน
“ขอบเขตนี่ อย่าได้บอกข้าว่า…”
จ้าวเฟิงที่อยู่บริเวณนั้นราวกับอยู่เบื้องหน้า ‘ทะเลไอสวรรค์’ ที่ยิ่งใหญ่ไพศาล ทำให้เขารู้สึกเล็กจ้อย
ยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้สามารถเข้าสู่ระดับที่สามารถ ‘ตอบสนอง’ กับไอสวรรค์ได้ในส่วนเล็กๆ ทว่ากลับสามารถยืนอยู่บนจุดสูงสุดของปิรามิดในพื้นที่ส่วนมากของทวีปได้
ทว่าขอบเขตของชายชราผมแดงผู้นี้อยู่ในระดับที่สูงกว่า เขาราวกับเป็นส่วนหนึ่งของฟ้าดิน กลายเป็นศูนย์กลางน้ำวนของไอสวรรค์อันมหาศาล
เขาไม่จำเป็นต้องกระตุ้นตอบสนอง ไอสวรรค์มหาศาลเหล่านั้นราวกับธารน้ำที่ไหลลงสู่ทะเล ถูกเขาดูดกลืนย่อยสลายเป็นปริมาณที่แทบจะเรียกได้ว่าไร้จุดสิ้นสุด
ภาพนั้น เมื่อเทียบกับสามสวรรค์ของขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงแล้วนับว่าแตกต่างกันในด้านของปริมาณอย่างสิ้นเชิง